ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #53 : พบเจอชายหนุ่มตระกูลเกาอีกครั้ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.2K
      1.56K
      16 ก.ย. 62

    หลังจากออกเดินทางมาได้สามวัน  ฉินหลิงและคณะได้แวะพักยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งภายในหมู่บ้านที่อยู่ก่อนถึงเมืองหลวง

     

    โดยทั่วไปการเดินทางจากเมืองไผ่เขียวไปยังเมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเหยียนใช้เวลาเพียงสามวันก็ถึงแล้ว แต่ด้วยการเดินทางครั้งนี้มีสตรีมาด้วย ฉินหลิงจึงไม่อยากรีบร้อนเดินทางนักจึงทำให้การเดินทางค่อนข้างใช้เวลานานกว่าปกติ

     

    เสียงพูดคุยของชาวบ้านที่ดังออกมา สร้างความครึกครื้นให้แก่เหลาสุราแห่งนี้ไม่น้อย เพราะอย่างไรหมู่บ้าน​แห่งนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก จึงทำให้พวกเขาทราบข่าวต่างๆจากภายในเมืองหลวง และนำมาเป็นหัวข้อสนทนากัน

     

    “ พวกเจ้ารู้กันรึไม่ ยามนี้หอการค้าตะวันฉายจะทำการเปิดประมูลสินค้าใหม่ ”

     

    “ ใช่แล้ว มีคนต่างเมืองมากมาย แห่กันไปดูสินค้าใหม่อีกด้วย ”

     

    “ ข้าอยากรู้นักผู้ใดเป็นเจ้าของสินค้าจี้หลิงกันแน่ ”

     

    “ ผู้ใดเป็นเจ้าของจี้หลิงข้าไม่รู้หรอก แต่ผู้ดูแลซู ถูกล่ำรือว่างดงามเหมือนดั่งนางเซียนสวรรค์  ขอเพียงได้พบเจอก็ตายตาหลับแล้ว ”

     

    “ ใครจะคิดได้เล่าว่าเป็นเพียงแค่สตรีผู้หนึ่งแท้ๆแต่กลับมีความสามารถเช่นนี้  หากเมียที่บ้านข้าเก่งและงามเช่นนี้บ้าง ข้าคงไม่แอบหนีไปหอนางโลมหรอก ”

     

    “ ข้าได้ข่าวว่าสาวงามอิงอิงของหอหลี่เชียงจะมาร่วมงานดอกท้อฤดูหนาวด้วยล่ะ ”

     

    “ ข้าจะมีโอกาสได้เชยชมใบหน้านางรึไม่ ”

     

    “ แค่ไปฟังนางเล่นพิณก็ต้องจ่ายกว่าสองร้อยตำลึงทองแล้ว พวกเจ้ามีปัญญาจ่ายได้ไหมละ ”

     

     

    ถานอวี้จี้ที่ยามนี้ส่วมที่คลุมใบหน้าฟังชาวบ้านพูดคุยด้วยอารมณ์สดใส ส่วนทำไมเธอต้องสวมที่คลุมใบหน้าก็เพราะฉินหลิงกังวลว่าหน้าตาที่งดงามของเธออาจจะไปเตะตาผู้คน ถึงแม้ฉินหลิงจะไม่เกรงกลัวปัญหาที่เข้ามา แต่เขาก็ไม่อยากก่อปัญหา ดังนั้นเข้าจึงบังคับให้ถานอวี้จี้สวมที่คลุมใบหน้าไว้ตลอดเวลาที่ออกจากรถม้า

     

    “ ข้าไม่เห็นพี่ซูเยว่กับพี่หมิงเลย พวกเขาไม่มากับเราด้วยรึเจ้าคะ ” ถานอวี้จี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย

     

    “ พวกเขาล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เพราะต้องเตรียมงานประมูลที่จัดขึ้นในหอการค้าตะวันฉายนะ ”

     

    “ ท่านจะนำสุราที่หมักกับผูเถา(องุ่น)ไปประมูลจริงหรือเจ้าคะ? ” เมื่อนึกถึงสุราที่ฉินหลิงคิดค้นและบ่มขึ้นมาซึ่งใช้เวลากว่าครึ่งปีก็ทำให้ถานอวี้จี้รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะสุราผูเถาที่ชายหนุ่มบ่มนั้นมีรสชาติที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อนทั้งความเข้มและนุ่มนวลของรสสุราที่เรียกได้ว่าหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ขนาดตัวเธอที่ไม่ค่อยชื่นชอบดื่มสุรายังติดใจให้กับสุราชนิดนี้

     

    “ ใช่แล้วละ และอีกอย่างยังมีเจ้านี้อีกด้วย ” เอ่ยจบฉินหลิงหยิบขวดแก้วใบเล็กสีใสที่ข้างในบรรจุของเหลวสีชมพูอ่อนให้หญิงสาว

     

    “ นี้มันอะไรเจ้าคะ ทำไมรูปร่างมันโปร่งใส่เช่นนี้ แถมข้างในดูเหมือนสีของน้ำหอมที่ข้าใช้เลย ”

     

    ฉินหลิงพยักหน้ายืนยัน “ใช่แล้วละ ด้านในคือน้ำหอมที่ข้าทำขึ้น  และขวดแก้วนี้คือสิ่งที่ข้าใช้เวลากว่าครึ่งปีในการสร้าง ซึ่งกว่าจะได้ขวดแก้วที่โปร่งใสเช่นนี้ ข้าคิดวิธีต่างๆจนสมองแทบแตกออกมาเลย ”

     

    ขวดแก้วใสที่ภายในมีน้ำหอมบรรจุ เกิดจากการที่ฉินหลิงต้องการผลิตแก้วใสขึ้นมา แต่ในครั้งแรกเขาพยายามหลอมทรายแก้วให้ขึ้นรูป เขาก็ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จนเขาต้องผลิตเตาหลอมที่ให้ความร้อนสูงกว่าจะสามารถหลอมทรายแก้วได้ เเละเมื่อคิดว่าทรายแก้วที่หลอมออกมาเป็นแก้วใบใสเขาก็รู้สึกดีใจ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาอย่างน่าเศร้าเพราะแก้วที่เขาได้มีความขุ่นมัวแถมมีสีอื่นปนเปื้อนเข้ามาต่างจากภาพในจินตนาการจนทำให้เขารู้สึกท้อแท้อยู่หลายวัน เมื่อคิดได้ว่าใยทรายอาตจะมีแร่ธาตุอื่นปนอยู่มันจึงทำให้เขาริเริ่มทดลองใส่หินปูนและวัสดุสิ่งของต่างๆ จนใช้เวลากว่าครึ่งปีกว่าจะได้สูตรที่ลงตัวในการผลิต

     

    ถานอวี้จี้หัวเราะออกมาเล็กน้อยกับคำพูดของชายหนุ่ม “ ข้าว่าพวกเราเดินทางกันต่อเถอะ ”

     

    ขณะที่กลุ่มของฉินหลิงกำลังลุกขึ้นก็มีกลุ่มชายหลายคนเดินเข้ามา ซึ่งมีชายหนุ่มอายุยี่สิบปีที่สวมเสื้อผ้าหรูหราเดินนำเข้ามาด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง

     

    “ออกไปให้หมด วันนี้นายน้อยเกาต้องการเหมาเหลาสุราแห่งนี้แล้ว”

     

    “หากไม่อยากเจ็บตัวก็ ไสหัวไปให้หมด”

     

    “ ถ้าชักช้า อย่าหาว่าพวกข้าโหดร้าย ”

     

    เสียงตะโกนของลูกน้องชายหนุ่มดังขึ้นเพื่อไล่ชาวบ้านที่นั่งกินอยู่ให้ออกไปด้วยเสียงข่มขู่

     

    “ นั้นมันนายน้อยตระกูลเกา หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ”

     

    “พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปยุ่งเรื่องนี้เลย ”

     

    ขณะที่นายน้อยเกามองชาวบ้านวิ่งหนีไปด้วยสีหน้าพอใจกับอำนาจของตระกูลตนเอง ก็หันไปเห็นหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมอยู่ เขาก็สังเกตรูปร่างผิวพรรณของสตรีผู้นี้อย่างตั้งใจและจากประสบการณ์ที่สัมผัสหญิงสาวมามากมาย​เขาก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าสตรีผู้นี้ต้องมีใบหน้างดงามเป็นแน่ ก่อนจะชี้ไปที่ถานอวี้จี้และสั่งลูกน้อง  “ ข้าต้องการให้สตรีนางนี้มารินสุราให้ข้า ”

     

    หนึ่งในลูกน้องพยักหน้า ก่อนจะเดินไปยังที่ฉินหลิง “ พวกเจ้ายังไม่ไปอีก เห็นแก่หน้านายน้อยที่ต้องการสตรีนางนี้ พวกเจ้าจงรีบไสหัวไป แล้วให้นางมารินสุราให้นายน้อยข้า ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าโหดร้าย”

     

    ถานอวี้จี้รู้สึกตื่นตกใจกลัวขึ้นมาจนแขนขาสั่นเทาเเละกุมมือเสี่ยวหลู่ที่นั่งตกใจอยู่ไม่ต่างกัน เพราะพวกเธอไม่เคยเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

     

    เมื่อได้ยินคำพูดที่หยาบคายของลูกน้องชายหนุ่มผู้นั้น เส้นเลือดบนใบหน้าฉินหลิงกระตุกขึ้นมาพร้อมกับหรี่ตามองไปยังนายน้อยตระกูลเกาผู้นั้น

     

    “ พวกเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าบอกรึไง ทิ้งสตรีผู้นี้ไว้แล้วไสหัวไปให้หมด ” ลูกน้องอีกคนของชายหนุ่มตระกูลเกาตะโกนข่มขู่เสียงดังอีกครั้งเมื่อเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดลุกขึ้นจากโต๊ะ

     

    “ ตระกูลเกาสั่งสอนบุตรหลานได้เยี่ยมยอดนัก ดูแล้วข้าคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงสักคราแล้ว ”  ฉินหลิงเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเผชิญหน้ากับนายน้อยเกา

     

    เมื่อทายาทตระกูลเกาสังเกตเห็นฉินหลิง ใบหน้าเขาซีดขาวและปรากฏความหวาดกลัวก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น “จะ..เจ้า ”

     

    หลังจากเห็นเจ้านายเอ่ยออกมา ลูกน้องกว่ายี่สิบชีวิตต่างก็คิดว่านายน้อยเกาต้องการสั่งสอนชายหนุ่มผู้นี้จึงเดินเข้าไปหาฉินหลิง

     

    เกาเฉิน ทายาทสายตรงของตระกูลเกา หนึ่งในสี่ตระกูลหลักแห่งเมืองหลวงค้าเหยียน หากกล่าวถึงตระกูลเกาโดยทั่วไปแล้ว นอกจากราชวงศ์และตระกูลใหญ่อีกสามตระกูล เขาสามารถทำอะไรก็ได้ จนเมื่อครั้งหนึ่งเขาถูกตระกูลให้ไปทำหน้าที่เป็นขุนนางยังเมืองท่าชินโจวเพื่อรอเวลาเข้ามารับหน้าที่ต่อยังในเมืองหลวง เพียงแต่แทนที่เขาจะอยู่สุขสบายภายในเมืองชินโจว เขากลับโดนชายหนุ่มผู้หนึ่งชกต่อยจนใบหน้าเหมือนหมูและองครักษ์ทั้งสองที่ตระกูลส่งมาปกป้องเขาถูกทำร้ายจนกลายเป็นคนพิการ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวและเจ็บแค้นให้แก่เขาอย่างยิ่ง

     

    แทนที่ตระกูลจะแก้แค้นความอัปยศให้แก่เขา ทางตระกูลเกาทำเพียงรับตัวเขากลับมาจากเมืองชินโจวและบอกให้เขารอเวลาแก้แค้นเท่านั้น และห้ามเขาไปยุ่งเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ทำร้ายเขาอีก

     

    แต่ในวันนี้ ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล  เป็นสถานที่ๆเขาชอบมาอวดเบ่งอำนาจของตระกูล และเกาเฉินก็เห็นสตรีที่งดงามผู้หนึ่ง เขาจึงอยากให้เธอมาปรนนิบัติ จึงได้ออกคำสั่งให้ลูกน้องของเขาใช้กำลังบังคับเธอให้มารับใช้เขา

     

    แต่แทนที่เรื่องราวจะจบอย่างงายดาย เขากลับเห็นมัจจุราชที่เขาเคยพบเจอที่เมืองชินโจว

     

    ภาพจากอดีตย้อนกลับเข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง

     

    ความเจ็บปวดยามที่เขาถูกกระหน่ำหมัดลงบนใบหน้า

     

    ฟันทั้งสองซี่ที่หายไปจากภายในปากเพราะแรงหมัดของชายหนุ่มเบื้องหน้าเขา

     

    ก่อนที่เขาจะสั่งให้ลูกน้องทั้งยี่สิบคนหยุด ภาพแขนขาของมนุษย์พัดปลิวออกมาพร้อมกับโลหิตที่กระฉูดออกมาอย่างมากมาย

     

    เสียงร้องจากความเจ็บปวดของคนตระกูลเกาที่ติดตามรับใช้เกาเฉินดั่งลั่นทั่วเหลาสุรา

     

    เหลาสุราแห่งนี้ในคราแรกที่เต็มไปความครึกครื้นของชาวบ้าน แต่ยามนี้กลับเต็มไปด้วยสีแดงจากโลหิตและกลิ่นคาวจากเลือด รวมไปถึงเศษซากร่างกายมนุษย์

     

    เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมยืนขาสั่นมองโรงเตี๊ยมของตนเอง ที่ยามนี้ไม่ต่างจากโรงเชือดแม้แต่น้อย เพียงแต่มิใช่โรงเชือดสัตว์แต่เป็นโรงเชือดที่เต็มไปด้วยแขนขามนุษย์

     

    ชาวบ้านที่เดินอยู่ด้านนอกต่างก็รู้สึกตกใจเสียงกรีดร้องของคนตระกูลเกา ก่อนจะรีบวิ่งหนีเข้าไปในบ้านเรือนอย่างรวดเร็ว จนถนนด้านนอกว่างเปล่าราวกับเป็นหมู่บ้านร้าง

     

    ฉินหลิงเดินเข้าไปหาเกาเฉินอย่างช้าๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในแววตาปรากฏความโหดเหี้ยมที่ไม่อาจปิดปังได้ เพราะสำหรับเขาแล้วถานอวี้จี้เปรียบเหมือนเกล็ดย้อนของมังกร

     

    เมื่อเห็นความรู้สึกตื่นกลัวของหญิงสาว ความใจเย็นที่มีอยู่สลายหายไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงจิตสังหารที่ต้องการสังหารชายหนุ่มตระกูลเกาเพราะ​ทำให้สตรีของเขาต้องรู้สึกหวาดกลัว

     

    เกาเฉินที่เห็นชายหนุ่มก้าวเข้ามา  ก็ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

     

    เมื่อรู้ตัวอีกที เกาเฉินก็เห็นฉินหลิงเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของตนแล้ว ด้วยความหวาดกลัวทำให้ขาของเกาเฉินอ่อนแรงอย่างฉับพลันก่อนจะล้มลงไป

     

    “ หากเจ้าทำอะไรข้า ตระกูลเกาไม่ปล่อยเจ้าไปแน่  ขอเพียงปล่อยข้าไป ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้าอีก ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้า เกาเฉินจึงเอ่ยถึงตระกูลเกา เพราะอย่างไรชายหนุ่มเบื้องหน้าต้องยำเกรงตระกูลของเขาอยู่บ้าง ถึงแม้จะเป็นตระกูลฉินก็ไม่อาจสังหารเขาที่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลเกาได้

     

    ฉินหลิงหยุดเดินเข้าไปและยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับชายหนุ่มตระกูลเกา

     

    เมื่อเห็นว่าฉินหลิงหยุดลง เกาเฉินก็คิดว่าชายหนุ่มคงเกรงกลัวตระกูลของเขาเป็นแน่ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยขาที่สั่นเทาแล้วเอ่ยซ้ำ “ เรื่องคราวนี้ถือว่าเป็นข้าที่เข้าใจผิด ปล่อยข้ากลับไปแล้วข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้น ” แต่ภายในใจเขากลับแค้นเคืองฉินหลิงและคิดหาวิธีแก้แค้นชายหนุ่มที่ทำให้เขาอัปยศถึงสองครั้ง

     

    เพียงพริบตา ภาพชายหนุ่มตระกูลฉินเบื้องหน้ากลับเอียงลง ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวเขาก็พบว่าเป็นตัวเขาเองที่ล้มไปบนพื้น

     

    เมื่อหันไปมองด้านล่าง เกาเฉินก็เห็นถึงขาสองข้างที่คุ้นเคย ซึ่งอยู่กับเขามาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ในยามนี้มันกลับถูกแยกจากกัน และเต็มไปด้วยโลหิตที่ไหลพุ่งออกมาไม่หยุด

     

    “ อ๊ากกก!!! ” ความเจ็บปวดจากด้านล่างที่ขาดออกไป ทำให้เกาเฉินร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

     

    ตั้งแต่ต้นจนจบฉินหลิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่สนใจให้ค่าชายตระกูลเกาผู้นี้แม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าตระกูลเกาต้องการแก้แค้น พวกเขาก็ต้องคิดให้ดีก่อน เพราะอย่างไรตระกูลฉินเพียงตระกูลเดียวก็สามารถต้านทานสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงได้แล้ว  หากไม่ใช่ในอดีตฉินเจินเห็นแก่หน้าฮ่องเต้เขาคงลงมือฆ่าตระกูลทั้งสี่เรื่องร้านค้าทาสจนสิ้นไปนาน และไม่ปล่อยให้ตระกูลเหล่านี้มีอำนาจมาจนถึงวันนี้

     

    แต่สำหรับฉินหลิงนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเขาไม่ได้มีหนี้บุญคุณอะไรกับตระกูลราชวงศ์ ดังนั้นหากขุมอำนาจเหล่านี้รนหาที่ตาย  เขาจะลงมือสังหารจนสิ้นซาก เพราะตอนนี้เขาไม่ได้เป็นฉินหลิงคนไร้ค่าแห่งตระกูลแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว

     

    ความโหดเหี้ยมที่เขามีนั้นเกิดขึ้นเพราะในระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาพบเห็นซูเยว่ถูกลอบสังหารอยู่หลายครั้ง จนเขาทราบได้อย่างชัดแล้วว่า หากไม่ฆ่าก็จะเป็นเราเองที่ถูกฆ่า ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้สังหารเบื้องหลังมือสังหารอยู่หลายครั้ง จนจิตใจเขาเริ่มชินชากับการสังหารไม่น้อย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×