ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF - TAOKACHA] 'ALL IS YOU'

    ลำดับตอนที่ #23 : SF - SWEET CREAM [11]

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 55













    # PART 11 #

     

     







     

     

    ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆของอะไรซักอย่าง








     

    ผมลุกขึ้นนั่ง เปิดปากหาวซะกว้างพลางบิดขี้เกียจตามปกติในเวลาที่ตื่นนอน ก่อนจะสำนึกได้ว่าผมเนียนมานอนที่คอนโดของคชาอีกแล้ว แถมคราวนี้ยังกล้าดีถึงขนาดที่ขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกับเขาเลยด้วยซ้ำ






     

    ว่าแต่ไอ้กลิ่นหอมๆนี่มันอะไรกันนะ?






     

    ขณะที่ผมกำลังสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อกักเก็บกลิ่นหอมยามเช้านั้น คนข้างกายผมก็ค่อยๆเริ่มขยับตัวพลิกไปพลิกมา จนสุดท้ายก็กลิ้งไปอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียง มือผมเลยถูกดึงให้ตามไปด้วยเสียอย่างงั้น

     






     

    และนี่ก็ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง









    ...นี่ผมนอนจับมือกับคชามาทั้งคืนเลยเหรอวะ!










     

    ผมหน้าแดง ก่อนจะค่อยๆแกะมือตัวเองออกจากมือเขาด้วยความพยายามอันน้อยนิด พยายามแล้วพยายามอีกมันก็ไม่หลุดซักทีนะครับเนี่ย (ตอแหลจริงมึง)

     







     

    ก็แหม ขอสักนิดเถอะครับ











     

    “คชา ตื่นได้แล้วครับ”






    และเมื่อผมลักกุมมือเขาจนพอใจ ผมก็เริ่มเขย่ามือเพื่อปลุกเขาเบาๆ คชาขยับตัวนิดๆก่อนจะนิ่งไปอีกครั้งจนผมหลุดขำ ความจริงเขาก็เป็นคนที่ขี้เซามากๆคนหนึ่งเหมือนกันนะผมว่า ตอนนี้แปดโมงกว่าๆแล้วครับ นัดกันสิบโมง ปล่อยให้เขานอนไปเรื่อยๆยังไงก็ยังได้ แต่มือที่ยังจับไม่ยอมปล่อยนี่สิที่เป็นปัญหา นี่ผมกะจะไปปิ้งขนมปังเป็นอาหารเช้าให้เขาซักแผ่นสองแผ่น แต่พอโดนกุมมือไว้แบบนี้ก็พาให้ไม่อยากจะปล่อย ไม่อยากจะห่างจากเขาเลยสักนิด

     



     

    “คชา...”

     




     

    ผมเริ่มเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขายังคงไม่ขยับตัว คชาหันหน้ามาทางผมทั้งๆที่ตัวยังอยู่อีกทาง เขาพยายามอย่างมากที่จะลืมตาแต่ทำอย่างไรมันก็ยังคงปิดอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายเขาเลยตัดสินใจทำแค่ขยับปากเพื่อพูดคุยกับผมแทน

     





     

    “อะไร...อะไรเต๋า”

     





     

    ผมยิ้มกว้างเมื่อเขาหันหน้าลงไปฝังกับหมอนอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นอะไรแบบนี้จากคชา มุมมองน่ารักๆอีกมุมหนึ่งของเขายามตื่นนอน ขี้เซาและตื่นยากจนผมเหงื่อตก แต่มันก็มีความสุขดีที่ได้มานั่งปลุกเขาแบบนี้ แถมผมยิ่งปริ่ม (ดูมันใช้คำ) ขึ้นไปอีกเมื่อชื่อผมเป็นสิ่งแรกที่ถูกเขาพูดขึ้นมาในเช้าวันนี้



    อาจจะดูเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ถ้าหากมันออกมาจากปากของคนที่คุณให้ความสำคัญแล้วนี่มันยิ่งกว่าคำว่าความสุขเสียอีกนะครับ

     






     

    “คชา คาชา...า ตื่นได้แล้วครับ สิบโมงแล้วนะ”


    “อือ...สิบโมง! เฮ้ย!

     






     

    คชาฝังหน้าลงไปในหมอนอย่างรำคาญ แต่เมื่อประมวลผลได้แล้วว่าผมพูดอะไรไปเขาก็กระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงทันทีจนผมตกใจ คชาทำท่าจะพุ่งตัวลงจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำแต่ก็ติดอยู่ตรงมือที่จับกันไว้นี่แหละครับ พอเขาเห็น สายตาเขาก็ค่อยๆไล่มองจากมือที่กุมกันอยู่ ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆจนเราสบตากันพอดีเป๊ะ จากนั้นเขาก็แก้มแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

     





     

    “ปล่อยเลย...จะอาบน้ำ”


    “เต๋าล้อเล่นน่า นี่เพิ่งแปดโมงครึ่งเอง”


    “อ้าว...เต๋า!


    “ก็ถ้าไม่พูด คชาจะตื่นมั้ยล่ะครับ”






     

    ผมยิ้มเมื่อเขาทำท่าจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนที่คชาจะต้องทำหน้าบึ้งปากยื่นปากยาวเพราะดันถูกผมดึงเอาไว้เสียก่อนที่จะได้นอนสมใจอยาก ผมคว้าตัวเขาให้ลงมาจากเตียงแล้วดันๆให้คชาเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ เขายึกๆยักๆอยู่สักพัก มองหมอนตาละห้อยจนผมเริ่มจะใจอ่อน แต่สุดท้ายเมื่อดิ้นยังไงเขาก็เห็นว่าไม่มีทางชนะผมได้ก็เลยยกมือขอยอมแพ้ แล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในห้องน้ำเองด้วยความสมัครใจ



    คชาหันมาแลบลิ้นให้ผมแล้วเดินหน้ายู่เข้าไปอาบน้ำแต่โดยดี ผมยิ้มกว้างไล่หลังเขาไป อ่า...เช้านี้ผมยิ้มกว้างขนาดไหนกันนะ ให้ตายสิ ไอ้อาการที่เหมือนตัวจะลอยๆแบบนี้มันอะไรกัน ไอ้การที่รู้สึกว่าเหมือนหัวใจจะลอยตามเขาไปด้วยทุกที่เนี่ย

     









     

    ผมยังปกติอยู่รึเปล่าครับ?

     









     

    กว่าจะลากคชาไปอาบน้ำได้ตอนนี้ก็ปาเข้าไปแปดโมงสี่สิบห้าแล้วครับ ตอนแรกกะว่าจะทำอาหารเช้าสักหน่อย แต่พอลองค้นๆตู้เย็นเขาดูแล้วก็พบว่าไม่มีอะไรเลยนอนจากขวดน้ำเปล่าโง่ๆสามสี่ขวด บนตู้เก็บของก็มีแต่ซองโกโก้ร้อนกับชาเขียวเต็มไปหมดจนผมไม่แน่ใจว่าเขากินลมชมอากาศเป็นอาหารหรืออย่างไร


    แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นสุดท้ายผมก็ชงชาเขียวไว้ให้เขาแทน อย่างน้อยมีอะไรรองท้องไว้ก่อนก็ยังดีครับ เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินระหว่างทางที่ไปห้องซ้อมก็ได้


    พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยผมก็นั่งรอเขาอยู่ที่เตียงไปเรื่อยๆอย่างคนไม่มีอะไรจะทำ พอว่างเข้าซักหน่อยในหัวมันก็พาให้คิดไปถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมาเจอกับเขา คงต้องขอบคุณร้านเค้กของพี่ไทด์กับบัตเตอร์คาราเมลล่ะมั้งครับ อ้อ  ไอ้แพรวด้วยที่มันอุตส่าห์ยัดเยียดงานยากมาให้ผม ถึงมันจะไม่ค่อยยากเท่าไหร่นักก็เถอะพอได้มาลองทำดูจริงๆ

     










     

    จะว่าไปนี่...












    ความจริงผมต้องสัมภาษณ์เขาใช่มะ...















    .





    ..








    ...










    ชิบหาย!!!











     

    นี่คือกูมาขลุกอยู่กับเขาจะเดือนนึงแล้วนะเว่ยเฮ้ย! แต่กูเสือกสัมภาษณ์เขาไปได้แค่สี่ข้อเองเนี่ยนะ! รูปที่จะเอาไปใช้ได้ (ไม่ใช่อันที่ถ่ายเก็บไว้ดูส่วนตัว -_-) ก็ยังมีไม่ถึงสิบรูป ตายห่าแล้วไงกู!

     




     

    ผมเอาหัวโขกหมอนให้กับความโง่งี่เง่าของตัวเองอยู่สามสี่ครั้งแล้วก็เลิกครับ เพราะดันเกิดความรู้สึกว่าตัวเองนี่มันปัญญาอ่อนสิ้นดีขึ้นมากะทันหัน แต่ก่อนที่จะได้ขยับตัวไปทำอย่างอื่นที่มันมีสาระมากกว่านี้ ผมก็นึกขึ้นมาได้อีกเรื่อง

     




     

    ...กูจะเอาชุดที่ไหนใส่ไปซ้อมฟะ!

     





     

    เอาล่ะ นี่คือปัญหาที่ใหญ่มากๆสำหรับผมแล้วในตอนนี้ ขณะที่กำลังจะเอาหัวลงไปโขกกับหมอนอีกครั้ง คชาก็เดินออกมาเสียก่อน

     




     

    “...ทำอะไรน่ะเต๋า”


    “เอ่อ เปล่าครับ คือ คชามีชุดให้ผมยืมมั้ย”


    “จริงด้วย ชุดเมื่อวานก็เป็นชุดนักเรียน...ใส่เสื้อบอลออกไปได้มั้ยฮะ”

     






     

    ลงท้ายผมก็ออกจากคอนโดคชามาด้วยเสื้อบอลสีน้ำเงินกับกางเกงสามส่วนขาสั้นสีดำของป้าข้างห้อง ส่วนคชาก็เสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงสามส่วนสีขาว คชาเอาไม้กลองใส่กระเป๋ากับแบกกีตาร์ไฟฟ้ามาด้วย พอผมบอกเขาไปว่าผมไม่มีเบส เขาก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรแล้วบอกว่าค่อยไปแลกกับไอ้เฟรมเอา พอผมทำหน้างงใส่ เขาก็เลยเสียสละเวลามาอธิบายให้ผมฟังว่าเฟรมมันมีเบสแต่เสือกชอบเล่นกีตาร์มากกว่า เพราะงั้นส่วนใหญ่มันเลยมาขอยืมกีตาร์ของคชาเพราะเงินที่มันเก็บยังซื้อกีตาร์ตัวโปรดที่มันเล็งอยู่ไม่ได้


    พอผมถามว่าแล้วทำไมแม่งไม่ซื้อกีตาร์ตั้งแต่แรก คชาก็หลุดขำพร้อมคำบอกเล่าที่ทำเอาผมอดจะคิดไม่ได้ว่าไอ้เฟรมนี่แม่งโง่ที่สุดในจักรวาล


    เพราะมันเสือกคิดว่าเบสคือกีตาร์ครับ แล้วก็เสือกจัดการสอยเบสมาเรียบร้อยด้วยเงินเก็บก้อนแรกของมัน พอกลับมาลองเล่นถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่กีตาร์ แล้ววันนั้นไอ้เฟรมก็มาคร่ำครวญกับคชาแบบจะเป็นจะตาย สุดท้ายคชาเลยให้มันยืมกีตาร์แทน


    และกว่าจะออกจากคอนโดมาได้ผมก็โดนพี่ยามหน้าคอนโดบ่นแบบนอนสต็อป ขอโทษไปประมาณห้าสิบกว่าครั้งได้พี่เขาถึงจะยอมยกโทษให้ คชาหัวเราะนิดๆตอนที่เราหลุดออกมาได้ แล้วผมก็เดินบ่นออกมาตลอดทางที่ต้องเดินไปบีทีเอส ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง คนยังไม่เยอะเท่าไหร่เพราะเป็นวันหยุดและเลยเวลาทำงานมาเยอะแล้ว


    พอมาถึงหมอชิตผมก็โทรถามทางไปห้องซ้อมกับไอ้เฟรม ระหว่างทางที่เดินไปก็หาซื้อของกินประทังชีวิตไปด้วยเรื่อยๆ จนจากตอนแรกที่เดินกันมาตัวเปล่า ตอนนี้ของกินเต็มไม้เต็มมือเลยครับ ผมขำปนทึ่งนิดๆตรงที่ในมือคชามีแต่สตอเบอร์รี่ ทั้งขนมปังไส้แยมสตอเบอร์รี่ คุกกี้รสสตอเบอร์รี่ น้ำปั่นสตอเบอร์รี่ และอะไรอีกมามายที่ลงท้ายด้วยสตอเบอร์รี่ทั้งหลายของเขานั่นแหละครับ












     

    เมื่อเดินมาถึงหน้าตึกพาณิชย์ที่สูงสี่ชั้น ผมก็เห็นไอ้โปเต้กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล และด้วยความที่ผมเป็นคนดีมาก เพราะงั้นเลยขอเข้าไปแกล้งมันซักหน่อยเหอะครับ ด้วยการเอาขนมตาลยัดปากมันไปก้อนนึงเต็มๆ ไอ้นี่เลยหันมาทำท่าจะตบหัวผม แต่แน่นอนว่าผมไวกว่า เอี้ยวตัวหลบนิดๆหน่อยๆแล้วจัดการเอานิ้วชี้จิ้มขนมตาลในปากมันให้เข้าไปลึกมากกว่าเดิมทันที





     

    “ไอ้เอ้ย! ไอ้อัอเอ๋า! ไอ้แอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

     






     

    ผมแปลได้คำสรรเสริญมาว่างี้ครับ ไอ้เหี้ย ไอ้สัสเต๋า ไอ้แสรดดดดดดดดดดดดดดดดด


    (แล้วกูจะแปลด่าตัวเองเพื่ออะไร)

     






     

    มันพูดอู้ๆอี้ๆอยู่ซักพักจนผมขำกลิ้ง ท่ายกมือข่วนอากาศไปมาแม่งโคตรฮา มันชี้ๆไปที่โทรศัพท์แล้วทำท่าทางประมาณว่าใครก็ได้มารับไปคุยต่อที คชาที่ยืนขำอยู่ข้างๆผมเลยอาสารับไปแทน ไอ้โปเต้เลยส่งเสียงอู้อี้ๆขอบคุณแล้วหันมามองผมตาขวาง ปากมันก็พยายามที่จะต้อนกลืนไอ้ก้อนขนมลงคอไปให้หมด เป็นภาพที่ดูแล้วเจริญหูเจริญตาในด้านอารมณ์ดีจริงๆครับ





     

    “แค่กๆ ไอ้เต๋า มึงตายแน่ มึงตายยยยยยยยยยยยยยยยย!!






     

    พอกลืนทุกสิ่งลงคอหมดมันก็เริ่มวิ่งไล่ฆ่าผมแล้วครับ แน่นอนว่าใครจะยอมอยู่เฉยๆล่ะวะ ผมเลยกระโดดผลุงมายืนหลบอยู่ข้างหลังคชาเรียบร้อย เป็นท่าที่แมนใช้ได้เลยทีเดียว

     






     

    “ไอ้เต๋า!!


    “กล้าก็เข้ามาๆ ฮ่าๆๆๆๆ”

     









     

    ผมกวนตีนมันไปอีกดอก เลยได้ส้นตีนมากินไปเต็มๆ

     










     

    “เล่นกันอยู่นั่นแหละไอ้พวกเชี่ย! ขึ้นมาเร็วจะได้เริ่มซ้อม!

     






     

    และไอ้ตัวการที่ปารองเท้าลงมาจากทางหน้าต่างก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ไอ้ต้นอ่ะแหละ แม่งอยู่ตั้งชั้นสี่ยังจะมีความพยายามสูงที่จะปะทุร้ายผมอีก รองเท้ามันปะทะเข้ากลางกบาลผมเต็มๆแบบไม่เบาเลยซักนิด เรียกเอาความสะใจของไอ้โปเต้ได้ดีเลยล่ะ แม่งนั่งฮาอยู่ตรงหน้าผมนี่แหละครับ






     

    “มึงก็อุตส่าห์ปารองเท้าลงมานะ! ถ้าโดนคชาขึ้นมานะมึง!







     

    ผมหยิบรองเท้าที่โหม่งลงมาโดนหัวผมเมื่อกี้แล้วยกขึ้นมาชี้หน้ามันอย่างเอาเรื่อง เมื่อกี้ตัวผมกับคชาอยู่ใกล้กันนิดเดียว ถ้าโดนคชาขึ้นมากูไม่ไว้มึงแน่ไอ้ต้น!







     

    “อย่ามัวแต่เห่าไอ้เต๋า! ขึ้นมาซ้อม! ไอ้เต้ด้วย กูใช้ไปโทรสั่งพิซซ่าแค่นี้แม่งนานจริง!


    “กูโดนไอ้เต๋าถ่วงเวลา!


    “มึงอย่าโทษกูไอ้เต้ เดี๋ยวปั้ดเหนี่ยว แล้วรองเท้านี่มึงก็อย่าหวังว่าจะได้คืนเลยนะไอ้ต้น! กูจะเอาไปทิ้งให้หมาแม่งแดก!


    “เรื่องของมึงเหอะ จะทำเชี่ยอะไรก็ทำไป ยังไงแม่งก็ไม่ใช่ของกูอยู่ดี ของไอ้เฟรมโน่น”

     







     

    มันหัวเราะหึหึแล้วหายหัวเข้าห้องซ้อมไป ไอ้เต้ส่ายหัวหน่อยๆก่อนจะไอค่อกแค่กเพราะต้องตะโกนคุยกันตั้งสี่ชั้น ส่วนคชาก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้ไอ้โปเต้ไป

     




     

    “พิซซ่าว่าไงบ้างคชา”


    “เต้กดวางสายไปก่อนที่คชาจะทันได้คุยอ่ะ”

     










     

    ความเงียบเข้ามาปกคลุมพวกเราทั้งสามคนทันที ผมเดินเคียงคู่กับคชาขึ้นบันไดไปเงียบๆ ในมือถือของกินเอาไว้มากมาย ส่วนไอ้โปเต้ก็เดินตามหลังมาอยู่ไม่ห่าง ปากพึมพำซ้อมคำแก้ตัวไปบอกไอ้ต้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมชักจะเห็นใจ แต่ขอโทษนะเพื่อน โดนด่าไปคนเดียวเถอะ!


    แน่นอนว่าพอมาถึงห้องซ้อมผมก็เอาขนมตาลยัดปากไอ้ต้นที่เตรียมจะบ่นทันทีอย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลา มันมองผมซะตาขวาง แต่คงจะถูกใจกับรสชาติของขนมตาลเลยไม่ได้โวยวายเอาเรื่องอะไรหลังกินเสร็จ ส่วนไอ้โปเต้ก็ยืนตัวลีบอยู่ข้างๆคชาโน่น


    คนตัวเล็กเดินไปแลกเครื่องดนตรีกับไอ้เฟรมพร้อมกับแจกจ่ายกระดาษโน้ตเพลงไปด้วย ไอ้เฟรมดีใจใหญ่ที่ได้เจอกีตาร์สุดโปรดของมัน พอเห็นไอ้เชี่ยนั้นมันดี๊ด๊ากอดจูบลูบคำกีตาร์ซะอย่างกับมันเจอเมียที่พลัดพรากจากกันไปนานแล้วพวกผมก็พากันฮาครืน ก่อนที่คชาจะเดินมายื่นเบสที่เพิ่งไปทำสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนมาได้ให้กับผม เสียงโห่ร้องแม่งก็ดังขึ้นรอบวงทันที


    ผมเขินจนทำตัวไม่ถูก นาทีนี้ยอมรับตรงๆเลยว่าเขินมาก ยิ่งภาพเมื่อคืนและสัมผัสอุ่นๆที่ข้างแก้มยังคงไม่ไปไหน เล่นเอาผมไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว เลยได้แต่โวยวายกลบเกลื่อนปิดบังความเขินไปนั่นแหละ

     






     

    “อะไรของพวกมึงห้ะ!


    “ไอ้เต๋าแม่งเขินเว้ยยยย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”












     

    เสือกรู้ทันกูอีก!

     
















     

    ผมไม่สนใจพวกแม่งแล้วครับ รับเบสมาได้ก็ลงมือเช็คเสียงทันที พวกมันพอเห็นผมประจำที่ปุ๊บ ไอ้เฟรมก็ยกกีตาร์คู่ใจขึ้นมาไล่เสียง ตามมาด้วยกีตาร์โปร่งของโปเต้ และกลองที่ค่อยๆตีเป็นจังหวะ และแล้วการซาวด์เช็คที่มั่วที่สุดในชีวิตก็ถือกำเนิดขึ้นมาทันที


    ไอ้ต้นกับไอ้อ้นหยิบกระดาษเนื้อร้องขึ้นมาดู ก่อนที่มันจะตกลงกันว่าเพลง เปลี่ยนจะให้ไอ้ต้นร้องเดี่ยว เพลง หยุดเป็นของไอ้อ้น และ แสงสุดท้ายออกมามันส์คู่ครับ ซึ่งพวกผมก็ไม่ได้ขัดศรัทธา จะทำอะไรก็ทำไปเหอะครับ แค่อย่าให้การฟอร์มวงครั้งแรกของผมล่มเป็นพอใช้ได้


    จังหวะกลองค่อยๆเบาลงก่อนที่ไอ้โปเต้จะขึ้นอินโทรเพลง เปลี่ยนด้วยกีตาร์โปร่งในมือ ให้ความรู้สึกต่างจากต้นฉบับเล็กน้อยแต่ก็เพราะดีครับ แล้วหลังจากนั้นไอ้ต้นก็ใช้เสียงหวานๆแต่โคตรทรงพลังของมันร้องขึ้นมากล่อมพวกผมทันที







     

    กูเกือบจะลืมคอร์ดเบสก็เพราะฟังเสียงมึงเพลินนี่แหละไอ้ห่า Orz

     







     

    พอเพลงนี้จบไอ้อ้นก็เปลี่ยนมาจับไมค์บ้างครับ เพลง หยุดที่ถูกเพิ่มจังหวะขึ้นโดยคชาทำให้มันดูสนุกมากขึ้น งานนี้ก็โยกซ้ายโยกขวากันทั้งเพลงเลยครับ แถมมีอยู่ตอนนึงที่ไอ้โปเต้มันเอื้อมแขนไปหยิบขวดน้ำมาดื่ม แล้วเสือกเอามือไปโดนสายกีตาร์จนมันดังผิดจังหวะขึ้นมาซะลั่น พาเอาพวกผมล่มกันไปรอบ มันเลยโดนไอ้เฟรมสรรเสริญบาทาไปทีจนได้แต่นั่งหงอไม่กล้าขยับไปไหนเลยอีกต่อไป


    และต่อไปก็คือเพลง แสงสุดท้าย เพลงนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าคชาตีกลองเก่งมากครับ แถมยังเข้ากับไอ้เฟรมสุดๆไปเลยด้วย เพราะอยู่ดีๆคู่นี้เขาก็เปลี่ยนจังหวะกันเฉยเลย ไอ้ผมที่ได้แต่ยืนบื้อไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่คนเดียวเลยได้แต่มองตามมือไอ้เฟรมแล้วก็พยายามเล่นให้เข้าจังหวะนี่แหละครับ


    ซ้อมกันไปเรื่อยๆตั้งแต่สิบโมงกว่าๆจนตอนนี้ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งแล้วครับ ส่วนไอ้ขนมที่ผมกับคชาเดินซื้อกันมาก็อันตรธานหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสืบหาคนกิน พอท้องเริ่มร้องไอ้ต้นก็เพิ่งนึกขึ้นได้ครับ

     






     

    “ไอ้เต้ พิซซ่าอยู่ไหนวะ”

     







     

    สะดุ้งซะสุดตัวเลยครับทีนี้ มันมองผมสลับกับคชาไปมา สุดท้ายก็เลยยอมรับสารภาพตามตรง และไม่ต้องคิดครับ โดนไอ้ต้นตบหัวไปทีอย่างไม่ต้องสงสัย











    ไม่ใช่มันที่โดนนะครับ กูเนี่ยแหละที่โดน!



     

    “เชี่ย! ตบกูทำไมวะ!

     




     

    ผมโวยวายเอาเรื่องมันเพราะเมื่อกี้หัวเกือบทิ่มไปจมกับกองขยะ ทนฟังมันด่าไปเรื่อยๆก็สรุปว่าพวกเราจะออกไปหาอะไรกินกันที่สยามครับ ตอนแรกไอ้อ้นก็ขัดขึ้นมาว่าจะไปแม่งทำไมตั้งไกล แต่ทุกอย่างก็สรุปลงตัวได้ด้วยดีเมื่อไอ้โปเต้โดนไอ้ต้นบังคับให้ออกค่าบีทีเอสไปสยามให้ทุกคน สบายกันไปล่ะครับงานนี้ ฮ่าๆๆๆ


    พออกมาจากห้องซ้อมปุ๊บ ผมก็คว้ารองเท้าของตัวเองกับของคชาแล้วจับมือเขาลากลงบันไดไปทันที ส่วนไอ้ต้นก็รีบใส่รองเท้าแล้ววิ่งตามผมลงมา และไม่ต้องพูดถึงไอ้โปเต้ เชี่ยนั่นเร็วที่สุดครับ วิ่งนำลงไปก่อนผมอีก


    เลยเหลือยืนโง่กันอยู่แค่ไอ้อ้นกับไอ้เฟรม และเมื่อไอ้เฟรมมันเริ่มเห็นถึงสิ่งที่ผิดปกติ เสียงตะโกนลั่นตึกไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องก็ดั่งสนั่นทันทีจนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู




















     

    “เฮ้ย! รองเท้ากูหายไปไหนข้างนึงวะ!!

     






     

    กูขอโทษนะไอ้เฟรม กูเอาไปโยนให้หมาแดกเรียบร้อยแล้วว่ะ

     










     

     

    -----------------------------> TAOKACHA <----------------------------

     










     

     

    “เอาเรื่องอะไรดีพวกมึง”


    “นี่ๆ เรื่องนี้ๆ”


    “ปัญญาอ่อนชิบหายหนังห่าอะไร ดูเรื่องนี้ดีกว่า”


    “หนังมึงนั่นแหละปัญญาอ่อน เรื่องนี้เหอะ”


    “สรุปดูเรื่องนี้ ยอดมนุษย์เงินเดือน จบนะ”


    “โห่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

     










     

    ไม่ต้องแปลกใจกับบทสนทนาข้างบนนะครับ





    ณ จุดนี้พวกเรามาอยู่กันที่นี้ครับ โรงหนังสยาม

     










     

    ไม่ต้องซ้อมกันแล้วครับดนตรี -___-






    ก็ตอนที่เดินหาอะไรกินกันเมื่อกี้ อยู่ดีๆไอ้ต้นมันดันเสือกพูดเรื่องหนังเข้าใหม่ของเดือนนี้ขึ้นมาครับ จากนั้นก็คุยเรื่องนี้กันไปเรื่อยๆจนกินข้าวกันเสร็จ แล้วเราก็เดินมาจบลงที่นี่ได้ยังไงผมก็ไม่สามารถทราบได้ครับ


    เถียงเรื่องหนังที่จะดูกันไปเรื่อยๆก็มาจบลงที่ความคิดผมครับ เห็นเขาบอกว่าหนังเรื่องนี้สนุกมาก ใครไม่ดูนี่พลาดสุดๆครับ เพราะฉะนั้นก็ดูเรื่องนี้นี่แหละ (กูจะได้ค่าโฆษณามั้ย)


    พวกมันโห่กันซักพักไอ้ต้นกับไอ้อ้นก็เดินแยกย้ายไปซื้อตั๋ว ส่วนไอ้เฟรม (ที่หมดเงิน199 บาทไปกับรองเท้าแตะคู่ใหม่ที่หน้าปากซอย) กับไอ้โปเต้ก็เดินไปซื้อข้าวโพดคั่วกับเครื่องดื่มกันครับ แถวยาวมาก จากที่ผมประเมินไว้น่าจะใช้เวลาซักสิบนาที เลยมองหาอะไรทำแก้เบื่อแทน


    พอตาเหลือบไปเห็นตู้เล่นเกมส์ก็กระโจนเข้าไปหาแบบไม่ต้องรอกันเลยครับ ผมลากคชามาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เกมส์กีตาร์ฮีโร่ เคยเล่นกันมั้ยครับ หรือสมัยนี้เค้าเล่นกันแต่ซุปเปอร์จูเนียร์เชคในไอโฟนกันแล้ววะ Orz


    ผมหยอดเหรียญสิบสองเหรียญ รอมันโหลดซักพักก็มาจัดการเลือกตัวที่จะใช้เล่นกันครับ ระหว่างนี้ผมก็ได้เห็นอีกด้านของคชา เพราะพอผมท้าไปปุ๊บ คชาก็รับคำท้าทันทีครับ ดวงตากลมโตมุ่งมั่นมากกับการเลือกตัวละครที่เท่ที่สุด แถมยังกดเลือกระดับเกมส์เป็นเอ็กซ์ตรีมอีกด้วยครับ

     





     

    “ไหวเหรอคชา เอ็กซ์ตรีมมันไม่ง่ายนะครับ”


    “ไว้รอดู”









     

    คชาตอบผมแล้วกดปุ่มตกลงหลังเลือกกีตาร์เสร็จ ผมเลยจัดการกดตกลงตัวละครของผมบ้างครับ จากนั้นเสียงเพลงก็ดังขึ้นพร้อมกับปุ่มสีๆทั้งสี่สีที่ถูกผมกับคชารัวกดลงไปแบบไม่ยั้งมือทันที ผมเพิ่งรู้วันนี้แหละว่าคชาเซียนเกมส์แค่ไหน เฮ้ย! เมื่อกี้เขากดคอมโบได้สี่ครั้งติดเลยอ่ะ!










    สุดท้ายผมก็แพ้ครับ Orz













     

    ไอ้ต้นที่ซื้อบัตรเสร็จแล้วมาตะโกนเรียกพวกผมเพราะหนังกำลังจะเริ่มแล้ว พอผมขอตั๋วมันก็ไม่ให้ครับ ผมก็ไม่ได้อะไร ปล่อยให้มันถือตั๋วหกใบเข้าโรงหนังไป ผมหันไปรับน้ำกับป๊อบคอร์นมาจากไอ้เฟรม แล้วจากนั้นพวกเราก็เดินเรียงแถวเข้าโรงหนังตามไอ้ต้นไป









     

    และผมก็แทบจะตบไอ้ต้นให้หัวทิ่ม










    ก็แม่งแกล้งกูอีกแล้วไงครับ!












     

    มันจองตั๋วให้ผมกับคชาแยกกับคนอื่นลงไปสามแถว ส่วนพวกมันสี่คนก็นั่งด้วยกันนั่นแหละครับ ไม่รู้จะด่าหรือจะกราบขอบคุณมันดีที่อุตส่าห์หวังดีสร้างโอกาสอันสวยงามให้ผมกับคชา แต่มันอาจจะลืมอะไรไปบางอย่าง…=___=

     







     

    ก็ไอ้หนังที่เรามาดูกันเนี่ยแม่งหนังคอมเมดี้นะเว่ยเฮ้ย!













    แต่ผมก็ไม่ได้ขัดครับ นั่งกับคชาสองคนก็สบายเหมือนกัน J













     

    นั่งดูโฆษณาไปเรื่อยๆผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆว่ะครับ ทำไมคนมันน้อยจังวะ หนังเพิ่งเข้าเมื่อวานเองนะเว่ย แถมเขายังบอกกันมาว่าสนุกมากๆด้วย แล้วไหงคนแม่งไม่มีเลยวะ แถวที่ผมกับคชานั่งมีคนแค่ห้าคนเองครับ ถัดจากผมไปประมานสี่เก้าอี้มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นผู้หญิงกำลังนั่งกอดกันกลม

     







     

    เอ่อ...น้องครับ นี่หนังตลกนะไม่ใช่หนังผี!

     











     

    “คนน้อยจัง”


    ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของคชา ก่อนจะยื่นป๊อปคอร์นให้เขาไป

     




     

    ผมกับคชานั่งกินป๊อบคอร์นพร้อมกับดูโฆษณาเรื่อยๆ และพอชื่อเรื่องปรากฏขึ้นบนจอเท่านั้นแหละ คชาก็กอดแขนผมแน่นทันที ผมหันไปมองเขา ก่อนจะหันกลับมาอ่านชื่อเรื่องอีกครั้ง แล้วผมก็แทบจะกระโดดไปตบหัวไอ้ต้นให้มันหลุดไปให้รู้แล้วรู้รอด!

     







     

    ก็หนังที่แม่งไปซื้อตั๋วมาเสือกเป็นหนังผีอ่ะดิ!

     







     

    ไม่น่าล่ะมันถึงไม่ค่อยมีคน ไม่น่าล่ะน้องผู้หญิงกลุ่มนี้ถึงได้นั่งกอดกันกลม ไม่น่าล่ะมันถึงได้ปล่อยให้ผมกับคชามานั่งกันอยู่สองคน

     








     

    หนอยมึง







    แผนสูงนักนะ!

     










     

    แต่ยังไงก็เถอะ...










    ขอบคุณมากว่ะเพื่อน!

     

     









     

    -----------------------------> TAOKACHA <----------------------------

     

     









     

    หนังจบแต่ผมไม่จบครับ




    ผมกำลังจะแปลงร่างเป็นไอ้ฆาตกรในหนังเรื่องเมื่อกี้แล้ววิ่งไล่ฆ่าไอ้ต้นหมกป่ามาก สารภาพว่าผมแทบไม่ได้ดูหนัง ไอ้เงินสองร้อยกว่าบาทที่เสียไปแทบจะศูนย์เปล่า เพราะผมไม่ได้แลตาดูไอ้หนังผีโคตรโหดตะกี้เลยซักนิด!

     






     

    คุณคิดว่าจะมีฉากคชาซุกหัวกับไหล่แล้วผมกอดปลอบเหรอครับ?

     







     

    ฝันไปเถอะ แค่ผมยังเอาตัวเองไม่รอดเลย คชาซุกไหล่ผมก็จริง และไม่ต้องถาม ผมนั่งตัวแข็งหลับตาปี๋ไม่กล้าดูอยู่ข้างๆเขานั่นแหละ!











     

    ตอนนี้ผมกับคชาแยกมาจากพวกมันแล้ว สรุปวันนี้เราซ้อมกันไปได้เพลงละสามรอบเองครับ คิดว่ามั่นใจมั้ย? ตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยครับว่าไม่


    ผมขอไปนอนห้องเขาอีกคืนโดยอ้างเหตุผลว่าพรุ่งนี้ต้องไปประชุมพร้อมกับเขาแต่เช้า ตอนบ่ายก็ต้องไปซ้อมดนตรีต่อ และไม่ต้องห่วงนะครับ พรุ่งนี้ต้องใส่ชุดนักเรียนไปประชุม เพราะฉะนั้นผมจะไม่ประสบปัญหาขาดแคลนเสื้อผ้าอย่างแน่นอน


    พอกลับมาถึงคอนโด คชาก็ขอตัวไปอาบน้ำเพราะเดินร้อนกันมาเกือบทั้งวัน ซึ่งผมที่ไม่มีอะไรจะทำก็ได้ขยับขับเคลื่อนย้ายตัวเองมานอนดูทีวีอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ พอลองคิดย้อนไปถึงวันนี้ก็ต้องยิ้มกว้าง นานแล้วที่ผมไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเล่นไร้สาระกับเพื่อนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเพื่อนนะครับ ผมก็เคยบอกไปแล้วว่าผมไม่ค่อยสนใจอะไรรอบตัวซักเท่าไหร่


    เมื่อก่อนผมจะพยายามทำตัวเงียบๆเพราะไม่อยากจะยุ่งวุ่นวายกับใคร ถึงจะอยู่ชมรมหนังสือพิมพ์ก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วหน้าที่หลักๆของผมก็มีแค่เดินถ่ายรูป พิมพ์ข่าวกับจัดหน้ากระดาษให้มันดูสวยๆเท่านั้นแหละครับ และถ้าจะให้ว่ากันจริงๆ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้มาลงภาคสนามสัมภาษณ์คนตัวเป็นๆแบบนี้


    ส่วนเรื่องที่ต้องสัมภาษณ์คชา ผมทำเรียบร้อยแล้วนะครับระหว่างที่ผมกับเขาไปนั่งกินข้าวเย็นกันเมื่อกี้ คำถามทั้งหมดมีสามสิบข้อ พร้อมกับคำบรรยายนิดๆหน่อยๆ


    อาจจะดูน้อยไปซักหน่อยสำหรับสี่หน้าที่เป็นส่วนของประธานนักเรียนอย่างคชา แต่ผมกะเอาไว้ว่าจะใส่รูปแบบคอมโบเซ็ตครับ เอาให้เต็มอิ่มกันไปเลยแบบไม่ต้องรอของแถม คุ้มสุดๆสำหรับใครที่เป็นคชาเอฟซี


    เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมเลยเอาเรื่องงานมาอ้างตามติดเขาไปไหนมาไหนไม่ได้แล้วไง แต่ถามว่าผมจะห่างจากเขาไหม ตอบเลยตรงนี้ว่าไม่มีทาง!

     










     

    เมื่อวาน แค่ละสายตาไปแปบเดียวยังมีเด็กมายื่นน้ำให้เลย












    แล้วเรื่องอะไรผมจะห่างจากเขาให้มีคนอื่นเข้ามายุ่งวุ่นวายกันล่ะ!













     

    ตอนนี้ก็ได้แต่รอให้เขาเชื่อใจผมให้มากกว่านี้เท่านั้นแหละครับ

     

     










     

    -----------------------------> TAOKACHA <----------------------------

     










     

     

    “ปิดไฟแล้วนะคชา”


    “อื้อ”

     







     

    พอเขาตอบรับ ผมก็กดปิดไฟทันที วันนี้ผมก็ยังได้รับเกียรติให้นอนบนเตียงเคียงข้างกับเขาอยู่เหมือนเดิมครับ


    พอกำลังจะล้มตัวลงนอน คชาก็ดันกระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงซะก่อน

     








     

    “เฮ้ย! อะไรคชา”




    ผมสะดุ้งตามเขาไปอีกคน เลยตะโกนถามเขาเสียงดังลั่นห้อง

     





     

    “เต๋าเอากระดาษตอบคำถามของคชาไปไว้ไหน แล้วได้อ่านรึยัง”




    เขาถามรัวๆ น้ำเสียงติดจะร้อนรนจนผมเริ่มจะนั่งไม่ติดเตียง เกิดความรู้สึกกระวนกระวายตามเขาไปอีกคน ถึงจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้ก็เถอะ





     

    คือไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะผมเขียนคำถามทั้งหมดสามสิบข้อใส่กระดาษแล้วเอาไปให้เขาเขียนคำตอบมาให้ ซึ่งตั้งแต่ตอนที่เขายื่นให้จนถึงตอนนี้ผมก็อ่านคำตอบไปได้แค่สามข้อแรกเองครับ ก็มันไม่ค่อยจะมีเวลานี่นา

     

     

    “ผมเก็บไว้ในกระเป๋า แต่ยังไม่ได้อ่านเลยครับ มีอะไรรึเปล่า”

     

     

    ผมตอบไปตามตรงและถามเขากลับเพื่อคลายความสงสัย คชาส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่มีอะไร เขาหันมายิ้มกว้างให้ผมแล้วกระโดดลงไปค้นๆไอ้กระดาษแผ่นนั้นในกระเป๋า พอเจอแล้วก็เอามาพับเก็บใส่ไว้ลิ้นชัก จากนั้นก็เดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น




    ผมนั่งอ้าปากค้างเพราะความงงระคนไม่เข้าใจ พอกำลังจะเอ่ยถาม คชาก็ดันชิ่งหันหน้าหนีไปอีกทางซะก่อน ผมเลยได้แต่ทิ้งปริศนาไว้ข้างหลัง

     






     

    ตอนนี้ง่วงมากครับ ขออนุญาตกล่าวราตรีสวัสดิ์ J

     










     

     

    -----------------------------> TAOKACHA <----------------------------






















    สวัสดี......................................
    เออ เรารู้ไม่ต้องด่าเรา เรารู้ว่าเราช้า เรารู้ว่าต้องรอ เรารู้!
    ขอโทษที่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย อีกสองตอนจะจบแล้ว
    ตอนหน้าเป็นงานกีฬาวันสุดท้าย(กูตัดได้อุบาดมาก)
    ส่วนตอนจบจะเป็นของแถมนิดๆหน่อยๆ \(*-*)/

    เรื่องต่อไป แต่งไปได้ตอนนึงแล้ว #กูเสียเวลาเพราะอิเรื่องนี้นี่แหละค่ะ
    แต่จะยังไม่ลงจนกว่าสวีทครีมจะจบ Orz

    เอาเป็นว่าเราไม่รู้จะพูดอะไร
    ขอบคุณสำหรับคนที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณมากๆสำหรับคนที่เข้ามาเม้น
    ได้โปรดอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆจนเราแต่ง(ตัดจบ)สวีทครีมลงด้วยดี
    และอยู่ไปนานๆจนเราลงเรื่องอื่นๆต่อไป
    ซ้าธุ... -/\-

    ขอบคุณมากจ้า


    ป.ล. ถ้ามี NC เอาลงที่ไหนดี E-mail or Exteen ?












    13/11/2012
    0:22 @USA

























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×