ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #234 : แผนร้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.35K
      480
      17 ส.ค. 61

                   



                   นำพามิร่าตรวจดูเที่ยวชมเมืองอีกไม่นานกาเล็ทก็เดินทางกลับสู่ตระกูลบุสโซ่

    "ท่านป้า เนื้อชิ้นนี้ใช้ได้แล้วหรือไม่" แชลเทียเดินถือชิ้นเนื้อตัวอย่างเข้ามาหานีน่าเพื่อเอ่ยถามถึงผลสรุป เนื้อตัวอย่างที่นางนำมาเอ่ยถามนั้นย่อมเป็นเนื้อที่ผ่านกระบวนการตากแห้งเพื่อถนอมอาหารให้มีอายุยืนยาวขึ้นเหมาะสำหรับใช้เป็นเสบียงกรังสำหรังทหารยามออกศึก

    นีน่ายื่นมือออกไปรับชิ้นเนื้อขนาดเล็กมาจากแชลเทียจากนั้นจึงสำรวจตรวจดูพร้อมทั้งดมกลิ่น "ถือว่าใช้ได้แล้ว" นีน่าเผยรอยยิ้มพอใจออกมาขณะที่เอ่ยตอบ

    แชลเทียได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตอบออกมาเช่นกัน "ดีเลย เช่นนี้ข้าจะได้นำวิธีการนี้ไปบอกต่อแก่ท่านพี่เบลล่า พวกเราจะได้เริ่มผลิตเป็นจำนวนมากให้เพียงพอ"

    นีน่าได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยบอก "ถึงแม้จะนำไปตากแห้งแล้วแต่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องนำออกมาตากแดดซ้ำทุกๆสองถึงสามอาทิตย์เพื่อขับไล่ความชื้น ตามความเห็นของป้าแล้วอย่าได้ผลิตเก็บไว้จนมากเกินควรจะดีกว่านะลูก ป้าว่าอาหารจำพวกผลไม้ตากแห้งก็ไม่เลวหนูแชลเทียดูนี่สิ" นีน่าเอ่ยขณะที่หยิบลูกพลับตากแห้งลูกหนึ่งซึ่งตนเองทดลองทำขึ้นอย่างยากลำบากกว่าจะสำเร็จส่งต่อให้แก่นาง "หากจะนับเอาแต่เพียงรสชาติและระยะเวลาการกักเก็บ ป้าคิดว่าผลไม้ตากแห้งเช่นนี้เหมาะสมที่จะเป็นเสบียงให้แก่ผู้คนยิ่งกว่าเนื้อตากแห้งมากนัก"

    แชลเทียรับผลไม้ตากแห้งจากมือของนีน่ามาลิ้มลองชิมดู "รสชาติไม่เลวเลยท่านป้า ข้าจะรีบไปบอกต่อท่านพี่เบลล่าให้ดำเนินการ" แชลเทียเอ่ยจากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากส่วนของห้องครัวไป

    นีน่าได้แต่เผยรอยยิ้มไล่หลังมองดูลูกสะใภ้แห่งตระกูลเรนเดลจากไป "นับว่าเป็นโชคลาภของกาเล็ทนักที่ได้คู่ชีวิตเช่นนี้" นีน่าเอ่ยกับตนเองจากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับหญิงรับใช้ที่ด้านข้าง "หนูลิลลี่มาช่วยป้าจัดเก็บอาหารเหล่านี้ใส่โหลไว้หน่อยลูก" นีน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ต่างกับน้ำเสียงที่นางใช้พูดคุยกับแชลเทียเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ความเมตตาปราณีของนีน่าที่มีต่อเหล่าหญิงรับใช้เช่นนี้ทำให้หญิงรับใช้ทุกผู้คนภายในตระกูลบุสโซ่ต่างนับถือรักใคร่นีน่าเสมือนมารดาผู้หนึ่ง

    "ค่ะ นายหญิงใหญ่" ลิลลี่เอ่ยตอบรับพร้อมทั้งรีบเดินเข้าไปช่วยเหลือนีน่าจัดเก็บอาหารต่างๆเข้าสู่ที่กักเก็บ

    ทางด้านแชลเทียที่เดินออกมาจากห้องครัวก็พบเข้ากับกาเล็ทซึ่งอุ้มมิร่าอยู่ที่เดินเข้ามาเพื่อตามหานีน่า "อ๊ะ ก.." ก่อนที่แชลเทียจะส่งเสียงออกมานางก็ต้องยั้งตนเองไว้เหตุเพราะท่าทางของชายคนรักที่ยกนิ้วขึ้นมาข้างหนึ่งส่งสัญญาณให้เงียบไว้

    "ท่านแม่เล่า" กาเล็ทเอ่ยถามเสียงเบา

    "ท่านป้าอยู่ในห้องครัว กำลังนำเหล่าหญิงรับใช้ทดลองวิธีการถนอมอาหาร" แชลเทียเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็ผงกหัวรับ "เจ้ารอข้าสักครู่หนึ่ง" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็ยื่นหน้าของตนเองออกไปหอมไปยังแก้มของแชลเทียฟอดหนึ่งส่งผลให้แชลเทียส่งเสียงร้องอุทานออกมาอีกครั้งจากนั้นตนเองจึงอุ้มมิร่าย่องเข้าสู่เขตของห้องครัว

    "พวกหนูต้องปิดฝาให้มิดชิดนะลูก ถ้าเราปิดไม่มิดชิดพอจนอากาศแล้วสิ่งแปลกปลอมเล็ดลอดเข้าไปได้ อาหารภายในก็จะเน่าเสีย" นีน่าเอ่ยสอนแก่เหล่าหญิงรับใช้พร้อมทั้งลงมือกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ขณะที่นีน่ากำลังลงมือบรรจุอาหารลงไปยังที่จัดเก็บเป็นตัวอย่างให้แก่เหล่าหญิงรับใช้อย่างตั้งใจก็มีมือคู่หนึ่งยื่นมาโอบเอวของนางจากทางด้านหลังพร้อมกับเสียงซึ่งคุ้นเคยที่ดังขึ้น

    "ท่านแม่! ข้ากลับมาแล้ว" กาเล็ทที่บัดนี้มีมิร่าน้อยในร่างของเด็กหญิงขี่คออยู่โอบกอดนีน่าพร้อมทั้งเอ่ยกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังเสมือนว่าจะหยอกเย้าผู้เป็นมารดาให้ตื่นตกใจเล่น มิร่าที่ขี่คอของกาเล็ทอยู่ก็ไม่ยอมน้อยหน้าผู้เป็นบิดาเช่นกัน นางยื่นมือคู่น้อยออกไปโอบกอดนีน่าเช่นกัน "ท่านย่ามิร่ากลับมาแล้ว" มิร่าเอ่ยไล่หลังกาเล็ท

    นีน่าส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความรู้สึกแตกตื่นตกใจ พร้อมกันนั้นมือของนางที่กำลังบรรจงปิดฝาของไหอาหารอยู่ก็ขยับไปจนทำให้ฝาของไหที่นางกำลังพยายามปิดให้เข้าที่กระดอนพ้นออกจากมือไป "ลูกคนนี้นี่ เล่นแบบนี้อีกแล้วทำเอาแม่ใจหายใจคว่ำหมด" หลังจากส่งเสียงร้องอุทานออกมานีน่าก็รีบหันกลับมาหากาเล็ทที่บัดนี้ปลดปล่อยมือออกจากการโอบกอดตนเองแล้ว

    เห็นภาพที่บุตรชายกับผู้เป็นมารดาหยอกล้อกันทำให้เหล่าหญิงรับใช้ภายในห้องครัวต่างอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขบขันมีความสุขออกมา ภาพเช่นนี้เป็นภาพที่เหล่าหญิงรับใช้มักจะได้พบเห็นอยู่เป็นประจำ

    "อุ้ม อุ้ม ท่านย่าอุ้ม" มิร่าที่ถูกกาเล็ทนำลงมาจากการขี่คอของตนเองยื่นมือทั้งสองข้างออกไปหานีน่าซึ่งกำลังมองค้อนใส่กาเล็ทอยู่

    นีน่าเห็นเช่นนั้นก็โอบอุ้มมิร่าในร่างของเด็กหญิงเข้ามาในวงแขนพร้อมทั้งหอมไปยังแก้มทั้งสองข้างของนางตามที่นางต้องการ "ดูซินี่หลานใคร" นีน่าเอ่ยจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับผู้เป็นบุตรชาย "เป็นอย่างไรบ้างลูกเดินทางเหนื่อยหรือไม่"

    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตอบกลับไป "ไม่ครับท่านแม่"

    หลังจากพูดคุยบอกกล่าวกับนีน่าสักพักกาเล็ทก็ขอตัวจากมาพร้อมทั้งทิ้งมิร่าไว้ให้อยู่เล่นกับนีน่า

    ภายในห้องทำงานของกาเล็ท

    "เหตุใดจึงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในปราสาทนอกจากเจ้า" กาเล็ทเอ่ยถามแชลเทีย ผู้ใดที่กาเล็ทเอ่ยถามย่อมหมายถึงสตรีของตนเองทั้งสี่
    "ก็กาเล็ทกลับมาก่อนกำหนด ท่านพี่เบลล่าและซิลเวียย่อมไม่ทราบว่ากาเล็ทกลับมาแล้ว ส่วนเซลิน่ากับโซเฟียเห็นว่าเดินทางไปยังหอร้อยบุปผาเพื่อจัดการนำผู้คนที่สมัครใจมายังตระกูลบุสโซ่ก่อนจำนวนหนึ่ง" แม้จะเอ่ยตอบอย่างยืดยาวแต่หากสังเกตุให้ดีจะพบว่าน้ำเสียงของแชลเทียนั้นดูแผ่วเบาอีกทั้งยังการเอ่ยอย่างติดๆขัดๆ นี่ย่อมเกิดจากการที่ตัวนางซึ่งกำลังถูกกาเล็ทชายคนรักโอบกอดไว้ให้นั่งเอ่ยกล่าววาจาอยู่บนตักของเขา

    กาเล็ทได้ฟังคำอธิบายเช่นนั้นก็ผงกหัวจากนั้นจึงเอ่ยถามต่อขณะที่ใช่มือข้างหนึ่งสางเรือนผมของร่างเล็กในอ้อมกอดเล่น การลูบไล้ละเล่นกับเรือนผมของหญิงสาวคนรักเป็นหนึ่งในสิ่งที่กาเล็ทชื่นชอบ "มีผู้ใดติดตามโซเฟียกับเซลิน่าไปด้วยหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกห่วงใย

    "มีสิ ข้าย่อมไม่ปล่อยให้พวกนางทั้งสองไปเพียงลำพัง มีโรสกับทหารอีกจำนวนหนึ่งติดตามไป" แชลเทียเอ่ยตอบขณะที่ตีมือของกาเล็ทที่โอบเอวของนางอยู่ซึ่งเริ่มขยับไปมาราวกับปลาหมึก

    แม้ว่าจะถูกตบตีเป็นเชิงห้ามปรามไว้ทว่ากาเล็ทกลับกระทำเสมือนว่าไม่ได้เกิดสิ่งใดขึ้น กาเล็ทยังคงเลื่อนมือลูบไล้ไปยังบริเวณสะโพกของร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตักของตนเอง "อืม..เช่นนั้นก็เหลืออยู่แต่เพียง.." เอ่ยกล่าวยังไม่ทันจบมือของกาเล็ทที่ลูบไล้อยู่บนสะโพกกลมกลึงของแชลเทียก็ถูกตีข้ามให้อีกครั้งหนึ่งหากแต่ครั้งนี้กลับเพิ่มความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

    "อย่าได้ทำรุ่มร่ามจนเกินงาม ท่านผู้นี้นี่นับว่ายิ่งเหิมเกริม" แชลเทียเอ่ยพร้อมทั้งมองค้อนใส่กาเล็ท

    กาเล็ทยังคงเกิดความรู้สึกไม่ยินยอม "อืมม เป็นสามีก็ไม่ได้หรือ" กาเล็ททำเสียงอ้อน

    "ยังไม่ ให้เรียบร้อยกว่านี้ หาไม่แล้วข้าจะไม่ให้สัมผัสอีก" แชลเทียเอ่ย

    ได้ยินเช่นนั้นมือไม้ของกาเล็ทก็กลับมาอยู่ในที่ที่ควรหากแต่กาเล็ทยังคงยื่นใบหน้าของตนเองไปหอมใส่พวงแก้มของแชลเทียฟอดหนึ่ง

    "นี่ พอแล้ว เล่ามาได้แล้วว่าการประชุมยังทวีปใต้เป็นเช่นไรบ้าง พวกเราทางด้านนี้ต่างเป็นห่วงท่านแทบแย่ โดยเฉพาะท่านพี่เบลล่านั้นแทบที่จะกินไม่ได้นอนไม่หลับหากว่าไม่ใช่ต้องเดินทางเข้าวังไปเพื่อจัดการนัดหมายเหล่าแม่ทัพของโรฮานให้แก่เจ้าเกรงว่าตอนนี้นางยังคงชะเง้อรอคอยดูว่าเจ้ากลับมาหรือยังอยู่เลย" แชลเทียเอ่ย

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมา ชีวิตคนผู้หนึ่งยังจะมีสิ่งใดมีค่าไปกว่าการที่มีผู้คนคอยห่วงใยตนเองเช่นนี้อีก "ข้ารู้สึกผิดนักที่ทำให้พวกเจ้าต้องเหนื่อยยากทำงานหนักไม่เว้นในแต่ละวันเช่นนี้ แม้แต่เจ้าเองก็ต้องวิ่งวุ่นประสานงานกับท่านพ่อตาค่อยช่วยเหลือในแผนการของข้า หากว่าไม่ใช่ท่านพ่อตาคอยเป็นตัวกลางประสานงานให้มีหรือที่จะสามารถระดมเงินทองมาได้มากมายถึงเพียงนี้" กาเล็ทเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิด

    แชลเทียได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจเช่นกันที่บุคคลทีตนเองทุ่มทั้งกายและใจให้มองเห็นถึงคุณค่าในสิ่งที่ตนเองพยายาม นางตกนิวเรียวงามของนางขึ้นไปปิดยังริมฝีปากของกาเล็ทไว้ "เป็นกาเล็ทเองไม่ใช่หรือที่เป็นผู้กล่าวว่าพวกเราต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน อย่าว่าแต่การทำงานเหล่านั้นก็หาใช่ความทุกข์ พวกข้าทุกคนต่างกระทำมันด้วยความสุขและเต็มใจที่จะกระทำแม้แต่พี่โซเฟียและน้องเซลิน่าเองก็เกิดความกระตือรือล้นที่จะเรียนรู้งานต่างๆเพราะอยากที่จะช่วยเหลือเป็นกำลังให้แก่กาเล็ท ทราบหรือไม่ว่าพวกนางนั้นสามารถตรวจสอบพบเจอการทุจริตในรายงานบัญชีของส่วนกลางได้"

    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอในเมืองหลวงก่อนที่จะกลับมา "ดูท่าเราต้องจัดการกับขุนนางไม่รักดีที่เปรียบเสมือนปลิงดูดเลือดพวกนี้อย่างเด็ดขาด" คิดได้เช่นนั้นกาเล็ทพลันนึกถึงรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งที่ตนเองมีโอกาสได้ดูในชีวิตก่อน "ไม่เพียงแค่เราจะคอยตรวจจับพวกมันถ่ายเดียว เรายังจะหาตัวแทนผู้คนไปเสนอสินบนให้แก่พวกมัน หากว่าพวกมันไม่รับก็นับว่าเป็นบุคคลที่ไว้วางใจได้แต่หากว่าผู้ใดตกหลุมพลางที่วางไว้ก็จะได้รับโทษอย่างหนักเช่นนี้จะได้รู้กันไปเลย" กาเล็ทครุ่นคิดตัดสินใจกับตนเอง

    "น.นี่เป็นอะไร เล่าให้ข้าฟังได้แล้วว่าทวีปใต้เป็นเช่นไร การประชุมดำเนินไปด้วยดีหรือไม่" แชลเทียซึ่งเห็นว่าชายคนรักนิ่งไปจึงเอ่ยสกิดเรียก

    ได้ยินเสียงที่ของร่างเล็กในอ้อมกอดที่เอ่ยเรียกกาเล็ทก็ตื่นจากห้วงความคิดของตนเองจากนั้นจึงค่อยๆเอ่ยเล่าถึงสภาพของทวีปใต้ให้แก่ร่างเล็กในอ้อมกอดฟัง


    "ไม่นึกเลยว่าทวีปตะวันออกจะหละหลวมถึงเพียงนี้ พวกเรามาเหยียบที่จมูกของพวกมันแท้ๆแล้วพวกมันยังไม่รู้ตัว" ชายในชุมคลุมซึ่งดูน่าสงสัยผู้หนึ่งเอ่ยกับเพื่อนของมันที่ด้านข้าง
    "ด้วยบารมีของพระผู้เป็นจ้องสาดส่องนำทางเนรมิตรให้ทุกสิ่งอย่างผ่านพ้นอย่างราบรื่น ใยต้องแปลกประหลาดใจ?" เพื่อนของมันที่ด้านหน้าเงยหน้ามองไปยังฟากฟ้าขณะที่ยกมือขึ้นสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
    ชายชุดดำคนแรกที่เห็นอากับกริยาของเพื่อนร่วมทางของมันก็แอบนึกดูแคลนอยู่ในใจ "พระผู้เป็นเจ้าอันใด เจ้าผู้นี้ยังคงโง่งมไม่รู้ความ" แม้ในจิตใจจะนึกคิดเช่นนั้นทว่าท่าทางของมันยังคงไม่แสดงออกมาให้ได้เห็น "ย่อมเป็นเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้าย่อมช่วยเหลือตัวแทนของพระองค์เสมม พระองค์ย่อมสาดส่องบารมีลงมาเพื่อช่วยเหลือองค์จักรพรรดิจรัสแสงในการชี้นำปกครองเหล่ามนุษย์ที่โง่เขลา" แม้ว่าปากของมันจะเอ่ยสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าออกไปเช่นนั้นหากแต่ในจิตใจของมันแล้วหาได้จงรักภักดีกับผู้เป็นเจ้าดั่งเพื่อนพ้องของมันที่ด้านข้าง ในจิตใจของมันมีแต่เพียงความภักดีต่อจักรพรรดิจรัสแสงหาได้ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ด้วยตัวของมันนั้นรู้ดีว่านามของพระเจ้าก็เป็นแต่เพียงข้ออ้างที่ผู้คนของทวีปกลางกุสร้างเรื่องขึ้นเพื่อใช้เข้าปกครองผู้คน

    หลังจากแสดงท่าทางสรรเสริญต่อพระผู้เป็นเจ้าที่มันนับถือแล้วมันก็ลดมือของมันลงมาจากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับเพื่อนพ้องที่ด้านข้าง "ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าแผ่บารมีเปิดทางให้เราก็สมควรที่จะเร่งรีบไปดำเนินการตามแผนที่วางไว้ให้ลุล่วง"

    "ท่านบาทหลวงเจมินี่ใยต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น จากการที่พวกเราสามารถผ่านเข้ามายังทวีปตะวันออกได้โดยง่ายเช่นนี้ก็เห็นแล้วว่าการป้องกันของพวกมันนั้นหละหลวม ดังนั้นแล้วภารกิจของพวกเราสมควรที่จะราบรื่นไร้ปัญหา ข้ายังอดรู้สึกเป็นห่วงทางทวีปใต้เสียมากกว่าว่าจะเป็นเช่นไร ได้ยินข่าวมาว่าทางทวีปใต้นั้นมีการวางเครือข่ายป้องกันไว้อย่างแน่นหนา การที่จะปิดเครื่อข่ายระวังป้องกันทั่วทั้งทวีปของทวีปใต้คงไม่ง่ายนักดังนั้นข้าอยากที่จะไปสืบข่าวเพื่อสำรวจให้แน่ใจเสียก่อนว่าจะไม่มีใครหน้าไหนจากทวีปตะวันออกแห่งนี้เดินทางไปสมทบช่วยเหลือทวีปใต้ได้" ชายในชุดคลุมเอ่ยแสดงความเห็นของตนเองต่อเพื่อนร่วมทางที่ด้านข้างซึ่งมันเอ่ยเรียกว่าบาทหลวงเจมินี่

    "พวกเราสมควรที่จะเร่งรีบดำเนินการตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัดจึงถูกต้อง" บาทหลวงเจมินี่เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย

    "ในความเห็นของข้าเพียงแค่ก่อความวุ่นวายในทวีปตะวันออกขึ้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ศิลาอสูรคลั่งนี้เสียด้วยซ้ำ ลำพังกำลังของพวกเราสองคนก็สามารถที่จะก่อความวุ่นวายขึ้นจนพวกมันไม่อาจแบ่งแยกสมาธิไปขัดขวางแผนการใหญ่ที่ทวีปใต้ของพวกเราได้แล้ว" ชายในชุดคลุมเอ่ยกล่าวด้วยความรู้สึกย่ามใจ โครงสร้างการรักษาความปลอดภัยของทวีปตะวันออกที่หละหลวมทำให้มันรู้สึกว่าทวีปแห่งนี้ไม่คู่ควรจะอยู่ในสายตาของมัน

    "ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย เราไม่ควรเดินออกจากเส้นทางซึ่งพระผู้เป็นเจ้าขีดเขียนไว้" บาทหลวงเจมินี่ยังคงเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย ทุกถ้อยคำของมันล้วนเอ่ยอ้างถึงพระผู้เป็นเจ้าในลัทธิซึ่งมันนับถือ มันเข้าร่วมกับทวีปกลางเมื่อหลายสิบปีก่อนด้วยความเชื่อที่ว่าจักรพรรดิจรัสแสงนั้นคือตัวแทนของพระเจ้าซึ่งถูกส่งลงมายังโลกแห่งนี้เพื่อชี้นำมนุษย์

    เห็นว่าบาทหลวงเจมินี่ที่ด้านข้างไม่เห็นด้วยกับความคิดของตนเองชายในชุดคลุมก็ลอบถอนหายใจออกมา จะอย่างไรแม้บาทหลวงผู้นี้จะดูบ้าๆบอๆเอ่ยอ้างถึงแต่พระผู้เป็นเจ้าหากแต่ระดับพลังและความสามารถของมันนั้นคือของแท้ไม่แปลกปลอม ผู้อื่นนั้นมีพลังความสามารถเหนือกว่ามันอยู่ขั้นหนึ่งทำให้มันไม่อาจที่จะแข็งขืนขัดใจได้ "เช่นนั้นก็เอาอย่างที่ท่านบาทหลวงต้องการเถอะ พวกเราเร่งรีบนำศิลาอสูรคลั่งนี้เข้าไปติดตั้งยังป่าอสูรฟ้าของทวีปตะวันออกจากนั้นจึงค่อยออกมาสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายร่วมกับเหล่าอสูรคลั่งก็ยังนับว่าไม่สายไป" ชายในชุดคลุมเอ่ยอย่างลึกซึ้งชั่วร้าย





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×