คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : หมวกสีเขียวนีออน
……
หร่วนซิงหว่านกลับบ้านไปก็รออยู่อีกหลายวัน แต่ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวจากทางด้านโจวฉือเซิน
การเจอกันที่มู่สื้อในวันนั้นทำให้เธอเริ่มสงสัยแล้วว่าที่โจวฉือเซินรีรอไม่ยอมหย่าขนาดนี้ก็เพื่อที่จะได้ขยะแขยงเธออย่างเต็มที่ ให้เธอไปที่ไหนก็เหมือนสวมหมวกสีเขียว*นีออนแล้วยังเรืองแสงได้
ทุกอย่างก็เพื่อเอาคืนเรื่องที่เธอเคยทำกับเขาไว้
โจวฉือเซินถ่วงเธอไว้ด้วยความอดทน แต่หร่วนซิงหว่านทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก่อนหน้านี้เธอคิดไว้ว่าหลังจากหย่าเสร็จแล้วค่อยกลับมาออกแบบเครื่องประดับตามแผนที่วางไว้ในอนาคต
แต่เธอยังต้องใช้ชีวิตต่อไป ไม่อยากนั่งรอเขาเฉยๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อเพ้ยซานซานรู้ว่าเพื่อนกำลังจะหางานทำ มันฝรั่งทอดในมือก็ไม่สนใจแล้ว ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “เธอมาที่บริษัทของเราสิ ช่วงนี้นิตยสารของเราวางแผนจะเซ็นสัญญากับนักออกแบบพอดี เราตั้งใจจะทำแบรนด์ของตัวเองน่ะ”
หร่วนซิงหว่านได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “ฉัน...ฉันไปได้เหรอ ฉันไม่ได้ออกแบบชิ้นงานมาสามปีแล้วนะ”
“ได้สิ ทูนหัว~ จะลองดูก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่”
หร่วนซิงหว่านฟังแล้วก็คิดว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าตกลง “โอเค”
เพ้ยซานซานอย่างกับนักเคลื่อนไหวที่พูดปุ๊บทำปั๊บ วันถัดมาก็เอาผลงานเมื่อสามปีก่อนของหร่วนซิงหว่านไปที่ห้องสำนักงานของหัวหน้าบรรณาธิการในบริษัทที่ชื่อหลินซือ
หลินซือดูเสร็จ สายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่นามปากกาของผลงาน ผ่านไปพักใหญ่จึงพูดขึ้น “Ruan คือเพื่อนของคุณเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ผลงานของเธอสุดยอดมากจริงๆ เวลาทำงานก็กระตือรือร้นมาก ถ้าได้เซ็นสัญญากับเธอแล้วพวกเราจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ”
ใช่แล้ว หลินซือรู้ดีว่า Ruan สุดยอดแค่ไหน เธอเปรียบเสมือนอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างเฉิดฉายในวงการงานออกแบบเครื่องประดับ สร้างความฮือฮาให้กับคนในแวดวงนี้เป็นอย่างมาก
..เพียงแต่…
หลังจากผลิบานได้ เธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
บ้างก็ว่าหลังจากที่เธอได้รับรางวัล แรงบันดาลใจก็หมดลง และไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อีก
แต่บ้างก็ว่ามีเศรษฐีมาถูกใจเธอ ได้แต่งเข้าตระกูลที่ร่ำรวยจนมีลูกไปแล้ว
สรุปคือ ข่าวลือทุกรูปแบบล้วนมีหมด
แต่ใครจะคิด เวลาล่วงเลยมาสามปี ในตอนที่ทุกคนต่างก็ค่อยๆ ลืมเธอไป เธอกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
หลินซือพูดขึ้น “เย็นนี้ Ruan ว่างไหม ไปชวนเธอมากินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะ”
เพ้ยซานซานรู้ว่าการที่เขาถามแบบนี้หมายความว่าเรื่องนี้ใกล้จะได้บทสรุปแล้ว เธอพยักหน้าทันที “ว่างแน่นอนค่ะ ฉันจะรีบแจ้งเธอเดี๋ยวนี้เลย”
……
ช่วงเย็น
บนโต๊ะอาหาร การคุยกันระหว่างหัวหน้าบรรณาธิการหลินกับหร่วนซิงหว่านนั้นไปได้สวย แม้เธอจะแสดงออกซ้ำๆ ว่าสามปีมานี้เธอไม่เคยได้จับปากกาเลย แต่หลินซือก็แสดงออกว่าไม่เป็นไร เพียงแค่ให้เธอจัดทำภาพร่างผลงานตามรูปแบบที่กำหนดให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ก็พอ
ถ้าทางฝั่งเจ้านายรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็สามารถเซ็นสัญญากันได้เลย
หลังกินข้าวเสร็จฟ้าก็มืดแล้ว หลินซือพูด “แถวนี้เรียกรถยากนะครับ ผู้หญิงสองคนกลับกันเองมันไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ให้ผมไปส่งพวกคุณแล้วกันครับ”
“งั้นฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” ขณะที่พูด เพ้ยซานซานก็มองไปที่หร่วนซิงหว่าน “ซิงซิง เธอจะไปไหม?”
“ฉันไปด้วย”
เพ้ยซานซานพูด “บรรณาธิการหลิน คุณรอสักครู่นะคะ พวกเราไปห้องน้ำแป๊บนึงแล้วจะรีบกลับมา”
หลินซือยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไรครับ ไม่รีบ”
ออกจากห้องน้ำมา เพ้ยซานซานก็พูดไปล้างมือไป “เท่านี้ก็ถือว่าเรียบร้อย สำเร็จแล้ว!”
หร่วนซิงหว่านไม่นึกว่าเรื่องราวจะราบรื่นขนาดนี้ เธอยังคงกังวลอยู่ “ฉันกลัวว่า ถ้าถึงตอนนั้นผลงานที่ฉันออกแบบมาไม่ถูกใจเจ้านายของพวกเธอ จะกลายเป็นว่าทำให้พวกเธอต้องเดือดร้อนไปด้วย”
เพ้ยซานซานพูด “ทูนหัวจ๋า~ เธอคิดมากไปแล้ว ท่านประธานก็คือตาเฒ่าอารมณ์ดีนั่นแหละ เขานิสัยดีมากนะ แต่เขาก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรมากหรอก ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบริษัทโดยปกติแล้วก็จะให้หัวหน้าหลินเป็นคนตัดสินใจ เพียงแค่ทำตามขั้นตอนผ่านเขานิดหน่อยก็พอ คุณหลินให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้ จะต้องไม่มีปัญหาแน่”
สิ้นเสียงของเพ้ยซานซานก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงดังสวนมาจากทางประตูห้องน้ำ
วินาทีต่อมา ซูซือเวยก็ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเธอ
ราวกับนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่ ต่างฝ่ายต่างผงะไปครู่หนึ่ง แล้วซูซือเวยก็ส่งเสียงฮึออกมาด้วยความดูถูก “เหมือนหมาบ้าจริงๆ ไปไหนก็ตามไปทุกที”
หร่วนซิงหว่านดึงกระดาษมาเช็ดน้ำบนมือแล้วพูดขึ้นลอยๆ “อยากโดนตบอีกก็พูดมาเลย ไม่ต้องอ้อมค้อม”
“เธอ!!!......”
จากครั้งก่อนซูซือเวยก็ได้รู้แล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหร่วนซิงหว่าน แล้วครั้งนี้พวกเขายังมีกันสองคนอีก โอกาสชนะเรียกได้ว่ายิ่งกว่าติดลบ
เพ้ยซานซานพูด “มาเธออะไรล่ะ ให้ฉันช่วยหยิบลำโพงตะโกนเรียกทุกคนให้มาดูไหมว่าเมียน้อยที่ยังไม่ตายหน้าตาเป็นยังไง?”
ซูซือเวยยิ้มเยาะ พูดอย่างคลุมเครือว่า “หร่วนซิงหว่าน เธอจะหน้าด้านไปถึงไหน ทีตอนนั้นตัวเองใช้วิธีการอะไรแต่งเข้าตระกูลโจว ลืมไปแล้วเหรอ? ตอนนี้ยังกล้ามาหาว่าฉันเป็นเมียน้อย ก็ไม่เห็นว่าเธอจะดีกว่าฉันสักเท่าไหร่ ทำไม? คิดว่าตัวเองได้บัลลังก์แล้วก็สามารถเป็นโสเภณีสร้างหอรำลึก*ได้เหรอ?!”
เพ้ยซานซานคิดจะโจมตีกลับ แต่ก็ถูกหร่วนซิงหว่านดึงข้อมือไว้
หร่วนซิงหว่านมองไปที่ซูซือเวยนิ่งๆ “โจวฉือเซินบอกเธอเหรอ?”
ซูซือเวยดูเป็นผู้หญิงอกใหญ่ไร้สมอง ที่เจอกันสองครั้งก่อนก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ พอเอามารวมกับท่าทางสะใจราวกับผู้ชนะของเธอก็บอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอเพิ่งจะรู้
“ใช่ เขาบอกว่าเขาขยะแขยงผู้หญิงอย่างเธอมาก ยังบอกอีกว่าเรื่องที่เขาเสียใจที่สุดในชีวิตคือการได้เจอเธอที่มู่สื้อ เธอก็เหมือนเทปกาวหนังหมาที่ทั้งเหม็นทั้งเหนียว ขนาดแกะออกแล้วทั้งตัวก็ยังมีแต่กลิ่นเหม็นตลบอบอวนจนทนแทบไม่ได้”
ซูซือเวยพูดจบ เห็นสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของหร่วนซิงหว่านก็เกิดความกลัวขึ้นมา เธอจึงก้าวถอยหลังให้ห่างจากพวกนาง เผื่อโดนตบอีก
แต่หร่วนซิงหว่านกลับไม่ได้ตอบโต้อะไร และไม่มีท่าทีว่าจะตบเธอ เพียงแค่ทิ้งกระดาษทิชชูลงถังขยะแล้วเดินจากไป
เพ้ยซานซานเห็นดังนั้นก็รีบตามไป
“ซิงซิง คำพูดของยัยนั่นเธออย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ คู่ผีเน่าโลงผุคู่นั้น คนหนึ่งก็เลวยิ่งกว่าหมา อีกคนก็หน้าหนาเป็นคอนกรีต ไม่ได้มีค่าอะไรเลย เธอก็ถือซะว่านางพูดก็เหมือนพ่นลมตด อย่าโมโหไป......”
คำพูดของเพ้ยซานซานยังไม่ทันจะจบ เธอก็ต้องหุบปากฉับ เมื่อเห็นผู้ชายนิสัยหมาที่เธอด่าอยู่เมื่อกี้ยืนอยู่ไม่ไกล กำลังพูดคุยกับคนอื่นนิ่งๆ
หร่วนซิงหว่านทำเป็นไม่เห็นเขา มองตรงไปข้างหน้า และเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เจียงย่านรู้สึกถึงออร่าจิตสังหารที่ใกล้เข้ามาจากด้านหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง พอเห็นหญิงสาวที่เดินใกล้เข้ามาเขาก็พูดขึ้น “นั่นเมียนายไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?”
โจวฉือเซินหันไปมอง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสีเข้มก็เผยความหงุดหงิดออกมา
เฮอะ! ตามเขามาถึงที่นี่แล้วยังจะบอกว่าแค่อยากจะหย่ากันด้วยดี?!
เธอเจ้าเล่ห์ขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
มองดูเธอเดินใกล้เข้ามา โจวฉือเซินกำลังจะอ้าปากแขวะเธอที่กลืนน้ำลายตัวเอง แต่หร่วนซิงหว่านไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา ฝีเท้าไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย
เธอเดินผ่านไหล่เขาไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เร็วราวกับลมพัดผ่าน
“……”
แต่เพ้ยซานซานที่เดินตามหลังมาติดๆ กลับหยุดลงข้างตัวโจวฉือเซิน เธออ้าปากราวกับอยากจะด่าเขา แต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกเวลา จึงวิ่งตามหร่วนซิงหว่านไป
เจียงย่านกลายเป็นพยานผู้อยู่ในเหตุการณ์ เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ขำแห้งเพื่อคลายความเก้อเขิน
“ฉัน…จำคนผิดหรือเปล่า?”
❀ ❀ ❀
*สวมหมวกสีเขียว เป็นสำนวนจีน หมายถึง การถูกสวมเขา โดยหมวกสีเขียวนี้เป็นสัญลักษณ์ของการคบชู้ในจีน
สำนวนนี้มีที่มาจากเรื่องราวในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นเรื่องเล่าของหญิงสาวผู้เลอโฉมคนหนึ่งที่ได้สามีเป็นพ่อค้า แต่กลับไปคบชู้กับชายคนขายผ้า เพื่อความสะดวกในการนัดพบกับชายชู้ นางจึงได้ใช้ผ้าสีเขียวมาตัดทำหมวกให้สามีเอาไว้ใส่เมื่อต้องออกเดินทางไกล แต่ในท้ายที่สุดก็โดนสามีจับได้ จึงเกิดเป็นเรื่องอื้อฉาวดังกระฉ่อนไปทั่วเมือง
แต่บ้างก็ว่ามีที่มาจากกฎหมายในสมัยนั้น เนื่องจากเป็นช่วงหลังสงคราม สามีไม่สามารถไปเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อทำมาหากินได้ จึงต้องอาศัยเงินทองจากลูกสาว และภรรยาที่ไปขายบริการ โดยตามกฎหมายในสมัยนั้น หากมีใครไปขายบริการทางเพศ ทั้งครอบครัวจะต้องสวมหมวกสีเขียวเพื่อเป็นการจำแนกสถานะทางสังคม หมวกสีเขียวจึงยังสื่อถึงความอัปยศอดสูของชายผู้เป็นสามีอีกด้วย
*โสเภณีสร้างหอรำลึก ในอดีต โสเภณีเป็นกลุ่มคนที่สังคมรังเกียจ และมักถูกเข้าใจผิดได้ง่าย แต่การสร้างหอรำลึกนั้นนับว่าเป็นความดีใหญ่หลวง ดังนั้น ‘โสเภณีสร้างหอรำลึก’ น่าจะหมายถึงคนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชุบตัว หรือทำตัวเหมือนว่าเป็นคนสูงส่งหลังจากเหตุการณ์บางอย่าง
❀ ❀ ❀
พระเอกโดนเมินซะแล้ว….
ทิวลินิน
ป.ล. ขออภัยที่ห่างหายไปนานม๊ากกกกก เพราะว่าเป็นช่วงที่ทิวสอบพอดี ถึงจะยังสอบไม่จบแต่จะพยายามมาอัปให้เรื่อยๆ นะคับ;~; จะเปลี่ยนจาก หายไปเลย เป็น มาๆ หายๆ แทนแล้วกัน ฮี่ๆๆ ^w^ //หลบรองเท้าบิน
( 3 ตอนแรกที่เคยลงไว้ก่อนหน้านี้ ทิวมีแก้คำแล้วก็จัด layout นิดหน่อยด้วยนะ เผื่อใครย้อนกลับไปอ่านแล้วสงสัยจ้า)
< อย่าเพิ่งเดือดกันเลยคุนน้าา >
ความคิดเห็น