ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #296 : วิชาข้ามมิติ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.31K
      364
      25 ธ.ค. 61


    "มายืนมุงดูกันทำอะไร ทราบหรือไม่ว่ามันอันตราย" ทันทีที่กาเล็ทใช้พลังของตนเองหยุดยั้งเสาเหล็กที่ถูกหวดจนปลิวกระเด็นไปได้อย่างเฉียดฉิวและวางมันลงแล้วกาเล็ทก็หันไปเอ่ยกล่าวกับเหล่าหญิงรับใช้และทหารยาม
    "พวกข้าเพียงแต่ได้ยินเสียงดังก็เลยมาตรวจสอบดูขอรับ พบเห็นว่าเป็นนายน้อยที่กำลังฝึกวิชาฝีมือเลยเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ตื่นตาตื่นใจถึงหยุดยั้งชมดูขอรับ" ทหารยามของตระกูลบุสโซ่ผู้หนึ่งเอ่ยกล่าวตอบคำ
    กาเล็ทได้รับฟังถึงถ้อยคำอธิบายของลูกน้องของตนเองก็ผงกศรีษะเป็นเชิงเข้าใจ ตนเองก่อเสียงดังวุ่นวายถึงเพียงนี้หากว่าไม่มีผู้ใดมาสำรวจตรวจดูจึงจะนับว่าเป็นเรื่องแปลก "อืม เอาเถอะปลอดภัยกันก็ดีแล้ว ไม่มีอะไรแล้วพวกเจ้าไปเถอะ ลิลลี่วันนี้ขอให้ไปแจ้งบอกต่อเหล่าหญิงรับใช้ประจำตัวของเซลิน่าและโซเฟีย บอกแก่พวกนางว่าให้ไปเคาะห้องปลุกนายหญิงของพวกนางสายกว่าเวลาปกติสักสองสามชั่วโมง" กาเล็ทยังไม่ลืมที่จะเอ่ยสั่งการต่อ
    "เจ้าค่ะ" ลิลลี่รับคำ
    เมื่อเห็นว่าเหล่าหญิงรับใช้และทหารยามทั้งหลายเริ่มคลี่คลายกระจายตัวแยกย้ายกันไปปฎิบัติหน้าที่ของตนเองตามเดิมแล้ว กาเล็ทก็หันกลับมาเพ่งสมาธิอยู่กับการฝึกฝนทดสอบพลังของตนเองต่อไป หลังจากการทดสอบการเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเองแล้วถัดไปก็เป็นการทดสอบพลังจิตวิญญาณที่เพิ่มพูน
    กาเล็ทหลับตาลงจากนั้นกระแสพลังจิตวิญญาณก็เรืองแสงห่อหุ้มคลุมร่างของกาเล็ทขึ้นมา "แม้แต่ระดับปริมาณของพลังจิตวิญญาณก็เพิ่มพูนสูงขึ้นไม่น้อย" สรุปนึกคิดกับตนเองได้เช่นนั้นกาเล็ทก็เริ่มที่จะบังคับร่างกายให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงไปยังมุมทั้งสี่ของลานฝึกสลับกันไปมา การเคลื่อนที่ไปมาด้วยความเร็วสูงตัดฝ่าอากาศของกาเล็ทกลับก่อให้เกิดกระแสลมพัดสบัดไปมาทั่วทั้งบริเวณลานฝึก "ต่อให้มีระดับพลังเพิ่มพูนสูงขึ้นเพียงไรจะอย่างไรการเคลื่อนที่ทางกายภาพก็ยังคงมีขีดจำกัดและข้อจำกัดมากมาย" กาเล็ทครุ่นคิดกับตนเอง จากนั้นกาเล็ทพลันนึกถึงการเคลื่อนที่ผ่านมิติเทพเจ้า หากว่าเราสามารถนำวิธีการเคลื่อนที่เช่นนี้มาประยุกข์ใช้ได้อย่างอิสระอืมม ไวเท่าความคิดกาเล็ทนำหอกโอริฮารูกอนทั้งสี่ของตนเองออกมาจากแหวนมิติในทันทีจากนั้นกาเล็ทพลันรวบรวมพลังไปที่ฝ่ามือของตนเองและค่อยๆประทับอัตลักษณ์จำเพาะของพลังจิตวิญญาณของตนเองลงไปยังฝ่ามือและทาบติดไว้ยังหอกโอริฮารูกอนทั้งสี่
    เมื่อแล้วเสร็จกาเล็ทก็ตั้งสมาธิบังคับหอกโอริฮารูกอนของตนเองใหกระจายออกไปยังมุมของลานฝึกทั้งสี่จากนั้นสิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น ร่างของกาเล็ทพลันหายวับไปและผลุบโผล่ไปยังบิรเวณที่หอกโอริฮารูกอนทั้งสี่ปักอยู่สลับกันไปเป็นจังหวะ
    ฟุบ ฟับ ฟุบ ฟับ ร่างของกาเล็ทหายวับ พลุบโผล่ไปมาอยู่ครู่ใหญ่ หากสักเกตุให้ดีจะพบว่าจังหวะนายการหายไปและปรากฎขึ้นของร่างของกาเล็ทยังคงมีช่วงระยะเวลาที่ไม่แน่นอน สาเหตุนั้นเกิดจากความไม่มั่นคงของการบังคับพลังและจังหวะในการเคลื่อนย้ายของกาเล็ทเอง อย่าได้เห็นว่าจังหวะช่วงระยะเวลาเพียงเสี้ยววิไม่สำคัญ ในการต่อสู้ตัดสินเป็นตายที่ต้องเอาชีวิตเข้าเป็นเดิมพัน ชั่วระยะเวลาเพียงเสี้ยววิที่ผิดพลาดก็เพียงพอแล้วที่จะใช้เป็นเครื่องตัดสินผลของการแพ้ชนะ
    ฝืนดึงรั้งบังคับการผ่านเข้าออกมิติเทพเจ้าไปยังจุดต่างๆที่อัตลักษณ์พลังของตนเองประทับอยู่อย่างมุ่งมั่น พยายามอย่างหนักมาสักพักหนึ่ง ไม่ทราบว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดแล้ว กาเล็ทซึ่งเริ่มเกิดความรู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยล้าพลังขาดช่วงก็หยุดยั้งดึงรั้งพลังของตนเองกลับมาเพื่อพักฟื้นฟูร่างกาย กาเล็ทหอบหายใจอย่างถี่ยิบกว่าหลายวินาที "ไม่นึกเลยว่าวิชาข้ามมิตินี้จะสิ้นเปลืองพลังงานและแรงกายมากถึงเพียงนี้"
    "นายน้อยฝึกฝนตั้งแต่เช้าตรู่เลยนะขอรับ ผู้คนต่างพากันกล่าวบอกว่านายน้อยของข้าเป็นผู้ที่ได้รับพรจากทวยเทพจึงได้เก่งกล้าสามารถเหนือกว่าผู้ใด ฮึ คนพวกนั้นชั่งไม่รู้อะไรเสียจริงว่ากว่าจะสำเร็จฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ได้นายน้อยต้องพยายามมากมายถึงเพียงไหน" เสียงอันคุ้นเคยเอ่ยกล่าวแว่วเข้ามาให้กาเล็ทได้ยินในทันที เสียงนี้ย่อมเป็นของผู้ใดไปไม่ได้เสียนอกจากโจเซพ
    กาเล็ทที่ได้ยินคำเอ่ยกล่าวพันเหลียวมองหันกลับไปยังทิศของเสียงที่เอ่ยกล่าว "ท่านลุงโจเซพ ขออภัยที่การฝึกของข้าส่งเสียงรบกวนท่านลุงตั้งแต่รุ่งสาง"
    "ไม่เลยขอรับนายน้อย ได้มาเฝ้ามองนายน้อยซึ่งกำลังฝึกฝนเช่นนี้ทำให้ข้าหวนนึกกลับไปถึงเมื่อกว่าปีก่อน ยามที่พวกเรายังอาศัยอยู่ในเมืองรีเวล ในยามนั้นข้ายังจดจำออกว่านายน้อยพึ่งจะฟื้นคืนขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ ในยามนั้นนายน้อยก็มักจะตื่นขึ้นมาฝึกหนักเช่นนี้อยู่เป็นประจำ ไม่น่าเชื่อว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ระยะเวลาผ่านไปเพียงปีเศษ ตระกูลบุสโซ่กลับสามารถพลิกฟื้นกลับมายิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้" โจเซพเอ่ยกล่าวอย่างหวนนึก
    "ได้ฟังเรื่องเล่าจากท่านลุงโจเซพทำให้เซลิน่าเกิดความรู้สึกชิงชังเหล่าขุนนางแห่งเมืองรีเวลพวกนั้นนัก" เซลิน่าซึ่งไม่ทราบว่าออกจากห้องนอนตื่นจากการหลับไหลมาตั้งแต่เมื่อใดถึงได้มานั่งปอกผลไม้ใส่จานชามอยู่เช่นนี้เอ่ยกล่าวขึ้นมา
    "เพียงนึกคิดว่าคนพวกนั้นทำสิ่งเลวร้ายผิดมโนธรรมเช่นนั้นแล้วยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ โซเฟียก็เกิดความรู้สึกว่าฟ้าไม่ยุติธรรมแล้ว" โซเฟียเอ่ยกล่าวเสริมขึ้นขณะที่ยันกายของตนเองลุกขึ้นเดินเข้าหากาเล็ทเพื่อช่วยใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางในมือของตนเองปาดเช็ดซับเหงื่อยบนใบหน้าให้แก่กาเล็ท
    กาเล็ทรู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อยที่พวกนางกลับปรากฎตัวขึ้นหากแต่พลันแหงนหน้าขึ้นฟ้ามองดูกาเล็ทก็พบว่านี่เป็นเวลาช่วงสายของวันแล้ว ตนเองกลับฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนหลงลืมแม้กระทั่งเวลาไป ถอนหายใจกับตัวเองเบาๆเฮือกหนึ่งสุดท้ายแล้วกาเล็ทซึ่งรับการปรนิบัติเช็ดเหงื่อจากโซเฟียจนแล้วเสร็จก็ก้าวเดินออกจากลานฝึกขึ้นไปหาโจเซพ
    "ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีท่านลุงเป็นส่วนสำคัญ ในยามที่ตระกูลบุสโซ่อ่อนแรงล้มลงทุกผู้คนต่างหลบลี้หนีหน้าเพื่อเอาตัวรอด มีก็แต่ท่านลุงที่ยังรั้งอยู่ช่วยเหลือท่านแม่เพื่อดูแลข้า" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็ค้อมตัวลงแสดงความขอบคุณด้วยใจจริงต่อโจเซพ ไม่ทราบว่านี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่กาเล็ทแสดงออกเช่นนี้ โซเฟียที่ด้านข้างเห็นผู้เป็นสามีในอนาคตของตนเองกระทำเช่นนั้นตนเองก็พาลกระทำตาม เซลิน่าซึ่งนั่งปลอกผลไม้อยู่เองก็ลุกขึ้นค้อมตัวให้กับโจเซพไปด้วย
    โจเซพเห็นเช่นนั้นก็ทำตัวไม่ถูก "หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ข้าคงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นายน้อย นายหญิงทั้งสองอย่าได้กระทำเช่นนี้ โจเซพไม่อาจที่จะรับไว้" โจเซพที่มือไม้ปั่นป่วนเอ่ยกล่าวพร้อมกับรีบเข้าไปประคองกาเล็ท
    "ท่านลุง ข้ามีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ตระกูลบุสโซ่ขยับขยายยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ ผู้คนต่างร่ำร้องสรรเสริญว่าเป็นเพราะความสามารถของข้าแต่เพียงผู้เดียว โดยหารู้ไม่ว่าใต้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้ยังมีท่านลุงที่คอยช่วยประคับประคองตระกูลบุสโซ่ไม่ให้ล้มครืนลงในวันที่ลำบาก หากจะกล่าวตามจริงแล้วเหล่าผู้คนที่คอยสร้างความลำบากให้แก่พวกเราในยามนั้นกลับยังไม่ได้รับผลของการกระทำที่เลวร้ายของพวกมัน เรื่องนี้ออกจะไม่ยุติธรรมแก่ท่านลุง แก่กา... อืมไม่ยุติธรรมแก่พวกเราอยู่บ้าง ด้วยที่ผ่านมามีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายข้าจึงไม่ทันที่จะได้คิดถึงเรื่องนี้" กาเล็ทเอ่ยกล่าว ในช่วงท้ายกาเล็ทถึงกลับเกือบที่จะหลุดคำ "ไม่ยุติธรรมแก่กาเล็ทออกไป"
    "นายน้อยเรื่องบุญคุณไร้สาระพวกนั้นพวกเราไม่เอ่ยถึงอีกดีหรือไม่ ? ส่วนเรื่องจัดการกับเหล่าขุนนางพวกนั้นที่ไม่เคารพกฎหมาย ขอนายน้อยอย่าได้เป็นห่วง เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายหญิงเบลล่าและนายหญิงซิลเวียได้ส่งผู้คนมาขอหยิบยืมตัวหัวหน้าโรสเพื่อเดินทางสู่เมืองรีเวลไปจับกุมผู้คนกลับมายังเมืองหลวงแล้วขอรับ" โจเซพเอ่ย
    กาเล็ทได้รับฟังข้อมูลในช่วงท้ายก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ตนเองยังไม่ทันได้จัดการเหล่าภรรยาของตนเองกลับลงมือจัดการเรื่องราวให้เสร็จสรรพ
    "ที่ข้ามาก็เพื่อจะมาแจ้งบอกต่อนายน้อยเรื่องนี้เอง เห็นว่านายน้อยกำลังตั้งสมาธิฝึกฝนวิชาอยู่จึงไม่กล้าที่จะรบกวน เมื่อได้แจ้งบอกต่อนายน้อยแล้วเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนขอรับนายน้อย" เมื่อแจ้งบอกสิ่งที่ตนเองต้องการแล้วโจเซพก็ขอตัวจากไป
    กาเล็ทได้แต่ใช้สายตาซึ่งแสดงออกถึงความรู้สึกสำนึกขอบคุณมองส่งไล่หลังโจเซพไป "ช่วงระยะเวลากว่าปีเศษระดับพลังของท่านลุงพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับขั้นที่ 7 จนเกือบจะเข้าสู่ขั้นที่ 8 แล้ว อืมความก้าวหน้าในระดับนี้ก็นับว่าไม่เลวอยู่" กาเล็ทครุ่นคิดกับตนเอง อย่าได้เห็นว่าการเลื่อนระดับพัฒนาของโจเซพในรอบปีมานี้พัฒนาขึ้นมาเพียงสองขั้นครึ่งเท่านั้น อย่าได้ลืมว่าโจเซพใช้เวลากว่าทั้งชีวิตกว่าที่จะฝึกฝนระดับพลังของตนเองขึ้นมาจนกลายเป็นผู้ฝึกตนระดับที่ 5 และนั่นคือระดับซึ่งแทบจะเป็นขีดจำกัดของโจเซพในการฝึกฝนแล้วก็ว่าได้ ทว่าในช่วงระยะเวลากว่าปีเศษที่ผ่านมาระดับพลังของโจเซพกลับก้าวกระโดดมีการพัฒนาการขึ้นอย่างรวดเร็วจากขั้นที่ 5 ทะยานไปจนเกือบที่จะขึ้นไปแตะถึงขั้นที่ 8 แล้ว การก้าวกระโดดของระดับพลังอย่างรวดเร็วเช่นนี้หาได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่กลับโจเซพเท่านั้นหากแต่กลับเกิดขึ้นกับบุคคลสำคัญรอบตัวของกาเล็ทกันอย่างถ้วนหน้า
    เมื่อมองส่งโจเซพจนลับสายตาไปแล้วกาเล็ทก็หันกลับมาสนใจยังว่าที่ภรรยาทั้งสองของตนเองซึ่งพึ่งจะได้รับความรักหล่อเลี้ยงจากตนเองไปเมื่อคืนที่ผ่านมา "พวกเจ้าทั้งสองมาตั้งแต่เมื่อใดกัน" กาเล็ทเอ่ยปากถามขึ้น
    "เซลิน่ากับท่านพี่โซเฟียมาได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว" เซลิน่าที่กลับไปนั่งปลอกผลไม้ต่อเอ่ยปากบอกล่าวขึ้นมา
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกแปลกใจไม่น้อย "เหตุใดไม่นอนหลับพักผ่อนเอาเรี่ยวแรงอีกสักครู่เมื่อคื่นมิใช่ว่าได้นอนหลับไปเพียงสามถึงสี่ชั่วโมงเองหรอกหรือ? ฝืนร่างกายของตนเองตื่นขึ้นมาทำอะไรกัน" กาเล็ทเอ่ยกล่าวถามเซลิน่าอย่างห่วงใยจากนั้นจึงหันไปหาโซเฟียที่ด้านข้าง "โซเฟียเองก็เช่นกัน"
    ได้เห็นถึงท่าทีซึ่งแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยพวกตนเองอย่างแท้จริงทั้งเซลิน่าและโซเฟียก็ยิ้มหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
    "โซเฟียกับเซลิน่าไม่ได้ฝืนตัวเอง เมื่อครู่ตอนที่เฝ้ามองกาเล็ทฝึกฝนอยู่พวกเรายังพูดคุยกันอยู่เลยว่าเป็นเรื่องแปลกที่เช้านี้ตื่นขึ้นมากลับเกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนทุกครั้ง" เอ่ยกล่าวถึงจุดนี้โซเฟียก็นำพาให้กาเล็ทนั้นนั่งลงระหว่างกลางของตนเองกับเซลิน่า
    เมื่อนั่งลงแล้วก่อนที่กาเล็ทจะทันได้เอ่ยกล่าวพูดอะไรเพิ่มเติมเซลิน่าก็ยื่นผลกามูที่ปลอกมาแล้วอย่างดีพร้อมกับตัดแบ่งเป็นชิ้นอย่างพอดีคำมาถึงที่ข้างปากของกาเล็ท กาเล็ทจึงทำได้แต่เปิดปากของตนเองขึ้นรับการจัดการจากว่าที่ภรรยาทั้งสอง
    "นี่ ร่างกายของข้าเพิ่งจะผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงทำให้เกิดเหงื่อใครส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง เกรงว่าพวกเจ้าที่พึ่งจะตื่นนอนอาบน้ำมาใกล้ชิดเช่นนี้จะติดกลิ่นเหม็นไป" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    ได้ยินเช่นนั้นทั้งเซลิน่าและโซเฟียต่างสบสายตากันวูบหนึ่งจากนั้นทั้งสองต่างพากันเอ่ยกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงว่า "ไม่รังเกียจ" น้ำเสียงของพวกนางที่ลากเสียงยาวเอ่ยกล่าวออกมากลับเป็นไปในเชิงของการละเล่นหยอกล้อพาให้ผู้ฟังอย่างกาเล็ทเกิดความรู้สึกคันที่หัวใจขึ้นมา
    "ภรรยาทั้งสองไม่รังเกียจเช่นนั้นข้าผู้เป็นสามีก็ขอไม่เกรงใจแล้ว" กาเล็ทเอ่ยกล่าวอย่างรับลูกตอบรับว่าที่ภรรยาทั้งสองในทันที พร้อมกับที่เอ่ยกล่าวกาเล็ทก็กางแขนทั้งสองของตนเองออกโอบกอดร่างบอบบางนุ่มนิ่มทั้งสองซึ่งหนึ่งนั้นกำลังหยิบผลไม้ขึ้นมาป้อนให้แก่ตนเองส่วนอีกหนึ่งนั้นกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางเช็ดเนื้อตัวให้แก่ตนเองอย่างตั้งใจจนทั้งสองนั้นต่างพากันส่งเสียงร้องอุทานหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานมีความสุข

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×