ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #51 : กลับบ้าน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.25K
      1.56K
      8 ก.ค. 62

    หลังล่ำลาจากอวี้ฟานซือเสร็จสิ้น ฉินหลิงก็ได้เดินทางไปยังเมืองท่าชินโจวเพื่อแวะเอ่ยลาเจ้าเมืองชินโจว ซึ่งในระหว่างทางกลับพื้นที่ที่พวกเขาได้เปิดทางไว้แล้วก็ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้ารกสูง จึงทำให้ฉินหลิงและหมิงฮ่าวกับคนงานอีกไม่กี่คนจำเป็นต้องมาถางหญ้าเพื่อเปิดเส้นทางใหม่อีกครั้งเพื่อให้รถม้าวิ่งได้ และกว่าพวกเขาจะไปถึงเมืองชินโจวก็ใช้เวลาไปกว่าสองวัน

     

    ในระหว่างที่ฉินหลิงเข้าพบเจอกับหลิวชิงหวินเพื่อกล่าวคำล่ำลา แต่เขาอีกฝ่ายกักตัวเขาไว้ด้วยข้ออ้างมากมาย  และให้เขาพูดคุยเจรจาต่อรองกับชายชราแซ่หวังซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเมืองแห่งนี้เป็นเวลาหลายวันกว่าเขาจะได้ออกจากเมืองชินโจว และตอนที่เขาออกเดินทางพ้นประตูเมืองไปไม่ไกล เสียงของบุตรสาวเจ้าเมืองชินโจวที่เคยพ่ายแพ้ให้แก่เขาก็ตะโกนเสียงดังออกมาจากหน้าประตูเมือง  “ หากพบกันคราวหน้า ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้ ”

     

    เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลิวซีอิง ฉินหลิงจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยให้กับนิสัยไร้เดียงสาของอีกฝ่ายที่ราวกับไม่พอใจที่คู่แข่งของตัวเองเก่งกว่า พร้อมนึกในใจว่าหากประลองอีกครั้งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเขาที่ชนะ เพราะอย่างไรตัวเขาเองก็พึ่งเริ่มฝึกฝนวรยุทธอย่างจริงจังได้ไม่นาน แถมยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการค้า จึงทำให้เขารู้ตัวดีว่าความสามารถด้านการต่อสู้ยังอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่ายนัก

     

    เวลาผ่านไปหลายวัน รถม้าคันใหญ่สองคันที่ดูเหมือนของพ่อค้าทั่วไป แต่ด้านในนั้นกลับมีหลานชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเหยียนนั่งอยู่  ได้เดินทางมาถึงยังทิศตะวันตกของเมืองไผ่เขียว ซึ่งยามนี้มีสิ่งก่อสร้างที่สามารถเห็นได้จากระยะไกลจนรู้ได้เลยว่ามีโรงงานหลังใหญ่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่นี้มากมายและดูเหมือนเป็นปราการที่ล้อมรอบบ้านหลังใหญ่ที่มีป้ายตระกูลฉินประดับอยู่ด้านหน้า

     

    ถานอวี้จี้ในยามนี้กำลังเคี่ยวน้ำแกงอยู่หม้อใหญ่อยู่ภายในครัว เพื่อที่จะแจกจ่ายให้เหล่าคนงานที่ทำงานก่อสร้างอยู่โดยรอบ ที่เธอคอยทำน้ำแกงแจกจ่ายคนงานเพราะในช่วงนี้เป็นฤดูหนาวซึ่งเธอเป็นกังวลว่าคนงานที่มาทำงานให้แก่ชายหนุ่มอันเป็นที่รักของเธอจะเจ็บป่วยลงและทำให้งานล่าช้าลง ด้วยความปราถนาดีต่างๆของถานอวี้จี้จึงทำให้เหล่าชาวบ้านที่มาทำงานให้ฉินหลิงต่างรู้สึกขอบคุณหญิงสาวผู้นี้กันทั้งสิ้น ไม่ว่าค่าแรงที่จ่ายให้มากกว่าปกติแถมยังมีน้ำแกงแจกจ่ายให้อีก

     

    ว๊าย!!

     

    เสียงกรี๊ดตกใจของหญิงสาวที่กำลังมองดูน้ำแกงในหม้อใบใหญ่อย่างตั้งใจดังขึ้นเพราะเธอถูกมือโอบกอดจากด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

     

    “ ผ่านไปไม่กี่เดือนเจ้าลืมเลือนว่าที่สามีแล้วรึ ”  เสียงฉินหลิงเอ่ยออกมาด้วยความอบอุ่นพลางกอดอีกฝ่ายแน่นยิ่งขึ้น

     

    เมื่อรู้ว่าคนที่เข้ามากอดเธอคือฉินหลิง ถานอวี้จี้ก็ถอนหายใจออกมาพลางหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะตีบนมือที่กำลังกอดแน่นอยู่เบาๆ “ ท่านก็ช่างเกเรนัก มาแกล้งข้าเช่นนี้ ”

     

    เสียงออดอ้อนของชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “ ไม่เจอกันตั้งนาน ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก ”

     

    ถานอวี้จี้ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ ท่านเดินทางมาเหนื่อยๆให้ข้าไปต้มน้ำให้ท่านอาบก่อนดีรึไม่เจ้าคะ ”

     

    รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มปรากฏขึ้น “ จะดียิ่งกว่านี้หากเจ้าจะอาบด้วยกัน ”

     

    ใบหน้าของถานอวี้จี้แดงกล่ำด้วยความเขินอาย  “ ข้าจะไม่พูดกับท่านแล้ว ไม่รู้เดินทางไปครั้งนี้จะหิ้วสาวที่ไหนมาอีกก็ไม่รู้ ”

     

    ยิ่งเห็นสีหน้าขวยเขินของหญิงสาว ฉินหลิงก็เหมือนจะได้ใจ จึงเอาปากไปกระซิบที่ใบหูของหญิงสาว “ ข้าจะไปมีหญิงอื่นที่ไหนได้อีก ในเมื่อภรรยาข้าสวยออกขนาดนี้ ”

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าถานอวี้จี้มืดครึ้มก่อนจะพลักอีกฝ่ายออกไปแล้วพูดด้วยเสียงไม่พอใจ “ ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าหากข้าไม่งดงาม ท่านก็ไม่ต้องการข้าสินะ ”

     

    “ ห๊ะ... ” ฉินหลิงมึนงงทันทีเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของหญิงสาวก่อนจะรีบจับมืออีกฝ่ายที่กำลังเดินหนีไป  “ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรข้าก็ยังรักเจ้าสุดหัวใจ 

     

    ถานอวี้จี้แสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

     

    ครั้นเห็นรอยยิ้มของหญิงสาว ฉินหลิงก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าตกหลุมพรางของอีกฝ่ายแล้ว  “ เจ้าหลอกข้า ”

     

    “ ฮิฮิ ใครใช้ให้ท่านมาแกล้งข้าก่อนละ แล้วท่านจะเดินทางไปไหนอีกรึไม่ ” ถานอวี้จี้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าความกังวลเพราะในช่วงที่ฉินหลิงไม่อยู่เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากราวกับเป็นปลาที่ขาดน้ำ

     

    “ ไม่ต้องกังวล ข้ายังไม่เดินทางไกลในช่วงนี้แน่นอนและข้าก็ได้คนมาดูแลแทนข้าแล้วด้วย ดังนั้นต่อจากนี้ข้าจึงมีเวลาให้เจ้ามากมายเลยละ ” เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินเข้ามาโอบกอดหญิงสาวด้วยความรักใคร่

     

    ...............................................................................

     

    ผ่านไปหนึ่งปี  ตั้งแต่สินค้ามากมายที่ถูกเรียกว่า จี้หลิง ซึ่งถูกขายออกไปมากมายภายในแคว้นต้าเหยียน

     

    หากจะเอ่ยถามชาวบ้านถึงพระนามขององค์ฮ่องเต้ก็คงไม่แปลกที่จะมีคนไม่รู้จัก แต่หากเอ่ยถามถึงชื่อ จี้หลิง ของหอการค้าตะวันฉายแล้ว หากมีคนบอกว่าไม่รู้จัก ท่านก็สามารถบอกได้เลยคนผู้นั้นย่อมไม่ใช่คนของแคว้นต้าเหยียนเป็นแน่

     

    ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังของคำว่า จี้หลิง ได้เปรียบเสมือนหนึ่งขุมกำลังที่ทรงพลังของแคว้นแห่งนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือขุมพลังจากกำลังคนที่มีผู้แข็งแกร่งเข้าร่วมมากมายไม่เว้นแม้แต่จอมยุทธบางคนก็เป็นคนของจี้หลิงเช่นกัน

     

    ชื่อเสียงของจี้หลิงไม่เพียงแค่โด่งดังจากการค้าขายเท่านั้น พวกเขายังมีชื่อเสียงจากความดีความชอบมากมาย อย่างเช่น ครั้งหนึ่งมีน้ำท่วมใหญ่ยังพื้นที่ทางตอนใต้ของแคว้น ในระหว่างที่เหล่าขุนนางในราชสำนักกำลังโต้เถียงแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ตัวแทนจากหอการค้าตะวันฉายมากมายซึ่งถูกส่งมาในนาม จี้หลิง ก็ได้ขนเสบียงและคนมากมายไปช่วยเหลือผู้คนที่กำลังประสบทุกข์ภัยอย่างรวดเร็วจนทำให้ชาวบ้านของทางใต้ต่างร่ำไห้ขอบคุณในความเมตตาครั้งนี้ จนหอการค้าตะวันฉายมีอิทธิพลมากในเขตตอนใต้ของแคว้นต้าเหยียนจนแม้แต่ขุนนางในพื้นที่ยังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว และไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ตอนใต้เท่านั้นที่อิทธิพลของ จี้หลิง ขยายไปถึงยังมีพื้นที่อื่นๆในแคว้นที่แทบมีหอการค้าตะวันฉายอยู่เกือบทุกเมือง

     

    ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงหรือผลิตภัณฑ์ของสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ จี้หลิง ที่โด่งดังขึ้นเท่านั้น  แต่ยังมีหอการค้าตะวันฉายซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนการจัดจำหน่ายสินค้าจี้หลิง ก็มีชื่อเสียงขึ้นอย่างมากเช่นกันจากการค้าเกลือ โดยเกลือที่หอการค้าตะวันฉายขายออกไปเป็นเกลือสีขาวบริสุทธิ์และรสชาติที่ได้มีความแตกต่างจากเกลือที่ได้จากการทำแร่เกลือซึ่งมีรสชาติอื่นแฝงมาด้วย แต่เกลือของหอการค้าตะวันฉายกลับมีรสชาติเค็มบริสุทธิ์จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเวลานำไปปรุงรสอาหาร นอกจากนี้ที่สำคัญคือราคาของเกลือสีขาวนี้มีราคาถูกกว่าเกลือร้านอื่นหลายส่วนจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าชาวบ้านคนธรรมดา

     

    หลังจากเกลือสีขาวบริสุทธิ์ของอวี้ฟานซือมีชื่อเสียงก็ย่อมส่งผลกระทบกับเหล่าผู้ที่ทำการค้าเกลือหลายส่วน จนถึงกับมีขุนนางบางคนส่งคนมาล้วงความลับของหอการค้าแห่งนี้ เพราะพวกเขาต่างก็อยากรู้ว่าเจ้าของหอการค้าผู้นี้ไปเอาเกลือมาจากไหนได้มากมายขนาดนี้  เพียงแต่แทนที่จะได้ความลับที่พวกเขาส่งไปกลับมา แต่พวกเขากลับได้หัวของสายลับที่ส่งไปพร้อมกับข้อความสั้นๆว่า จี้หลิง กลับมา ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ขุมอำนาจต่างๆไม่น้อย

     

    หากจะกล่าวถึงสินค้าที่ยามนี้ผู้คนต่างขาดไปไม่ได้แล้วก็ย่อมเป็น สบู่ นั้นเอง ซึ่งจากความต้องการอย่างมากมาย จนฉินหลิงต้องขยายโรงงานผลิตไปมากกว่าสิบหลังและใช้คนงานกว่าสองร้อยชีวิตมาช่วยกันทำงาน  ซึ่งคนงานทั้งหมดของฉินหลิงต่างก็รับมาจากพวกขอทาน หรือคนยากจน รวมไปถึงเหล่าทาสที่เขาไปถอนไถ่ออกมา ซึ่งเขาต้องใช้เวลานานพอสมควรในการปรับความคิดของคนเหล่านี้ให้เข้าใจถึงคุณค่าของความเป็นคน เพราะคนในฐานะทาสต่างเป็นที่รังเกียจของทุกชนชั้นไม่เว้นแม้แต่ขอทาน

     

    แต่เรื่องวุ่นวายมากมายที่เกิดกับสินค้าจี้หลิงต้องขอบคุณผู้ดูแลซู ที่ฉินหลิงเสี่ยงดวงรับเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนจัดการทุกสิ่งแทนเขา  แต่เธอกลับทำหน้าที่ได้เกินกว่าฉินหลิงคาดการณ์ไว้มาก เพราะเธอสามารถจัดการบริหารเรื่องการผลิตและคนงานได้อย่างดีจนการทำงานก็ไม่มีติดขัด

     

    เมื่อมีผลประโยชน์มากมายเกิดขึ้นก็ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งจากการเสียผลประโยชน์และทำให้มีมือสังหารจากหอการค้าอื่นๆส่งมาลอบฆ่าซูเยว่ ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลของ จี้หลิง  แต่เมื่อตัวตนลึกลับของชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นและคอยประกบชิดหญิงสาวผู้นี้ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่มีมือสังหารคนใดมีชีวิตกลับไปได้

    หลังจากขุมอำนาจเบื้องหลังของหอการค้าต่างๆได้ทราบข่าวถึงชายหนุ่มที่มีอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น แต่กลับบรรลุพลังขั้นจอมยุทธไปแล้ว ต่างก็เป็นข่าวที่สั่นสะเทือนทั่วทั้งแคว้น และเมื่อให้คนสืบข่าวพวกเขาก็ทราบถึงความเป็นมาของชายหนุ่มผู้นี้อย่างรวดเร็ว ว่าชายลึกลับที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของซูเยว่เคยเป็นคนของแม่ทัพใหญ่มาก่อน ซึ่งเมื่อขุมอำนาจต่างๆทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้มีที่มาจากตระกูลแม่ทัพต่างก็ถอยทัพกันอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาต่างพากันคิดว่าสินค้าของจี้หลิงต้องเป็นผลงานของตระกูลแม่ทัพใหญ่เป็นแน่ เพราะโรงงานผลิตสินค้าต่างก็อยู่ในเมืองไผ่เขียวประกอบกับคนงานต่างๆของจี้หลิงก็มาจากคนยากจนไร้บ้าน จึงเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่าการกระทำเช่นนี้เป็นลักษณะนิสัยของฉินเจินผู้เป็นแม่ทัพใหญ่เป็นแน่

     

    ห้องรับแขก ภายในบ้านหลังใหญ่ทางทิศตะวันตกนอกเมืองไผ่เขียว ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งดูบันทึกเล่มหนาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย และมีหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าสงบ

     

    ทั้งสองคนก็คือฉินหลิงและซูเยว่ ซึ่งหญิงสาวผู้นี้จะทำหน้าที่ในการส่งเอกสารการบริหารงานต่างๆให้แก่ชายหนุ่มทุกอาทิตย์และฟังความคิดเห็นจากผู้เป็นเจ้านายของเธอ ไม่เพียงเธอจะได้รู้ถึงความสามารถในการค้าจากชายหนุ่มผู้นี้ เขายังสอนสิ่งต่างๆให้เธอมากมายราวกับคนที่เธอคุยอยู่ไม่ใช่คนรุ่นราวคราวเดียว แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกับคุยกับผู้อาวุโสคนหนึ่งจึงทำให้เธอเคารพฉินหลิงอย่างยิ่ง

     

    ฉินหลิงวางบันทึกค่าใช้จ่ายลงบนโต๊ะแล้วมองไปยังหญิงสาวแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ไม่มีปัญหาอะไร ขอบคุณเจ้ามากสำหรับความยากลำบากตลอดทั้งปีนี้ ”

     

     “ มิได้เจ้าคะ ท่านเป็นคนให้ชีวิตใหม่แก่ข้า สำหรับความเหนื่อยยากเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอันใดได้ ” ซูเยว่เอ่ยออกมาด้วยด้วยความรู้สึกสำนึกบุญคุณของอีกฝ่ายอย่างเปี่ยมล้น  แม้แต่เธอเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าในช่วงชีวิตนี้เธอยังจะมีโอกาสแบบนี้อีก เพราะคงไม่มีใครจะคาดคิดได้ว่าผู้ดูแลจี้หลิงที่งดงามคนนี้กลับเคยเป็นทาสหญิงที่ถูกขายพรหมจรรย์มาก่อน และในยุคสมัยที่สิ่งต่างๆขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบุรุษ แต่ชายหนุ่มที่เป็นเจ้านายกลับให้เธอมีอำนาจเต็มที่ในการจัดการสิ่งต่างๆโดยไม่ขัดแม้แต่น้อยและยังสนับสนุนเธออย่างเต็มที่อีกด้วย ซึ่งเรื่องเช่นนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในโลกใบนี้ที่จะมีผู้หญิงมาทำการใหญ่เช่นนี้ เพราะความเชื่อที่ว่าผู้หญิงต้องอ่อนแอและทำหน้าดูแลบ้านเท่านั้น จึงทำให้สตรีที่มีความสามารถต่างๆกลับไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ

     

    “ เรื่องในอดีตอย่าไปพูดถึงอีกเลย ตอนนี้ข้ามีสินค้าใหม่อีกสองชนิดที่ข้าอยากจะเปิดตัวในเมืองหลวง เจ้าคิดเห็นเช่นไร ”

     

    ซูเยว่เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิงก่อนจะเอ่ยถาม “ ท่านคิดดีแล้วหรือเจ้าคะที่ต้องการไปทำการค้าในเมืองหลวง ถึงพวกเราจะให้หอการค้าตะวันฉายไปตั้งร้านยังเมืองหลวงแล้วแต่รากฐานยังไม่มั่นคง ข้าว่าเราไม่ควรจะรีบร้อนเป็นการดีกว่า ”  ที่เธอเอ่ยขัดชายหนุ่มเพราะในตอนแรกเธอเองก็รู้สึกสนใจที่จะขยายตลาดไปยังเมืองหลวงเช่นกัน แต่เมื่อให้คนของเธอสืบถึงความเป็นไป ก็ทำให้เธอรู้ถึงเบื้องลึกและความน่ากลัวของวังวนอำนาจในเมืองหลวง จึงทำให้เธอตัดสินใจที่จะรอจนกว่ารากฐานในเมืองหลวงของหอการค้าตะวันฉายจะมั่นคงก่อนแล้วจึงคิดจะเริ่มทำการค้าในเมืองหลวง

     

    ฉินหลิงพยักหน้าด้วยสีหน้าพอใจให้แก่อีกฝ่ายก่อนจะยืนแล้วหันมองออกไปด้านนอกพลางเอ่ย  “ ที่เจ้าพูดนั้นก็ไม่ผิดหรอก แต่บางครั้งหากไม่เข้าถ้ำเสือแล้วเราจะได้ลูกเสือรึ ดังนั้นข้าตัดสินใจจะเปิดการประมูลใหญ่ในเมืองหลวง บางทีชื่อเสียงของข้าอาจจะเงียบสงบมานานไปแล้ว ” เอ่ยจบฉินหลิงหันไปมองนอกห้องก่อนจะพูดออกมาเสียงดัง “ องครักษ์หมิงออกคำสั่ง รวบรวมกำลังพลทั้งหมดที่ตระเตรียมไว้ พวกเราจะไปเมืองหลวงกัน ”

     

    “ รับคำสั่งขอรับ ”  เสียงดังของหมิงฮ่าวออกมาจากด้านนอกตอบรับกลับมา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×