ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สามี....เซ็นใบหย่าไปเลย

    ลำดับตอนที่ #5 : แผนการร้าย(?)เมื่อสามปีก่อน

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 67


    ด้วยการทำธุรกิจที่ครองอันดับต้นๆ ของประเทศ และอำนาจทางการเงินของโจวซื่อกรุ๊ป ตระกูลโจวจึงเป็นที่น่าจับตามองในแวดวงสังคมธุรกิจ รวมไปถึงวงการบันเทิง และนิตยสารแฟชั่น

    เป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าโจวฉือเซินไม่ชอบภรรยาของเขา กระทั่งพูดได้ว่ารังเกียจ ดังนั้นโดยปกติแล้วเขาจะไม่พาเธอไปเปิดตัวข้างนอก หรือไปออกงานด้วยเลย

    กระทั่งเจียงย่านเองก็ยังเคยเจอหร่วนซิงหว่านแค่สองครั้งเท่านั้น

    ครั้งแรกคือตอนที่โจวฉือเซินลืมเอาเอกสารสำคัญมา หร่วนซิงหว่านเป็นห่วง กลัวว่าจะทำให้งานเขาล่าช้า จึงเอามาส่งให้ที่บริษัท แต่เมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่เย็นชาของเขา นัยน์ตาของภรรยาตัวน้อยก็มีแสงแห่งความหดหู่วาบผ่าน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร ดูแล้วเป็นสาวน้อยที่เชื่อฟัง ว่านอนสอนง่าย

    อีกครั้งหนึ่งคือที่งานเลี้ยงวันเกิดของท่านใหญ่โจว นั่นเป็นการแต่งงานปีที่สองของเธอกับโจวฉือเซิน ทุกคนในตระกูลโจวต่างก็รังเกียจเธอ และไม่ได้แนะนำลูกสะใภ้ตระกูลโจวกับใครเลย 

    เย็นวันนั้น หร่วนซิงหว่านเป็นยิ่งกว่าคนรับใช้ที่ฟรีค่าแรง เธอทำตามคำสั่งทุกอย่างแต่กลับไม่ได้รับคำพูดดีๆ เลยแม้สักคำ ซ้ำยังถูกมองว่าเกะกะสายตา

    หลังจากนั้นเธอก็ยืนหลบมุมจนจบงาน เมื่อถูกคนอื่นเยาะเย้ยเธอก็ไม่ได้โต้กลับ เพียงแค่ยืนก้มหน้าเงียบๆ ทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดโสโครกเหล่านั้น

    ในความทรงจำของเจียงย่าน ภรรยาของโจวฉือเซินเป็นสะใภ้ตัวน้อยที่ต่อให้ถูกรังแกก็จะไม่ถือสา ไม่โวยวาย และไม่ตอบโต้ใดๆ

    ผู้หญิงที่ดูแข็งกร้าว เยือกเย็นราวกับจะสับใครทิ้งเมื่อกี้นี้ ไม่มีทางเป็นคนเดียวกันแน่

    โจวฉือเซินมองไปยังทางที่หร่วนซิงหว่านจากไปเมื่อกี้แบบงงๆ

    เจียงย่านส่งเสียงกระแอมเพื่อทำลายความเงียบแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “เมื่อกี้ตอนเข้ามาฉันเจอหลินซือที่หน้าประตูด้วย”

    “ใคร” โจวฉือเซินถาม

    “หัวหน้าบรรณาธิการฝ่ายเครื่องประดับของเซิ่งกวางกรุ๊ป”

    “ทำงานใช้ได้”

    โจวซื่อกรุ๊ปกับเซิ่งกวางเคยร่วมงานกันมาก่อน โจวฉือเซินก็เลยได้เจอหัวหน้าบรรณาธิการของพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราว

    เจียงย่านเม้าท์มอยอย่างออกรสออกชาติ “เมื่อกี้หลินซือบอกฉันว่า เขาหา Ruan เจอแล้ว และถ้าไม่มีปัญหาอะไร เธอก็จะเซ็นสัญญากลายเป็นนักออกแบบให้กับนิตยสารของพวกเขา นายจำ Ruan ได้ไหม?”

    “จำไม่ได้”

    ทำไมเขาจะต้องจำคนแปลกหน้าพวกนี้ด้วย

    เจียงย่านพูดต่อ “ก็ในงานสนับสนุนการประกวดนักออกแบบหน้าใหม่ครั้งที่เจ็ดของเมื่อสามปีที่แล้วไง นายน่าจะจำได้นะ ปีนั้น Ruan ได้อันดับหนึ่งในการแข่งขัน เดิมทีสามารถรับทุนจากโจวซื่อกรุ๊ปไปเรียนต่อที่ปารีสได้ แต่ก็ไม่รู้ทำไม เธอถึงทิ้งโอกาสนี้ไป”

    “อ้อ แต่ฉันได้ยินมาว่าเธอไปหาผู้รับผิดชอบการแข่งขัน ถามว่าขอไม่รับทุนไปเรียนต่อ แต่ให้เป็นเงินสดแทนได้ไหม ผู้รับผิดชอบเลยมาถามนาย นายก็ปฏิเสธไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวคราวจากเธออีกเลย…. เฮ้อ น่าเสียดายนะ เธอเป็นดิไซเนอร์ที่มีความสามารถมากแท้ๆ”

    โจวฉือเซินเก็บสายตากลับมาช้าๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าได้ฟังสิ่งที่เจียงย่านพูดเมื่อกี้ไหม

    “อ่อ…”

    “ไม่ได้สนใจ”

    บนรถ

    ระหว่างทางไปส่งสองสาวกลับบ้าน หลินซือรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเทียบกับตอนกินข้าวแล้ว อารมณ์ของหร่วนซิงหว่านเปลี่ยนไปมาก แต่เขาก็ไม่กล้าถามจึงเหลือบมองเพ้ยซานซานที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

    เพ้ยซานซานก็ส่ายหน้าเบาๆ สื่อว่ามันพูดยาก

    รถหยุดลงที่หน้าคอนโด หลินซือพูดขึ้นว่า “คุณหร่วน เราจะตั้งตารอชมผลงานของคุณ หวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะครับ”

    อารมณ์ของหร่วนซิงหว่านในตอนนี้ก็สงบลงบ้างแล้ว เธอเก็บความคิดไว้แล้วพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ หัวหน้าหลิน ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถค่ะ”

    หลินซือยิ้มให้ “งั้นผมก็ไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้ว รีบขึ้นไปเถอะครับ แล้วเจอกันสัปดาห์หน้า”

    เมื่อกลับมาถึงห้องเพ้ยซานซานก็เอ่ยขึ้น “ซิงซิง เธอยังโมโหหญิงชั่วชายโฉดคู่นั้นอยู่เหรอ?”

    หร่วนซิงหว่านสติหลุดเล็กน้อย ส่งเสียง “อือ” ตอบไปโดยไม่รู้ตัว พอได้สติกลับมาก็รีบพูดขึ้น “อ๋อ เปล่าหรอก ฉันกำลังคิดเรื่องผลงานน่ะ”

    หัวข้อที่ทางหลินซือให้เธอมาก็คือ ‘รักแรก’

    เพ้ยซานซานบอกว่าหลังจากเซ็นสัญญากับนักออกแบบแล้ว นี่ก็จะเป็นเครื่องประดับซีรีส์แรกที่เปิดตัวโดยนิตยสารของพวกเขาเช่นกัน โดยจะมุ่งเน้นไปที่การเจาะตลาดวัยรุ่น

    ดังนั้นผลงานครั้งนี้ สำหรับพวกเขาแล้วก็ค่อนข้างสำคัญอยู่เหมือนกัน

    แต่คำว่า‘รักแรก’นี้ สำหรับหร่วนซิงหว่าน มันเป็นเรื่องเมื่อนานมากแล้วจริงๆ ความทรงจำก็เลือนรางไปหมดแล้ว

    ความรู้สึกจำพวกใจสั่นระรัวยามได้อยู่ใกล้คนในดวงใจอะไรเทือกนั้นน่ะ

    ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ มันไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว

    เพ้ยซานซานพูด “พูดถึงเรื่องรักแรกฉันก็ว่าจะถามเธอพอดี เธอกับจี้หวยเจี้ยนไม่ได้ติดต่อกันแล้วเหรอ?”

    หร่วนซิงหว่านส่ายหน้าเบาๆ

    เมื่อสามปีที่แล้ว เธอได้รับรางวัลที่หนึ่งจากการแข่งขันนักออกแบบหน้าใหม่ เดิมทีจะได้รับโอกาสไปเรียนต่อที่ปารีส แต่สุดท้ายเธอก็ต้องปฏิเสธไป

    พอรู้ข่าว จี้หวยเจี้ยนก็มาเซ้าซี้เธออยู่สองสามครั้ง ถามเธอว่าทำไมไม่ไป

    บนสีหน้าของเขามีความสงสัย ความโดดเดี่ยว และ…..

    ความผิดหวัง

    แต่เธอเองก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกความจริงกับเขาได้ จึงหนีปัญหามาโดยตลอด เธอจงใจหลบหน้าเขา ทั้งยังลบช่องทางการติดต่อกับเขาทั้งหมด

    จะให้เธอพูดอะไรได้?

    จะให้เธอบอกเขาได้ยังไง?

    เรื่องในคืนนั้นที่เธอได้รับที่หนึ่งในการแข่งขัน ในตอนที่หัวใจของเธอเอ่อล้นไปด้วยความยินดี แต่แล้วก็ต้องมาได้ยินข่าวที่ฉุดเธอลงเหว ทำให้เธอหายใจไม่ออกเหมือนถูกกดหัวให้จมอยู่ในทะเลสาบเย็บเฉียบ

    เย็นจนชาไปทั้งตัว หนาวไปถึงหัวใจ

    หร่วนจุน พ่อบังเกิดเกล้าของเธอ ไอ้ผีพนันที่เกินเยียวยานั่น…

    ‘เป็นหนี้เงินกู้หนึ่งล้าน’

    เธอที่เหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัดในปีนั้นจนตอนนี้ยังไม่ได้สติกลับมาเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อแท้ๆ ของเธอจะทำกับลูกในไส้แบบนี้

    เพ้ยซานซานถอนหายใจ เธอนั่งพิงอยู่บนโซฟา “จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังนึกเสียดายเรื่องของเธอกับจี้หวยเจี้ยนอยู่เลย ตอนนั้นอยู่มหาลัยพวกเธอเป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกันสุดๆ ใครๆ ก็ดูออกว่าต่างฝ่ายต่่างก็ชอบพอกัน เหลือแค่ทะลุหน้าต่างกระดาษบานสุดท้ายเท่านั้นเอง ตอนแรกนึกว่าพอพวกเธอไปปารีสก็จะได้คบกันสักที ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น.....เฮ้อ โชคชะตาช่างเล่นตลกซะจริง”

    หร่วนซิงหว่านนิ่งไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้น “เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

    “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องเศร้าๆ แล้ว…. อ้อ จู่ๆ ฉันก็นึกเรื่องของซูซือเวยขึ้นมาได้ ตอนที่นางเพิ่งเข้าวงการมาใหม่ๆ แล้วไปถ่ายแบบลงนิตยสารน่ะ แม้แต่ไฟเสริมก็ยังไม่รู้จักเลย ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่า......”

    เพ้ยซานซานเล่าเรื่องตลกให้หร่วนซิงหว่านฟังอีกหลายเรื่องเพื่อหยอกให้เธออารมณ์ดีขึ้น หลังจากนั้นก็พากันด่าคู่หญิงชู้ชายทรามนั่นอย่างเมามันส์

    ด่ากันจนพอใจแล้วก็จึงพากันเข้านอน

    แต่เมื่อหร่วนซิงหว่านโน้มตัวลงเตรียมจะนอน ในหัวกลับนึกย้อนไปถึงประโยคที่ซูซือเวยพูดกับเธอที่ห้องน้ำ

    แม้ว่าถ้อยคำต่ำช้าเช่นนั้นจะไม่มีทางออกมาจากปากของโจวฉือเซินแน่นอนอยู่แล้ว แต่ความหมายที่สื่อออกมากลับไม่คลาดเคลื่อนเลยสักนิด

    หร่วนซิงหว่านรู้ดีว่าเธอเป็นคนลากโจวฉือเซินลงบ่อโคลน ชื่อเสียงแปดเปื้อน ทำให้เขาต้องเดือดร้อนไปด้วย และแน่นอนว่าเธอเองก็รู้สึกผิดอยู่เต็มอก ดังนั้นตลอดชีวิตการแต่งงานทั้งสามปี เธอจึงพยายามแสดงบทบาทของภรรยาที่ดีอย่างเต็มที่ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับคำพูดถากถางของเขาหรือการเยาะเย้ยจากคนในตระกูล เธอก็ไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว

    ที่จริงแล้ว ส่วนลึกในจิตใจเธอย่อมเข้าใจดีว่าเขาเกลียดเธอขนาดไหน เธอเพียงแค่หลอกตัวเองก็เท่านั้น

    แต่ความเป็นจริงที่เกินจะทนไหวพวกนี้กลับแทงทะลุใจเธออย่างไร้ความปรานี เลือดเย็นราวกับมีดอาบยาพิษ ทำให้เธอรู้สึกชาไปทั้งตัว หายใจไม่ออก เจ็บปวดหัวใจจนรู้สึกเศร้าที่ยังรับรู้ได้ถึงแรงสูบฉีดจากมัน

    หร่วนซิงหว่านฝังหน้าลงไปกับผ้าห่มแล้วพยายามข่มตาลงนอน

    ขณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นก็เผอิญนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

    สามปีก่อน

    หลังจากที่รู้ว่าหร่วนจุนติดหนี้เงินกู้หนึ่งล้านเธอก็เที่ยวหายืมเงินไปทั่ว กระทั่งทิ้งศักดิ์ศรี แบกหน้าไปถามเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการแข่งขันว่าสามารถขอเปลี่ยนจากโควตาทุนเรียนต่อเป็นเงินสดแทนได้ไหม

    ประโยคที่เขาตอบกลับมา จนตอนนี้เธอยังจำได้ขึ้นใจ

    “คุณหร่วน ต้องขออภัยจริงๆ ครับ เจ้านายของพวกเราบอกมาว่า ‘โอกาสครั้งนี้มีไว้มอบให้กับผู้ที่มีความฝันในการเป็นนักออกแบบจริงๆ ไม่ใช่ผู้ที่มองมันเป็นช่องทางหาเงิน’”

    พอหร่วนซิงหว่านได้ฟังก็อึ้งไปพักใหญ่ กลับไปก็ร้องไห้ตะโกนด่าไอ้เจ้านายที่ว่านั่นทั้งคืน

    ดูถูกกันเกินไปแล้ว ทั้งที่ไม่ได้รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ

    ใครบ้างจะไม่มีความฝันอันยิ่งใหญ่? ใครบ้างจะไม่อยากประสบความสำเร็จ?!

    เธอเองก็ไม่ได้อยากจะเกิดมามีพ่อเป็นผีพนันหรอกนะ

    หลังจากนั้นไม่กี่วัน หร่วนจุนก็หายหัวไปเลย พวกเจ้าหนี้ก็มาตามถึงบ้าน พวกเขาให้เธอเลือกว่าจะไปกับพวกเขาแต่โดยดี

    หรือจะให้ตัดมือข้างหนึ่งของน้องชายเธอทิ้งซะ

    หร่วนซิงหว่านไม่มีทางเลือกอื่น เธอตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เดินตามพวกเขาออกจากบ้านไปโดยไม่พูดอะไร และไม่สนใจเสียงที่ตะโกนเรียกจนแหบแห้งของหร่วนเฉิน น้องชายที่กำลังใจสลายของเธอ

    เจ้าหนี้พวกนั้นขายเธอมาที่คลับมู่สื้อ สถานที่ที่อุทิศให้กับความบันเทิงของเหล่าผู้มีอันจะกิน มีให้บริการทั้งเหล้าชั้นเลิศ สาวงาม และยาเสพติด เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมอบายมุข

    และความคิดสกปรกของผู้คน

    สำหรับคนพวกนี้ ยาเสียสาว*นั้นหาง่ายราวกับลูกอมตามท้องตลาด

    และลูกอมที่ว่านั่นก็ละลายอยู่ในแก้วเหล้าที่พวกเขาให้เธอดื่ม

    แม้ว่าเธอจะเตรียมใจสำหรับความตายไว้แล้วตอนที่เลือกมากับพวกเขา แต่เมื่อเห็นตาเฒ่าหัวงูวัยห้าสิบที่พุงใหญ่กว่าคนท้องแฝดห้าคนนั้นเดินเข้ามา เธอก็พลันนึกถึงจี้หวยเจี้ยนขึ้นมา นึกถึงสัญญาที่ปารีสที่เธอทำไม่สำเร็จ

    ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอผลักตาเฒ่านั่นสุดแรงเกิดแล้วหนีออกมาอย่างทุลักทุเล

    เธอไม่รู้ว่าวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว ด้านหลังก็มีคนไล่ตามมาตลอดทาง

    จนในที่สุดเธอก็มองเห็นเงาร่างสูงเลือนราง เธอหมดแรงล้มลงกับพื้น ประคองสติที่เหลืออยู่น้อยนิดเอื้อมมือดึงแขนเสื้อของเขาไว้ ขอร้องอย่างสิ้นหวัง “ได้โปรด…ช่วยฉันด้วย......“

    พอเธอพูดจบภาพก็ตัดไป…

     

    ❀  ❀  ❀

     

    *ยาเสียสาว หรือยาเสียหนุ่ม คือ กลุ่มยาที่ทำให้เกิดอาการโดยรวมดังนี้ มึนงง คลื่นไส้อาเจียน เซื่องซึม หายใจลำบาก มีอาการเคลิ้มสุขคล้ายคนเมา หมดสติ หรือเสียความทรงจำชั่วขณะ และอาจออกฤทธิ์ในลักษณะกระตุ้น เช่น ทำให้รู้สึกตื่นตัว รู้สึกสนุก และเกิดอารมณ์ทางเพศ ในกรณีที่ได้รับในปริมาณมากก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ เป็นกลุ่มยาที่มักถูกใช้ทำเรื่องผิดกฎหมายในสถานบันเทิง เนื่องจากสามารถละลายในน้ำได้ดี ออกฤทธิ์ไว ไร้สี ไร้กลิ่น ตรวจจับยาก และมีทั้งแบบเม็ด แบบผง และแบบเหลว

     

    ❀  ❀  ❀

     

    หนุ่มๆ สาวๆ เวลาไปเที่ยวก็ระวังตัวกันด้วยนะจ๊ะ

    ทิวลินิน          

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×