คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #59 : ร่ำสุรากับชายแปลกหน้า
หลังจากพูดคุยและปล่อยเรื่องราวปัญหาการค้าให้ซูเยว่จัดการเสร็จ
ฉินหลิงก็เดินออกจากหอการค้าตะวันฉายไปทางทิศตะวันออก
ฝั่งตะวันออกของเมืองหลวงเป็นจุดที่ฉินหลิงรู้สึกสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้รับรายงานจากซูเยว่แล้ว
ใช้เวลาไม่นานฉินหลิงก็เดินเท้าไปยังมุมเมืองของทิศตะวันออก
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเหล่าขอทานหรือไม่ก็คนยากจนที่ใส่เสื้อผ้าขาดๆแลดูซอมซ่อ
อาศัยอยู่ในเต็นท์ผ้าที่สร้างอย่างลวกๆหรือไม่ก็เป็นแผ่นไม้ที่นำมาประกบหยาบๆ ซึ่งมีผู้คนอยู่กันอย่างมากมายจนเป็นเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากจุดที่เขาเดินผ่านมาราวกับคนละเมือง
เหล่าพวกคนยากจนที่ไร้บ้านต่างมารวมตัวกันยังที่แห่งนี้เพื่อหาที่หลับนอนและพักอาศัย
เนื่องด้วยประชากรที่มากล้นเกินกว่าที่ทางการจะดูแลไหว
และภาษีที่สูงของเมืองหลวงแห่งนี้จึงทำให้ในทุกๆปีมีคนที่เป็นหนี้และไม่สามารถชำระภาษีได้
จึงทำให้พวกเขาโดนยึดบ้านและที่ดินทำกินเป็นจำนวนมาก
เมื่อชาวบ้านที่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายภาษีได้
พวกเขาก็ทำได้เพียงย้ายข้าวของมาหาที่อาศัยยังฝั่งทิศตะวันออก
เพื่อรอให้คนมาจ้างงานในราคาถูกหรือไม่ก็ยอมขายตัวเพื่อเป็นทาส
หลังจากที่ฉินหลิงสังเกตโดยรอบ เขาก็เห็นหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่ยังแต่งตัวซอมซ่อกวักมือเรียกผู้ชายที่เดินผ่านเพื่อแลกเปลี่ยนร่างกายตัวเองกับเงินเพียงไม่กี่อีแป๊ะ
ในแววตาของฉินหลิงที่มองออกไปแสดงออกถึงความสงสารปนเวทนากับผู้คนเบื้องหน้าเหล่านี้
แต่เขารู้ตัวเองดีว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเลี้ยงดูคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ และก็ใช่ว่าทุกคนในที่แห่งนี้จะเป็นคนดีทุกคน
และถ้าหากเขาเข้ามาก้าวก่ายมากเกินไปอาจจะส่งผลให้เกิดการกระทบกระทั้งกับทางการและยิ่งทำให้เกิดปัญหากับเขายิ่งขึ้นไปอีกก็ได้
ระหว่างที่เขากำลังงยืนเหม่อมองผู้คนที่วุ่นวายอยู่ในเขตสลัมแห่งนี้
หยาดพิรุณที่ถูกควบแน่นจากบท้องนภาก็ตกลงมาปะทะเข้าบนใบหน้าฉินหลิง จนทำให้ฉินหลิงรู้สึกตัวและเห็นเหล่าผู้คนที่ยากจนตรงหน้าวิ่งวุ่นเข้าไปยังที่พักซึ่งดูเหมือนจะผุพังไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว
ฉินหลิงที่มองไปบนท้องฟ้าที่มืดคลึ้ม จึงหันตัวกลับไปยังทิศทางที่เขาจากมา
และเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเพื่อจะกลับไปที่พัก
แต่เมื่อฝนตกลงมาหนักขึ้น จึงทำให้เสื้อผ้าของชายหนุ่มตระกูลฉินเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
เขาจึงหันตัวไปยังเหลาสุราที่อยู่ด้านข้างที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อหาที่หลบฝน
เมื่อเปิดประตูเข้าไป
ฉินหลิงก็เห็นภายในร้านที่ว่างเปล่า ไม่มีคนมานั่งแม้แต่โต๊ะเดียว
ซึ่งไม่ผิดปกติเพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเวลากลางวันจึงทำให้ผู้คนคงไม่เข้ามากินดื่ม
และยังอยู่ใกล้กับพื้นที่เขตตะวันออกที่เป็นเขตของคนยากจนจึงน่าจะมีคนเข้ามาดื่มสุรายังที่แห่งนี้น้อย
“ มีใครอยู่รึไม่ ? ” เนื่องจากเขาไม่เห็นเถ้าแก่ร้านอยู่ ฉินหลิงเอ่ยเสียงดังถามออกไปยังด้านหลังร้าน
โครมๆๆ!!
เสียงล้มของข้าวของเครื่องใช้ดังออกมาจากด้านหลังร้าน
ตามมาด้วยชายชราหัวล้านที่รูปร่างสูงใหญ่ราวแปดเซี๊ยะ(~2เมตร) ที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดและเอ่ยออกมาเสียงดัง
“ เจ้าเด็กน้อย เจ้าเรียกข้าทำไม รู้รึไม่มันขัดเวลานอนของข้า
หากไม่มีคำตอบที่ดีให้แก่ข้า อย่าหวังว่าจะออกไปอย่างไม่เจ็บตัว ”
ฉินหลิงที่ได้ยินคำขู่ของชายชราตรงหน้าก็ยิ้มแห้งๆออกมาก่อนจะโต้กลับไป
“ ขออภัยที่ข้ามารบกวนเวลานอนกลางวันของท่าน เพียงแต่อีกไม่นานท่านก็ได้นอนยาวแล้ว
ท่านจะไม่ออกต้อนรับลูกค้าหน่อยรึ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มรุ่นหลาน
ผู้เฒ่าโม่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเหลาสุราแห่งนี้ก็หัวเราะลั่นร้าน “ ฮาๆ ไม่มีใครกล้าด่าข้าเช่นนี้มานานแล้ว บิดามันเถอะ เจ้าเด็กสารเลว
เจ้าไม่รู้จริงๆรึข้าเป็นใคร ”
ฉินหลิงเผยสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินคำถามของชายหัวล้วน
“ มิใช่ว่าท่านเป็นเจ้าของเหลาสุราแห่งนี้รึ
? ”
ครั้นเห็นสีหน้าที่ทำราวกับไม่รู้จักของฉินหลิง
เฒ่าโม่ก็รู้สึกอายขึ้นมาไม่น้อยก่อนจะด่าฉินหลิงเสียงดัง “ เจ้าเข้ามาร้านข้าทั้งๆไม่รู้ว่าข้าเป็นใครงั้นรึ ? ”
ฉินหลิงพยักหน้ายืนยัน “ ข้าเพียงจะขอเข้ามาหาที่หลบฝนเท่านั้น แล้วท่านเป็นใคร ข้าพึ่งมาเมืองหลวงครั้งแรก
อาจจะไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของท่าน โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย ”
คำพูดของฉินหลิงที่แสดงความนอบน้อมออกมา
ก็ทำให้เฒ่าโม่รู้สึกประทับใจกับชายหนุ่มตรงหน้าและเอ่ยแนะนำตัว “ ผู้คนเรียกขานข้าว่าตาเฒ่าโม่
ภายในแคว้นแห่งนี้ข้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สามารถบ่มสุราได้รสเลิศที่สุด
และสุราของร้านข้าก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถซื้อหาได้ แต่ถือว่าวันนี้เจ้าโชคดีที่ข้าอารมณ์ดี
ข้าจะเลี้ยงสุราแก่เด็กสารเลวอย่างเจ้าซักไห ให้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของสวรรค์ ”
เอ่ยจบเฒ่าโม่ผู้ที่เรียกขานตัวเองว่ามือหนึ่งแห่งการบ่มสุราก็นำสุรามาตั้งบนโต๊ะของฉินหลิง
ฉินหลิงมองไปยังการกระทำที่ขัดกันไปมาของเฒ่าโม่ผู้นี้ด้วยสายตาประหลาดใจ
ก่อนจะเปิดจุกสุราและเทสุราที่เฒ่าโม่ผู้เรียกขานตัวเองว่าเป็นมือหนึ่งแห่งการบ่มสุราลงในจอก
ฉินหลิงยกจอกสุรามาดมซึ่งทำให้กลิ่นหอมของดอกเหมย
(ดอกบ๊วย) พวยพุ่งขึ้นมาจากจอกสุราเข้าสู่ภายในจมูกของชายหนุ่มที่ชื่นชอบสุราผู้หนึ่ง
และก่อให้เกิดความรู้สึกสดชื่นอย่างไม่อาจอธิบายได้ออกมาจากภายในจิตใจ
ในขณะที่ฉินหลิงจะกำลังดื่มสุรา
ประตูร้านของเฒ่าโม่ก็ถูกเปิดออกและมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าซีดขาวเดินเข้ามาและตามมาด้วยชายชราที่มีผมและหนวดสีขาวยาวสะบัดไปมาราวกับพู่กันเหมือนนักปราชญ์ที่เป็นผู้แสวงหาความรู้จากตำรา
เมื่อชายวัยกลางคนสังเกตคนในร้านก็เห็นฉินหลิงที่กำลังจะดื่มสุราก็เบิกตากว้างก่อนจะหันไปหาเฒ่าโม่และเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ “ นี้มันหมายความว่าเช่นไรตาเฒ่าโม่ ข้ามาหาซื้อสุราของท่านตั้งหลายรอบแต่ท่านกลับกลับไม่มีให้ข้าซักไห
แต่ท่านกลับนำไปขายให้เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับร่ำสุราดื่มเช่นนี้
มันเสียของเกินไปแล้ว ”
แต่เมื่อชายวับกลางคนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเสียมารยาทกับเด็กหนุ่มที่มาก่อน
เขาจึงหันมายิ้มขอโทษให้ฉินหลิง “ ขออภัยที่เสียมารยาท
แต่ข้าไม่ได้มีเจตนาว่าร้ายเจ้า เพียงแต่สุราไหนี้มันล้ำค่าเกินไป เพราะเจ้ายังเด็กเกินไป
คงไม่เข้าใจถึงความสุดยอดของสุราไหนี้เป็นแน่
เช่นนั้นเจ้าขายให้ข้าเถอะ ข้าให้เจ้าห้าสิบตำลึงทองแลกกับสุราไหนี้ ”
การที่ชายวัยกลางคนผู้นี้กล้าใช้เงินถึงห้าสิบตำลึงทองเพียงเพื่อแลกกับสุราไหเดียว
จึงทำให้ฉินหลิงต้องหรี่ตามองชายที่ใบหน้าซีดขาวแสดงอาการเจ็บป่วยอย่างสนใจพลางเอ่ยตอบกลับโดยที่ยังหมุนจอกสุราในมือ
“ พี่ชายท่านนี้กล่าวว่าข้าไม่รู้เกี่ยวกับสุรา เช่นนั้นเชิญท่านมานั่งพูดคุยถึงการร่ำสุรากับข้าเถิด
สำหรับสุราไหนี้ถือว่าข้าเลี้ยงเอง ”
เอ่ยจบฉินหลิงผายมือเชิญไปยังเก้าอี้ฝ่ายตรงข้ามเเละเอ่ยเลี้ยงสุราที่เขาได้มาฟรีจากเฒ่าโม่โดยไม่เขอะเขินแม้เเต่น้อย
ชายวัยกลางคนที่ถูกฉินหลิงเรียกว่าพี่ชายก็เบิกตากว้างมองเด็กชายรุ่นลูกด้วยความตกใจ
ก่อนจะแสดงรอยยิ้มออกมา และเดินไปนั่งตรงข้ามกับฉินหลิงด้วยสีหน้าสนอกสนใจ
ส่วนชายชราผมขาวที่เดินตามหลังชายวัยกลางคนผู้นี้ในตอนแรกก็เดินตามมานั่งด้านข้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ในแววตากับตั้งใจพิจารณาชายหนุ่มเบื้องหน้า
“ เฮ้...ตาเฒ่าโม่ เอาจอกสุรามาให้พี่ชายทั้งสองท่านนี้ด้วย
” ฉินหลิงตะโกนบอกเฒ่าโม่ผู้เป็นเจ้าของร้านสุราแห่งนี้
เฒ่าโม่ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยกับชายวัยกลางคน
“ เจ้าเด็กน้อยหลี่ เจ้าถึงกับหลอกกินสุราจากหลานชายคนนี้เลยรึ ”
“ ข้าไม่ได้หลอกลวงอะไร
เป็นน้องชายคนนี้เอ่ยชวนมาเอง ท่านก็อย่าใส่ความข้านักเลย รีบนำจอกสุรามาให้ข้าได้แล้ว ข้าจักถกปัญหาเรื่องร่ำสุรากับน้องชายท่านนี้เสียหน่อย ” ชายวัยกลางคนตอบโต้เฒ่าโม่ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงอารมณ์ดี
หลักจากเฒ่าโม่นำจอกสุราอีกสองจอกตั้งลงบนโต๊ะ
ฉินหลิงก็รินสุราจากไหใบใหญ่แล้วส่งให้พี่ชายทั้งสองที่อาวุโสวัยกว่าโดยที่เขายังไม่รู้แต่ชื่อด้วยใบหน้าแฝงใบด้วยรอยยิ้ม
“ ชน! ”
ทั้งสามดื่มสุราเข้าไปอย่างรวดเร็วจนหมดจอก
ซึ่งแต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าแตกต่างกัน
ชายวัยกลางคนแสดงใบหน้าผ่อนคลายหลังจากได้ดื่มสุราของเฒ่าโม่
ราวกับเขากำลังใช้สุราเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำจากความเจ็บปวดบางอย่าง
ทางด้านชายชราผมขาวที่ดูเหมือนนักปราชญ์หลับตาลงราวกับจมลงไปในความคิดอะไรบางอย่างซึ่งแตกต่างจากฉินหลิงที่หลังจากดื่มสุราเสร็จเขาก็รินสุราลงจอกต่อและดื่มลงไปราวกับรสชาติของสุราไม่ส่งผลอะไรแก่เขาแม้แต่น้อย
เมื่อชายวัยกลางคนที่เห็นฉินหลิงเป็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงไม่ชอบใจ
“ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าคงไม่อาจเข้าใจถึงรสชาติของสุราไหนี้
แทนที่จะเสียสุราที่ดีแบบนี้ให้เจ้าโดยไม่รู้คุณค่า ไม่สู้ขายให้ข้าดีกว่ารึ ”
ฉินหลิงแสยะยิ้มออกมา “ จะสุรารสเลวหรือสุรารสดี
ต่างก็เมาเหมือนกัน แล้วพวกท่านที่ดื่มสุรามิใช่เพื่อเมามายหรอกรึ ? ”
ชายวัยกลางคนหรี่ตามองฉินหลิงด้วยความสนใจก่อนจะโต้ตอบกลับมา
“ ถึงแม้สุราจะสามารถทำให้เมามายได้เหมือนกัน
แต่สุราที่ดีสามารถช่วยให้หลุดจากอารมณ์ทุกข์โศกได้ดีเยี่ยมยิ่งกว่า ”
ฉินหลิงส่ายหัวให้กับชายตรงหน้า “ สุรารสเลิศมิใช่น้ำอมฤต
ที่จะดลบันดาลให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ท่านเพียงแต่อาศัยสุราเพียงเพื่อให้ลบเลือนความทุกข์ที่เกิดขึ้นต่างหาก ”
เมื่อได้ยินคำของชายหนุ่มตรงหน้า
ชายวัยกลางคนก็นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีตและเอ่ยถาม “ หากเป็นเจ้าที่โดนแย่งชิงคนรักโดยไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้
เจ้าจะทำเช่นไรรึ ?”
ชายชราที่มีหยวดผมขาวซึ่งนั่งสงบมาโดยตลอดก็เบิกตากว้างกับคำถามของชายวัยกลางคนผู้นี้
ราวกับตกใจที่ชายผู้นี้กล้าถามเด็กน้อยผู้หนึ่งที่ๆม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น
“ ยินดีกับสิ่งที่ได้มา
และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป หากท่านสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้
ท่านก็สามารถปล่อยวางได้แล้ว
หากท่านยังไม่อาจปล่อยวางไว้ก็แค่แย่งชิงมันกลับมาเพราะหากท่านลงมือทำแล้วเสียใจ ก็ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยเสียงเรียบ
ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ หากเวลานั้นข้ามีความกล้ามากกว่านี้ ข้าอาจจะไม่ต้องเสียใจที่สูญเสียนาง ” เอ่ยจบเขาก็ดื่มสุราลงไปโดยไม่ลิ้มรสชาติอะไรอีก
“ปัญหาทุกอย่าง ล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
วิธีแก้ปัญหาก็อยู่ในใจเราเช่นกัน หากท่านสามารถตัดใจได้ ท่านก็จะสามารถปลดความเจ็บปวดภายในจิตใจได้เช่นกัน ” ฉินหลิงเอ่ยปลอบชายตรงหน้า
“ นั้นสินะ บางทีข้าอาจจะยึดติดกับนางเกินไปก็เป็นได้
เพียงแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรความรู้สึกผิดก็ไม่เคยห่างหายไปจากใจข้า เจ้าเข้าใจบ้างรึไม่ ข้าเจ็บปวดทุกคราที่นึกถึงใบหน้านาง ” ชายวัยกลางคนพร่ำเพรื่อถึงอดีตคนรัก
ฉินหลิงมองชายวัยกลางที่มีสีหน้าทุกข์ใจก็เอ่ยออกมา
“ ความเจ็บปวด..
ความปวดร้าว..
ความเงียบเหงา..
การถูกทอดทิ้ง..
การร่ำดื่มสุรากับน้ำตาของตน
การที่ต้องเหม่อมองฟ้าด้วยความเปล่าเปลี่ยว
แต่จะอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ”
ชายวัยกลางคนที่กำลังกำจอกสุราแน่นก็รู้สึกใจสั่นก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“ นั้นสินะ จะอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
” หลังจากชายวัยกลางคนพึมพำเสร็จก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ ไม่คาดคิดเลยว่าคนที่เข้าใจในการใช้ชีวิตกลับเป็นชายหนุ่มที่มีอายุน้อยเช่นนี้
ข้าที่ใช้ชีวิตอย่างยิ่งใหญ่มาหลายปีกลับไม่เข้าใจถึงสัจธรรมชีวิตเลยแม้แต่น้อย
”
ฉินหลิงยิ้มออกมาและเอ่ยปลอบ “ บุคลใดบ้างเล่าที่ไม่มีทุกข์ ขอเพียงเข้าใจทุกข์ ท่านก็แสวงหาความสุขได้ ”
ชายวัยกลางคนทุบโต๊ะเสียงดัง “ น้องชายพูดถูก
ไม่เข้าใจทุกข์จะเข้าใจสุขได้เช่นไร
วันนี้ถือว่าข้ามีบุญยิ่งที่ได้มาเจอกับเจ้า ”
ฉินหลิงยกสุราขึ้นชนกับอีกฝ่าย “ สุราดีเลว
หาใช่อยู่ที่ตัวสุรา แต่อยู่ที่อารมณ์ของผู้ดื่ม ต่อให้เป็นสุราจากเทพเซียน
ก็ไม่สามารถช่วยท่านหลุดพ้นจากความจริงไปได้ ”
ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง “ เป็นดั่งที่น้องชายพูด
สุรามิอาจช่วยให้ข้าผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ เพียงแค่ช่วยลืมเลือนไปชั่วขณะ ”
“ เรื่องนี้ท่านเข้าใจถูกแล้ว
ที่เราร่ำสุราก็เพื่อเมามายมิใช่รึดังคำที่ว่า
ความรู้สึกก็คล้ายสุรา เพื่อผ่อนคลายและลืมเลือน เราจึงต้องดื่มสุรา ”
ใบหน้าที่ขาวซีดของชายวัยกลางคนก็แดงออกมา “ ดี
ดี ดียิ่ง ข้าขอยอมแพ้
เป็นข้าเองที่ไม่รู้จักการร่ำสุราที่แท้จริง
วันนี้ข้าถึงได้เข้าใจความหมายของการร่ำสุรา ”
ฉินหลิงส่ายศีรษะเบาๆ “ บางทีการร่ำสุราอาจจะถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนที่รู้สึกเจ็บปวดสามารถลืมเลือนช่วงเวลาที่รู้สึกปวดร้าวก็ได้
เพราะชีวิตคือความเศร้า จึงต้องหาหนทางลืมเลือนความทุกข์นั้น และสุราคือทางออกของพวกเราก็เป็นได้
”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า “ นั้นสินะ
ผู้ใดบ้างที่ไม่มีทุกข์ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังมีทุกข์ในแบบของฮ่องเต้ ”
เมื่อชายวัยกลางคนพูดถึงฮ่องเต้
ฉินหลิงก็นึกถึงภาพคนยากลำบากที่อาศัยอยู่ฝั่งทิศตะวันออกและเอ่ยออกมา “ถ้าเป็นกษัตริย์แล้วไม่โลภ
ก็เป็นกษัตริย์ที่ดีไม่ได้
ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภก็เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้
”
ชายวัยกลางคนหรี่ตามองฉินหลิงก่อนจะเอ่ยถาม “ เจ้าหมายความว่าเช่นไรรึ ”
ฉินหลิงหัวเราะเย้ยออกมา “ ฮ่องเต้ไร้ซึ่งอำนาจ
ที่โดนแม้แต่สี่ตระกูลใหญ่คอยกดดัน ยังจะหวังพึ่งอะไรได้อีก
หลังจากข้าได้เห็นเมืองหลวงครั้งแรก
สิ่งที่ข้าคิดขึ้นก็คือแคว้นแห่งนี้จะมีฮ่องเต้ไปทำไมกัน
ในเมื่อความปลอดภัยของชาวบ้านยังไม่อาจมอบให้ได้เลย น่าขำนัก นี่นะรึคนที่ถูกเรียกขานว่าโอรสสวรรค์”
ชายชราชุดขาวเบิกตากว้างกำลังจะพูดต่อว่าฉินหลิง
แต่กลับโดนชายวัยกลางคนยกมือห้ามเอาไว้ และเอ่ยถามฉินหลิงด้วยสีหน้าปกติ “ เช่นนั้น
เพราะเหตุใดเจ้าถึงว่าฮ่องเต้ของแคว้นต้าเหยียนไม่มีประโยชน์ ”
“ หากท่านไม่รู้ ข้าจะบอกให้ท่านทราบเอง
ท่านคงจะรู้จักสี่ตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจของเมืองหลวงไว้ไม่น้อยสินะ ” ฉินหลิงเอ่ยถาม
ชายวัยกลางคนและชายชราผมขาวก็พยักหน้ายืนยัน
“แล้วพวกท่านรู้รึไม่ พวกเขาเหล่านั้นใช้อำนาจของตระกูลมาข่มขู่และรีดไถ่ชาวบ้านจนทำให้ชาวบ้านมากมายต้องพลัดพรากจากครอบครัวหรือไม่ก็ถูกกลั่นแกล้งด้วยความผิดที่ไม่ก่อจนทุกข์ทรมานให้แก่คนบริสุทธิ์ ซึ่งนี้ยังไม่รวมตระกูลจากราชวงศ์อีกที่ทำราวกับตนเองเป็นเทพเซียนที่สามารถดลบันดาลได้ทุกอย่างโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับมาล้วนแลกมาจากหยาดเหงื่อโลหิตของบรรพบุรุษทั้งสิ้น
”
ชายวัยกลางคนที่ตั้งใจฟังก็แสดงสีหน้าซับซ้อนก่อนจะเอ่ยถาม “ จากที่เจ้าพูดมาก็เป็นความผิดของสี่ตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น
แล้วทำไมเจ้าถึงต้องกล่าวโทษฮ่องเต้ด้วยละ
”
“ ท่านว่าผู้ที่ยังไม่สามารถปกครองบ้านได้ แล้วจะสามารถปกครองเมืองอยู่ได้อีกรึ
เพียงแค่เหล่าองค์ชายที่เป็นลูกชายแท้ๆทั้งหลายยังแก่งแย่งชิงดีกันอยู่เลย
แล้วฮ่องเต้จะปกครองบ้านเมืองได้เช่นไรกัน ”
ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่นก่อนจะเอ่ยถามฉินหลิงด้วยสีหน้าจริงจัง
“ ถ้าเจ้าเป็นฮ่องเต้ เจ้าจะทำอะไรต่อไปรึ
”
ฉินหลิงที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มแดงกล่ำก็เอ่ยออกมาโดยไม่สนใจ “ จะยากอะไร
ในเมื่อฮ่องเต้ไร้อำนาจก็สร้างอำนาจขึ้นมาซิ
หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไปก็ปล่อยให้พวกเขาสู้กัน อย่างเช่นปล่อยให้องค์ชายแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทอะไรแบบนี้
เพราะเมื่อฮ่องเต้ประกาศจะแต่งตั้งรัชทายาทขึ้นมา ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังขององค์ชายแต่ละคนก็คงอยู่ไม่สุขกันแล้ว
และคงสู้รบกันทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนสุดท้ายต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บหนัก
ข้าที่เป็นฮ่องเต้ก็ใช้อำนาจจัดการรวบทีเดียว
ฮ่าๆๆ เป็นเช่นไรกับวิธีการของข้า
โหดเหี่ยมใช่รึไม่ที่นำบุตรชายตัวเองมาเป็นตัวหมาก พอเถอะๆ ข้ารู้สึกว่าตัวเองเมาจนเพ้อไปไกลแล้ว”
ชายวัยกลางคนก็เหม่อมองออกไปนอกร้านที่ฝนเริ่มหยุดตกแล้ว
“ นั้นสินะ
บางทีฮ่องเต้แคว้นต้าเหยียนอาจจะไร้ประโยชน์เหมือนที่เจ้ากล่าวจริงๆก็ได้ ”
“
ไร้ประโยชน์จริงๆดังที่ข้าว่ามานั้นแหละ
หากให้ท่านปู่ของข้าจัดการพวกสี่ตระกูลใหญ่นั้นไปตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจอยู่เช่นนี้หรอก
มัวแต่ห่วงอำนาจว่าตระกูลฉินของข้าจะมีมากเกินไปถึงได้ถ่วงอำนาจไร้สาระอะไรอยู่
เช่นนี้ จึงสร้างความทุกข์ยากให้แก่ประชาชน หากปู่ของข้าสนใจอำนาจจริง องค์ฮ่องเต่คงไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขได้แบบนี้หรอก
เพียงแค่สนามรบ ฮ่องเต้ต้าเหยียนเคยเสด็จไปเยือนให้กำลังใจทหารสักครั้งรึไม่ ท่านลองเดินตามท้องถนน แล้วถามชื่อขององค์ฮ่องเต้ดูว่ามีคนรู้จักบ้างไหม
แตกต่างจากท่านปู่ของข้า เพียงแค่เอ่ยถึงแม่ทัพใหญ่พวกเขาก็แสดงสีหน้าซาบซึ้งแล้ว
อย่างที่ข้าบอกไปนั้นแหละ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหยียนมันไร้ประโยชน์จริงๆ ” ฉินหลิงใส่ความรู้สึกด่าออกไปทั้งที่ยังเมามายอยู่ ก่อนจะเทสุราลงในจอกและพบว่าเหล้าหมดแล้วจึงถอนหายใจออกมา
ชายวัยกลางคนที่ดื่มกับฉินหลิงมาตลอดก็เอ่ยเสียงสั่น
“ หะ..หรือเจ้าคือหลานชายของแม่ทัพใหญ่
ฉินหลิงเช่นนั้นรึ ”
“โอ้...ข้าลืมแนะนำตัวซะได้ ข้าเองฉินหลิง
ฉายาอันธพาลและจอมราคะแห่งเมืองไผ่เขียวก็เป็นของข้า ”
เอ่ยจบฉินหลิงก็หัวเราะออกมา
ชายชราผมขาวที่สวมชุดบัณฑิตซึ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยถาม
“ จากคำพูดที่ไม่ธรรมดาจนแม้แต่บางอย่างข้าเองก็นึกไม่ถึง
ข้าอยากรู้นักว่าผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้า ”
เมื่อได้ยินคำถามของชายชราผู้นี้
ฉินหลิงก็ถูคางไปมาพลางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ อาจารย์ของข้าถูกเรียกขานว่า ขงเบ้ง
เป็นผู้ที่ข้าใช้เวลาศึกษาอยู่กับเขาอยู่หลายตอน จนบางครั้งข้าต้องอดหลับอดนอนเพื่อดูท่านอาจารย์ขงเบ้ง ”
“ ขงเบ้ง รึ
เป็นนามที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน คงเป็นบัณฑิตที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเป็นแน่ที่สามารถสั่งสอนเจ้าได้ขนาดนี้
” ชายวัยกลางเอ่ยเยินยอขึ้นมาด้วยสีหน้าแสดงความนับถือ
ฉินหลิงที่เห็นชายชราสนใจชื่ออาจารย์ข้งเบ้งก็รู้สึกขำขันอยู่ภายในใจและเอ่ยต่อชายวัยกลางคน
“ ข้าสนทนากับท่านวันนี้สนุกมาก
หากมีโอกาสไว้เจอกันอีก ” เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินออกจากร้านด้วยใบหน้าแดงกล่ำทิ้งชายสูงวัยทั้งสองนั่งมองหน้ากัน
เมื่อฉินหลิงเดินจากไป
ชายชราชุดบัณฑิตก็มีสีหน้าเคร่งขรึมและเอ่ยกับชายวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ ฝ่าบาท ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เพียงแค่คำพูดคำจากลับลึกซึ่งยิ่งกว่านักปราชญ์ที่ศึกษามาทั้งชีวิตอีก
ข้าขอแนะนำให้ท่านนำคนอย่างเขามาทำงานให้กับราชสำนักจะเป็นผลดีต่อต้าเหยียนของเราอย่างยิ่งพะยะคะ
”
ชายวัยกลางคนพยักหน้ายืนยัน
“ ท่านราชครู แม้แต่ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าพี่เจินจะซ่อนพยัคฆ์ร้ายเช่นนี้เอาไว้
ถ้าไม่บังเอิญพวกเรามาพบชายหนุ่มผู้นี้คงทำให้ข้าต้องโง่เขลาอยู่อีกนานเป็นแน่ที่ถูกพวกสี่ตระกูลนั้นเป่าหูอยู่ทุกวัน
หากลูกชายของข้าซักคนมีความสามารถได้ซักครึ่งของชายหนุ่มผู้นี้
คงทำให้ข้าตายตาหลับแล้ว แต่คงไม่ง่ายนักที่จะดึงเด็กหนุ่มผู้นี้เข้ามาเป็นพวก จากลักษณะนิสัยเขาที่เป็นคนรักอิสระและไม่ชอบจำกัดอยู่ในกรอบ
” เอ่ยจบผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นฮ่องเต้ถอนหายใจออกมา
ความคิดเห็น