ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #64 : ท้องพระโรงเดือด(1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19.41K
      1.62K
      15 ก.ค. 62

    หลังจากราชโองการแรกของฉินหลิงถูกประกาศออกไป ทั่วทั้งฝั่งเขตเหนือของเมืองหลวงต่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

     

    ฝูกงกงที่เป็นคนสั่งการให้กระจายข่าวไปยังตระกูลขุนนางใหญ่น้อยก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก เพราะเขาไม่คิดว่าหลานชายแม่ทัพฉินผู้นี้จะอหังการขนาดไม่เห็นแก่หน้าตระกูลเก่าแก่เหล่านี้แม้แต่น้อย

     

    หลังจากเหตุการณ์ละเลงเลือดเมื่อสามสิบปีก่อน สายเลือดตระกูลฉินแทบไม่ได้เข้ามายังภายในเมืองหลวงเลย แต่วันนี้ใครจะคิดว่าทายาทของแม่ทัพใหญ่จะมีอำนาจขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ไม่เพียงไม่เห็นแก่หน้าสี่ตระกูลใหญ่ เขายังพร้อมจะใช้ไม้แข็งกับตระกูลขุนนางพวกนี้

     

    แต่จะโทษชายหนุ่มแซ่ฉินผู้นี้ก็ไม่ได้ หากไม่เพราะเหล่าขุนนางคิดกดดันชายหนุ่มผู้นี้ เขาคงไม่โกรธกริ้วขนาดนี้ ซึ่งบางทีตระกูลใหญ่เหล่านี้อาจจะลืมเลือนไปแล้วว่าผู้สำเร็จราชการหนุ่มผู้นี้ก็มีแซ่ฉิน แม้แต่เขาที่เป็นกงกงคนสนิทของฝ่าบาท ชายหนุ่มผู้นี้ยังไม่สนใจ แล้วพวกสี่ตระกูลใหญ่จะไปอยู่ในสายตาของเขารึ

     

    ฝูกงกงที่ครุ่นคิดถึงท่าทีต่างๆของฉินหลิง พร้อมนึกขึ้นว่าบางทีฮ่องเต้อาจจะต้องการให้เป็นเช่นนี้ก็ได้ เพราะอย่างไรตระกูลเหล่านี้ช่างทำตัวได้น่าสมเพชนัก รวมกับความรู้สึกผิดที่เก็บสะสมมานานของผู้เป็นราชา ที่ต้องมาเห็นความยากลำบากของชาวบ้าน จึงคิดยืมมือตระกูลฉินเพื่อทำความสะอาดวังหลวงแห่งนี้ครั้งใหญ่

     

    เว่ย  หยาง เกา ถัง สี่ตะกูลใหญ่แห่งแคว้นต้าเหยียนที่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อตั้งราชวงศ์  ยามนี้เหล่าผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสที่เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของภายในตระกูลต่างเดินทางมารวมตัวกันยังบ้านพักหลังใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวกันของสี่ตระกูลหลัก

     

    การรวมตัวกันของสี่ตระกูลใหญ่โดยปกติจะเกิดขึ้นเพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาคู่ครองให้บุตรหลานในตระกูล ดังนั้นทายาทของสี่ตระกูลใหญ่จึงมักถูกจับแต่งกันอยู่ภายในกลุ่มตระกูลเหล่านี้ และด้วยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของตระกูลใหญ่จึงทำให้พวกเขามีทั้งความสัมพันธ์และแก่งแย่งชิงดีกันไปพร้อมกัน

     

    ด้วยการสนับสนุนองค์ชายของแต่ละตระกูลจึงก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่พวกเขาก็รักษาระดับความขัดแย้งไม่ให้เกินขอบเขต เพราะอย่างไรจุดประสงค์ที่แท้จริงของสี่ตระกูลหลักเกิดจากอดีตฮ่องเต้ต้องการถ่วงดุจอำนาจ

     

    แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ตระกูลเหล่านี้ต่างตบแต่งกันเองจนเกิดความเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงและก่อตัวเป็นพันธมิตร โดยอำนาจที่มากขึ้นก็ยิ่งทำให้ตระกูลเหล่านี้หยิ่งยโสจนไม่เห็นแม้แต่ฮ่องเต้อยู่ในสายตา

     

    โดยเฉพาะเมื่อสามสิบปีก่อนที่หลี่ชิงฉือ ฮ่องเต้ที่พึ่งขึ้นครองบัลลังก์และรากฐานยังไม่แน่นพอ จึงถูกเหล่าขุนนางที่มาจากสี่ตระกูลกดดันทุกๆทางจนฮ่องเต้ในวัยหนุ่มแทบไร้หนทางออก แต่โชคดีที่เวลานั้นฉินเจินผู้เป็นเม่ทัพใหญ่และยังเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ กลับมาจากปราบกบฏที่เกิดจากเหล่าพี่น้องของเขาที่ไม่พอใจในตัวเขาที่ได้ครอบครองราชวงศ์เสร็จทันการ เหตุการณ์การต่อต้านจากสี่ตระกูลใหญ่รุนแรงขึ้นและดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนแบ่งตระกูลฉินที่อยู่ฝ่ายฮ่องเต้กับสี่ตระกูลใหญ่ที่คอยคานอำนาจกับราชวงศ์เพราะพวกเขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากพอ

     

    และเมื่อแม่ทัพใหญ่ฉินเจินทรงขอให้ยกเลิกสถานะทาสจากองค์ฮ่องเต้ที่ซึ่งเคยเป็นคนที่เขาสั่งสอนเพลงกระบี่และช่วยเหลือในการขึ้นครองบัลลังก์ แต่เรื่องราวกับบานปลายเมื่อสี่ตระกูลใหญ่ที่ได้รับประโยชน์จากการค้าขายทาสรับรู้ และก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่

     

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลใหญ่ก็สงบเสงี่ยมขึ้นมากและไม่กล้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก เพราะเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น หากฮ่องเต้ไม่ออกมาขอร้องท่านแม่ทัพใหญ่ ตระกูลพวกเขาคงสูญสิ้นไปแล้ว

     

    เพียงแต่เวลาผ่านไปสามสิบปี สายเลือดรุ่นใหม่ที่โผล่ขึ้นมาพร้อมกับอำนาจของตระกูลก็เริ่มหยิ่งผยอง เพราะพวกเขาที่ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ สามารถก่อเรื่องแก่ชาวบ้านอย่างไรก็ได้ จนมีผู้บริสุทธิ์มากมายที่ต้องพิการและตายไปกับผู้สืบทอดของสี่ตระกูลนี้

     

    การรวมตัวของผู้กุมอำนาจของสี่ตระกูลใหญ่ในครั้งนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับราชโองการที่ฉินหลิงส่งออกมา

     

    “ พวกท่านคิดว่า เจ้าเด็กแซ่ฉินมันทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร ” หนึ่งในผู้เฒ่าที่นั่งอยู่เอ่ยขึ้นหลังจากพวกเขารวมตัวกันเสร็จ

     

    “ บางทีเจ้าเด็กผู้นั้นมันอาจจะไม่พอใจที่พวกเราไม่ส่งคนไปเข้าร่วมประชุม 

     

      ถึงอย่างไร เรื่องนี้พวกเราก็เป็นฝ่ายผิด แต่ถึงกับออกราชโองการเช่นนี้ราวกับไม่เห็นพวกเราสี่ตระกูลใหญ่อยู่ในสายตา  ตระกูลฉินมันน่ารังเกียจเช่นนี้ทุกคน ”

     

    “ ข้าเองก็อยากรู้นักว่าถ้าเจ้าเด็กผู้นี้ไม่มีพวกเรา มันจะดูแลบ้านเมืองได้อย่างไร 

     

    “ อำนาจของพวกเราสี่ตระกูลใหญ่หยั่งรากลึกเกินกว่าเจ้าเด็กสารเลวนั้นจะรู้ได้แล้ว ”

     

    “ ต่อให้เป็นองค์ฮ่องเต้ยังไม่กล้าหักหน้าพวกเราเช่นนี้ เจ้าเด็กน้อยที่พึ่งขึ้นมีอำนาจกล้าทำเช่นนี้กับพวกเราได้อย่างไร 

     

    “ หึหึ...หากรู้ว่าแม่ทัพใหญ่กำลังเดินทางกลับมาเมืองหลวง พวกท่านยังกล้ากล่าวอย่างหยิ่งผยองเช่นนี้ได้อีกรึ ” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม หากฉินหลิงอยู่ที่นี้เขาจะทราบได้ทันทีว่าชายผู้นี้คือคนที่เขาส่งสายสืบออกไปตามหาอยู่ตลอดแต่กลับไม่ได้รับข่าวใดกลับมา เขาคือถังเฟิงบิดาของถังชุนอดีตเพื่อนสารเลวของฉินหลิงคนเก่า และเป็นผู้ต้องสงสัยที่ฉินหลิงคิดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของฉินหลิงคนก่อน

     

    คนในห้องต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อทราบข่าวว่าฉินเจินผู้เป็นแม่ทัพใหญ่และเป็นปู่ของผู้สำเร็จราชการคนปัจจุบันกำลังเดินทางมายังเมืองหลวง

     

    “ เจ้าหมายความว่าเจ้าแก่ตายยากผู้นั้นจะเดินทางมาเมืองหลวงรึ ไม่ใช่ว่ามันผู้นั้นพึ่งเดินทางจากไปเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ? 

     

    “ สายข่าวของข้าบอกมาเช่นนั้น แต่จุดประสงค์ที่เขามาเมืองหลวงคืออะไรข้าก็ไม่ทราบ แต่พวกท่านจงคิดให้ดี หากท่านล่วงเกินหลานชายของคนผู้นั้น เรื่องนี้อาจจะไม่ได้จบดั่งเช่นเมื่อสามสิบปีก่อนแล้วก็ได้เพราะคราวนี้องค์ฮ่องเต้อาจจะไม่เห็นแก่หน้าสนมทั้งสามแล้ว ” เมื่อได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคนแซ่ถังผู้นี้เอ่ยขึ้นมา ผู้อาวุโสจากทั้งสี่ตระกูลต่างเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นราวกับฝันร้ายที่ตามติดพวกเขาอยู่ทุกค่ำคืนไม่ห่างหายไปไหน

     

    ในอดีตพวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจอมยุทธที่พวกเขาทุ่มเททรัพยากรไปมากมายกับถูกสังหารลงราวกับใบไม้ร่วงภายในค่ำคืนเดียว หลังจากทำให้แม่ทัพชราผู้นี้โกรธกริ้ว

     

    หลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือด เหนือฟ้ายังมีฟ้า นี้คือคำที่สี่ตระกูลใหญ่รับรู้ได้อย่างแน่ชัด และความหยิ่งยโสที่มีมาต่างหดหายและทำให้เหล่าคนที่ยังมีชีวิตรอดเต็มไปด้วยหวาดกลัวความตาย

     

    “ เอาละ..สำหรับเรื่องนี้ให้แต่ละตระกูลส่งขุนนางระดับหกลงไปเข้าร่วมประชุมก็พอ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าพวกเราสี่ตระกูลใหญ่ไว้หน้าตระกูลฉินแล้ว  ” ชายวัยชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทรงพลัง

     

    ผู้อาวุโสสูงสุดอีกสามตระกูลก็พยักหน้ายืนยันเห็นด้วยกับความคิดของตระกูลเว่ย จึงได้ข้อสรุปให้พวกเขาส่งขุนนางจากตระกูลรองที่มีระดับต่ำกว่าหกลงไป เข้าประชุมยังท้องพระโรง

     

    สองชั่วยามผ่านไป ขุนนางเกือบร้อยคนต่างนั่งรออยู่ในท้องพระโรงด้วยสีหน้าแตกต่างกัน กว่าครึ่งเป็นเพียงขุนนางจากตระกูลเล็กที่ไม่ได้มีสี่ตระกูลใหญ่หนุนหลัง ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับราชโองการพวกเขาจึงไม่อาจขัดคำสั่งได้

     

    หลังจากสี่ตระกูลใหญ่ได้ออกคำสั่งให้ขุนนางเล็กๆอย่างพวกเขาไม่เข้าร่วมประชุม พวกเขาจึงต้องอดทนและปฏิบัติตามอย่างไม่อาจขัดขืนได้ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินราชโองการของเด็กหนุ่มที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการ พวกเขาก็ตื่นตระหนกและรู้สึกหวาดกลัว รวมกับชื่อเสียงเลวร้ายของอีกฝ่ายจึงทำให้พวกเขาตัดสินใจขัดคำสั่งของตระกูลใหญ่เพื่อมาเข้าร่วมประชุม

     

    ขุนนางชั้นผู้น้อยที่นั่งรอผู้สำเร็จราชการอย่างอกสั่นขวัญหนี โดยไม่รู้เลยว่าฉินหลิงกำลังนอนฟังเรื่องกฎเกณฑ์และหน้าที่ปฏิบัติของขุนนางจากอู๋ชินถง ขุนนางระดับแปดที่เข้าประชุมเพียงผู้เดียวด้วยสีหน้าผ่อนคลายพลางหยิบผลไม้ที่เหล่านางกำนัลส่งให้เข้าปาก

     

    อู๋ชิถงที่พูดออกมากว่าสองชั่วยามก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังดีดพิณให้วัวฟัง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา “ ท่านผู้สำเร็จราชการ นี้ก็เป็นเวลากว่าสองชั่วยามแล้ว ท่านจะไปท้องพระโรงเลยรึไม่ 

     

    ฉินหลิงเงยหน้ามองชายหนุ่มเบื้องหน้าก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย  “ ข้ายังรอขุนนางไร้ประโยชน์พวกนั้นตั้งสองชั่วยาม ปล่อยให้พวกเขารอข้าบ้างจะเป็นไร นี้ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว ไว้กินข้าวเสร็จ ข้าค่อยไปประชุมก็ได้ 

     

    ขุนนางหนุ่มและฝูกงกงมองดูผู้สำเร็จราชการด้วยสีหน้าแปลกประหลาด พวกเขาไม่อาจเข้าใจชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย ออกคำสั่งให้รีบเข้ามาประชุม แต่ตัวเองกับต้องการทานอาหาร แล้วในระหว่างที่นั่งเล่นอยู่ที่ตำหนักริมน้ำแห่งนี้ตั้งสองชั่วยาม ท่านไม่ยอมกินแต่เมื่อถึงเวลาที่ท่านนัดท่านพึ่งรู้สึกหิวรึ

     

    ฉินหลิงมองไปที่ฝูกงกง “ ท่านจะรออะไร ยังไม่รีบไปเตรียมสำรับให้ข้าอีก ยิ่งช้าข้าก็ออกว่าราชการได้ช้า และทำให้งานบ้านเมืองไม่เดินต่อ มันเป็นความผิดของท่านนะ 

     

    กงกงชราเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับคำกล่าวหาของชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง เขาที่ทำหน้าที่ดูแลฮ่องเต้มาสองรัชสมัย พึ่งเจอคนไร้ยางอายเช่นนี้ แม้แต่เรื่องเตรียมสำรับเขาก็ยังไม่เคยโดยฮ่องเต้รับสั่งเช่นนี้เลย  ฝูกงกงจ้องมองชายหนุ่มผู้นี้ด้วยแววตาแค้นเคืองก่อนจะกัดฟันแน่นแล้วไปเอ่ยสั่งกับขันทีด้านข้างให้เตรียมสำรับโดยเร็ว

     

    ผ่านไปอีกกว่าหนึ่งชั่วยาม เหล่าขุนนางที่ตื่นตระหนกอยู่ในท้องพระโรง พวกเขาก็รู้สึกราวกับโดนกลั่นแกล้งโดยผู้สำเร็จราชหนุ่มผู้นี้ ก่อนจะจับกลุ่มกันบ่นออกมาด้วยเสียงไม่พอใจ

     

    “ เจ้าเด็กแซ่ฉินทำเช่นนี้ราวกับไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา 

     

      ถึงพวกเราจะมาจากสาขารอง แต่พวกเรายังเป็นคนของสี่ตระกูลใหญ่ เขาทำเช่นนี้ไม่กลัวผู้อาวุโสในตระกูลโมโหเลยรึ ”

     

    “ เจ้าเด็กนั้นมันก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ ฮ่องเต้ก็ทรงเลอะเลือนยิ่งนักที่แต่งตั้งอันธพาลมาเป็นผู้สำเร็จราชการ  ” ขุนนางหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลใหญ่เอ่ยออกมาอย่างไม่ยั้งคิด

     

    “ นั้นสินะฮ่องเต้ก็ทรงเลอะเลือนจริงๆนั้นแหละที่เลือกข้าเป็นผู้สำเร็จราชการ เพียงแต่พวกเจ้าที่เป็นคนรับใช้ของผู้เป็นราชากับกล้าเอ่ยวาจาดูหมิ่นเช่นนี้มันดีแล้วรึ 

     

    ขุนนางที่จับกลุ่มพูดคุยนินทาฮ่องเต้และฉินหลิงเสียงดังก็หันมาเจอฉินหลิงที่ยามนี้สวมชุดสีดำราวกับเป็นเพชฌฆาตด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

     

    “ อู๋ชินถง ขุนนางที่กล้ากล่าววาจาล่วงเกินฮ่องเต้มีโทษอย่างไร ”  ฉินหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

     

    ขุนนางหนุ่มที่อยู่กับฉินหลิงตลอดเวลาก็เผยสีหน้าลังเลก่อนจะก้มหัวและเอ่ยออกมา “ โทษของขุนนางที่กล่าววาจาให้ฮ่องเต้เสียหายมีโทษคือตัดลิ้นและขับออกจากตำแหน่งพร้อมยึดทรัพย์สินทุกอย่างเข้าท้องพระคลัง 

     

    ขุนนางที่ได้ยินคำลงโทษต่างรู้สึกตกตะลึง เพราะพวกเขาที่สามารถเข้ามาทำงานเป็นขุนนางล้วนอาศัยบารมีจากครอบครัวทั้งสิ้น ความรู้ในข้อกฎหมายของต้าเหยียนก็ไม่เคยทราบ เพียงแค่อาศัยการที่ตัวเองอ่านออกเขียนได้ก็เข้ามาทำงานเป็นขุนนาง

     

    เมื่อโทษของพวกเขาคือตัดลิ้นและยึดทรัพย์สินไม่ต่างกับฆ่าพวกเขา ขุนนางทั้งกลุ่มต่างเผยสีหน้าหวาดกลัวก่อนจะคุกเข่าโขกหัวให้ชายหนุ่มชุดดำ

     

     “ ขออภัยด้วยท่านผู้สำเร็จราชการ 

     

    “ ข้าผิดไปแล้ว  ข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว ได้โปรดให้โอกาสพวกข้าเถอะ 

     

    ฉินหลิงเหยียดสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชามองไปยังชายหนุ่มทั้งสามก่อนจะเอ่ยเสียงดัง  “วาจาพูดอะไรให้คิด เพราะไม่สามารถเรียกคืน พวกเจ้าที่เป็นถึงขุนนางซึ่งต้องดูแลปากท้องชาวบ้านกับพูดอะไรไม่คิด แล้วเจ้าคิดว่าข้ายังมั่นใจได้อีกรึว่าคำสั่งของข้าที่ถูกส่งออกไป จะไปถึงชาวบ้านได้ถูกต้อง ”

     

    ขุนนางที่เหลือต่างรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง เขาเดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเงียบเชียบราวกับอสรพิษที่กำลังรอเหยื่อและโจมตีจุดตายในทีเดียว

     

    ทางด้านขุนนางที่ทำผิดก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว หนึ่งในขุนนางที่กำลังกลัวอยู่เผลอเอ่ยขู่ออกไปโดยไม่รู้ตัว “ ท่านไม่อาจทำอะไรข้าได้ ข้าเป็นคนของตระกูลถัง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ ท่านไม่อาจลงโทษข้าเช่นนี้ได้ 

     

    เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยจบ ฝูกงกงที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็ถอนหายใจออกมา พลางคิดในใจว่าขุนนางผู้นี้ช่างโง่งมนัก สิ่งที่ผู้สำเร็จราชการกลัวน้อยที่สุดก็เป็นตระกูลใหญ่ของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่รู้เลยรึไงตระกูลฉินเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสี่ตระกูลใหญ่มาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว

     

    “  ดี ในเมื่อตระกูลถังของเจ้ายิ่งใหญ่คับฟ้า ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าพวกเขาจะช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างไร  ทหารมาจับตัวขุนนางไร้ประโยชน์เหล่านี้ไปตัดลิ้นแล้วไปยึดทรัพย์เข้าท้องพระคลังให้หมด” ฉินหลิงเอ่ยสั่งออกมาเสียงดังราวกับไม่เห็นตระกูลใหญ่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×