ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #59 : ร่ำสุรากับชายแปลกหน้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19.21K
      1.55K
      12 ก.ค. 62

    หลังจากพูดคุยและปล่อยเรื่องราวปัญหาการค้าให้ซูเยว่จัดการเสร็จ  ฉินหลิงก็เดินออกจากหอการค้าตะวันฉายไปทางทิศตะวันออก

     

    ฝั่งตะวันออกของเมืองหลวงเป็นจุดที่ฉินหลิงรู้สึกสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้รับรายงานจากซูเยว่แล้ว

     

    ใช้เวลาไม่นานฉินหลิงก็เดินเท้าไปยังมุมเมืองของทิศตะวันออก  สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเหล่าขอทานหรือไม่ก็คนยากจนที่ใส่เสื้อผ้าขาดๆแลดูซอมซ่อ อาศัยอยู่ในเต็นท์ผ้าที่สร้างอย่างลวกๆหรือไม่ก็เป็นแผ่นไม้ที่นำมาประกบหยาบๆ ซึ่งมีผู้คนอยู่กันอย่างมากมายจนเป็นเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากจุดที่เขาเดินผ่านมาราวกับคนละเมือง

     

    เหล่าพวกคนยากจนที่ไร้บ้านต่างมารวมตัวกันยังที่แห่งนี้เพื่อหาที่หลับนอนและพักอาศัย

     

    เนื่องด้วยประชากรที่มากล้นเกินกว่าที่ทางการจะดูแลไหว และภาษีที่สูงของเมืองหลวงแห่งนี้จึงทำให้ในทุกๆปีมีคนที่เป็นหนี้และไม่สามารถชำระภาษีได้ จึงทำให้พวกเขาโดนยึดบ้านและที่ดินทำกินเป็นจำนวนมาก

     

    เมื่อชาวบ้านที่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายภาษีได้ พวกเขาก็ทำได้เพียงย้ายข้าวของมาหาที่อาศัยยังฝั่งทิศตะวันออก เพื่อรอให้คนมาจ้างงานในราคาถูกหรือไม่ก็ยอมขายตัวเพื่อเป็นทาส

     

    หลังจากที่ฉินหลิงสังเกตโดยรอบ เขาก็เห็นหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่ยังแต่งตัวซอมซ่อกวักมือเรียกผู้ชายที่เดินผ่านเพื่อแลกเปลี่ยนร่างกายตัวเองกับเงินเพียงไม่กี่อีแป๊ะ


    ในแววตาของฉินหลิงที่มองออกไปแสดงออกถึงความสงสารปนเวทนากับผู้คนเบื้องหน้าเหล่านี้ แต่เขารู้ตัวเองดีว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเลี้ยงดูคนจำนวนมากขนาดนี้ได้  และก็ใช่ว่าทุกคนในที่แห่งนี้จะเป็นคนดีทุกคน

     

    และถ้าหากเขาเข้ามาก้าวก่ายมากเกินไปอาจจะส่งผลให้เกิดการกระทบกระทั้งกับทางการและยิ่งทำให้เกิดปัญหากับเขายิ่งขึ้นไปอีกก็ได้

     

    ระหว่างที่เขากำลังงยืนเหม่อมองผู้คนที่วุ่นวายอยู่ในเขตสลัมแห่งนี้ หยาดพิรุณที่ถูกควบแน่นจากบท้องนภาก็ตกลงมาปะทะเข้าบนใบหน้าฉินหลิง จนทำให้ฉินหลิงรู้สึกตัวและเห็นเหล่าผู้คนที่ยากจนตรงหน้าวิ่งวุ่นเข้าไปยังที่พักซึ่งดูเหมือนจะผุพังไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว

     

    ฉินหลิงที่มองไปบนท้องฟ้าที่มืดคลึ้ม จึงหันตัวกลับไปยังทิศทางที่เขาจากมา และเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเพื่อจะกลับไปที่พัก

     

    แต่เมื่อฝนตกลงมาหนักขึ้น จึงทำให้เสื้อผ้าของชายหนุ่มตระกูลฉินเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ  เขาจึงหันตัวไปยังเหลาสุราที่อยู่ด้านข้างที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อหาที่หลบฝน

     

    เมื่อเปิดประตูเข้าไป ฉินหลิงก็เห็นภายในร้านที่ว่างเปล่า ไม่มีคนมานั่งแม้แต่โต๊ะเดียว ซึ่งไม่ผิดปกติเพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเวลากลางวันจึงทำให้ผู้คนคงไม่เข้ามากินดื่ม และยังอยู่ใกล้กับพื้นที่เขตตะวันออกที่เป็นเขตของคนยากจนจึงน่าจะมีคนเข้ามาดื่มสุรายังที่แห่งนี้น้อย

     

    “ มีใครอยู่รึไม่ ?  ” เนื่องจากเขาไม่เห็นเถ้าแก่ร้านอยู่  ฉินหลิงเอ่ยเสียงดังถามออกไปยังด้านหลังร้าน

     

    โครมๆๆ!!

     

    เสียงล้มของข้าวของเครื่องใช้ดังออกมาจากด้านหลังร้าน ตามมาด้วยชายชราหัวล้านที่รูปร่างสูงใหญ่ราวแปดเซี๊ยะ(~2เมตร) ที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดและเอ่ยออกมาเสียงดัง “ เจ้าเด็กน้อย เจ้าเรียกข้าทำไม รู้รึไม่มันขัดเวลานอนของข้า หากไม่มีคำตอบที่ดีให้แก่ข้า อย่าหวังว่าจะออกไปอย่างไม่เจ็บตัว 

     

    ฉินหลิงที่ได้ยินคำขู่ของชายชราตรงหน้าก็ยิ้มแห้งๆออกมาก่อนจะโต้กลับไป “ ขออภัยที่ข้ามารบกวนเวลานอนกลางวันของท่าน เพียงแต่อีกไม่นานท่านก็ได้นอนยาวแล้ว ท่านจะไม่ออกต้อนรับลูกค้าหน่อยรึ 

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มรุ่นหลาน ผู้เฒ่าโม่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเหลาสุราแห่งนี้ก็หัวเราะลั่นร้าน “ ฮาๆ ไม่มีใครกล้าด่าข้าเช่นนี้มานานแล้ว  บิดามันเถอะ เจ้าเด็กสารเลว เจ้าไม่รู้จริงๆรึข้าเป็นใคร 

     

    ฉินหลิงเผยสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินคำถามของชายหัวล้วน “ มิใช่ว่าท่านเป็นเจ้าของเหลาสุราแห่งนี้รึ  ?

     

    ครั้นเห็นสีหน้าที่ทำราวกับไม่รู้จักของฉินหลิง เฒ่าโม่ก็รู้สึกอายขึ้นมาไม่น้อยก่อนจะด่าฉินหลิงเสียงดัง “ เจ้าเข้ามาร้านข้าทั้งๆไม่รู้ว่าข้าเป็นใครงั้นรึ  ?

     

    ฉินหลิงพยักหน้ายืนยัน “ ข้าเพียงจะขอเข้ามาหาที่หลบฝนเท่านั้น  แล้วท่านเป็นใคร ข้าพึ่งมาเมืองหลวงครั้งแรก อาจจะไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของท่าน โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย 

     

    คำพูดของฉินหลิงที่แสดงความนอบน้อมออกมา ก็ทำให้เฒ่าโม่รู้สึกประทับใจกับชายหนุ่มตรงหน้าและเอ่ยแนะนำตัว “ ผู้คนเรียกขานข้าว่าตาเฒ่าโม่ ภายในแคว้นแห่งนี้ข้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สามารถบ่มสุราได้รสเลิศที่สุด และสุราของร้านข้าก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถซื้อหาได้ แต่ถือว่าวันนี้เจ้าโชคดีที่ข้าอารมณ์ดี ข้าจะเลี้ยงสุราแก่เด็กสารเลวอย่างเจ้าซักไห ให้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของสวรรค์ ” เอ่ยจบเฒ่าโม่ผู้ที่เรียกขานตัวเองว่ามือหนึ่งแห่งการบ่มสุราก็นำสุรามาตั้งบนโต๊ะของฉินหลิง

     

    ฉินหลิงมองไปยังการกระทำที่ขัดกันไปมาของเฒ่าโม่ผู้นี้ด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนจะเปิดจุกสุราและเทสุราที่เฒ่าโม่ผู้เรียกขานตัวเองว่าเป็นมือหนึ่งแห่งการบ่มสุราลงในจอก

     

    ฉินหลิงยกจอกสุรามาดมซึ่งทำให้กลิ่นหอมของดอกเหมย (ดอกบ๊วย) พวยพุ่งขึ้นมาจากจอกสุราเข้าสู่ภายในจมูกของชายหนุ่มที่ชื่นชอบสุราผู้หนึ่ง และก่อให้เกิดความรู้สึกสดชื่นอย่างไม่อาจอธิบายได้ออกมาจากภายในจิตใจ

     

    ในขณะที่ฉินหลิงจะกำลังดื่มสุรา ประตูร้านของเฒ่าโม่ก็ถูกเปิดออกและมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าซีดขาวเดินเข้ามาและตามมาด้วยชายชราที่มีผมและหนวดสีขาวยาวสะบัดไปมาราวกับพู่กันเหมือนนักปราชญ์ที่เป็นผู้แสวงหาความรู้จากตำรา

     

    เมื่อชายวัยกลางคนสังเกตคนในร้านก็เห็นฉินหลิงที่กำลังจะดื่มสุราก็เบิกตากว้างก่อนจะหันไปหาเฒ่าโม่และเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ  “ นี้มันหมายความว่าเช่นไรตาเฒ่าโม่  ข้ามาหาซื้อสุราของท่านตั้งหลายรอบแต่ท่านกลับกลับไม่มีให้ข้าซักไห  แต่ท่านกลับนำไปขายให้เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับร่ำสุราดื่มเช่นนี้ มันเสียของเกินไปแล้ว ”

     

    แต่เมื่อชายวับกลางคนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเสียมารยาทกับเด็กหนุ่มที่มาก่อน เขาจึงหันมายิ้มขอโทษให้ฉินหลิง “ ขออภัยที่เสียมารยาท แต่ข้าไม่ได้มีเจตนาว่าร้ายเจ้า เพียงแต่สุราไหนี้มันล้ำค่าเกินไป เพราะเจ้ายังเด็กเกินไป คงไม่เข้าใจถึงความสุดยอดของสุราไหนี้เป็นแน่  เช่นนั้นเจ้าขายให้ข้าเถอะ ข้าให้เจ้าห้าสิบตำลึงทองแลกกับสุราไหนี้ 

     

    การที่ชายวัยกลางคนผู้นี้กล้าใช้เงินถึงห้าสิบตำลึงทองเพียงเพื่อแลกกับสุราไหเดียว จึงทำให้ฉินหลิงต้องหรี่ตามองชายที่ใบหน้าซีดขาวแสดงอาการเจ็บป่วยอย่างสนใจพลางเอ่ยตอบกลับโดยที่ยังหมุนจอกสุราในมือ “ พี่ชายท่านนี้กล่าวว่าข้าไม่รู้เกี่ยวกับสุรา เช่นนั้นเชิญท่านมานั่งพูดคุยถึงการร่ำสุรากับข้าเถิด สำหรับสุราไหนี้ถือว่าข้าเลี้ยงเอง  ” เอ่ยจบฉินหลิงผายมือเชิญไปยังเก้าอี้ฝ่ายตรงข้ามเเละเอ่ยเลี้ยงสุราที่เขาได้มาฟรีจากเฒ่าโม่โดยไม่เขอะเขินแม้เเต่น้อย

     

    ชายวัยกลางคนที่ถูกฉินหลิงเรียกว่าพี่ชายก็เบิกตากว้างมองเด็กชายรุ่นลูกด้วยความตกใจ ก่อนจะแสดงรอยยิ้มออกมา และเดินไปนั่งตรงข้ามกับฉินหลิงด้วยสีหน้าสนอกสนใจ

     

    ส่วนชายชราผมขาวที่เดินตามหลังชายวัยกลางคนผู้นี้ในตอนแรกก็เดินตามมานั่งด้านข้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในแววตากับตั้งใจพิจารณาชายหนุ่มเบื้องหน้า

     

    “ เฮ้...ตาเฒ่าโม่ เอาจอกสุรามาให้พี่ชายทั้งสองท่านนี้ด้วย  ” ฉินหลิงตะโกนบอกเฒ่าโม่ผู้เป็นเจ้าของร้านสุราแห่งนี้

     

    เฒ่าโม่ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยกับชายวัยกลางคน “ เจ้าเด็กน้อยหลี่ เจ้าถึงกับหลอกกินสุราจากหลานชายคนนี้เลยรึ 

     

    “ ข้าไม่ได้หลอกลวงอะไร เป็นน้องชายคนนี้เอ่ยชวนมาเอง ท่านก็อย่าใส่ความข้านักเลย รีบนำจอกสุรามาให้ข้าได้แล้ว ข้าจักถกปัญหาเรื่องร่ำสุรากับน้องชายท่านนี้เสียหน่อย  ” ชายวัยกลางคนตอบโต้เฒ่าโม่ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงอารมณ์ดี

     

    หลักจากเฒ่าโม่นำจอกสุราอีกสองจอกตั้งลงบนโต๊ะ ฉินหลิงก็รินสุราจากไหใบใหญ่แล้วส่งให้พี่ชายทั้งสองที่อาวุโสวัยกว่าโดยที่เขายังไม่รู้แต่ชื่อด้วยใบหน้าแฝงใบด้วยรอยยิ้ม

     

    “ ชน!

     

    ทั้งสามดื่มสุราเข้าไปอย่างรวดเร็วจนหมดจอก ซึ่งแต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าแตกต่างกัน

     

    ชายวัยกลางคนแสดงใบหน้าผ่อนคลายหลังจากได้ดื่มสุราของเฒ่าโม่ ราวกับเขากำลังใช้สุราเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำจากความเจ็บปวดบางอย่าง

     

    ทางด้านชายชราผมขาวที่ดูเหมือนนักปราชญ์หลับตาลงราวกับจมลงไปในความคิดอะไรบางอย่างซึ่งแตกต่างจากฉินหลิงที่หลังจากดื่มสุราเสร็จเขาก็รินสุราลงจอกต่อและดื่มลงไปราวกับรสชาติของสุราไม่ส่งผลอะไรแก่เขาแม้แต่น้อย

     

    เมื่อชายวัยกลางคนที่เห็นฉินหลิงเป็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงไม่ชอบใจ “ ข้าบอกแล้วว่าเจ้าคงไม่อาจเข้าใจถึงรสชาติของสุราไหนี้ แทนที่จะเสียสุราที่ดีแบบนี้ให้เจ้าโดยไม่รู้คุณค่า ไม่สู้ขายให้ข้าดีกว่ารึ 

     

    ฉินหลิงแสยะยิ้มออกมา “ จะสุรารสเลวหรือสุรารสดี ต่างก็เมาเหมือนกัน แล้วพวกท่านที่ดื่มสุรามิใช่เพื่อเมามายหรอกรึ  ?

     

    ชายวัยกลางคนหรี่ตามองฉินหลิงด้วยความสนใจก่อนจะโต้ตอบกลับมา “ ถึงแม้สุราจะสามารถทำให้เมามายได้เหมือนกัน แต่สุราที่ดีสามารถช่วยให้หลุดจากอารมณ์ทุกข์โศกได้ดีเยี่ยมยิ่งกว่า 

     

    ฉินหลิงส่ายหัวให้กับชายตรงหน้า “ สุรารสเลิศมิใช่น้ำอมฤต ที่จะดลบันดาลให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ท่านเพียงแต่อาศัยสุราเพียงเพื่อให้ลบเลือนความทุกข์ที่เกิดขึ้นต่างหาก 

     

    เมื่อได้ยินคำของชายหนุ่มตรงหน้า  ชายวัยกลางคนก็นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีตและเอ่ยถาม  “ หากเป็นเจ้าที่โดนแย่งชิงคนรักโดยไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้ เจ้าจะทำเช่นไรรึ  ?

     

    ชายชราที่มีหยวดผมขาวซึ่งนั่งสงบมาโดยตลอดก็เบิกตากว้างกับคำถามของชายวัยกลางคนผู้นี้ ราวกับตกใจที่ชายผู้นี้กล้าถามเด็กน้อยผู้หนึ่งที่ๆม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น

     

      ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป หากท่านสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ ท่านก็สามารถปล่อยวางได้แล้ว หากท่านยังไม่อาจปล่อยวางไว้ก็แค่แย่งชิงมันกลับมาเพราะหากท่านลงมือทำแล้วเสียใจ  ก็ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ  ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยเสียงเรียบ

     

    ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ หากเวลานั้นข้ามีความกล้ามากกว่านี้  ข้าอาจจะไม่ต้องเสียใจที่สูญเสียนาง   เอ่ยจบเขาก็ดื่มสุราลงไปโดยไม่ลิ้มรสชาติอะไรอีก

     

    “ปัญหาทุกอย่าง ล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น วิธีแก้ปัญหาก็อยู่ในใจเราเช่นกัน หากท่านสามารถตัดใจได้ ท่านก็จะสามารถปลดความเจ็บปวดภายในจิตใจได้เช่นกัน  ” ฉินหลิงเอ่ยปลอบชายตรงหน้า

     

    “ นั้นสินะ บางทีข้าอาจจะยึดติดกับนางเกินไปก็เป็นได้ เพียงแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรความรู้สึกผิดก็ไม่เคยห่างหายไปจากใจข้า  เจ้าเข้าใจบ้างรึไม่  ข้าเจ็บปวดทุกคราที่นึกถึงใบหน้านาง  ” ชายวัยกลางคนพร่ำเพรื่อถึงอดีตคนรัก

    ฉินหลิงมองชายวัยกลางที่มีสีหน้าทุกข์ใจก็เอ่ยออกมา

    “ ความเจ็บปวด..

    ความปวดร้าว..

    ความเงียบเหงา..

    การถูกทอดทิ้ง..

    การร่ำดื่มสุรากับน้ำตาของตน

    การที่ต้องเหม่อมองฟ้าด้วยความเปล่าเปลี่ยว

    แต่จะอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ”

     

    ชายวัยกลางคนที่กำลังกำจอกสุราแน่นก็รู้สึกใจสั่นก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ นั้นสินะ จะอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป  ” หลังจากชายวัยกลางคนพึมพำเสร็จก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ ไม่คาดคิดเลยว่าคนที่เข้าใจในการใช้ชีวิตกลับเป็นชายหนุ่มที่มีอายุน้อยเช่นนี้  ข้าที่ใช้ชีวิตอย่างยิ่งใหญ่มาหลายปีกลับไม่เข้าใจถึงสัจธรรมชีวิตเลยแม้แต่น้อย  

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาและเอ่ยปลอบ  “ บุคลใดบ้างเล่าที่ไม่มีทุกข์  ขอเพียงเข้าใจทุกข์ ท่านก็แสวงหาความสุขได้ 

     

    ชายวัยกลางคนทุบโต๊ะเสียงดัง “ น้องชายพูดถูก ไม่เข้าใจทุกข์จะเข้าใจสุขได้เช่นไร  วันนี้ถือว่าข้ามีบุญยิ่งที่ได้มาเจอกับเจ้า 

     

    ฉินหลิงยกสุราขึ้นชนกับอีกฝ่าย “ สุราดีเลว หาใช่อยู่ที่ตัวสุรา แต่อยู่ที่อารมณ์ของผู้ดื่ม ต่อให้เป็นสุราจากเทพเซียน ก็ไม่สามารถช่วยท่านหลุดพ้นจากความจริงไปได้  

     

    ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง “ เป็นดั่งที่น้องชายพูด สุรามิอาจช่วยให้ข้าผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ เพียงแค่ช่วยลืมเลือนไปชั่วขณะ 

     

      เรื่องนี้ท่านเข้าใจถูกแล้ว ที่เราร่ำสุราก็เพื่อเมามายมิใช่รึดังคำที่ว่า  ความรู้สึกก็คล้ายสุรา เพื่อผ่อนคลายและลืมเลือน เราจึงต้องดื่มสุรา ”

     

    ใบหน้าที่ขาวซีดของชายวัยกลางคนก็แดงออกมา “ ดี ดี ดียิ่ง  ข้าขอยอมแพ้ เป็นข้าเองที่ไม่รู้จักการร่ำสุราที่แท้จริง วันนี้ข้าถึงได้เข้าใจความหมายของการร่ำสุรา ”

     

    ฉินหลิงส่ายศีรษะเบาๆ  “ บางทีการร่ำสุราอาจจะถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนที่รู้สึกเจ็บปวดสามารถลืมเลือนช่วงเวลาที่รู้สึกปวดร้าวก็ได้  เพราะชีวิตคือความเศร้า  จึงต้องหาหนทางลืมเลือนความทุกข์นั้น และสุราคือทางออกของพวกเราก็เป็นได้ ”

     

    ชายวัยกลางคนพยักหน้า “ นั้นสินะ ผู้ใดบ้างที่ไม่มีทุกข์ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังมีทุกข์ในแบบของฮ่องเต้ 

     

    เมื่อชายวัยกลางคนพูดถึงฮ่องเต้ ฉินหลิงก็นึกถึงภาพคนยากลำบากที่อาศัยอยู่ฝั่งทิศตะวันออกและเอ่ยออกมา “ถ้าเป็นกษัตริย์แล้วไม่โลภ  ก็เป็นกษัตริย์ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภก็เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้ 

     

    ชายวัยกลางคนหรี่ตามองฉินหลิงก่อนจะเอ่ยถาม “ เจ้าหมายความว่าเช่นไรรึ 

     

    ฉินหลิงหัวเราะเย้ยออกมา “ ฮ่องเต้ไร้ซึ่งอำนาจ ที่โดนแม้แต่สี่ตระกูลใหญ่คอยกดดัน ยังจะหวังพึ่งอะไรได้อีก หลังจากข้าได้เห็นเมืองหลวงครั้งแรก สิ่งที่ข้าคิดขึ้นก็คือแคว้นแห่งนี้จะมีฮ่องเต้ไปทำไมกัน  ในเมื่อความปลอดภัยของชาวบ้านยังไม่อาจมอบให้ได้เลย  น่าขำนัก นี่นะรึคนที่ถูกเรียกขานว่าโอรสสวรรค์”

     

    ชายชราชุดขาวเบิกตากว้างกำลังจะพูดต่อว่าฉินหลิง แต่กลับโดนชายวัยกลางคนยกมือห้ามเอาไว้ และเอ่ยถามฉินหลิงด้วยสีหน้าปกติ “ เช่นนั้น เพราะเหตุใดเจ้าถึงว่าฮ่องเต้ของแคว้นต้าเหยียนไม่มีประโยชน์ 

     

    “ หากท่านไม่รู้ ข้าจะบอกให้ท่านทราบเอง ท่านคงจะรู้จักสี่ตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจของเมืองหลวงไว้ไม่น้อยสินะ  ” ฉินหลิงเอ่ยถาม

     

    ชายวัยกลางคนและชายชราผมขาวก็พยักหน้ายืนยัน

     

    “แล้วพวกท่านรู้รึไม่ พวกเขาเหล่านั้นใช้อำนาจของตระกูลมาข่มขู่และรีดไถ่ชาวบ้านจนทำให้ชาวบ้านมากมายต้องพลัดพรากจากครอบครัวหรือไม่ก็ถูกกลั่นแกล้งด้วยความผิดที่ไม่ก่อจนทุกข์ทรมานให้แก่คนบริสุทธิ์  ซึ่งนี้ยังไม่รวมตระกูลจากราชวงศ์อีกที่ทำราวกับตนเองเป็นเทพเซียนที่สามารถดลบันดาลได้ทุกอย่างโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับมาล้วนแลกมาจากหยาดเหงื่อโลหิตของบรรพบุรุษทั้งสิ้น   

     

    ชายวัยกลางคนที่ตั้งใจฟังก็แสดงสีหน้าซับซ้อนก่อนจะเอ่ยถาม  “ จากที่เจ้าพูดมาก็เป็นความผิดของสี่ตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น แล้วทำไมเจ้าถึงต้องกล่าวโทษฮ่องเต้ด้วยละ 

     

    “ ท่านว่าผู้ที่ยังไม่สามารถปกครองบ้านได้ แล้วจะสามารถปกครองเมืองอยู่ได้อีกรึ เพียงแค่เหล่าองค์ชายที่เป็นลูกชายแท้ๆทั้งหลายยังแก่งแย่งชิงดีกันอยู่เลย แล้วฮ่องเต้จะปกครองบ้านเมืองได้เช่นไรกัน   

     

    ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่นก่อนจะเอ่ยถามฉินหลิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ ถ้าเจ้าเป็นฮ่องเต้ เจ้าจะทำอะไรต่อไปรึ 

     

    ฉินหลิงที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มแดงกล่ำก็เอ่ยออกมาโดยไม่สนใจ  “ จะยากอะไร ในเมื่อฮ่องเต้ไร้อำนาจก็สร้างอำนาจขึ้นมาซิ  หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไปก็ปล่อยให้พวกเขาสู้กัน อย่างเช่นปล่อยให้องค์ชายแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทอะไรแบบนี้ เพราะเมื่อฮ่องเต้ประกาศจะแต่งตั้งรัชทายาทขึ้นมา ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังขององค์ชายแต่ละคนก็คงอยู่ไม่สุขกันแล้ว และคงสู้รบกันทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนสุดท้ายต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บหนัก ข้าที่เป็นฮ่องเต้ก็ใช้อำนาจจัดการรวบทีเดียว  ฮ่าๆๆ เป็นเช่นไรกับวิธีการของข้า โหดเหี่ยมใช่รึไม่ที่นำบุตรชายตัวเองมาเป็นตัวหมาก  พอเถอะๆ ข้ารู้สึกว่าตัวเองเมาจนเพ้อไปไกลแล้ว”

     

    ชายวัยกลางคนก็เหม่อมองออกไปนอกร้านที่ฝนเริ่มหยุดตกแล้ว “ นั้นสินะ บางทีฮ่องเต้แคว้นต้าเหยียนอาจจะไร้ประโยชน์เหมือนที่เจ้ากล่าวจริงๆก็ได้ 

     

    “ ไร้ประโยชน์จริงๆดังที่ข้าว่ามานั้นแหละ  หากให้ท่านปู่ของข้าจัดการพวกสี่ตระกูลใหญ่นั้นไปตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจอยู่เช่นนี้หรอก  มัวแต่ห่วงอำนาจว่าตระกูลฉินของข้าจะมีมากเกินไปถึงได้ถ่วงอำนาจไร้สาระอะไรอยู่ เช่นนี้ จึงสร้างความทุกข์ยากให้แก่ประชาชน  หากปู่ของข้าสนใจอำนาจจริง องค์ฮ่องเต่คงไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขได้แบบนี้หรอก เพียงแค่สนามรบ ฮ่องเต้ต้าเหยียนเคยเสด็จไปเยือนให้กำลังใจทหารสักครั้งรึไม่  ท่านลองเดินตามท้องถนน แล้วถามชื่อขององค์ฮ่องเต้ดูว่ามีคนรู้จักบ้างไหม แตกต่างจากท่านปู่ของข้า เพียงแค่เอ่ยถึงแม่ทัพใหญ่พวกเขาก็แสดงสีหน้าซาบซึ้งแล้ว อย่างที่ข้าบอกไปนั้นแหละ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหยียนมันไร้ประโยชน์จริงๆ ”  ฉินหลิงใส่ความรู้สึกด่าออกไปทั้งที่ยังเมามายอยู่ ก่อนจะเทสุราลงในจอกและพบว่าเหล้าหมดแล้วจึงถอนหายใจออกมา

     

    ชายวัยกลางคนที่ดื่มกับฉินหลิงมาตลอดก็เอ่ยเสียงสั่น “ หะ..หรือเจ้าคือหลานชายของแม่ทัพใหญ่ ฉินหลิงเช่นนั้นรึ ”

     

    “โอ้...ข้าลืมแนะนำตัวซะได้  ข้าเองฉินหลิง ฉายาอันธพาลและจอมราคะแห่งเมืองไผ่เขียวก็เป็นของข้า ” เอ่ยจบฉินหลิงก็หัวเราะออกมา

     

    ชายชราผมขาวที่สวมชุดบัณฑิตซึ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยถาม “ จากคำพูดที่ไม่ธรรมดาจนแม้แต่บางอย่างข้าเองก็นึกไม่ถึง ข้าอยากรู้นักว่าผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้า  

     

    เมื่อได้ยินคำถามของชายชราผู้นี้ ฉินหลิงก็ถูคางไปมาพลางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “ อาจารย์ของข้าถูกเรียกขานว่า ขงเบ้ง เป็นผู้ที่ข้าใช้เวลาศึกษาอยู่กับเขาอยู่หลายตอน จนบางครั้งข้าต้องอดหลับอดนอนเพื่อดูท่านอาจารย์ขงเบ้ง 

     

    “ ขงเบ้ง รึ เป็นนามที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน คงเป็นบัณฑิตที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเป็นแน่ที่สามารถสั่งสอนเจ้าได้ขนาดนี้ ” ชายวัยกลางเอ่ยเยินยอขึ้นมาด้วยสีหน้าแสดงความนับถือ

     

    ฉินหลิงที่เห็นชายชราสนใจชื่ออาจารย์ข้งเบ้งก็รู้สึกขำขันอยู่ภายในใจและเอ่ยต่อชายวัยกลางคน “ ข้าสนทนากับท่านวันนี้สนุกมาก หากมีโอกาสไว้เจอกันอีก ” เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินออกจากร้านด้วยใบหน้าแดงกล่ำทิ้งชายสูงวัยทั้งสองนั่งมองหน้ากัน

     

    เมื่อฉินหลิงเดินจากไป ชายชราชุดบัณฑิตก็มีสีหน้าเคร่งขรึมและเอ่ยกับชายวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “ ฝ่าบาท ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เพียงแค่คำพูดคำจากลับลึกซึ่งยิ่งกว่านักปราชญ์ที่ศึกษามาทั้งชีวิตอีก ข้าขอแนะนำให้ท่านนำคนอย่างเขามาทำงานให้กับราชสำนักจะเป็นผลดีต่อต้าเหยียนของเราอย่างยิ่งพะยะคะ ”

     

    ชายวัยกลางคนพยักหน้ายืนยัน  “ ท่านราชครู แม้แต่ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าพี่เจินจะซ่อนพยัคฆ์ร้ายเช่นนี้เอาไว้  ถ้าไม่บังเอิญพวกเรามาพบชายหนุ่มผู้นี้คงทำให้ข้าต้องโง่เขลาอยู่อีกนานเป็นแน่ที่ถูกพวกสี่ตระกูลนั้นเป่าหูอยู่ทุกวัน  หากลูกชายของข้าซักคนมีความสามารถได้ซักครึ่งของชายหนุ่มผู้นี้ คงทำให้ข้าตายตาหลับแล้ว แต่คงไม่ง่ายนักที่จะดึงเด็กหนุ่มผู้นี้เข้ามาเป็นพวก  จากลักษณะนิสัยเขาที่เป็นคนรักอิสระและไม่ชอบจำกัดอยู่ในกรอบ ” เอ่ยจบผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นฮ่องเต้ถอนหายใจออกมา

     






    บทนี้ค่อนข้างเขียนยาก ผู้เขียนจึงต้องร่ำสุราไปเขียนไปกว่าจะออกมาเเบบนี้ได้ (555ไม่เกี่ยวละ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×