คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : การวิวาทครั้งเเรกภายในเมืองหลวง (1)
หลังจากเข้ามายังด้านในของภายในเมืองหลวง
รถม้าของฉินหลิงก็ชะลอความเร็วพร้อมเปิดหน้าต่างกว้างให้ถานอวี้จี้มองออกไปด้านนอก
ด้านนอกของรถม้าที่ฉินหลิงและถานอวี้จี้มองออกไป
จะเห็นได้ถึงฝูงชนมากหน้าหลายตาที่เดินกันไปมา
เมืองหลวงต้าเหยียนมีประชากรนับล้านอาศัยอยู่
จึงทำให้คนมากมายต่างเดินสวนกันไปมาบนท้องถนน และก่อให้เกิดความรู้สึกวุ่นวายอยู่ไม่น้อย
บ้านเรือนริมข้างทางของเมืองหลวงแห่งนี้ส่วนมากแล้วล้วนทำมาจากไม้
และมีร้านค้าขายต่างๆที่เปิดโดยชาวบ้านอยู่ทั่วไป
นอกจากชาวบ้านที่เดินอยู่กันอย่างวุ่นวาย
หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่ามีผู้คนที่สวมเสื้อผ้าสีเทาเก่าและมีโซ่เหล็กเส้นใหญ่ผูกไว้ที่คอหรือข้อเท้าเดินไปมาด้วยสีหน้าซีดเซียวอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ซึ่งเมื่อเหล่าทาสพวกนี้เดินผ่านที่ใด ชาวบ้านต่างหลบออกพร้อมกับแสดงสีหน้ารังเกียจ
และสิ่งที่พบเจอได้มากอีกอย่างภายในเมืองหลวงแห่งนี้ก็คือสิ่งปฏิกูลที่ถูกทิ้งไว้รอบๆ
ก่อให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
เนื่องด้วยประชากรจำนวนมากและการที่ขุนนางคนชั้นสูงไม่ได้เข้ามาดูแลความเป็นอยู่ของผู้คนในเขตทางใต้จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้นอกจากเต็มไปด้วยความวุ่นวายยังมีความสกปรกอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นเมืองหลวงแคว้นต้าเหยียนเป็นเช่นนี้ ฉินหลิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาให้กับความไร้สามารถในการปกครองของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
เพราะขนาดเมืองไผ่เขียวที่ถูกปกครองโดยปู่ของเขาที่เป็นขุนนางทางทหารยังดูแลเมืองได้ดีกว่าผู้ที่ถูกเรียกขานว่าโอรสสวรรค์เสียอีก
ในขณะที่ฉินหลิงกำลังรู้สึกเวทนากับผู้คนในเมืองหลวง
ถานอวี้จี้ก็มองออกไปดูผู้คนที่เดินเร่ขายของด้วยแววตาเปล่งประกาย เพราะถึงอย่างไรนางเองก็พึ่งเคยเห็นผู้คนมากมายเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เทียบกับเมืองไผ่เขียวที่มีประชากรไม่ถึงสองแสนคน
จึงทำให้เมืองหลวงที่มีคนมากกว่านับสิบเท่าดูใหญ่โตกว่าอย่างชัดเจน
หากจะบอกว่าเมืองแห่งนี้ไม่น่าพิสมัยก็คงไม่ผิดนัก
แต่เหตุที่ผู้คนยังแห่เข้ามาอย่างมากมาย ก็เป็นเพราะเมืองหลวงเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางของแคว้นจึงทำให้เมืองแห่งนี้แหล่งที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากทั่วทั้งแคว้น
ซึ่งมีแม้กระทั้งสิ่งของบางอย่างที่ฉินหลิงเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ เจ้าอยากลงไปเดินซื้อของรึ ”
ฉินหลิงเอ่ยถามหญิงสาวเบื้องหน้าเมื่อเห็นว่าเธอมองดูสินค้าตามร้านต่างๆข้างทางด้วยสีหน้าสนอกสนใจ
เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม
ถานอวี้จี้ก้มหน้าแล้วส่ายหัวไปมา เพราะเธอกลัวที่จะต้องสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มอีก
ซึ่งเธอยังจำได้อยู่เลยว่าก่อนมาถึงเมืองหลวงแห่งนี้ ก็เป็นเธอเองที่ก่อเรื่องจนทำให้ฉินหลิงต้องเป็นศัตรูกับตระกูลใหญ่โตในเมืองหลวง
เมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว
ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ถานอวี้จี้เงยหน้ามองฉินหลิงที่กำลังขำตนเอง “ ท่านขำอะไรรึเจ้า
? ”
“ ไม่มีอะไรหรอก
เพียงแต่ข้าเคยบอกกับเจ้าไว้แล้ว ว่าครั้งนี้ข้าพาเจ้าออกมาท่องเที่ยว
แล้วข้าจะให้เจ้าอยู่แต่ภายในรถม้าได้อย่างไร ”
ฉินหลิงพูดถึงเมื่อตอนก่อนจะมายังเมืองหลวง เป็นเขาที่สัญญากับหญิงผู้นี้เองว่าจะพาเธอมาท่องเที่ยว
แล้วหากมัวแต่ขลุกอยู่ภายในรถม้ามันจะเป็นการท่องเที่ยวได้อย่างไรและเขาเองคงรู้สึกผิดต่อนางไม่น้อย
“ ตะ...แต่
ข้ากลัวที่จะสร้างปัญหาให้แก่ท่านเจ้าคะ ” ถานอี้จี้เอ่ยตอบกลับมาด้วยเสียงสั่น
“ ไม่ต้องกังวล สิ่งที่ข้ากลัวน้อยที่สุดในเวลานี้ก็คือต้องสร้างปัญหานี้แหละ
เจ้าอย่าได้ลืมข้าคือจอมอันธพาลฉินผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองไผ่เขียวเชียวนะ ” หากถานอวี้จี้รู้ว่าการที่เขาเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ก็มาเพื่อสร้างปัญหาคงรู้สึกตกใจหนักเป็นแน่
หลังจากได้ยินคำโอ้อวดของชายหนุ่ม
ถานอวี้จี้ก็หัวเราะเสียงใสออกมา
“ รถม้าหยุด ”
ฉินหลิงตะโกนเสียงดังออกไปด้านหน้า
เมื่อรถม้าหยุดลง
ฉินหลิงก็จูงมือถานอวี้จี้เดินลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขาหันมามองหญิงสาว ก็พบว่าเธอสวมที่คลุมหน้าใบใหม่ที่หน้ากว่าเดิม
ซึ่งทำให้เขาแทบมองไม่ใบหน้าของเธอ
ฉินหลิงขมวดคิ้วก่อนจะดึงผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ไว้ออกมา
และปรากฏใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดของนางเซียนสวรรค์
ถานอวี้จี้ในเวลานี้ดูงดงามยิ่งกว่าในตอนที่เขาพบเจอในหมู่บ้านโคเขียวเสียอีก
เพราะถึงอย่างไรในเวลานี้เธอมีความเป็นอยู่ที่ดีไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการค้าขายจึงทำให้ผิวพรรณที่ถูกดูแลอย่างดีอ่อนนุ่มเปล่งปลั่งดุจหอยมุกล้ำค่าจากทะเลลึก
และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ฉินหลิงหามามอบให้ จึงทำให้เธอดูเหมือนหญิงสาวผู้งดงามที่มาจากตระกูลชั้นสูง
“ ท่านถอดผ้าคลุมหน้าของข้าทำไม ”
ถานอวี้จี้เอ่ยถามด้วยใบหน้างุนงง
“ ก็ข้าอยากจะอวดคนเมืองหลวงแห่งนี้ว่าฮูหยินตัวน้อยของข้าว่างดงามขนาดไหน
” ฉินหลิงเอ่ยโดยที่ภายในมือยังถือผ้าคลุมหน้า
เมื่อได้ยินคำชมเชยจากชายหนุ่ม
ใบหน้าถานอวี้จี้ก็เเดงขึ้นด้วยความเขินอายก่อนจะพยักหน้าตอบรับเบาๆ
ผ่านไปไม่นาน
ฉินหลิงที่กำลังเดินจูงมืองถานอวี้จี้ และมีเสี่ยวหลู่กับคนคุ้มกันที่แยกตัวมาสองตัวเดินตามหลัง
กำลังมองดูสินค้าต่างๆด้วยความสนุกสนาน ซึ่งเป็นจุดสนใจของเหล่าชาวบ้านคนธรรมดาอย่างยิ่ง
เพราะความงามของถานอวี้จี้ดึงดูดสายตาของคนทั่วไปให้มองมายังหญิงสาวผู้นี้
เมื่อชาวบ้านเห็นมือทั้งสองของชาวหญิงที่เดินจูงกัน
ก็ทำให้มีแววตาอิจฉาริษยาของชายหนุ่มหลายคนส่งมายังฉินหลิง
ฉินหลิงที่สังเกตได้ถึงสายตาที่จับจองมาก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขไม่น้อย
จนทำให้ร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ขณะที่ถานอวี้จี้กำลังเลือกซื้อปิ่นปักผมในร้านขายสินค้าของสตรีที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ก็มีจากรถม้าคันโตที่รอบล้อมไปด้วยคนคุ้มกันที่สวมชุดเกราะหนาตัวใหญ่
จอดด้านหน้าร้านค้าแห่งเดียวกับที่ฉินหลิงอยู่
และดึงความสนใจของผู้คนโดยรอบอย่างรวดเร็ว
ประตูรถม้าถูกเปิดออกอย่างรุนแรง
ผ่านไปไม่นานชายหนุ่มอายุคราวเดียวกับฉินหลิงที่สวมชุดหรูหราสีม่วงก้าวเดินลงมาพร้อมกับมีทาสชายร่างใหญ่ก้มตัวลงให้ชายหนุ่มผู้นั้นเหยียบรองก่อนถึงพื้น
ชาวบ้านที่กำลังมองดูพลันสังเกตเห็นธงตรามังกรสีแดงด้านหน้ารถม้าก็แยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว
ราวกับพื้นที่โดยรอบเป็นที่ต้องห้าม
เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นก้าวลงมาจากรถม้าเสร็จก็มีชายอีกคนที่แต่งกายด้วยชุดขุนนางเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีประสบสอพลอ
“ องค์ชายสาม เป็นที่แห่งนี้แหละขอรับ
ข้าได้ข่าวมาว่ามีไข่มุกจันทราจากแคว้นห่างไกลอยู่ เพียงแต่ทุกครั้งที่ข้ามาขอซื้อ เถ้าแก่ร้านกลับไม่ยอมขายแม้แต่ครั้งเดียว
แม้ข้าจะบอกแล้วว่าเป็นความต้องการของท่าน เถ้าแก่ร้านผู้นี้ก็ยังไม่สนใจ ”
ชายชุดขุนนางพูดออกมาด้วยท่าทีน่าสงสาร
ชายที่ถูกเรียกตัวว่าองค์ชายสามก็มีสีหน้าโหดเหี้ยมและเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
“ เป็นแค่พวกต่ำต้อย คิดว่าข้าไม่กล้าจัดการร้านเล็กๆของเจ้าได้รึยังไง ”
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้เป็นองค์ชาย
ชายหนุ่มชุดขุนนางก็มีรอยยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ย
“ แต่มันจะไม่ดีนะขอรับ เดี๋ยวจะมีคนกล่าวว่าพวกเราใช้อำนาจรังแกชาวบ้าน ”
องค์ชายสามสบถออกมา “ เหอะ...พวกชาวบ้านมันก็เป็นแค่คนช้ำต่ำที่ต้องพึ่งบารมีจากตระกูลของข้า หากว่าเถ้าแก่ร้านผู้นั้นมันโง่งมแล้วไม่ยอมยกไข่มุกจันทราให้ข้าแต่โดยดี
ก็อย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตอย่างสงบสุข ”
หลังจากนั้นไม่นานผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นองค์ชายสามและชายชุดขุนนางก็เดินเข้าไปยังร้านขายเครื่องประดับของสตรี
ซึ่งมีทหารสวมชุดเกราะอีกนับสิบเดินตามเข้าไป
ชาวบ้านที่กำลังเลือกซื้อของอยู่ภายในร้าน ก็ได้ยินเสียงเดินเป็นจังหวะของทหารองครักษ์
ต่างหันมามองกลุ่มทหารใส่ชุดเกราะนับสิบ ด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะรีบวิ่งไปตามมุมร้านเพื่อหาที่หลบจากปัญหา
แม้แต่ฉินหลิงเองก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองทหารเหล่านั้น
และหรี่ตาสังเกตชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ในระหว่างที่เขากำลังสังเกตชายชุดม่วง
เขาก็รู้สึกได้ว่าถูกถานอวี้จี้กุมมือไว้แน่น
ฉินหลิงจึงหันมามองถานอวี้จี้ที่กำลังสั่นกลัวก่อนจะยิ้มให้และเอ่ยปลอบว่าไม่เป็นอะไร
ทางด้านองค์ชายสามที่เดินเชิดหน้าเข้ามาก็สังเกตเห็นชาวบ้านที่เลือกซื้ออยู่เต็มร้านก็ขมวดคิ้วแน่น
เพราะเขาคงไม่อาจลงมือได้เป็นแน่ เมื่อมีผู้คนมากมายเช่นนี้
และหากเขาลงมือกับร้านในเวลานี้อาจจะทำให้ชื่อเสียงของเขาได้รับผลกระทบไม่น้อย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรต่อไป
องค์ชายสามก็เหลือบมองไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่ง ก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงที่มีใบหน้างดงามราวกับไม่ใช่มนุษย์
หลังจากได้สังเหตเห็นถานอวี้จี้แล้ว
องค์ชายสามที่เคยพบหญิงสาวงดงามมามากมายก็ใจสั่นด้วยความหลงไหลและเกิดความรู้สึกอยากครอบครองนาง
จนลืมแม้กระทั้งจุดประสงค์เดิมที่ต้องการไข่มุกจันทราไปอย่างสิ้นเชิง
ชายชุดขุนนางที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจออกมาทันที
เมื่อเห็นอาการขององค์ชายสามพลางคิดในใจว่าแผนของตนอาจจะต้องล่มอีกแล้ว
“ ไปนำตัวนางมาให้ข้า ” องค์ชายสามไม่รอช้า
รีบเอ่ยกับองค์รักษ์ด้านหลังด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยความตื่นเต้น
ในแววตาทหารองครักษ์ปรากฏความสงสารอยู่ชั่ววูบ ก่อนจะเดินไปยังทางฉินหลิง
และเอ่ยเตือน “ นำสตรีนางนี้มาให้ข้าเถิด แล้วพวกข้าจะปล่อยเจ้าไปอย่างปลอดภัย ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของชายในชุดเกราะ
ถานอวี้จี้เผยสีหน้าหวาดกลัวก่อนจะกอดแขนฉินหลิงแน่น
ซึ่งแตกต่างจากฉินหลิงที่ยามนี้กำลังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้ว
“ พวกเจ้าต้องการตัวฮูหยินของข้าเช่นนั้นรึ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิง
องค์ชายสามที่อยู่ด้านหลังเหล่าทหารก็เอ่ยเสียงดัง “ อย่าพูดให้มากความ
หากไม่อยากตายก็ส่งหญิงผู้นั้นมาให้ข้า นางไม่เหมาะจะอยู่กับคนชั้นต่ำอย่างเจ้า
ข้าจะดูแลนางอย่างดีเอง ”
“ โอ้...ถ้าข้าทำเช่นนั้น
แล้วข้าจะได้อะไรตอบแทนรึ ” เมื่อฉินหลิงเอ่ยจบ
ถานอวี้จี้ที่กอดแขนอยู่ไร้เรี่ยวแรงและเผยสีหน้าอ่อนแรงออกมาราวกับโลกทั้งใบสูญสลายไปทั้งจนหมดสิ้น
ด้านองค์ชายสามเมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิง ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
และคิดว่าอีกฝ่ายต้องการเงินทองเพื่อแลกเปลี่ยนกับสตรีที่งดงามผู้นี้เป็นแน่จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
“ เห็นแก่ที่เจ้าเข้าใจอะไรได้ง่าย
ข้าจะให้เจ้าหนึ่งพันตำลึงตำลึงทองก็แล้วกัน จงสำนึกในบุญคุณไว้ด้วย ”
ฉินหลิงเอ่ยประชดออกมา “ ฮูหยินข้ามีค่าแค่หนึ่งพันตำลึงทองเท่านั้นรึ
”
องค์ชายสามรู้สึกเริ่มไม่สบอารมณ์ชายตรงหน้าและขมวดคิ้ว
“ ข้าให้เจ้าเพิ่มอีกห้าร้อยตำลึงทอง และข้าขอเตือนว่าจงอย่าโลภให้มากนัก
ไม่เช่นนั้นชีวิตน้อยๆของเจ้าอาจจะไม่ได้ออกจากเมืองแห่งนี้อีก ”
รอยยิ้มของฉินหลิงที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลาก็หุบลง
และเอ่ยกับชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ ข้าขอเตือนเจ้าเช่นกันว่าผู้คนที่ข่มขู่ข้า
ยังไม่มีใครที่รอดกลับไปในสภาพที่ดีซักคน หากเจ้าไม่อยากลองก็จงไสหัวไปซะ ”
เมื่อได้ยินคำขู่ของฉินหลิง
องค์ชายสามผู้เป็นทายาทของฮ่องเต้ ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจภายในราชวัง และไม่เคยถูกใครพูดจาหักหน้าเช่นนี้มาก่อน
ก็เกิดความรู้สึกโกรธเคืองและกัดฟันแน่นจนทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะชี้สั่งให้ทหารองครักษ์ไปจัดการฉินหลิงโดยไม่สนใจสายตาที่มองดูของชาวบ้านอีกแล้ว
เหล่าทหารองครักษ์ที่ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นองค์ชายก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับคิดลงมือกับชายหนุ่มที่น่าสงสารผู้นี้ให้เบามือที่สุด
แต่เมื่อพวกเขาก้าวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น