ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TAOKACHA] SIGNAL CONTROL

    ลำดับตอนที่ #1 : : : SIGNAL CONTROL - 01 :: คุณอดีตผู้จัดการกับความลับ

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 56



    SIGNAL CONTROL




     

     







     

    “น้องเต๋า มาแต่งหน้าทางนี้เลยค่ะ มาค่ะๆ แหม ผิวขาวจังนะคะเนี่ย”




    ผมพยักหน้าพร้อมกับยกยิ้มนิดๆให้กับพี่ผู้หญิงที่ในอดีตเคยมีอะไรๆเหมือนกับผมเป๊ะๆ ก่อนจะนั่งลงให้พี่เขาทำการปู้ยี้ปู้ยำกับใบหน้าของผมได้เต็มที่ ตอนนี้รอบตัวผมโคตรจะยุ่งวุ่นวายกันแบบหัวหมุน พี่ตากล้องเริ่มปรับกล้องและตั้งไฟ ส่วนพี่ทีมงานอีกส่วนก็เดินไปเดินมาเช็คฉากสำหรับถ่ายแบบกันใหญ่ เสียงตะโกนสั่งนู่นสั่งนี่ของพี่ผู้กำกับก็ยังคงดังลั่นไปทั่วห้องถ่ายอย่างน่ารำคาญ ส่วนตัวผมก็ทำได้แค่แอบด่าเขาด้วยความหมั่นไส้ในใจเท่านั้นแหละครับ ในเมื่อผมมานั่งอยู่ตรงนี้ในสถานะตัวประกอบโฆษณาของบริษัทกางเกงยีนส์ยี่ห้อยักษ์ใหญ่ของต่างประเทศนี่หว่า





    เอาล่ะ ผมขออธิบายสถานการณ์ตอนนี้สักหน่อยนะครับ เริ่มจากตัวกระผมก่อนเลย ผมเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มเข้าวงการมาได้แค่สามเดือนเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องขอขอบคุณความเส้นใหญ่ของอดีตรุ่นพี่ในคณะที่มหาวิทยาลัย เอาง่ายๆว่าไปขอรุ่นพี่ที่เป็นผู้กำกับมือดีเขาเล่นเป็นบทเพื่อนพระเอกในหนังเรื่องหนึ่งมาน่ะครับ และจากนั้นก็มีแมวมองมาลากตัวผมไปเล่นหนังอีกเรื่อง ถึงจะไม่ใช่บทพระเอกแต่ก็เป็นถึงคู่รอง ซึ่งไอ้ผมมันก็ได้รับความนิยมพอสมควรครับ มีแฟนคลับเบาๆแบบไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป กำลังค่อยๆเติบโตอยู่ในวงการในฐานะนักแสดงน้องใหม่ไฟแรง





    และวันนี้ ผมก็กำลังจะได้ถ่ายโฆษณาตัวแรกในชีวิตครับ โฆษณากางเกงยีนส์แบรนด์ดังยี่ห้อนำเข้าจากประเทศเยอรมนีอย่าง NEEDS ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น และนอกจากจะเป็นโฆษณาที่ฉายตามช่องต่างๆแล้ว ยังมีโปสเตอร์ขนาดเท่าควายอีกด้วย





    ซึ่งก็ตามที่ผมบอกไปว่าผมมาเป็นแค่ตัวประกอบครับ คือในโฆษณามันจะประมานว่าผมใส่กางเกงยีนส์กากๆยี่ห้ออื่นยืนจีบสาวอยู่ครับ หลังจากนั้นไอ้ตัวเด่นในโฆษณาที่ใส่กางเกงยีนส์ยี่ห้อ NEEDS มันก็จะเดินมาเย้ยๆผมพร้อมกับควงสาวของผมออกไปหน้าตาเฉย ซึ่งผมคิดเอาไว้แล้วว่าในชีวิตจริงถ้ามีใครยอมเลิกกับแฟนเพราะกางเกงยีนส์เพียงแค่ตัวเดียวจริงๆล่ะก็ ผมจะถลาไปซื้อไอ้กางเกงยีนส์ยี่ห้อนั้นทันทีครับ





    และตอนนี้ที่มันวุ่นวายก็ไม่ใช่เพราะอะไร ไอ้ตัวเด่นที่ผมพูดถึงไปมันยังไม่โผล่หัวออกมาสักทีนี่สิครับ พี่ทีมงานโทรตามกันตั้งแต่ยี่สิบนาทีที่แล้วยังไม่ได้หยุดเลยมั้งครับเนี่ย คิดว่าดังแล้วจะสายยังไงก็ได้เหรอ(วะ)ครับ





    “เสร็จแล้วค่ะน้องเต๋า หล๊อหล่อค่ะคนอะไร อยากจิห่อกลับบ้านจริงๆเบยยยย”





    “แหะ ขอบคุณครับ”





    ผมยกยิ้มแหยๆส่งไปให้เจ๊แกแล้วค่อยๆเดินเลี่ยงๆออกมาแบบไม่ให้เป็นที่สังเกตนัก ผมเดินมานั่งรอใกล้ๆกับพี่ตากล้องที่กำลังนั่งเช็คกล้องในมือของเขาอยู่ และพอเขาหันมาเห็นเข้าผมก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยทักทายพี่เขาไปนิดๆ





    พี่ตากล้องคลี่ยิ้มตอบพลางหันกล้องในมือมากดแชะผมไปเสียหนึ่งภาพ ผมได้แต่นั่งอึ้งเพราะเมื้อกี้ยังไม่ทันได้เก๊กอะไรเลยสักนิด แต่เขาที่ดูรูปแล้วดันหันกลับมายกนิ้วโป้งให้เป็นการบอกว่ารูปออกมา เยี่ยมเสียอย่างนั้น





    ผมเป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในวงการ ยังไงก็ต้องทำตัวเรียบร้อยๆให้คนเขารัก เห็นใครก็ไหว้ๆไปไม่ต้องไปคิดมาก พูดเพราะๆ ใจเย็นๆ และมาทำงานให้ตรงเวลา แค่นี้ก็อยู่ในวงการได้อย่างสบายๆแล้วล่ะครับ





    แต่บางคนพอดังแล้วแม่งก็หยิ่ง





    อย่างไอ้คนวันเนี้ย!





    “น้องเบนมาแล้วๆ! เตรียมแต่งหน้าเลยเร็วๆ!





    ผมหันไปมองตามเสียงเอะอะโวยวายที่หน้าประตูห้องถ่าย ก่อนที่บานประตูจะเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงที่สวมแว่นตากันแดดสีดำสนิทเอาไว้พลางส่งยิ้มเก๊กๆมาให้ทีมงาน ตามมาด้วยคนร่างเล็กที่มีใบหน้าบึ้งตึงอีกคนที่เดินตามเข้ามาเกือบจะพร้อมๆกัน และถ้าให้ผมเดาก็คงจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวล่ะมั้งครับผู้ชายคนนั้น





    มาช้าแล้วยังจะขี้เก๊กอีกแหนะ!





    ผมแอบนินทาเขาในใจก่อนจะมองตามคนคนนั้นไปอย่างพินิจพิจารนา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับเขาแบบตัวเป็นๆ เพราะเขาเป็นถึงนักร้องนักแสดงที่กำลังดังสุดๆในวงการตอนนี้ ถึงใบหน้าหล่อเข้มๆออกแนวคนตะวันตกนั่นจะขี้เก๊กซะจนน่าหมั้นไส้แค่ไหน แต่กลับมีแฟนคลับที่คอยติดตามผลงานแบบล้นหลาม และที่ผมแปลกใจก็คือเท่าที่ได้ยินมา เขามีนิสัยที่ขึ้นๆลงๆและเดาอารมณ์ไม่ถูกอย่างรุนแรงทีเดียว แต่ก็ยังมีผู้จัดทำการจ้างงานมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสายนี่สิ





    แต่ผมคิดว่าคงเป็นเพราะเขาสามารถเข้าถึงอารมณ์ของบทเพลงหรือตัวละครนั้นๆได้ดีเยี่ยมล่ะมั้งครับ เพราะฉะนั้นถึงนิสัยจะเสียยังไงแต่ถ้าทำให้งานออกมาดีและดังได้ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะไต่ขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุดได้ขนาดนี้





    และวันนี้ผมก็มีโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเขา ทั้งงานถ่ายโฆษณาและงานถ่ายแบบ จะเรียกว่าโชคดีหรืออะไรดีนะ





     “น้องเบนพร้อมแล้วค่ะ เรามาเริ่มกันเลยแล้วกัน”





    พี่ทีมงานตะโกนขึ้นก่อนที่ผมจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปฟังบล็อกกิ้งอีกหน ผมพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้วพลางเตรียมตัวเข้าฉาก เพราะผมฟังไอ้บล็อกกิ้งอะไรเนี่ยมาสามรอบครึ่งได้แล้วมั้งครับระหว่างที่รอไอ้เบนอะไรนี่มันเสด็จมาน่ะ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากอะไรนักหรอก ผมกับเขาก็แค่ถอดเสื้อเดินไปเดินมาโชว์กางเกงยีนส์เท่านั้นเอง โฆษณาห่าอะไรวะกลวงโบ๋ฉิบหาย ไม่มีเนื้อหาอะไรเลยสักอย่าง แถมโปสเตอร์ยังเป็นแค่ผมกับเขาถอดเสื้อโชว์กางเกงยีนส์มองกล้องแบบง่ายๆอีกต่างหาก ไม่ได้มีความหวือหวาอลังการอะไรเลยสักนิด





    ผมเดินไปเดินมาผ่านหน้ากล้อง สวนกับเขาบ้างอะไรบ้างตามที่พี่ผู้กำกับสั่ง ก่อนจะมาถึงฉากสุดท้ายที่ผมโดนแย่งผู้หญิง จากนั้นเราก็จบการถ่ายโฆษณาในส่วนของผมกันแต่เพียงเท่านี้ครับ เพราะเนื้อหาอีกครึ่งเป็นของเบนนั่นแหละ





    ผมเดินออกจากฉากมา ระหว่างที่กำลังจะไปห้องแต่งตัวก็ผ่านผู้จัดการตัวเล็กของเบนเข้าพอดี ผมเลยยกยิ้มทักทายเขาไปตามมารยาทที่พึงกระทำ หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาดันเป็นใบหน้าบึ้งตึงอย่างกับผมไปเดินเหยียบเท้าเขาซะอย่างงั้น!





    อะไรวะเนี่ย กูอุตส่าห์ทักดีๆนะ





    ผมแอบหันมาเบ้หน้ากับตัวเอง นอกจากนักแสดงจะขี้เก๊กแล้วผู้จัดการยังหยิ่งจนไม่น่าให้อภัยอีกด้วย ไม่ทราบว่าคนสองประเภทนี่มาจับคู่กันได้ยังไงครับ แทนที่จะเจริญลงฮวบๆมันดันดวงขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ซะอย่างนั้น ไอ้ผมล่ะไม่เข้าใจพระเจ้าซะจริงๆ ให้ตายสิ





    หยิบตารางงานมาดูแล้วผมมีเวลาพักตั้งครึ่งชั่วโมงแน่ะครับ ทำไมผู้กำกับเขาไม่ถ่ายโปสเตอร์ก่อนแล้วค่อยถ่ายโฆษณาวะครับ พอหมดคิวแล้วผมจะได้กลับบ้านได้เลย แต่นี่อะไร ต้องมานั่งรออย่างไร้ประโยชน์อีกตั้งครึ่งชั่วโมง มันใช่เรื่องมั้ยล่ะเนี่ย





    บ่นไปก็เท่านั้นแหละครับ ในเมื่อผมมันก็เป็นแค่นักแสดงรากหญ้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง เขาบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ ชี้หมาเป็นหมาชี้ควายก็เป็นควายแหละครับ รอให้ผมดังให้ได้สักครึ่งของไอ้เบนอะไรนั่นซะก่อนเถอะ อยากจะลองมีประสบการณ์เหวี่ยงผู้กำกับและปฏิเสธงานดูบ้างสักครั้งในชีวิตน่ะครับ ไม่มีอะไรมากหรอก





    ผมเข้ามานั่งหลบอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องหนึ่ง คือในนี้มันจะเป็นห้องใหญ่ๆหนึ่งห้อง แล้วข้างในมันก็จะแบ่งเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเล็กๆอีกสี่ห้องน่ะครับ ซึ่งในนี้เป็นที่หลบความวุ่นวายชั้นดีสำหรับผมเลยทีเดียว





    ผมยกขาขึ้นมาวางพาดไว้กับเก้าอี้ที่ใช้นั่งในห้องพลางเอนหลังพิงไว้กับกำแพง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดนู่นกดนี่เช็คสภาพบ้านเมืองไปเรื่อยๆอย่างคนที่ไม่มีอะไรจะทำ





    กึกๆ ตึง!!





    พระเจ้า! เสียงอะไรวะครับ!





    ผมที่นั่งเพลินๆกำลังจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ มือก็กดเล่นเกมส์ในโทรศัพท์ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆมาได้สิบนาทีกว่าๆแล้วสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงกระทบกันของอะไรสักอย่างดังมาจากข้างนอก หัวใจแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาจากอกแล้วมั้ยล่ะเมื่อกี้ ว่าแล้วก็ขอแอบดูสักหน่อยเถอะครับ เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาจะได้หนีทัน





    “ปล่อยกู!





    “หึ!





    เสียงดังที่ลอดเข้ามาทำเอามือที่กำลังจะเปิดประตูออกไปดูชะงักกึก ผมตัดสินใจยืนอยู่เฉยๆแทนที่จะเปิดออกไปรับรู้สถานการณ์ข้างนอก เพราะเสียงทั้งสองเสียงที่ได้ยินมันก็ไม่ใช่ของใครที่ไหนไกล เป็นของผู้จัดการส่วนตัวโคตรหยิ่งคนนั้นกับไอ้เบนนั่นแหละ





    ผมเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลมดีกว่าที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ยิ่งเป็นไอ้เบนยิ่งแล้วใหญ่ เอาเป็นว่าผมยังไม่อยากไปมีปัญหากับดาราดังขนาดนั้นหรอกนะ





    “กูบอกให้ปล่อยกู!





    “พูดอย่างกับไม่เคยไปได้ เงินที่ได้ไปใช้อยู่ทุกวันนี้ก็มาจากร่างกายไม่ใช่หรือไง”





    “สวะตัวไหนล่ะที่บังคับให้กูต้องทำแบบนี้น่ะ ออกไปไกลๆ!





    “ปากดี!!





    เพี๊ยะ!!!





    เสียงตบที่ดังสนั่นทำเอาผมแทบจะห้ามไม่ให้ตัวเองก้าวออกไปแทบไม่ทัน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจบทสนทนาที่เขาคุยกันสักเท่าไหร่นักแต่แค่นี้มันก็ปาเข้าไปเกินครึ่งแล้ว ผมยืนพิงประตูของห้องแต่งตัวเอาไว้พลางยกมือขึ้นมากุมหัวใจเอาไว้แน่น ถึงผมจะไม่ได้ไปรู้จักหรือสนิทสนมอะไรกับผู้จัดการคนนั้นแต่ผมก็อดที่จะสงสารเขาไม่ได้จริงๆ





    “กูเบื่อจะทนกับมึงแล้วเบน กูขอลาออก ปล่อยกูไปสักที”





    “หนี้ที่มึงติดกูอยู่สองแสน ไปหามาคืนให้ได้สิที่รัก หรือไม่ก็ใช้ร่างกายของมึงคืนให้กู ครั้งละสองหมื่นเป็นยังไง มากกว่าใครที่กูเคยให้เลยนะ”





    “อย่าดูถูกกูให้มากนักไอ้เบน ความผิดพลาดของกูจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”





    “หึ ถ้าคิดว่าจะหาเงินสองแสนมาคืนกูได้ภายในสองอาทิตย์ทั้งๆที่ตัวเปล่าแบบนั้นก็เอาเลย อย่าซมซานกลับมาหากูก็แล้วกัน!





    ปัง!!





    เสียงปิดประตูที่ดังสนั่นทำเอาผมสะดุ้งขึ้นมาอีกรอบ ให้ตายสิครับ ทำไมจะต้องทำอะไรเสียงดังกันด้วยนะ ไม่นึกถึงจิตใจคนที่อยู่ตรงนี้มั่งเลยหรือไงกันเนี่ย





    แต่เอาเข้าจริงผมก็รู้สึกผิดนิดหน่อยนะครับที่ดันไปได้ยินความลับของคนอื่นเข้าให้โดยไม่ได้ตั้งใจแบบนี้เนี่ย แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้เลยว่าผมจะไม่เอาไปเป่าประกาศบอกใครแน่นอน เพราะเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรสักอย่าง แล้วผมจะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากพรรค์นี้ทำไมล่ะครับ





    “ออกมาได้แล้ว จะแอบไปจนถึงเมื่อไหร่”





    เสียงนี้ทำเอาผมสะดุ้งเป็นรอบที่สามของวัน ก่อนจะส่งยิ้มปลงๆให้กับตัวเองในกระจกบานใหญ่ตรงหน้า ขยับปากพูดกับตัวเองเบาๆว่าซวยชะมัด แล้วก็ตัดสินใจที่จะเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงตรงๆ ก็ในเมื่อเขารู้แล้วนี่ครับว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ในนี้ด้วยตั้งหนึ่งคนน่ะ ผมออกไปให้เขาด่าเล่นดีกว่าให้เขาโมโหแล้วเดินมาเตะผมถึงที่น่ะนะ





    ผมเดินออกมาจากห้องแต่งตัวพลางส่งยิ้มแหยๆไปให้เขาที่กำลังยืนกอดอกมองผมอยู่ด้วยสายตาที่เหมือนกับจะฆ่ากันให้ตายอย่างไรอย่างนั้น ผู้จัดการส่วนตัว...ไม่สิ อดีตผู้จัดการส่วนตัวของไอ้เบนที่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้จักชื่อเขาอยู่ดีกำลังยืนส่งรังสีอำมหิตมาให้ผมเต็มที่ ถึงจะตัวเล็กแต่เวลาโกรธแล้วทำไมถึงดูน่ากลัวจังวะ





    “รู้ได้ยังไงครับว่าผมอยู่ในนี้”





    “เห็นเท้า”





    “งั้นก็แสดงว่ารู้ตั้งแต่ทีแรก”





    “ประมานนั้น”





    “แล้วทำไมยังทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรล่ะครับ”





    “หลบไปก็เท่านั้น ไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้วนี่”





    ผมมองเขาที่ทรุดตัวลงนั่งหันหลังพิงประตูห้องแต่งตัวเอาไว้อย่างไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่นัก จากที่เขาบอกมาแสดงว่าเขารู้ตัวตั้งแต่ทีแรกแล้วว่ายังมีผมอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่เขากลับไม่ได้ว่าหรือเปลี่ยนที่คุยอะไร แต่กลับทำเหมือนกับว่าเต็มใจให้ผมได้ยินอย่างไรอย่างนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผมที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเบาบาง





    ผมได้แต่มองรอยยิ้มของเขาอย่างตกตะลึง เขาเป็นคนที่ยิ้มสวยมาก แต่คงจะดีกว่านี้ถ้ายิ้มนั่นไม่ได้มาจากการสมเพชตัวเองแบบนี้ และคงจะดีกว่านี้มากๆ ถ้าแก้มของเขาไม่ขึ้นรอยแดงแบบนั้น มันปรากฏชัดเป็นรอยนิ้วมือทั้งห้านิ้ว เด่นชัดออกมาจนแก้มขาวๆดูบวมจนน่ากลัว





    ผมเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา เอนหลังพิงประตูเอาไว้อย่างที่เขาทำ ก่อนจะเอ่ยปากถามคำถามที่คิดว่าคงไม่จุ้นจ้านเกินไปนักออกไป





    “แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปครับ”





    “ก็คงต้องไปกู้เงินนอกระบบล่ะมั้ง มีงานอะไรที่ทำแค่สองอาทิตย์แล้วได้เงินสองแสนมาใช้เล่นแนะนำบ้างมั้ยล่ะ”





    “งานพรรค์นั้นไม่มีในโลกหรอกครับ”





    “ก็ถึงได้บอกไง”





    ผมมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายอีกครั้ง ใบหน้าของเขาขาวเนียนมาก อาจจะขาวไม่เท่าผมที่เรียกได้ว่าซีด แต่แบบเขามันดูมีน้ำมีนวล ดูเป็นผู้ชายสุขภาพดี  ริมฝีปากบางสีสดที่รับกับจมูกรั้นๆนั่นได้อย่างลงตัว แก้มนวลใสที่น่าจะนิ่มน่าดูยิ่งขยับให้ใบหน้าของเขาน่ารักเข้าไปอีก ดวงตาสีนิลสวยที่อาจจะไม่ได้กลมโตอะไรนักแต่กลับใสแจ๋วเหมือนลูกแมวน้อย แพขนตาที่เรียงตัวสวยขยับให้ดวงตาดูมีมิติและน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น และพอมารวมกับกลุ่มผมสีดำสนิทที่ยาวระต้นคอขาวด้วยแล้วก็ยิ่งขับให้ใบหน้าดูเรียวสวยขึ้นไปอีก





    อ่า...แล้วผมจะมาบรรยายลักษณะทางกายภาพของเขาทำไมกันล่ะเนี่ย จะว่าไปเขามีชื่อว่าอะไรนะ นั่งข้างเขามาเกือบจะสิบนาทีแล้วยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย





    “คุณชื่ออะไรเหรอครับ”





    “...คชา ฉันชื่อคชา”





    “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคชา ผมชื่อเต๋าครับ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีกที่ไหนสักแห่งนะครับ”





    “หลังจากฉันมีวิธีหาเงินสองแสนมาได้ภายในสองอาทิตย์ก็แล้วกันนะ”












     

     

    MNMNMNMNMNMNMNMNM










    t
     Let's Talk t


    ฉลองเรื่องใหม่ เฮ้!
    ฝากติดตามด้วยนะฮะ เรื่องนี้จะเครียดนิดๆ น่ารักหน่อยๆ
    เอาตอนที่ 1 มาลง เช็คเสียงว่าจะลงต่อไปดีมั้ย
    ถ้าอ่านแล้วชอบ เม้นด้วยนะคะ อยากได้กำลังใจ :3

    ส่วนเรื่องนี้จะยาวขึ้นเรื่อยๆนะ ตอนนี้สั้นเนอะ 555555555

    ขอบคุณมากค่า :D

    - 27/01/2013 -













     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×