ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ชายหนุ่มร่างสูงในผ้าคลุมสีดำสนิท ประหนึ่งว่าอยู่ในลัทธิมืดอะไรสักอย่าง ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่มืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่างของดวงดารา มีเพียงแสงไฟสลัวของดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมา แต่แสงจันทร์นั้นก็ไม่สว่างพอที่จะทำให้เห็บใบหน้าของชายปริศนาภายใต้หมวกคลุมของเขาได้ ชายปริศนาก้าวเดินบนทางเท้าในค่ำคืนที่มืดสนิทนี้ มันช่างเงียบสนิทผิดปกติหรือเรียกได้ว่าคงมีเพียงเสียงของฝีเท้าของเขาก็ว่าได้ เขาเดินเข้าไปในตรอกซอย ซึ่งเป็นมุมที่อับแสงจันทร์พลางมองสิ่งที่อยู่ในมือของเขา มันคือ ลูกแก้วซึ่งกำลังเปล่งแสงสว่างสีฟ้าสดใสราวกับท้องฟ้าในยาวเช้า ลูกแก้วนั้นมีฐานไม้โอ๊คที่มีการแกะสลักแบบย้อนยุคที่ดูหรูหรา ควันสีขาวบางๆคล้ายเมฆบางๆถูกปล่อยออกมาจากฐานของไม้โอ๊คอย่างไม่หยุดหย่อน "ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ"
ชายหนุ่มปริศนาพึมพำขึ้นเบาๆของชายวัยปลายๆ 20 ดังขึ้น พร้อมมองเมืองชนบทเล็กๆจากมุมอับแสงของเมือง ก่อนที่จะแสยะยิ้มอันหน้าสยดสยองออกมา ภายใต้ความมืด
"นายรอเวลานี้มานานแค่ไหนกันแล้วเนี่ย"
เสียงของชายวัย 30 ปี ที่ส่งจากคฤหาสน์ผ่านสัญญาณหูฟังที่พวกเขาเคยติดตั้งเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่ทุกๆอย่างจะเกิดขึ้น ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อได้ยินคำถามจากเพื่อนร่วมงาน มือหนาในถุงมือขาวบริสุทธิ์ลูบที่ลูกแก้วสีฟ้าใส
"ก็คงตั้งแต่ตอนที่คุณยื่นลูกแก้วนี่ให้ผมเห็นเรื่องในอนาคตแหละครับ"
ชายปริศนาตอบกลับไปพลางยกยิ้มเล็กน้อย ขณะนั้นไม่นานลูกแก้วในมือของชายหนุ่มก็เกิดปฎิกิริยาที่ผิดปกติ ควันที่ลูกแก้วได้คล่อยออกมามีปริมาณที่มากกว่าปกติ ภายในลูกแก้วจากที่เป็นสีฟ้าใสสวยงามพร้อมกับควันบางๆ ควันภายในลูกแก้วเริ่มเปลี่ยนเป็นสีที่เข้มขึ้นที่ละน้อยจนแปรเป็นสีดำ กลุ่มเมฆเริ่มหมุนตัวเร็วๆขึ้นราวกับพายุหมุน แสงที่เปล่งจากลูกแก้วก็ค่อยๆเปลี่ยนสี เป็นสีม่วงดุจสีของพลอยอเมทิส
"มันเกิดขึ้นแล้วครับ"
ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่เมืองชนบทอีกครั้งหนึ่ง เมืองนี้ยังคงเงียบสงบเช่นเดิม ก่อนที่แสงไฟของเมืองจะเริ่มส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง แต่มิใช่แสงจากไฟของบ้านเมืองหรือไฟข้างทาง แต่มันคือแสงไฟของเพลิงไหม้ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของชาวบ้าน ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งคาดว่าเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้นี้ได้ดังขึ้น
ชายหนุ่มในผ้าคลุมดำแสยะยิ้มภายใต้ความมืดมิด ก่อนจะนำผ้าคลุมของเขาครอบลูกแก้ว เพื่อปกปิดแสงของลูแก้วไว้
"ความสนุกมันเพิ่งเริ่มเลยล่ะครับ"
เขากล่าวก่อนจะค่อยๆเดินหายไปในความมืดมิด
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ได้เข้ามาใกล้ใจกลางเมืองเรื่อยๆ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถูกนำโดยชายร่างใหญ่่ในชุดทำสวนสีเขียวมอส พร้อมกับหน้ากากสีดำขลิบ ในมือทั้งสองของเขาถือคบเพลิงขนาดใหญ่ และสะพายกระบองคู่กายของเขาไว้ข้างลำตัว
"พวกแกจะไปไหนกัน เราต้องมอดไหม้ไปด้วยกันสิวะ"
เขาพูดพลางขว้างคบไฟใส่บ้านเรือนทั้งสองข้างทาง แล้วคว้ากระบองคู่ใจของเขาออกมา เปลวไฟเริ่มลุกลานขึ้นมาจนกลายเป็นลูกไฟขนาดมหึมาทั้งสองข้างทาง เขาหัวเราะออกมาอย่างเสียสติก่อนจะถือกระบองของเขาแล้ววิ่งเข้าไปหาเหล่าชาวบ้านที่วิ่งหนีเขาอย่างเสียสติ
"เจ้าหมอนั่นเสียสติไปแล้วรึยังไง"
หญิงสาวชาวญี่ปุ่นกล่าวขึ้นภายใต้หน้ากากปีศาจที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของผู้เคราะห์ร้ายทั้งหายบ่นออกมา
"หึ ปล่อยเขาไปเถอะ ลีโอน่ะไม่ใช่คนเดียวเสียหน่อยที่เป็นแบบนี้ เธอเองน่ะก็ไม่ต่างกันหรอกมิชิโกะ"
เสียงของชายร่างสูงในชุดสูทราคาแพงดังขึ้น พร้อมสวมหน้ากากสีขาวสะอาด โดยมือขวาของเขาก็สวมกรงเล็บแหลมคมขนาดมหึมา ก่อนจะแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มมอกควันที่เกิดจากเปลวเพลิง
"นายเองก็ไม่ต่างอะไรกันหรอก แจ๊ค"
เธอขมวดคิ้วพลางพูดย้อนคำของชายหนุ่ม ก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้า
"พร้อมสนุกกันรึยัง เจ้าพวกขี้ขลาดทั้งหลาย"
เสียงของตัวตลกโจ๊กเกอร์ดังขึ้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความน่าสยดสยองจากรอยยิ้มที่ฉีกออกมา ดวงตาอันไร้วิญญาณ และเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่ง เขาจุดระเบิดจรวดเพื่อสร้างกองไฟเพิ่มขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงแท่งเหล็กรูปจรวดไปมาใส่ผู้คนอย่างเสียสติ
ในขณะที่ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังซ่อนตัวจากเหล่าฆาตรกรโรคจิตนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กน้อยวัยประมาณ 5-10 ขวบ กำลังร้องไห้สะอื้นอยู่ในบริเวณที่เขาอยู่ ด้วยความที่เขาเป็นคนที่มีใจรักเหล่าเด็กๆ เขาจึงค่อยๆคลานไปหาเด็กนายปริศนาผู้นั้น เมื่อเขาไปถึงจุดกำเนิดเสียง เขาก็พบกับเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ บนหัวของเด็กชายมีถุงสีน้ำตาลเก่าๆที่มีการเย็บซ่อมแซมจำนวนมากครอบอยู่ที่หัว เขาย่อตัวลงไปหาเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้ก่อนจะพยายามปลอบโยนเด็กน้อยปริศนาผู้นี้
"นี่ เธอชื่ออะไรเหรอ ร้องไห้ทำไม"
เด็กชายสะอื้นเล็กน้อยก่อนจะตอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงสะอื้นไปว่า
"ผะ...ผมชื่อ ร็อบบี้ ฮะ"
"โอเค ร็อบบี้ เอาแหละ ลุกก่อนเร็วตรงนี้มันอันตรายมากนะ"
ชายหนุ่มพยายามกล่าวกับเด็กชายอย่างใจเย็นเพื่อปลอบเด็กชายให้หยุดร้องไห้ เพราะเขาไม่อยากให้เด็กชายนั้นส่งเสียงในขณะที่พวกเขาจะหลบหนี แต่เขาก็ไม่อยากทิ้งเด็กคนนี้ไว้เช่นกัน เขาคว้ามือของร็อบบี้ก่อนที่จะลุกขึ้น แต่ทว่า...ร็อบบี้นั้นไม่ยอมลุกขยับแต่อย่างใด แต่มือของร็อบบี้ยังคงจับมือของชายหนุ่มอยู่
"พ่อแม่ ทิ้งผมไป..."
ร็อบบี้พึมพำ
"พ่อแม่ทิ้งผมไป ผมไม่เหลืออะไรเลย ที่อยู่ งาน เพื่อน หรืออะไรทั้งนั้น..."
เด็กชายเริ่มกำมือของชายหนุ่มแน่นขึ้น ตัวของเขาเริ่มจะสั่นระริก
"ไม่มีอะไรมีค่าแล้วล่ะครับ"
ชายหนุ่มมองรอบบี้ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว ก่อนที่รอบบี้จะหันมามองชายตรงนั้น
"แม้แต่ชีวิตผมเอง ยังไม่เหลือเลยครับ..."
ร็อบบี้พูดก่อนจะหยิบขวานขึ้นมาจากพุ่มไม้ เขายกขวานเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นสูง
"ขอโทษนะครับ เขาคนนั้น...บังคับให้ผมทำ..."
คนกลุ่มหนึ่งของหมู่บ้านวิ่งไปยังหลุมหลบภัยของหมู่บ้าน ชายหนุ่มวัย 40 ต้นๆ คาดว่าเป็นหัวหน้าของหมู่บ้านยกฝาของหลุมหลบภัยขึ้นมา ภายใต้ฝาครอบนั้นมีบันไดไต่ไปยังห้องลับใต้ดินของหมู่บ้าน
"ลงไป! ลงไปเร็ว ก่อนที่เราจะตายกันหมด!"
เขากล่าวเสียงดัง เพื่อเร่งให้ผู้คนรีบลงไป ผู้คนต่างไต่บันไดลงไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวตาย เมื่อปีนลงมาถึงห้องใต้ดิน เหล่าชาวบ้านทุกคนต่างไปนั่งขดอยู่ที่ริมผนังของห้องด้วยตัวที่สั่นระริกด้วยความหวาดผวา มีเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เขาดูไม่มีท่าทางหวาดกลัวแต่ใด
"แหม...นี่มันช่างเป็นบรรยากาศที่น่าจดจำเสียจริงนะครับ"
ชายหนุ่มในชุดฝรั่งเศสพูดขึ้น มือข้างหนึ่งของเขาแตะที่ปลายตางของตนอย่างเบามือ คำพูดของเขาทำให้เหล่าชาวบ้านมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด
"นะ-น่าจดจำ?" หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น ด้วยเสียงสั่นเครือ
"มันน่าจดจำตรงไหน ผู้คนของเราล้มตายกันจำนวนมากในขณะที่นายบอกว่ามันเป็นเรื่อง...น่าจดจำ?" หัวหน้าของหมู่บ้านกล่าวขึ้นอย่างประชดประชัน ก่อนจะเดินมาผลักไหล่ของชายหนุ่มหวังจะเรรียกสติของชายตรงหน้า "แกไม่มีหัวใจรึยังไง"
"แหม ใจเย็นๆสิครับเมอซิเออร์" เขาพูดพลางฉีกยิ้มอย่างน่าสยอง "ผมแค่รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดครั้งเดียวในชีวิตน่ะ มันควรเป็นเรื่องที่เราไม่ควรลืมมันเท่านั้นเอง เพราะมันจะเกิดเพียงแค่ ครั้ง-เดียว-ใน-ชีวิต"
สายตาของคนในหมู่บ้านต่างจ้องมองเขาด้วยนัยตาที่สั่นระริก บ้างก็พยายามขยับตัวให้ห่างจากเขามากขึ้น
"แก...เป็นใคร" เสียงของชายหัวหน้าหมู่บ้านถามด้วยน้ำเสียงติดอ่าง
ชายหนุ่มในชุดฝรั่งเศสน้อมตัวลงช้าๆ
"ผม โจเซฟ น่ะครับคุณเมอซิเออร์" ชายหนุ่มพูดพลางค่อยหยิบกล้องที่พกติดตัวขนาดเล็กขึ้นมา แล้วกวาดสายตามองทุกคน "ในเมื่อนี่เป็นโอกาสเดียวที่จะเกิดขึ้น มาถ่ายรูปกันสักหน่อยดีไหมครับ" เขาพูดพลางถ่ายรูปทีละรูป เสียงของชัตเตอร์ดังขึ้นทุกครั้งที่เขากดถ่ายรูปรูปใหม่ขึ้น ในขณะที่เขาเขากำลังถ่ายรูปเขาก็พลางพูดว่า
"รู้ไหมครับ ภาพถ่ายน่ะ มันทำให้จดจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในเหตุการณ์ เหตุการณ์นั้น" เขาหยุดชั่วครู่ก่อนที่เขาจะหยุดชะงักการถ่ายภาพ "แต่ว่าภาพนั้นมันก็ยังเป็นแค่ภาพถ่าย ไม่ได้มีชีวิตจริงๆ"
สีผิวของโจเซฟค่อยๆเปลี่ยนสีที่ละน้อย ผิวของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเทา ผมสีครีมของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด สีเสื้อน้ำเงินหรูหราเริ่มหม่นลงที่ละน้อย
"แต่การทำให้ภาพนั้นมีชีวิตน่ะ มันต้องผนึกวิญญาณของคนในภาพลงไป ตัวตนของคนคนนั้นจะหายไป....ผมน่ะอยากได้ภาพแบบนั้นมากเสียจริง ภาพที่มีชีวิต"
โจเซฟค่อยๆลดกล้องที่บังใบหน้าของเขาลงมา เผยให้เห็นรอยร้าวลึกสีดำที่ใบหน้า และดวงตาที่ดำมืดไปหมด ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ส่วนของตาขาวหลงเหลืออยู่ในดวงตาของเขา
"มาถ่ายรูปกันอีกสักหน่อยไหมครับ..."
.
.
.
.
.
.
-------------------------------------
ทำไมเหตุการณ์ถึงเป็นแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีเหตุการณ์อะไรก่อนหน้าบ้าง
ซึ่งตอนหน้าไรท์จะย้อนความตั้งแต่ต้นให้นะคะ
ติดตามนะคะะะ อันนี้คือแค่บทนำเฉยๆ
นี่คือนิยายเรื่องแรกไรท์เลยก็ว่าได้ที่ได้เริ่มเขียนเนี่ย55555
ผิดพลาดประการไหนก็ขอโทษด้วยนะคะะะ
ชิพที่ไรท์อยู่ที่จะมีเยอะๆก็
แจ๊คเอมม่า โจเซฟเฮเลน่า และอาจจะมีโมเม้น
ของคู่อื่นด้วยนะคะะ
อย่าเบียดเรือนะ ไรท์ขอร้อง T-T
-------------------------------------
ไรท์นอกจากคู่หลักมีคู่ไหนอีกบ้างหรอ
HBD อิไลด้วยนะ
My love is hunter ใช่ไหมคะ
ขอเเบบมัน ๆ เลยนะ เพราะคนเเต่งอีกเรื่องหยุดไปนานมากเเล้ว
ตัดจบได้โหดร้ายมากค่ะ#ค้างบนยอดดอย
สู้ๆนะคะไรท์
จะรอน้าาาา