ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #136 : เทพศาสตรา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.95K
      413
      9 ม.ค. 61




    เวลาในโลกภายนอกล่วงเลยผ่านไปกว่าหลายชั่วโมง มิร่านั้นยังคงตามติดกับกาเล็ทไม่ห่าง "มิร่าน้อยปะป๋าเข้าไปฝึกฝนใมิติเทพเจ้าอีกครั้งแล้ว" กาเล็ทเอ่ยบอกต่อร่างเล็ก

    ได้ฟังมิร่าก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังกาเล็ท "จะไปอีกแล้วหรอ" มิร่าเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวัง

    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็หยิกแก้มของนางคราหนึ่ง "ครั้งนี้จะออกมาหามิร่าทุกวันเลย ดูแลบ้านของเราให้ดีล่ะ" กาเล็ทเอ่ย

    "จริงๆนะ" มิร่าเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลใจ

    "จริงสิ" กาเล็ทเอ่ยเพื่อยืนยันให้ร่างเล็กรู้สึกสบายใจ

    "ถ้าแบบนั้นมิร่าก็พอทนได้" มิร่าเอ่ยกล่าวขึ้นมา

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็หอมแก้มนางคราหนึ่งและพูดคุยล่ำลากับมิร่าอีกสักครู่กาเล็ทจึงกลับเข้าสู่มิติเทพเจ้าไป

    แม้เวลลาภายนอกจะผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงทว่าภายในมิติเทพเจ้านั้นกลับล่วงเลยผ่านไปเกือบ 4-5 วันแล้ว ในระหว่างนี้ทั้งเจฟ มาร์ติน โรส และเรน่าก็ไม่กล้าเกียจคร้านแม้แต่น้อย ทั้งสี่ตั้งใจฝึกฝนการควบคุมพลังอย่างหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

    "นายน้อย" ทั้งสี่เอ่ยเรียกขานเมื่อพบว่ากาเล็ทกลับเข้ามาปรากฎตัวอยู่ในมิติเทพเจ้า

    "เป็นเช่นไรบ้าง การฝึกฝนคืบหน้าไปถึงขั้นใดแล้ว" กาเล็ทเอ่ยถาม

    "พวกข้าพอที่จะจับหลักได้บ้างแล้ว" โรสเอ่ยบอก ถึงแม้ว่าในช่วงระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมานี้ทั้งหมดจะยังไม่สามารถดับเทียนไขที่ตั้งอยู่ห่างออกไปนับสิบเมตรได้ทว่าพวกตนกลับเริ่มทำให้เปลวเทียนนั้นสั่นไหวได้บ้างแล้ว

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็ผงกหัวอย่างเข้าใจได้ "ถือว่าไม่เลว อย่าได้เกียจคร้านหรือเบื่อหน่าย หากว่าปราศจากพรสวรรค์สิ่งที่จะมาสามารถทดแทนในส่วนนั้นได้ก็คือความมุ่งมั่นและความพยายาม" กาเล็ทเอ่ยบอกกล่าวพร้อมกับเข้าไปช่วยถ่ายทอดชี้นำวิธีการไหลเวียนกระแสพลังที่มีประสิทธิภาพให้แก่ทั้งสี่

    "ทดลองฝึกฝนต่อไป" กาเล็ทเอ่ยจากนั้นจึงเดินออกไปนั่งลงจากจุดที่ทั้งสี่กำลังฝึกฝนอยู่ไม่ไกล

    กาเล็ทนั่งลงและนำแร่โอริฮารูกอนที่เหลืออยู่ออกและเพ่งสมาธิเร่งพลังของตนเองขึ้นส่งผลให้ตัวกลุ่มก้อนทรงกลมของแร่โอริฮารูกอนค่อยๆลอยขึ้น ออร่าสีแดงครอบคลุมกลุ่มก้อนของโอริฮารูกอนไว้เมื่อเวลาผ่านไปสีของโอริฮารูกอนก็เริ่มเปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีแดงฉานจากความร้อนมหาศาลที่ก่อเกิดขึ้นเพราะกาเล็ทใช้พลังจิตวิญญาณธาตุไฟหลอมพวกมัน กาเล็ทพลันหมุนมือไปมาเป็นพัลวันจากนั้นพลังจิตวิญญาณก็ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมากลางอากาศรองรับมวลของแร่โอริฮารูกอนที่บัดนี้กลายเป็นสีแดงฉานเพราะถูกความร้อนยิ่งยวดที่เกิดจากการแปลงคุณสมบัติของกาเล็ทหลอม

    กึ๊ง ๆ ๆ ๆ เสียงดังกระทบกันของเหล็กดังก้องไปทั่วมิติเทพเจ้าส่งผลให้แม้แต่ลูกน้องทั้งสี่ของกาเล็ทที่กำลังฝึกฝนอยู่ยังต้องหันมองมาดูว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เมื่อทั้งเจฟ โรส มาร์ติน และเรน่า หันมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นทั้งสี่ก็ได้พบเจอกับภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกครั้งหนึ่งจนต้องอ้าปากตาค้างไป ทั้งสี่กลับเห็นภาพมวลพลังจิตวิญญาณก่อตัวกันเป็นรูปร่างเสมือนค้อนใหญ่พร้อมทั้งทุบตีลงยังก้อนสีแดงนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าส่งผลให้ก้อนสีแดงฉานนั้นค่อยๆแปรเปลี่ยนรูปร่างไปทีละเล็กทีละน้อย

    "นายน้อยท่านทำอะไร" โรสอดไม่ได้ที่จะละจากการฝึกฝนและเดินเข้าหากาเล็ทเพื่อเอ่ยถามทว่าเมื่อเดินเข้าใกล้ได้ถึงระยะหนึ่งร่างของโรสก็สัมผัสได้กับความร้อนยิ่งยวดจนผิวหนังแสบร้อนขึ้น โรสเร่งพลังจิตวิญญาณระดับ 9 ของตนขึ้นทันทีเพื่อเป็นเกราะกำบังผิวหนังของตนจากความร้อนนั้น

    "อย่าได้เข้ามาใกล้ ข้ากำลังหลอมสร้างอาวุธประจำกายให้แก่พวกเจ้า กลับไปฝึกฝนต่อเถอะ" กาเล็ทซึ่งกำลังใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการหลอมสร้างอาวุธจากแร่โอริฮารูกอนเอ่ยบอกกับโรส

    ได้ยินเช่นนั้นโรสก็เก็บความสงสัยใจของตนเองไว้และกลับไปฝึกฝนต่อตามเดิม

    เวลาค่อยๆผ่านพ้นไปในมิติเทพเจ้าอย่างช้าๆ เนื่องจากการฝึกฝนอย่างหนักสุดท้ายแล้วทั้งเจฟ โรส มาร์ติน และเรน่าก็สามารถที่จะใช้พลังของตนเองดับเทียนไขได้เมื่อเวลาผ่านพ้นไปสองสองเดือนภายในมิติเทพเจ้า

    สำหรับกับกาเล็ทเองก็ใช้ความพยายามอย่างยากเย็นในการสร้างอาวุธและชุดเกราะป้องกันให้กับทั้งสี่ ด้วยระดับพลังของกาเล็ทในตอนนี้การหลอมสร้างเพื่อเปลี่ยนแร่มิธิลให้กลายเป็นแร่โอริฮารูกอนย่อมไม่ใช่เรื่องยากลำบากเช่นกาลก่อนและเช่นเดียวกันการหลอมขึ้นรูปโอริฮารูกอนให้เป็นอาวุธดั่งที่ตนเองต้องการก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเช่นกัน แต่สาเหตุที่กาเล็ทต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงสองเดือนนี้ก็เพราะกาเล็ทได้ลองผิดลองถูกจากความรู้ที่ตนเองสามารถจดจำได้จากมิติลี้ลับนั่นเพื่อสลักอักขระโบราณที่ทรงพลังเข้าไปในอาวุธและชุดเกราะที่ตนเองจัดสร้างขึ้นให้กับลูกน้องทั้งสี่ ตลอดระยะเวลาสองเดือนในมิติเทพเจ้านี้นอกจากกาเล็ทจะใช้เวลาไปกับการลองผิดลองถูกในการสลักอักขระแล้วกาเล็ทยังต้องแวะเวียนออกไปติดตามความคืบหน้ายังโลกภายนอกและพบปะกับมิร่าอยู่บ่อยครั้ง

    "ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว ข้าทำได้แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า" เสียงของมาร์ตินเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความดีใจพร้อมทั้งหัวเราะออกมาเมื่อมันสามารถควบคุมพลังที่มีและผลักดันออกไปทางฝ่ามือเพื่อดับเทียนไขซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปนับสิบเมตรได้เป็นผลสำเร็จ ในหมู่เพื่อนพ้องทั้งหมดนับว่ามันเป็นผู้กระทำได้สำเร็จเป็นคนสุดท้าย

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความยินดีพร้อมกับเอ่ยเรียกลูกน้องทั้งสี่ของตนให้มายืนเรียงแถวหน้ากระดาน จากนั้นจึงนำอาวุธและชุดเกราะที่ตนเองหลอมสร้างขึ้นพร้อมทั้งสลักอักขระลงไปอย่างยากลำบากออกมามอบให้แก่ทั้งหมดทีละคน

    "น..นายน้อยนี่มัน" มาร์ตินเอ่ยถามขึ้นเมื่อพบว่ากาเล็ทนำค้อนใหญ่ยักษ์ซึ่งมีความยาวจากด้ามจับจนถึงบริเวณส่วนหัวของค้อนที่ใหญ่โตเท่ากับตัวของมันพอดิบพอดีออกมา

    "ต่อจากนี้ไปนี่คืออาวุธประจำกายของเจ้า" กาเล็ทเอ่ยบอกกล่าวพร้อมทั้งโยนค้อนใหญ่ยักษ์นั่นให้แก่มาร์ติน

    มาร์ตินสามารถรับไว้ได้อย่างทุลักทุเล สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตัวค้อนนั้นนับว่ามีน้ำหนักหลายร้อยกิโล

    "มาร์ตินสำหรับกับเจ้าซึ่งมีคุณสมบัติเข้ากันกับจิตวิญญาณธาตุดินอีกทั้งจุดเด่นที่เจ้ามีคือพละกำลังดังนั้นอาวุธคู่กายสมควรจะใช้เป็นค้อนจะเหมาะสมกว่า" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งเดินเข้าไปค่อยๆบรรจงติดเกราะยังบริเวณส่วนแขน ขา และหน้าอกให้กับมัน ทว่าเมื่อกาเล็ทติดเกราะให้มันจนแล้วเสร็จและลุกขึ้นกาเล็ทกลับพบว่าใบหน้าตาของมาร์ตินผู้เป็นลูกน้องซึ่งปกติจะดูดุดันน่ากลัวแต่บัดนี้กลับดูไปแล้วตลกขบขันยิ่ง บรุษรูปร่างใหญ่โตซึ่งมีใบหน้าที่ดุดันข่มขวัญผู้คนบัดนี้กลับพยายามสะกดอดกลั้นอารมณ์ของตนเองไว้จากการร้องไห้อย่างสุดชีวิต

    สาเหตุที่ทำให้มาร์ตินมีความรู้สึกซาบซึ้งจนลูกผู้ชายที่อยู่มานานปีเช่นมันเกิดอารมณ์เช่นนี้ก็เพราะว่ากาเล็ทกลับใส่ใจดูแลคนต่ำต้อยเช่นมันที่ไม่มีใครเห็นหัวตลอดมา นายน้อยของมันถึงกับก้มลงใส่ชุดเกราะให้แก่มันด้วยตนเองแสดงออกถึงความใส่ใจที่มีต่อตนเอง ตลอดชีวิตของมันนอกจากผู้เป็นบิดาและมารดาซึ่งล่วงลับจากไปแล้วก็ไม่เคยมีใครปฎิบัติกับมันเช่นนี้อีก

    "เป็นชายชาตรีร้องไห้ทำอะไร" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมกับตบที่ลำตัวของมันเบาๆคราหนึ่ง "ข้าฝึกฝนพวกเจ้ามาอย่างเหนื่อยยากย่อมต้องไม่ปล่อยให้พวกเจ้าถูกผู้อื่นฆ่าล้างสังหารได้โดยง่าย ทั้งอาวุธและชุดเกราะนี้จะช่วยเหลือเจ้าได้มากในการต่อสู้" กาเล็ทเอ่ยบอกจากนั้นจึงนำอาวุธและชุดเกราะที่เหลือมอบให้แก่ทั้ง โรส เรน่า และเจฟ ซึ่งกำลังแสดงสีหน้าบ่งบอกว่าซาบซ้ำกับการกระทำของกาเล็ทสุดหัวใจออกมา

    สำหรับกับโรสอาวุธนั้นเป็นดาบ เจฟนั้นเป็นหอก ส่วนเรน่านั้นแปลกประหลาดกว่าของผู้ใด ดูผิวเผินภายนอกนั้นคล้ายธนูหากแต่กลับไม่มีสายสำหรับใช้พาดยิงลูกธนูอีกทั้งบนปลายทั้งสองด้านยังมีคมติดอยู่ด้วย

    "ทั้งอาวุธและชุดเกราะพวกนี้ล้วนทำขึ้นมาจากแร่โอริฮารูกอน" กาเล็ทเอ่ยกล่าว เมื่อเห็นว่าลูกน้องทั้งสี่แสดงสีหน้าที่งุนงงออกมากาเล็ทก็เอ่ยอธิบายต่อ "แร่โอริฮารูกอนนั้นเป็นแร่ที่เหนือกว่าแร่มิธริลอยู่มากทั้งในเรื่องความแข็งแกร่งทนทานและในด้านอื่น" กาเล็ทเอ่ยบอกกล่าวอธิบายเพิ่มเติมจากนั้นจึงหันไปหามาร์ติน "มาร์ตินเจ้าลองเหวี่ยงค้อนนั่นทุบลงยังพื้นเบื้องหน้าดู"

    มาร์ได้ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ทก็กระทำตามอย่างว่าง่าย มันกลับใช้สองมือยกชูค้อนของมันขึ้นจากนั้นจึงเหวี่ยงทุบลงยังพื้นของมิติเทพเจ้า

    "ปึก" เสียงของค้อนเหล็กกระแทกเข้ากับพื้นมิติเทพเจ้าส่งผลให้จุดที่ถูกค้อนนั้นทุบใส่ถึงกับยุบลงไป เนื่องจากการทุบครั้งนี้มาร์ตินไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายทว่าผลที่ออกมาก็นับว่าเหนือความคาดหมายของมันอยู่หลายส่วน

    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็หันไปเอ่ยบอกกล่าวแก่โรส เจฟ และเรน่า "พวกเจ้าถอยออกไปสักหน่อย" จากนั้นจึงหันไปเอ่ยบอกแก่มาร์ตินใหม่อีกครั้ง "เจ้าลองควบคุมพลังจิตวิญญาณของเจ้าให้ถ่ายเทเข้าสู่ค้อนเหล็กนั้นดูและทุบทำลายใส่พื้นดินอีกครั้งหนึ่งและอย่าลืมสร้างเกราะพลังขึ้นกำบังตนด้วย"

    ได้ฟังเช่นนั้นมาร์ตินก็ทำตามที่กาเล็ทบอกกล่าวอีกเช่นเคยแม้จะไม่รู้ว่าจะให้มันสร้างเกราะขึ้นมาเพื่ออะไรทว่ามันยังคงทำตาม มาร์ตินส่งพลังจิตวิญญาณของตนเองเข้าสู่ค้อนใหญ่จากนั้นจึงเงื้อค้อนขึ้นและทุบลงยังพื้นมิติเทพเจ้าดังเช่นครั้งก่อน

    ตูม ! เสียงแตกระเบิดอย่างรุนแลงจนพื้นมิติของเทพเจ้ารอบบริเวณสั่นไหน แรงปะทะระหว่างค้อนกับพื้นมิติเทพเจ้าก่อเกิดคลื่นกระแทกแผ่กระจายออกมาส่งผลให้โรส เจฟ เร่น่าที่อยู่ห่างออกไปเสื้อผ้าหน้าผมปลิวสะบัดว่อน ส่วนมาร์ตินผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์นี้กลับกระเด็นถอยไปเนื่องจากแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการทุบทำลาย มือของมันยังคงกำค้อนในมือไว้แน่นพร้อมทั้งเบิกตามองดูหลุมขนาดใหญ่ที่เบื้องหน้าซึ่งกำลังค่อยๆสมานตัวเข้าหากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    "ข้าได้สลักอักขระพิเศษที่จะช่วยขยายพลังจิตวิญญาณที่เจ้าส่งเข้าไปในค้อนนั่นและแปลงมันเป็นคุณสมบัติดิน เมื่อเจ้าส่งพลังของเจ้าเข้าสู่ค้อนและใช้มันทุบทำลายลง พลังทำลายที่เกิดขึ้นจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ด้วยพลังระดับที่ 9 ของเจ้าในตอนนี้เกรงว่าต่อให้เป็นผู้มีพลังระดับราชาหรือสูงกว่าเจอการทุบทำลายจากค้อนนี้ไปยังคงต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส นับจากนี้ก็ค่อยๆฝึกฝนใช้มันให้คุ้นชิน" กาเล็ทเอ่ยบอกกับมาร์ตินพร้อมกับหันไปหาลูกน้องอีกสามคนของตนเองที่นิ่งอึ้งอยู่

    "อาวุธของพวกเจ้าก็มีความพิเศษไม่ต่างกันทดลองส่งพลังของพวกเจ้าเข้าไปสู่มันดู" กาเล็ทเอ่ย

    เมื่อโรสและเจฟส่งผ่านพลังของตนเองเข้าสู่ดาบและหอกในมือของตนเองตัวดาบและหอกก็เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนออกมา

    "เนื่องจากจิตวิญญาณของพวกเจ้าเข้ากันได้กับธาตุน้ำ ข้าจึงสลักอักขระที่จะช่วยแปลงพลังงานของเจ้าที่ส่งผ่านเข้าไปสู่ตัวอาวุธให้อยู่เหนือไปอีกขีดขั้น เมื่อเจ้าใช้คมหอกหรือคมดาบนั้นเข้าปะทะฟาดฟันกับศัตรูมันจะแปลงพลังงานของเจ้าให้กลายเป็นน้ำแข็งกัดกินลุกลามเข้าใส่ หากว่าไม่รับมืออย่างระมัดระวังก็จะต้องเพลี่ยงพล้ำเสียทีให้แก่พวกเจ้าแน่นอน ลองปักหอกและดาบลงสู่พื้นดู" กาเล็ทเอ่ยบอก

    ทั้งสองเมื่อได้ฟังก็ทดลองดูตามที่กาเล็ทเอ่ยบอก เมื่อปักคมหอกและดาบลงสู่พื้น พื้นมิติเทพเจ้าก็ก่อเกิดเกร็ดน้ำแข็งค่อยๆแผ่ขยายออกไปจากบริเวณที่คมดาบปักอยู่

    "เร่น่าสำหรับกับเจ้านั้นข้าคิดว่าใช้ธนูจะเหมาะกว่า ที่อยู่ในมือของเจ้านั้นคือคันธนูลองส่งผ่านพลังของเจ้าเข้าสู่มัน" กาเล็ทเอ่ย

    เร่น่าได้ฟังเช่นนั้นก็กระทำตามอย่างตื่นเต้น เมื่อส่งผ่านพลังของตนเข้าสู่คันธนูที่ถืออยู่ก็ปรากฎแสงเรืองรองเป็นเส้นพาดลงมาตั้งแต่ส่วนบ่นจนถึงส่วนท้ายของคันธนู่ส่งผลให้อาวุธในมือกลายเป็นธนูที่สมบูรณ์

    "ลองใช้มืออีกข้างของเจ้าแตะไปที่เส้นพลังงานและจิตนาการถึงลูกธนูที่เจ้าต้องการจะสร้างขึ้น" กาเล็ทเอ่ย

    เมื่อเรน่าลองกระทำตามก็ปรากฎลูกธนูที่ก่อเกิดขึ้นจากพลังจิตวิญญาณขึ้น

    "นอกจากอาวุธที่ถืออยู่จะเป็นคันธนูแล้วเมื่อศัตรูย่นระยะเข้าหาเจ้าก็สารถใช้คันธนูนี้ต้านรับการจู่โจมของพวกมันได้ด้วย หากเจ้าสังเกตุให้ดีจะพบว่าที่ส่วนปลายทั้งสองข้างของมันนั้นมีคมอยู่" กาเล็ทเอ่ยอธิบาย

    ทั้งสี่ได้แต่เหลียวกลับมองดูอาวุธวิเศษในมือของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่เพียงแต่พลังที่เพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดดแล้วบัดนี้ตนเองกลับได้รับอาวุธที่แปลกพิศดารมาไว้ในครอบครอง อาวุธพวกนี้มิใช่ว่าจะมีแต่ในตำนานเรื่องเล่าหรอกหรือ? "ไม่ผิดแน่แล้วนายน้อยของตนเองต้องเป็นเทพเจ้าจำแลงกายลงมาจุติยังโลกยูยานเพื่อชี้นำมวลมนุษย์แน่นอนแล้ว" ทั้งสี่ต่างครุ่นคิดในลักษณะนี้อยู่ในใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×