ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #134 : ยอมรับนับถือจนหมดหัวใจ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.84K
      397
      8 ม.ค. 61




    เมื่อเอ่ยบอกกล่าวทำความเข้าใจกับมิร่าจนแล้วเสร็จดีแล้วกาเล็ทก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไป กาเล็ทรีบเร่งกลับเข้ามาในมิติเทพเจ้าเพื่อเริ่มดำเนินการฝึกฝนให้กับทั้งสี่ สำหรับกับลูกน้องของตนเองทั้งสี่ในตอนนี้นั้นที่มีระดับพลังอยู่เพียงระดับขั้นที่ 5 แล้วยังนับว่าอยู่ในระดับที่ต่ำต้อยตนเกินไป ในระดับนี้ผู้ฝึกฝนทั่วไปจะเพียงสามารถใช้พลังในการเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้นหากว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์และสามารถเข้าใจถึงพลังจิตวิญญาณได้เป็นอย่างดีดั่งเช่นกาเล็ทก็อาจจะสามารถเริ่มการแปลงคุณสมบัติต่างได้บ้าง ด้วยสาเหตุนี้สิ่งแรกที่กาเล็ทหมายมั่นไว้นั่นคือการเพิ่มระดับพลังของลูกน้องทั้งสี่ให้สูงขึ้น และผลึกแก่นจิตวิญญาณระดับราชาที่ตนเองมีอยู่หลายชิ้นก็นับว่าเป็นคำตอบที่ลงตัว

    แม้ว่ากาเล็ทจะใช้เวลาปลอบโยนมิร่าเพียงไม่กี่นาทีทว่าในมิิติเทพเจ้าเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปกว่าชั่วโมงแล้ว เมื่อกาเล็ทกลับเข้ามาลูกน้องทั้งสี่ของตนเองก็ไม่มีอาการตื่นเต้นแปลกใจหลงเหลืออยู่แล้ว "ในเมื่อปรับตัวกับสถานที่ได้ดีแล้วก็อย่าได้รอช้ามาเริ่มกันเถอะ" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมกับบอกให้ลูกน้องทั้งสี่ของตนเองนั่งลงเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานจากนั้นกาเล็ทก็ใช้พลังจิตวิญญาณแบ่งแยกร่างของตนเองออกมาอีกสามร่าง รวมร่างจริงของตนเองเข้าไปด้วยก็นับว่าเป็นสี่ร่างพอดิบพอดี นี่ถือว่าเป็นขีดจำกัดของกาเล็ทในขณะนี้

    แม้ว่าทั้งเจฟ โรส มาร์ติน และเรน่าจะเคยเห็นการแยกร่างเช่นนี้ของกาเล็ทมาบ้างแล้วทว่าเมื่อเห็นอีกครั้งก็ยังคงอดที่จะแปลกประหลาดใจไม่ได้เพราะครั้งนี้กาเล็ทนั้นแยกร่างซึ่งดูคล้ายเหมือนกับร่างจริงออกมาถึงสามร่าง "นั่งลงและพยายามเข้าสู่ห้วงสมาธิจิตว่างเปล่า ตั้งมั่นไว้อย่าได้วอกแวกข้าจะเป็นผู้ควบคุมดูแลทิศทางของการดูดซัพพลังเข้าสู่ร่างและชักนำมันเข้าสู่แก่นจิตวิญญาณของพวกเจ้า จำไว้ให้มั่นว่าอย่าได้วอกแวกคิดถึงสิ่งอื่นให้ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการดูดซัพพลัง" กาเล็ทเอ่ยบอกกล่าวพร้อมกับบังคับให้ร่างทั้งสี่นั่งลงที่ด้านหลังของลูกน้องทั้งสี่จากนั้นจึงทาบฝ่ามือเข้ากับร่างของทั้งเจฟ โรส มาร์ตินและเรน่า


    ฟู่ ฟู่ ผลึกจิตวิญญาณล่องลอยส่งแสงสว่างอยู่เบื้องหน้าของทั้ง เจฟ มาร์ติน เรน่า และโรส ที่นั่งลงดูดซัพพลัง กระแสจิตวิญญาณรอบร่างของทั้งสี่ตอนนี้กระเพื่อมดังระลอกคลื่น ทั้งสี่รวบรวมสมาธิจนสามารถเข้าสู่สภาวะจิตว่างเปล่าทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณและดูดซัพมันได้ ส่วนหน้าที่ในการชักนำพลังจิตวิญญาณจากผลึกจิตวิญญาณนั้นกาเล็ทเป็นผู้ควบคุมดูแลให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป เมื่อทั้งสี่ดูดซัพพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างของตน กระแสจิตวิญญาณก็หลั่งไหลเข้าสู่แก่นกลางของจิตวิญญาณของทั้งสี่อย่างง่ายดายดั่งเช่นสายน้ำที่ไหลลงสู่ขวดแก้วตามรางที่ขุดลอกไว้

    ที่เป็นเช่นนี้ได้ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสามารถของทั้งสี่แต่อย่างใด แต่เกิดจากการชักนำของกาเล็ทที่นั่งทาบฝ่ามืออยู่เบื้องหลังกับร่างของทั้งสี่ ความจริงแล้วการดูดซัพพลังจิตวิญญาณหาง่ายดายเช่นนี้ไม่ ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องทำสมาธิจนถึงขั้นจิตว่างเปล่าเสียก่อนจึงจะสามารถรับรู้ถึงพลังจิตวิญญาณได้ จากนั้นจึงค่อยชักนับพลังจิตวิญญาณเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกาย เมื่อพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างกายแล้วยังคงต้องพยายามอย่างยากเย็นชักนำมันไปกักเก็บไว้อยู่ในแก่นจิตวิญญาณของตนเองให้ได้ หาไม่แล้วพลังงานเหล่านั้นย่อมสูญเปล่าไปอย่าว่าแต่การทำทั้งหมดนี้เอาเพียงขั้นแรกของการทำสมาธิให้เข้าสู่ขั้นจิตว่างเปล่าจนสามารถรับรู้ถึงพลังจิตวิญญานได้นั้นไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเท่าใดล้มเหลวตั้งแต่ขั้นนี้เป็นเหตุให้ไม่สามารถเดินอยู่บนเส้นทางของผู้ฝึกตนได้ เพียงแค่ทำสมาธิถึงขั้นจิตว่างเปล่านั้นว่ายากลำบากแล้วการชักนำพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างก็หาใช่เรื่องง่ายดาย ผู้คนส่วนใหญ่ที่รับรู้ถึงพลังจิตวิญญาณได้และดูดซัพพลังเข้าสู่ร่างอย่างยากเย็นแต่กลับนำมันเข้าไปกักเก็บไว้ในแก่นจิตพลังของตนได้ไม่ถึง 1ในสิบของพลังที่ดูดซัพมาทำให้ฝึกฝนนานนับปียังคงไม่มีการพัฒนาการอันใดทั้งชีวิตได้แต่จมปลักอยู่เพียงระดับขั้นที่ 5-7 เท่านั้นนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนส่วนใหญ่

    ทว่าวันนี้หลังจากทั้งสี่นั่งลงหลับตาเพื่อพยายามทำสมาธิเข้าสู่ห้วงจิตว่างเปล่า หลังจากหลับตาลงไม่นานกลับเข้าสู่สภาวะนี้ได้อย่างง่ายดายอย่างน่าเหลือเช่ือทั้งที่ปกติในแต่ละวันกว่าที่ตนเองจะเข้าถึงขั้นนี้ได้ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้นทั้งหมดกลับสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่เบื้องหน้าของตนเสมือนมวลน้ำก้อนมหึมาไม่จำเป็นต้องควานหาอย่างยากเย็นเหมือนทุกที ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเมื่อดูดซัพพลังเหล่านั้นเข้าสู่ร่างของพวกตนพลังงานเหล่านั้นก็ไหลตรงดิ่งเข้าสู่แก่นจิตของตนอย่างง่ายดายประหนึ่งสายน้ำที่หลั่งไหลไปตามลำของแม่น้ำเป็นทางเดียว

    ไม่ทราบว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดทั้งสี่กลับยังคงอยู่ในขั้นสมาธิว่างเปล่าดูดซัพพลังงานต่อไป พลังงานสายแล้วสายเล่ายังคงหลั่งไหลจากนอกร่างกายเข้าสู่ร่างกายของพวกตนทว่าจิตของคนทั้งสี่ในครั้งนี้ยังคงสงบนิ่งอยู่ในสถาวะจิตว่างเปล่า ทั้งที่เมื่อก่อนนั้งทั้งเจพ มาร์ติน โรส และเร่น่า ถึงแม้จะเข้าสู่สภาวะจิตว่างเปล่าได้แต่ไม่นานก็หลุดออกจากสถาวะนี้ ทำให้ต้องเสียเวลาทำสมาธิใหม่ แต่ครั้งนี้นั้นเกิดความแตกต่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สภาวะจิตว่างเปล่ากลับคงอยู่ต่อเนื่องยาวนานไม่มีทีท่าว่าจะหลุดออก พลังงานงานยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของทั้งสี่อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดทั้งสี่ก็รู้สึกว่าแก่นจิตวิญญาณของตนค่อยๆถูกเติมเต็มขึ้นทีละนิด ทีละนิด ความรู้สึกนี้ทำให้ทั้งสี่เกิดความยินดี ไม่ว่าผู้ฝึกตนใดหากสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเช่นนี้ย่อมหมายถึงว่าขีดจำกัดพลังของพวกตนนั้นเพิ่มพูนสูงขึ้น แก่นจิตวิญญานของทั้งสี่ค่อยๆถูกเติมเต็มจนในที่สุดมันก็มาถึงขีดจำกัดที่จะทะลุสู่อีกขีดขั้นได้ แม้ว่าจะรู้สึกยินดีแต่ทั้งสี่นั้นก็อดรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆในใจไม่ได้เพราะสภาพที่แก่นจิตวิญญาณของตนถูกเติมเต็มอย่างบ้าคลั่งนั้นจะต้องสะดุดหยุดลงแล้ว

    พลังของทั้งสี่นั้นก่อนจะเริ่มฝึกกับกาเล็ทในมิติเทพเจ้านั้นค่อนข้างที่จะใกล้เคียงกันนั่นคือ พลังขั้นที่ 5 ระดับแรก ทั้งสี่ไม่ปล่อยให้ความคิดตนเองสับสนวุ่นวายจนเกินไปเพราะย่อมรู้ดีว่าความคิดที่สับสนวุ่นวายย่อมเป็นสาเหตุให้หลุดจากสภาวะจิตว่างเปล่า ทั้งสี่เตรียมเข้าสู่ขั้นตอนการทะลวงขีดจำกัดแต่ทว่าสิ่งที่ขวางกั้นพวกตนสู่การก้าวไปสู่พลังระดับต่อไปนั้นกลับถูกทะลวงสลายหายไปได้โดยง่ายอย่างน่าเหลือเชื่อ

    หากเปรียบพลังระดับพลังต่างๆเป็นขวดแก้ว สิ่งที่ขวางกั้นระหว่างขวดแก้วสองขวดนั่นก็คือคอขวดขนาดเล็กที่ตีบตันการจะทะลวงสิ่งที่ขวางกั้นอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งระดับพลังของผู้ฝึกสูงมากเท่าใดการทะลวงคอขวดนี้ย่อมยากมากขึ้นเท่านั้น นี่คืออีกอุปสรรคใหญ่ที่ขวางกั้นหนทางของผู้ฝึกตนหลายต่อหลายคนมาแล้ว ยกตัวอย่างหัวหน้าตระกูลเจอริโก้ เจอราร์ดนั้นใช้เวลานับ 10ปี เพื่อที่จะทะลวงคอขวดจากพลังขั้นที่ 9 ระดับสูงไปสู่ระดับราชา

    แต่วันนี้คอขวดของคนทั้งสี่นี้กลับถูกทะลวงได้โดยง่าย ทั้งสี่แม้ว่าจะตื่นตกใจแต่ก็รู้ถึงสิ่งที่ตนต้องทำเป็นอย่างดีนั่นคือการดูดซัพพลังอย่างต่อเนื่อง เห็นว่าทั้งสี่รู้หน้าที่ของตนดี ร่างของกาเล็ททั้งสี่ร่างที่นั่งอยู่หลังร่างของ เจฟ มาร์ติน เร่น่า และโรส ก็ยิ้มออกมา


    บูม บูม บูม บุม แสงที่แสดงออกถึงการทะลุทะลวงขีดขั้นสู่ขั้นระดับพลังที่สูงกว่าของผู้ฝึกฝนเปล่งออกมาจากร่างของ เจฟ มาร์ติน เรน่า และโรส จากนั้นก็เงียบสงบไป ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดความสงบก็ถูกทำลายด้วยเสียงของการทะลวงสู่ขีดขั้นที่สูงกว่าอีกครั้งแล้วก็เงียบดับไปอีกวังวนเหล่านี้ไม่ทราบว่าผ่านไปกี่ครั้งคราแล้ว

    ทั้งสี่ที่เคยมีความรู้สึกประหลาดใจ กังวล ตื่นเต้น แต่ ณ ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไป เหลือแต่เพียงความมุ่งมั่นที่จะดูดซัพพลัง วูบ วูบ ซู่ววววว มวลพลังงานจิตวิญญาณมหาศาลจากผลึกจิตวิญญาณทั้งสี่ก้อนค่อยๆเหือดแห้งหายไป มือของกาเล็ทที่ทาบอยู่กับหลังของคนทั้งสี่ก็เลื่อนออก

    สภาพจิตว่างเปล่าของทั้งสี่ก็ขาดห้วงออกทันทีหลังจากมือของกาเล็ทเคลื่อนออกไป

    "เอาล่ะ พวกเจ้าลุกขึ้นสำรวจดูตนเองเองให้ดี" เสียงของกาเล็ทดังขึ้น

    "ม ไม่จริง ไม่น่าเชื่อ พลังของข้ามาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร" โรสอุทานเสียงดังทันทีหลังจากที่สำรวจตรวจดูตัวของตนเอง

    "ห หา เป็นไปได้อย่างไร" เรน่าก็แสดงอาการตกใจออกมา

    "ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ" เจฟกล่าวย้ำกับตันเองอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า" มาร์ตินหัวเราะอย่างโง่งม

    "นายน้อยเป็นไปได้อย่างไร พลังของพวกข้าเหตุใดจึงได้เพิ่มพูนสูงขึ้นได้ถึงเพียงนี้" โรสเอ่ยถาม

    กาเล็ทได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา ดูท่าลูกน้องของตนคงจะเข้าสู่ห้วงสมาธิจิตว่างเปล่าจนลืมวันลืมคืนเสียแล้ว


    "รู้หรือไม่ว่าเวลาล่วงเลยผ่านมาเท่าใดแล้ว" กาเล็ทเอ่ยถามขึ้น

    ทั้งสี่ซึ่งกำลังอยู่ในอาการลิงโลดยินดีก็หันมองมาที่กาเล็ทอย่างโง่งม เนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านมาพวกของตนเองนั้นได้แต่มุ่งมั่นทำสมาธิอยู่ในห้วงจิตว่างเปล่าอย่างบ้าคลั่งโดยหวังเพียงแต่ว่าจะกอบโกยเอาจากสภาวะที่แปลกประหลาดนี้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นแล้วทั้งสี่จึงไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดอีก

    เห็นอาการของลูกน้องทั้งสี่กาเล็ทก็เผยรอยยิ้มออกมา "เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปเกือบสี่เดือนแล้ว"

    "เสียเวลามามากแล้ว พวกเจ้าลองผลัดเปลี่ยนกันจู่โจมใส่ข้าดูเถอะ" กาเล็ทเอ่ยกล่าวกึ่งสั่งการ

    ทั้งสี่ที่ทั้งตื่นเต้นยินดีกับระดับพลังที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างเหลือเชื่อของตนนั้นอยากที่จะทดสอบพลังใหม่ที่ได้มานี้อยู่แล้วจึงกระตือรือร้นยิ่ง "ข้าคนแรกเอง" โรสอาสา

    โรสออกหมัดที่ตนเร่งเร้าพลังอย่างสุดชีวิตออกไปใส่กาเล็ทซึ่งยืนอยู่อย่างมุ่งมั่น แต่ทว่ากลับถูกกาเล็ทหยุดไว้ได้ด้วยนิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวเท่านั้นแม้ว่าโรสจะรู้แน่อยู่แก่ใจอยู่แล้วแต่ก็อดที่จะเกิดความรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ผลการทดสอบของโรสเป็นเช่นนี้ผลของอีกสามคนก็ย่อมไม่มีข้อแตกต่าง

    "แม้ระดับพลังของพวกเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นมากจนมาถึงระดับขั้นที่ 9 ขั้นต้นแล้วแต่พลังที่ใช้ออกมากลับน้อยยิ่ง สามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาใช้ได้เพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น นับว่าข้าคิดถูกจริงๆที่ยังไม่ฝืนให้พวกเจ้าทะลวงขึ้นสู่ระดับต่อไป สมควรที่จะปรับพื้นฐานก่อน"กาเล็ทเอ่ยอย่างครุ่นคิด

    "สู่ขั้นต่อไป?" เหมือนกับเสียงที่ดังลั่นตาของทั้งสี่ก็แทบจะถลนออกจากเบ้าอีกเช่นเคยระดับขั้นที่ 9 ขั้นต้นสำหรับกับพวกตนก็นับว่ามากเกินกว่าที่จะจิตนาการถึงได้แล้วทว่าผู้เป็นนายน้อยกลับยังเอ่ยกล่าวเสมือนว่าระดับพลังของพวกตนจะไม่หยุดลงอยู่แต่เพียงเท่านี้



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×