ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #240 : ออกล่าสัตว์อสูร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.48K
      445
      21 ส.ค. 61


    กาเล็ทใช้เวลาอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยเกีี่ยวกับปืนให้แก่เทลเล่อรับฟังอยู่พักใหญ่

    "เกรงว่าหากต้องการจัดสร้างสิ่งนี้เป็นจำนวนมากคงต้องใช้เวลาไม่น้อย ทุกชิ้นส่วนล้วนมีความละเอียดอ่อนไม่สามารถผิดพลาดได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งแร่ที่ใช้หลอมสร้างก็สมควรจะต้องเป็นแร่ที่มีความคงทนแข็งแรง" เทลเล่อเอ่ยกล่าวขณะที่ถือแผ่นกระดาษเดินวนไปมา "ในทวีปตระวันออกนี้ข้าได้ยินมาว่ามีอยู่ตระกูลหนึ่งที่มีฝีมือทางด้านหลอมสร้างอาวุธและเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการตีเหล็กชนิดต่างๆเป็นพิเศษ หากได้กำลังของตระกูลนี้มาช่วยเหลือคงสามารถทำให้การจัดสร้างสิ่งที่เรียกว่าปืนนี้เป็นไปได้ราบรื่นและสะดวกมากกว่าเดิม"

    "ไม่ทราบว่าเป็นตระกูลใดหรือครับท่านอาจารย์" กาเล็ทเอ่ยถาม

    "ตระกูลรูดอฟแห่งคามาร์" เทลเล่อเอ่ยตอบ

    "คามาร์หรือ? ข้าจำได้ว่าชื่อนี้เป็นหนึ่งในแว่นแคว้นที่ส่งทูตมายังโรฮานเรา" กาเล็ทเอ่ย

    "นี่นับว่าเป็นเรื่องดี ไว้จัดการเรื่องสำคัญต่างๆแล้วเสร็จพวกเราค่อยถือโอกาสเดินทางสู่คามาร์เพื่อไปเชื้อเชิญตระกูลรูดอฟมายังโรฮานก็แล้วกัน" เทลเล่อเอ่ย

    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อย การหลอมสร้างปืนมิใช่ว่าเป็นเรื่องสำคัญหรอกหรือ? แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถาม เทลเล่อก็เอ่ยบอกออกมาเสียก่อน "เรื่องสำคัญที่ต้องทำต้องนี้คือการเดินทางสู่หุบเขาอสูรฟ้าเพื่อล่าสัตว์อสูรเอาแก่นจิตวิญญาณตามแผนที่วางไว้ กล่าวไปแล้วเรื่องนี้ถูกเลื่อนออกมานานเกินพอแล้ว หากว่าชักช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่ทันการ ข้าเลยคิดว่านี่นับเป็นเวลาที่สมควรแก่การเดินทางสู่หุบเขาอสูรฟ้า ไม่เพียงเหล่าผู้นำตระกูลใหญ่ที่จะต้องเตรียมพร้อมเข้าร่วมแล้วข้ายังคิดว่าเหล่าแม่ทัพนายกองเองก็สมควรที่จะเข้าร่วมการเดินทางในครั้งนี้ด้วย" เทลเล่อเอ่ย

    "ท่านอาจารย์ต้องการให้เหล่าแม่ทัพเข้าร่วมด้วย?" กาเล็ทเอ่ยถาม

    "อย่าได้เป็นกังวัลไป ข้าคิดว่าการออกล่าในครั้งนี้คงใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก อีกอย่างจะได้ใช้โอกาสนี้ขัดเกลาความแหลมคมของพวกมันไปอีกทางหนึ่ง" เทลเล่อเอ่ย

    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ "เอาเช่นนี้เถอะท่านอาจารย์ การออกล่าครั้งนี้ทั้งข้าและมิร่าน้อยก็จะเข้าร่วมด้วย หุบเขาอสูรฟ้านั้นมีพื้นที่มากมายและมีความลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจะคาดเดา ไม่ทราบว่าจะมีสัตว์ร้ายเช่นไรหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าง เกรงว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นลำพังท่านอาจารย์กับขุนพลทั้งสี่ของตระกูลบุสโซ่คงยากจะรับมือได้"

    "เจ้าหมายความว่าภายในหุบเขาอสูรฟ้ายังมีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับมิร่าน้อยหลบซ่อนอยู่อีก?" เทลเล่อเอ่ยถามอย่างฉงนสงสัย

    กาเล็ทได้ยินคำถามก็ส่ายหัวเป็นคำตอบ "ท่านอาจารย์ สำหรับมิร่าน้อยนั้นข้าคิดว่าคงมีเพียงหนึ่งไม่มีสองอีกแล้ว ที่ข้าหมายถึงนั้นคือในป่าอสูรฟ้าอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีสัตว์อสูรระดับสูงซุกซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึก"

    "สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ?" เทลเล่อเอยถามอีก

    "คิดว่ามีความเป็นไปได้ครับท่านอาจารย์ เรื่องนี้ข้าเองก็เคยเอ่ยถามต่อมิร่าน้อย" กาเล็ทเอ่ย

    "นางว่าอย่างไรบ้าง?" เทลเล่ยเอ่ยถาม

    "แม้ตัวนางจะอาศัยอยู่ในหุบเขาอสูรฟ้าเป็นเวลานานแล้วหากแต่นางยังคงเอ่ยบอกว่าตัวนางก็ยังไม่ได้สำรวจเดินทางไปทั่วทุกแห่ง เมื่อครั้งนั้นนางเคยบอกต่อข้าว่านางไม่ใช่สัตว์อสูรเพียงตัวเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดในหุบเขา" กาเล็ทเอ่ย

    เทลเล่อได้ยินเช่นนั้นก็ผงกหัวเป็นเชิงว่าเข้าใจ "เป็นเช่นนี้ย่อมไม่แปลก แม้ว่าสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิจะไม่ใช่ตัวตนที่พบเห็นได้บ่อยนักแต่ก็มีบันทึกไว้เช่นกันถึงการปรากฎตัวของมันในทวีปเหนือ การที่ในหุบเขาอสูรฟ้าของทวีปตะวันออกเราจะมีสัตว์อสูรที่ทรงพลังหลับไหลซ่อนตัวอยู่ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร" เทลเล่อเอ่ยถึงสิ่งที่ตนเองรู้มา

    ปรึกษาและใช้เวลาจัดกลุ่มไปกว่าหนึ่งวันสุดท้ายแล้วกาเล็ทก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าการเดินทางสู่หุบเขาอสูรฟ้าครั้งนี้จะแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่ โดยการนำของขุนพลทั้งสี่ของตนเอง ส่วนตนเองมิร่าและเทลเล่อจะเคลื่อนไหวอย่างอิสระค่อยตรวจเฝ้าระวังสัตว์อสูรที่ทรงพลังเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น จะอย่างไรหุบเขาอสูรฟ้าก็ไม่ใช่สถานที่ซึ่งผู้คนสามารถเดินเล่นท่องเที่ยวได้อย่างวางใจ การคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญจึงเป็นเรื่องที่สมควร

    กาเล็ทเดินตรวจดูกลุ่มผู้คนที่ถูกจัดแบ่งแยกออกเป็นสี่กลุ่มอย่างละเอียด การเดินทางไปหุบเขาอสูรฟ้าในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้คนร่วมเดินทางไปมากมายเท่าใด ร่วมทั้งสี่กลุ่มแล้วก็เป็นผู้คนเพียง 80-90กว่าคนเท่านั้นหากแต่ผู้ร่วมเดินทางแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกฝนพลังระดับที่ 7 ขึ้นไป "หุบเขาอสูรฟ้านั้นเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เมื่อใดที่ย่างก้าวเข้าสู่เขตของหุบเขาแล้วให้พึงคิดไว้เสมอว่าพวกเจ้าอยู่ในสมรภมิรบที่สามารถช่วงชิงเอาชีวิตของพวกเจ้าไปได้ตลอดเวลาเข้าใจหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยขณะที่เดินตรวจแถว

    เหล่าหัวหน้าตระกูลใหญ่และแม่ทัพนายกองที่ห่างเหินจากสมรภูมิไปเป็นเวลานานต่างเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตัวของพวกมันซึ่งเป็นถึงชนชั้นนำในโรฮานและมักจะเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนแถวหน้าของสายบังคับบัญชาเสมอมาหากแต่บัดนี้แม้แต่ผู้มีพลังระดับที่ 9 ซึ่งจัดได้ว่าเป็นนักรบชั้นแนวหน้าของโรฮานยังคงต้องมายืนเข้าแถวเสมือนกับทหารเลวผู้หนึ่งย่อมทำให้พวกมันเกิดความรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง

    "เข้าใจขอรับ/เข้าใจเจ้าค่ะนายน้อย" ขุนพลทั้งสี่ของกาเล็ทต่างขานรับคำถามของผู้เป็นนายอย่างพร้อมเพียง

    "ท่านแม่ทัพและท่านหัวหน้าตระกูลทั้งหลายโปรดพึงเข้าใจไว้ด้วยว่านับตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากเขตบุสโซ่และขึ้นเรือเหาะไปท่านทั้งหลายต้องปฎิบัติตามคำสั่งของขุนพลทั้งสี่ของข้าอย่างเคร่งครัด ข้าอยากให้ท่านลืมเลือนยศและตำแหน่งที่เคยมีไปซะ หาไม่แล้วตระกูลบุสโซ่ของข้าคงยากที่จะรับรองได้ว่าพวกท่านจะเดินทางกลับมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พวกท่านเองก็คงเคยได้ยินเกี่ยวกับหุบเขาอสูรฟ้ามาบ้างกระมังว่าเป็นสถานที่เช่นไร?" กาเล็ทที่สังเกตได้ว่าเหล่าแม่ทัพและหัวหน้าตระกูลใหญ่ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามของตนเองจึงเอ่ยกระตุ้นเตือน

    "ขอรับท่านดยุค" เหล่าแม่ทัพและหัวหน้าตระกูลใหญ่ที่เริ่มรู้สึกตัวจึงเปิดปากตอบรับคำพูดของกาเล็ทขึ้น

    กาเล็ทหันกลับมาใช้สายตาเหลือบมองไปยังลูกน้องคนสนิททั้งสี่ของตนเอง "พวกเจ้าเองแม้ว่าจะมีระดับพลังเพิ่มพูนขึ้นก็ต้องระมังระวังให้มากไว้อย่าได้ประมาท ภารกิจครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับพวกเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้าทีมทั้งสี่แล้ว" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของเจฟซึ่งยืนอยู่ใกล้กับตนเองมากที่สุดจากนั้นจึงหันไปหาเทลเล่อที่ด้านข้าง "ท่านอาจารย์ฝากนำพวกเขาขึ้นประจำเรือเหาะด้วย ข้าจะไปกล่าวลาท่านแม่สักหน่อย ท่านแม่จะได้ไม่เป็นห่วงกังวัลมาก"

    "เจ้าไปเถอะ" เอ่ยจบเทลเล่อก็ส่งสัญญาณให้ทั้งออกเดินทาง เมื่อเห็นสัญญาณของเทลเล่อทั้งหมดที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็แยกย้ายกันเดินไปกระโดดขึ้นพาหะของตนเองและออกเดินทางเพื่อไปขึ้นยังเรือเหาะที่จอดเตรียมไว้อยู่ด้านนอกเขตบุสโซ่

    "ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งข้าจะได้เข้าใจกับความรู้สึกเช่นนี้" เบลล่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกกังวลใจขณะที่ใช้สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจ้องมองไปยังกาเล็ทที่กำลังเดินใกล้เข้ามาหา

    "ท่านพี่เบลล่าอย่าได้กังวัลไปเลย กาเล็ทเองเขาก็เคยมีโอกาสเดินทางไปยังหุบเขาอสูรฟ้าหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ยังมีผู้คนติดตามไปด้วยเป็นจำนวนมากและที่สำคัญมิร่าน้อยเองก็จะร่วมเดินทางไปด้วย ท่านพี่เบลล่าลืมไปแล้วหรือว่ามิร่าน้อยนั้นเคยอาศัยอยู่ในหุบเขาอสูรฟ้ามาเป็นเวลานาน" แชลเทียเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เมื่อเอ่ยจบมิร่าที่ถูกนีน่าอุ้มชูอยู่ก็ส่งเสียงร้องออกมาเพื่อตอบรับกับคำเอ่ยกล่าวของแชลเทีย

    ซิลเวียเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ หากจะกล่าวไปแล้วเบลล่าผู้เป็นพี่สาวของตนเองนั้นมักจะเป็นคนที่คิดมากและเป็นห่วงกาเล็ทมากที่ชุดในหมู่ของพวกตน "ท่านพี่ ขอให้เชื่อมั่นต่อกาเล็ท เขาผู้นี้นั้นกล้าหาญชาญชัยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ข้ายังจำครั้งเมื่อเขายื่นมือช่วยเหลือข้าจากคมเขี้ยมของงูสายรุ้งได้อยู่เลย ต่อให้ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วเขาผู้นี้ก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย" ซิลเวียเอ่ยปลอมเพื่อให้ผู้เป็นพี่สาวรู้สึกสบายใจขึ้นอีกแรงหนึ่ง

    "อะอึ่ม ผู้ใดบอกว่าข้าไม่หวั่นเกรงต่อความตายกัน ขอบอกความลับต่อพวกเจ้า หากเอ่ยถึงความหวั่นเกรงต่อความตาย ข้ากาเล็ทผู้นี้นี่แหละคืออันดับหนึ่ง" กาเล็ทที่เดินเข้ามาถึงเบื้องหน้าของทั้งหมดแล้วเอ่ยกล่าวขึ้นในเชิงขำขัน

    "ดูพูดเข้า" แชลเทียยิ้มขำเอ่ยต่อกาเล็ท

    "พวกเจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าเมื่อผู้คนมีสิ่งที่ตนเองรักมากเท่าใดก็จะยิ่งหวั่นเกรงที่จะสูญเสียและตายจากไปมากเท่านั้นหรอกหรือ? นี่ดูตอนนี้ข้ามีสตรีอันเป็นที่รักถึงห้านาง หากความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้าเชื่อได้เลยว่าข้านี่แหละจะเผ่นหนีเป็นอันดับแรก" กาเล็ทเอ่ยกล่าวขณะที่ยื่นมืออกดึงพวกแก้มนวลเนียนของเบลล่าที่กำลังจ้องมองมาที่ตนเองอย่างเป็นกังวลใจให้คลี่ออก

    "นี่ปล่อยนะ ข้าไม่ใช้เด็กๆแล้วนะ" เบลล่าเอ่ยขณะที่ใช้สายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกห่วงใยมองค้อนใส่กาเล็ท

    กาเล็ทปล่อยมือออกจากแก้มทั้งสองของเบลล่าและเมื่อเห็นว่านางเริ่มยิ้มออกได้แล้วกาเล็ทก็เอ่ย "อย่าได้ห่วงไปเลย ภารกิจครั้งนี้หาได้มีอันตรายอันใด ต่อให้มีสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิอยู่ภายในหุบเขาอสูรฟ้าจริงข้าก็สามารที่จะรับมือได้แน่นอน ราชินีน้อยแห่งหุบเขาอสูรฟ้ามิใช่ว่าจะร่วมเดินทางไปกับข้าด้วยหรอกหรือ" เอ่ยถึงช่วงท้ายกาเล็ทก็หันไปหามิร่าในอ้อมกอดของนีน่าพร้อมทั้งกางมือออก

    มิร่าเห็นเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางแล้ว นางจึงขยับตัวเล็กน้อยพร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมองไปยังนีน่า

    นีน่าที่สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของมิร่าก็เผยรอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนโยนออกมาพร้อมเดินออกไปหาผู้เป็นบุตรชายพร้อมทั้งยื่นส่งมิร่าในวงแขนออกไปให้ "ไปดีมาดีเดินทางปลอดภัยนะลูก" นีน่ายื่นมือออกไปลูบหัวขณะเอ่ยคำอวยพรต่อบุตรชาย

    "ครับท่านแม่ ท่านแม่อยู่ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าคิดว่าคงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแล้ว" กาเล็ทรับร่างของมิร่ามาไว้ขณะที่เอ่ยกับผู้เป็นมารดาและก่อนที่จะหันกายติดตามขบวนทหารไปกาเล็ทก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปเอ่ยกับโซเฟียและเซลิน่า "เจ้าทั้งสองอยู่ทางด้านนี้ก็อย่าได้หักโหมทำงานจนเกินไปเข้าใจหรือไม่"

    โซเฟียและเซลิน่าที่เห็นว่ากาเล็ทยังไม่ได้ลืมเลือนตนเองไปก็คลี่ยิ้มเอ่ยตอบกลับไปด้วยความรู้สึกยินดี

    เห็นเช่นนั้นกาเล็ทก็รู้สึกวางใจหันกายอุ้มมิร่าออกเดินทางติดตามกองทหารไป


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×