ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My mafia girl มาเฟียคนดีรักพี่นะคะ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 : วันวุ่นๆอุ่นไอรัก(รึเปล่านะ)

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ย. 57


    บทที่ 3

    วันวุ่นๆอุ่นไอรัก(รึเปล่านะ)

     

                “ก็คงเป็นเพราะว่าฉันหลงรักใครบางคนเข้ามั้งคะ”ฉันให้คำตอบแบบมีนัยกับเซโล่โอปป้าเผื่อเขา

    จะเดานัยนั้นถูกอะนะ

                “แล้วถ้าแต่งงานกันไปแล้วจะไม่มีใครคิดถึงบ้านเหรอ?”เขาถามกลับมาอีกครั้ง

                “มันก็ขึ้นอยู่กับเขาคนนั้นด้วยค่ะว่าจะทนได้มั้ย...แล้ว..เซโล่โอปป้าถามเพื่อการศึกษาต่อเหรอคะ

    ซักฟอกฉันซะละเอียดเชียว?”ฉันตอบคำถามเขาก่อนจะพูดประโยคที่ฉันคิดว่ามันน่าจะเจ็บแสบมากสำหรับคนที่

    เพิ่งจะได้พบกันครั้งแรก

                “แล้วช่วยบอกได้มั้ยล่ะครับว่าเขาคนนั้น...”

                “ฉันบอกไม่ได้หรอกค่ะโอปป้าเพราะบอกไปก็ไร้ประโยชน์”ฉันขัดขึ้นทันทีที่เขายังถามไม่จบประ

    โยคดี ฉันพยายามมากในการทำให้เขาเกลียดความงี่เง่าของฉันแต่ฉันไม่ทันรู้หรอกว่าใครเป็นพรายกระซิบความรู้

    สึกของฉันที่มีต่อเซโล่ให้เจ้าตัวเขารู้ไปก่อนหน้านี้แล้ว

                “แต่...ฉันบอกได้แค่ว่าเขาก็คือคนที่คุณรู้จักดีเลยล่ะค่ะโอปป้า”ฉันเอ่ยออกไปด้วยความใจอ่อน

    เต็มขั้น ฉันมันประเภทใจหินแต่กินไม่นาน(ไม่เข้าใจใช่ป่ะล่า ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแหละ)

                “หวังว่ามันจะไม่ใช่คนแถวนี้นะทุม....”เสียงไอ้เปรี้ยวดังขึ้นขัด

                “คงไม่ใช่คุณเจปป์ แบล็คแมนของแกหรอกซอน”ฉันกัดตอบกลับไปทันทีที่สบตาเข้ากับยงกุกก่อนที่จะ

    อมยิ้มเพราะว่ายงกุกโอปป้ากับไอ้เปรี้ยวเกิดหน้าแดงขึ้นมาพร้อมกันก่อนที่ฉันจะหลบหน้า เอ๊ย!! ไม่ใช่หันหน้ามา

    ซุกซอกคอคนอุ้มฉันน่ะสิ(อุ่นมากเลย>///<)

                “โอปป้าคะ...”จู่ๆฉันก็เงยหน้าขึ้นมาถามจงออบโอปป้าทำให้เขาก้มลงมองจนใบหน้าของเขากับฉันนั้น

    เหลือระยะห่างไม่ถึงคืบด้วยซ้ำมันจึงทำให้ฉันลืมสิ่งที่จะพูดไปชั่วขณะเลยทีเดียว

                “ฉันอยากจะถามโอปป้าน่ะค่ะว่า...โอปป้าเมื่อยรึเปล่าฉันเกรงใจน่ะค่ะ”

                “แล้วถามเพื่อการศึกษาต่อเหรอถึงได้จ้อไม่หยุดแบบนี้น่ะ?”

                “โอเคค่ะ..ไม่จ้อแล้วค่ะ ฉันลืมตัวคิดว่ารู้จักกันซักห้าปีได้แล้วต่อไปจะระวังนะคะ”ฉันพูดประชดประชัน

    ก่อนที่จะเงียบไปโดยที่ไม่พูดไม่ถามอะไรจงออบโอปป้าอีกเลยจนกระทั่งมาถึงชั้นสามฉันโดดลงจากวงแขนของคน

    ที่อุตส่าห์อุ้มฉันขึ้นมาฉันขอบคุณก่อนจะมองหาห้องของตนเอง ฉันไม่มีอารมณ์มองบรรยากาศรอบตัวเพียงเพราะ

    กำลังงอนใครบางคนพอเห็นชื่อของตัวเองติดหราอยู่บนประตูบานที่สามฉันก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปพร้อมกระเป๋า

    ที่ยงกุกโอปป้าถือขึ้นมาให้

                “มันน่ามั้ยล่ะเนี่ย? ห๊ะ...”ฉันพูดหลังจากที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันมองไปรอบๆห้องก่อนที่จะยิ้ม

    ออกมาด้วยความพอใจเพราะห้องนี้เป็นห้องที่ฉันฝันอยากจะมีมานานแล้ว มันดูน่ารักมากและเป็นห้องที่คูลสุดๆ

    เพราะทาสีห้องด้วยสีเขียวอ่อนและตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์ลายต่างๆที่เกี่ยวกับดอกไม้อะนะและยังมีกระถางไม้

    ดอกไม้ประดับวางอยู่ตามจุดต่างๆในห้องด้วย(ถูกใจมาก)ฉันลากกระเป๋าไปวางไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนที่จะเดินไป

    เปิดประตูที่อยู่ถัดไปจากตู้เสื้อผ้าไม่ไกลนัก หัวใจฉันแทบจะหลุดไปอยู่ในสวนหย่อมเล็กๆที่อยู่ข้างในนั้นเลยทีเดียว

    ถ้าไม่ติดว่ามันคือห้องน้ำฉันจะมานั่งอ่านนิยายในนี้บ่อยๆเลยพูดจริงๆ

                “ฮ้าว....ง่วงสุดๆไปเล้ยยย นอนดีกว่าเน๊อะ”ฉันพูดกับตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงหลังจากที่เพิ่ง

    เก็บของเสร็จเรียบร้อย ฉันหยิบมือถือมาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนไปทั้งชุดที่ใส่มา

        ในช่วงระหว่างที่ฉันสลบคาหมอนไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าไปนั้นฉันไม่รู้หรอกว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง

    แต่เมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนนี้นั้นฉันก็ต้องตกใจกับความมืดที่เข้ามาในมโนสติ ฉันดีดตัวลุกขึ้นมาทัน

    ทีที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอะไรต้องทำ ฉันรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำทันทีก่อนจะรีบแต่งตัวและวิ่งลงไปชั้นล่างสุดทันที

    แต่พอไปถึงเสียงที่พูดคุยถกเถียงกันในเรื่องต่างๆนานาก็เงียบลงแล้วหันมามองฉันเป็นตาเดียวกัน

                “ช้าขนาดนี้ไม่ต้องมาก็ได้นะคะคุณโซล่า”เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบแต่กลับเป็นเสียงที่ตำหนิ

    ฉันไปด้วยในตัว ก็จะทำไงได้ก็ในเมื่อฉันเพิ่งจะได้นอนและเวลาที่ฉันนอนถ้าไม่เต็มอิ่มใครมาปลุกก็ไม่ตื่นหรอก

                “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาสายนะคะ”ฉันกล่าวขอโทษทุกคนในงานก่อนจะโดนผู้หญิงคนเดิม

    ต่อว่ากลับมาอีกว่า

                “ที่ช้านี่คงจะมัวแต่ประทินโฉมอยู่ใช่มั้ย?...นี่เธอลงทุนตัดผมยาวๆทิ้งเลยเหรอ?”

                “ต้องขอโทษนะคะเรื่องที่ฉันมาสายแต่เรื่องประทินโฉมและตัดผมเนี่ยต้องพิจารณาใหม่แล้วนะคะ”

        ฉันพูดจบก็ชูวิกผมที่ถือมาด้วยให้ผู้หญิงคนนั้นดูก่อนจะยิ้มอย่างผู้ชนะฉันมองหาเพื่อนของฉันก่อนจะเดินเข้า

    ไปหาและขอความช่วยเหลือคือให้ยัยเพื่อนตัวแสบใส่วิกผมให้ เราสองคนคุยเล่นกันไปเรื่อยจนยัยป้าปากจัดคน

    นั้นคว้าไมโครโฟนจากพิธีกรมาแล้วเรียกเราสองคนให้ขึ้นไปแสดงความสามารถให้ทุกคนในงานได้รับรู้กันฉัน

    จึงไม่ขัดศรัทธา

                “ขอโทษนะคะคุณซองต้องการให้เราแสดงอัลบั้มไหนคะ?”ฉันถามทันทีที่ฉันก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที

                “อัลบั้มไหนก็เรื่องของเธอสิมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”

                “เกี่ยวอย่างมากเลยค่ะเพราะคุณให้เราขึ้นมานี่คะ”

                “อัลบั้ม On The Top อะไรนั่นน่ะแหละ”

                “Secret Girl ค่ะ”ฉันหันไปบอกคนที่คุมเครื่องเสียงก่อนจะเดินไปยืนประจำจุดเหมือนตอนที่ซ้อม

    และมันบังเอิญมากเลยนะที่ฉันใส่ชุดที่ใช้ถ่ายเอ็มวีเพลงนั้นพอดีด้วยฉันและไอ้เปรี้ยวทั้งร้องทั้งเต้นไปตามที่

    มโนสำนึกของพวกเรามันพาไปแต่ระหว่างที่แสดงอยู่นั้นอาการปวดจี๊ดที่ข้อเท้ามันก็ดันออกอาการจนฉันที่

    กำลังจะเต้นช่วงมิวสิคแรนดอมต้องเปลี่ยนท่ากะทันหันเพื่อที่จะช่วยผ่อนแรงจากท่าเดิมที่ต้องลงน้ำหนักไป

    บริเวณข้อเท้าเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งการแสดงจบลงด้วยเพลงสุดท้ายของอัลบั้มฉันก็ต้องเกาะไหล่ของไอ้

    เปรี้ยวไว้เพื่อประคองตัวเอง ฉันถอดรองเท้าออกก่อนจะเดินลงไปจากเวที

                “เปรี้ยว ข้อเท้ามันดื้ออ่ะจี๊ดเลยตอนเนี้ย”ฉันบอกเพื่อนทันทีที่กลับมานั่งที่โต๊ะตัวเดิม

                “ยังไม่หายอีกเหรอตั้งนานแล้วนะ?”

                “ความจริงมันก็หายแล้วอะนะแต่เพราะคุณซองแท้ๆเลย”ฉันพูดก่อนจะมองไปที่ใบหน้าสวยหวาน

    ของคุณซอง กีแท

                “นี่ๆๆๆอย่ามาว่าซอง จีอึนสุดสวยของฉันนะ”เพื่อนฉันท้วงทันทีที่ได้ยินคำว่าซอง

                “แกจะบ้าเหรอฉันจะว่าพี่จีอึนทำไม? ฉันว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเซโล่มากกว่า”ฉันพูดพลางบุ้ยใบ้ไปทาง

    ที่สาวหน้าหวานนั่งอยู่ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่

                “ไหนแกบอกว่าซัง กีแทไง?”ไอ้เปรี้ยวถามพลางทำตาเขี้ยวปั๊ดใส่ฉัน

                “เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่าแต่ว่าตอนนี้แกหาอะไรมาประคบข้อเท้าฉันก่อนได้ป่ะ”ฉันพูดปัดไปเรื่องอื่น

    ทันทีที่มันเข้าตัวและแถให้เพื่อนช่วยสนใจอาการปวดจี๊ดๆที่ข้อเท้าของฉัน(ความจริงน่าจะบอกว่าเจ็บมากกว่านะ)

                “โอเคๆแกรอเดี๋ยวนะจะไปหายามาทาให้ก็ละกัน”

                “อืม...ฉันคงจะไปวิ่งเล่นอยู่กลางถนนทั้งที่ขาเจ็บแบบนี้ล่ะสิถึงให้รอ?”

                “คงงั้นมั้งยัยเพื่อนบ้า...ฉันไปนะ”ไอ้เปรี้ยวบอกก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้านพักเพื่อหายามาทาที่ข้อเท้า

    ให้ซึ่งฉันก็ไม่ทำให้เพื่อนผิดหวังด้วยการนั่งรอและนวดข้อเท้าของตัวเองเพื่อรอให้เพื่อนเอายามาให้

                “ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีความสามารถในเรื่องการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนะ?”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆตัวฉันจึงทำให้ฉันหันไปมองก่อนจะยิ้มแล้วตอบไปว่า

                “ก็คงไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าความสามารถหรอกค่ะเพราะฉันคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้งานไม่พัง”

                “แต่มันก็ดูดีไปอีกแบบนะเพราะคุณเต้นได้เป็นธรรมชาติมาก”เขาชมตรงๆทำให้ฉันมีอาการเขิน

                “ขอบคุณค่ะที่ชม..เพราะนั่นแหละคือตัวตนของฉัน”ฉันบอกเขาเบาๆก่อนที่จะก้มลงไปนวดข้อเท้า

    ต่อแต่กลับมีมือดียื่นมาจับที่ข้อเท้าของฉันก่อนที่จะนวดให้ด้วยอาการทะนุถนอมและที่สำคัญเขาไปเอายามา

    จากไหน

                “เฮ้ย!!ทุมเราหายาไม่เจออ่ะ เรามั่นใจว่ามันอยู่บนโต๊ะรับแขกนะ.....”

        ทันทีที่เพื่อนฉันเดินมาถึงโต๊ะก็พูดบอกฉันจนไม่ทันได้สังเกตคนที่นวดข้อเท้าอยู่ข้างล่างแต่พอเพื่อนฉันก้ม

    ลงไปตั้งท่าจะนวดให้กลับต้องสะดุ้งซะโอเว่อร์เหมือนเจอฆาตกรโรคจิตจนฉันจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้อะ

                “เปรี้ยว...แก..เว่อร์ไปป่ะ?”ฉันพูดทันทีที่เริ่มจะเรียงคำพูดในสมองได้แล้ว

                “ขอโทษทีลืมตัวไปหน่อย”

                “พูดจริงๆนะเปรี้ยวมัน...ไม่หน่อยแล้วนะ”ฉันพูดจบก็หัวเราะออกมาทันทีแต่ไม่ได้มากมายจนดัง

    ลั่นแค่ไหล่ไหวหน่อยๆเอง

                “โอปป้าคะพอแล้วค่ะ...เปรี้ยวพาเรากลับห้องหน่อยสิ”ฉันบอกคนที่นวดข้อเท้าให้ก่อนจะหันไปบอก

    เพื่อนรักให้พาขึ้นห้อง

    “ให้ผมพาไปดีกว่าครับให้ยองซอนเขาสนุกอยู่ที่นี่ดีกว่า”ฉันที่กำลังจะลุกขึ้นต้องชะงักเมื่อมีเสียงเอ่ย

    แทรกฉันจึงต้องหันไปมองใบหน้าที่ดึงดูดใจของคนพูดแทบไม่ต้องให้คิดฉันพยักหน้าทันทีเขาจึงยื่นมือมาให้

    แต่ฉันดันไม่รับน้ำใจในส่วนนั้นเพื่ออะไรน่ะเหรอ เพื่อให้เขารู้ไงว่าฉันไม่ได้อ่อยและไม่ได้อยากจะจับเขาหรือ

    อะไรก็ตามที่มีความหมายไปในทางไม่ดีอะนะแต่ความจริงฉันจงใจอ่อยนะ

                “ไม่เป็นไรหรอกมั้งคะโอปป้าฉันลุกเองได้ค่ะ”ฉันพูดและหันไปพูดกับเพื่อน

                “เปรี้ยวแกไปนั่งอยู่โต๊ะนู้นเถอะเราคงไม่ลงมาแล้วล่ะ”ฉันลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบแต่คงเป็นเพราะ

    ว่าฉันลุกเร็วเกินไปทำให้ฉันเสียหลักเซจนเกือบจะล้มหากไม่ได้มือของคนที่อยู่ข้างตัวป่านนี้ฉันคงได้ลงไป

    กองอยู่กับพื้นแล้วแน่ๆ

                “อวดเก่งจริงนะ”เสียงตำหนิที่ดังขึ้นทำให้ฉันที่ไม่ค่อยจะฉลาดถึงกับทำหน้าเหลอหลาไปเลยก่อน

    จะตอบกลับไปว่า“ฉันไม่ได้อวดเก่งนะคะ แค่...อยากลุกเองก็เท่านั้น”

        ฉันตอบโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนฟังเพราะเข้าใจแล้วว่าเขาหมายถึงอะไรและที่สำคัญมันเป็นเพราะฉันก็ไม่

    กล้าที่จะสบตากับเขาอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาไม่พูดอะไรอีกแต่กลับพยุงฉันเดินเข้าไปในตัวบ้านพักด้วย

    ความทะนุถนอม

                “ชอบการตกแต่งห้องมั้ย?”เขาถามขึ้นหลังจากที่เขาพาฉันมาถึงหน้าห้องแล้ว

                “ชอบมากเลยค่ะเหมือนฉันกลายเป็นพวกแฟร์รี่ไปเลยทีเดียวค่ะ”ฉันตอบ

                “แล้วใครเป็นคนแต่งห้องให้ฉันเหรอคะ?”ฉันถามขึ้นอย่างไม่จริงจังนักและไม่ได้ต้องการคำตอบ

    ด้วยเพราะว่าถึงจะรู้ว่าเขาชื่ออะไรแต่ถ้าไม่รู้จักเขามันจะไปมีประโยชน์อะไร

                “ถามทำไมเหรอไม่ถูกใจตรงไหนรึเปล่า?”

                “เปล่านะคะฉันชอบมากไม่มีบกพร่องตรงไหนเลยค่ะเพียงแค่สงสัยว่าเขาคนนั้นเป็นใครถ้าเป็นผู้

    หญิงนะฉันจะทำทุกอย่างให้เขามีความสุขที่สุดแต่ถ้าเป็นผู้ชายฉันจะฉุดมาเป็นลูกเขยของพ่อเลยคอยดูนะคะ”

                “ขนาดนั้นเลยเชียว?”เขาถามแต่ก็แอบซ่อนความเขินอายไว้ได้จนมิด

                “นี่แหละค่ะนิสัยของฉัน...โอปป้าก็ลองเข้ามาในสมองฉันดูสิคะแล้วจะรู้ว่าฉันเป็นคนแบบไหน”

    ฉันพูดจบก็กล่าวขอบคุณเขาแล้วเดินเข้าห้องไปแต่คนที่อยู่ข้างนอกตอนนี้เก็บความดีใจไม่อยู่ไปซะแล้วสิ
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×