ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #5 : คัมภีร์จิตวิญญาณทมิฬ(2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 30.29K
      2.35K
      16 ก.ย. 62

     หลังจากฉินหลิงเข้ามานั่งในห้องพิเศษแล้ว เหล่าองครักษ์ชุดใหม่ที่ลู่ชิงนำมาก็ได้กระจายตัวคุ้มกันรอบๆห้องอาหารอย่างรวดเร็วราวกับกำลังป้องกันขุมทรัพย์ล้ำค่า


    “ พวกท่านเข้ามานั่งกินด้วยกันเถอะ” ฉินหลิงขมวดคิ้วก่อนเอ่ยชวนเหล่าองครักษ์ที่มาคุ้มกันตัวเองให้มานั่งทานด้วยกันเพราะจากยุคสมัยที่ตนเองจากมาเขาย่อมไม่คุ้นชินกับการที่มีคนคอยเฝ้ารอบตัวเช่นนี้


    องครักษ์นายหนึ่งเอ่ยตอบ “ ไม่ได้ขอรับนายน้อย  พวกข้าต้องคอยดูแลความปลอดภัยนายน้อยอยู่ตลอดเวลาขอรับ ”


    “ พวกท่าน ไม่ต้องเคร่งขรึมขนาดนั้นก็ได้ มานั่งกินด้วยกันเถอะ เสี่ยวเอ้อ! เอาหารมาเพิ่มมาให้พี่องครักษ์ด้วย ”  ฉินหลิงตัดบทด้วยการสั่งสำรับมาให้ โดยที่เหล่าองครักษ์ปฏิเสธไม่ได้ ทำให้เหล่าองครักษ์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหาหัวหน้าของตน


    หัวหน้าองครักษ์หมิงลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ ขอบคุณนายน้อยมากขอรับ เช่นนั้นพวกข้าไม่เกรงใจ ”


    ครึ่งชั่วยามต่อมาอาหารต่างๆได้นำมาส่ง ซึ่งสาวเสริฟแต่ละนางช่างงดงามนัก แล้วยังหันกะพริบตายั่วยวนจนทำให้เขาแทบจะอดกลั้นไม่ไหว  ไม่รู้เถ้าแก่เจ้าของร้านไปหาเสี่ยวเอ้อสาวสวยเเบบนี้มาจากไหน


    หลังจากมื้ออาหารจบลง ฉินหลิงก็จิบน้ำชาเล็กน้อย ก่อนหยิบคำภีร์หินที่เขารู้สึกสนใจขึ้นมา


    ลู่ชิงเห็นนายน้อยหยิบหินรูปร่างประหลาดขึ้นมาจึงเอ่ยถามอย่างอดสงสัย “ นายน้อย หินนี้มันคืออะไรรึขอรับ รูปร่างช่างแปลกนัก คล้ายตำราหนังสือยิ่งนัก ”


    เมื่อฉินหลิงได้ยินเช่นนั้น หัวเราะออกมาเบาๆก่อนเอ่ย “ ใช่แล้วล่ะ นี้มันคือคัมภีร์ยุทธที่ข้านำมาจากหอตำรา แต่ยังไม่มีใครสามารถเข้าใจได้เพราะมันมีภาษาแปลกประหลาด ทำให้ไม่มีใครสามารถอ่านเข้าใจได้ไงล่ะ ”


    แต่ความเป็นจริงแล้วอักษรที่พวกเขาไม่เข้าใจแท้จริงแล้วมันคือตัวเลขอักษรโรมัน ที่จัดเรียงแบบเกมซูโดกุขนาด 9×9 และมีตัวอักษรเป็นคำใบ้ ซึ่งตัวอักษรเหล่านี้เป็นคนล่ะภาษากับในโลกใบนี้ แต่เขาซึ่งมาจากต่างโลกคุ้นเคยกับตัวเลขชนิดนี้ และเกมซูโดกุก็เป็นเกมที่เด็กมัธยมเล่นกันในโลกเก่า ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไม่นานในการแก้ซูโดกุชนิดนี้


    หลังจากที่เขาคิดได้แล้ว และกำลังจะคิดขีดอักษรบนตำราหิน ได้มีแสงผ่านเข้ามาในดวงตาเขาก่อนที่โลกทั้งใบที่เขามองอยู่จะดับมืดไปภายในพริบตา


    ผ่านไปชั่วครู่ ฉินหลิงที่กำลังมึนงงก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป


    ‘มารดามันเถอะ เกิดอะไรขึ้น หรือข้าตายอีกแล้ว’


    ด้วยสภาพแวดล้อมที่มืดจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ทำให้เขานึกว่าต้องตายไปแล้วแน่ๆ แต่เพราะเหตุใด แค่การแก้ซูโดกุง่ายๆถึงกับทำให้เขาต้องตายเชียวหรา ฉินหลิงได้แต่พึมพัมในใจกับสวรรค์ที่ไม่เป็นธรรมกับเขา ทั้งชาติที่แล้วที่ตัวเองตายไปยังไงก็ไม่อาจรู้แล้วมาเกิดใหม่ในร่างนี้ที่ตนใช้ชีวิตได้เพียงแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น แถมตนยังต้องมาตายเพราะแก้ปัญหาซูโดกุอีก


    ระหว่างที่ฉินหลิงกำลังด่าทอสวรรค์อยู่นั้น เกิดประกายแสงสีเงิน ค่อยๆรวมตัวเป็นรูปร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งรูปร่างกำยำ หน้าตาดุจดั่งเทพสงคราม ให้ความรู้สึกสง่างาม น่าเกรงขาม น่ากลัว และกลิ่นอายอันตราย


    เนื่องจากแสงสีเงินที่ก่อตัวขึ้นทำให้ดูเด่นชัด และได้ดึงดูดความสนใจของฉินหลิงก่อนที่เขาจะเอ่ยกับบุรุษผู้นั้น “ ท่านยมทูต ท่านมารับข้าไปใช่รึไม่ ข้าพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาข้าไม่เคยทำชั่วอะไร ดังนั้นข้าคงไม่ต้องตกนรกใช่รึไม่ ” ฉินหลิงเอ่ยพลางเหลือบตามองบุรุษรูปงานผู้นั้น


    ‘ ไม่นึกเลยว่า ยมฑูตจะหน้าตาหล่อเหลาได้ถึงขนาดนี้ ’


     บุรุษผู้นั้นที่ถูกฉินหลิงเรียกว่ายมฑูตขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนหันมาเหลือบมองฉินหลินแล้วจึงเอ่ยออกมา “ เจ้าเป็นมนุษย์รึ ”


    ดวงตาของฉินหลิงวูบไหวก่อนตอบกลับไป “ ข้าก็คือมนุษย์สิ ไม่ใช่ว่าท่านมาจับวิญญาณข้าไปนรกหรือสวรรค์หรอกรรึ ”


    ชายหนุ่มผู้นั้นตอบกลับ “ พวกเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียร วิญญาณของพวกเรามิได้เข้าสู่สังสารวัฏ ”


    “ บําเพ็ญเพียร….พวกเรา ”  ฉินหลิงเอ่ยกับตัวเองเบาๆด้วยน้ำเสียงงุนงง


    “ ใช่แล้ว...การบำเพ็ญเพียรสำหรับพวกเราคือการฝืนกฎธรรมชาติเพื่อใคร้คว้าความเป็นอมตะ ”


    “ ช้าก่อนขอรับที่ท่านพูดว่าพวกเรา หมายถึงอะไร ข้าเป็นมนุษย์ธรรมดามิใช่รึขอรับ? ” ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย


    ชายหนุ่มผู้นั้นมองฉินหลิงด้วยสายตารำคาญก่อนเอ่ย “ ใช่ เมื่อก่อนเจ้าคือมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา แต่หลังจากเจ้าปลดผนึกเก้าหยิน คัมภีร์จิตวิญญาณทมิฬก็ได้ยอมรับเจ้าเป็นนายแล้ว และเจ้าก็คือเจ้าสำนักปีศาจทมิฬ รุ่นที่สิบสาม ”


    ‘ ว็อด เดอะ ***  เกิดอะไรขึ้น มนุษย์ ผู้บำเพ็ญเพียร คัมภีร์จิตวิญญาณทมิฬ เจ้าสำนักรุ่นที่สิบสาม มารดามันเถอะ อะไรกันเนี่ย ’ ฉินหลิงมึนงงภายในใจ


    “ ถึงเจ้าจะถามหามารดาข้า ข้าก็ไม่อาจหาให้เจ้าได้หรอกน่ะ เจ้าเด็กน้อย ” ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา


    ‘ บัดซบ มันดันอ่านใจข้าได้อีก ’


    “ใช่แล้ว ข้าสามารถอ่านจิตใต้สำนึกเจ้าได้ ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจิตวิญญาณของเจ้าถึงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ก็ยังไม่สามารถปิดกั้นจิตสัมผัสเทพของข้าได้หรอกน่ะ ” บุรุษรูปงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรีบเฉยอย่างไม่สนใจฉินหลิงราวกับเขาเป็นมดปลวก


    ฉินหลิงหัวเราะแห้งๆก่อนเอ่ยถาม “ ท่านผู้อาวุโส แล้วข้าต้องทำอันใดบ้างรึไม่ในฐานะเจ้าสำนัก ”


    “ ทำตามใจตน ” บุรุษแสงสีเงินเหลือบมองบนด้วยความเย็นชาแล้วตอบกลับมาด้วยความอหังการ


    “ สำนักปีศาจทมิฬแต่ล่ะรุ่น จะมีได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น กฎสำนักไม่มี วิธีฝึกตนคือทำตามใจตน ส่วนอย่างอื่นก็แล้วแต่เจ้าจะพอใจจัดการ ส่วนวิชายุทธ์เมื่อเจ้าเข้าสู่ระดับเซียนเทียน เจ้าถึงจะมีจิตสัมผัสพอที่ใช้ความสามารถของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ  แต่ทางที่ดีข้าแนะนำให้เจ้าจงอย่าใช้ให้คนเห็นจนกว่าเจ้าจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอ เพราะบางทีอาจจะต้องเปลี่ยนเจ้าสำนักใหม่อีกก็ได้ ”


    ฉินหลิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ ทำไมข้าถึงไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาให้คนเห็นได้รึขอรับ ”


    “ วิถีฝึกตนของสำนักของเราคือการฝึกตามใจตน ดังนั้นจึงมีคนมากมายเกลียดชังพวกเรามากมาย ดังนั้นจึงมีคนมากมายรนหาที่ตาย ทำให้เกิดเป็นความอาฆาตแค้นที่ไม่สิ้นสุด และเมื่อมีผู้สืบทอดสำนักปีศาจทมิฬเกิดขึ้นมา พวกเขาเหล่านั้นจึงต้องรีบสังหารก่อนที่พวกเราจะเติบโตจนไร้เทียมทานยังไงล่ะ…เจ้านี้ถามมากเรื่องจริง!! ” บุรุษหนุ่มร่างสีเงินเอ่ยตอบอย่างหงุดหงิด


    เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความละอายใจ “ ที่ท่านว่าแต่ล่ะรุ่นมีผู้สืบทอดได้เพียงคนเดียว แต่ท่านก็ยังอยู่ ทำไมข้าถึงเป็นเจ้าสำนักรุ่นที่สิบสามได้ล่ะขอรับ ”


    ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความเย้ยหยันก่อนตอบกลับ “ เจ้าเด็กบัดซบ หากข้ายังไม่ตายเจ้าที่เป็นเพียงมนุษย์ไร้ค่าเปรียบกับมดก็ยังไม่ได้ จะได้สืบทอดจิตวิญญาณทมิฬรึ  ข้าได้สิ้นชีพไปนานนับพันปีแล้ว ที่เจ้าเห็นนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้า  ก่อนที่ข้าจะสิ้นชีพ ข้าได้ส่งเศษวิญญาณเข้ามาภายในคำภีร์จิตวิญญาณทมิฬ และส่งลงมายังโลกเบื้องล่างแห่งนี้ ซึ่งเจ้ามีโชคชะตาต่อของสิ่งนี้ยังไงล่ะ เอาล่ะคงถึงเวลาที่ข้าต้องจากไปอย่างชั่วนิรันดร์สักที ” บุรุษที่ล้อมไปด้วยเเสงสีเงินที่กำลังอ่อนลงเอ่ยออกมาอย่างเฉยชา


    “เดี่ยวก่อนขอรับท่านผู้อาวุโสขอยังไม่ทราบนามของท่านเลย  แล้วเหตุใดท่านถึงสิ้นชีพลงได้ ” ฉินหลิงเอ่ยรีบเอ่ยถามเพราะเขายังไม่รู้จักอดีตเจ้าสำนักคนก่อนเลยสักนิดเดียว และเพราะเหตุใดคนที่ยิ่งใหญ่ อหังการเช่นนี้ถึงกับจบชีวิตได้ เขาต้องการรู้ว่าใครเป็นคนสังหารเขา


    บุรุษร่างสีเงินที่จางไปมากกว่าแปดส่วนแล้ว หัวเราะเบาๆก่อนเอ่ยว่า “ ข้ามีนามว่าเหยาหมิง ส่วนที่ข้าตายน่ะหรา  เพราะข้าไปข่มเหงเมียของจักพรรดิสวรรค์ ล่อลวงเจ้าหญิงเอลฟ์มาทำเมีย และลักพาตัวลูกสาวของราชันมังกรมาออกไข่ให้ข้า นอกจากนี้ข้ายังปลอมตัวแล้วไปแอบสมสู่กับบรรดาเหล่าฮูหยินของเหล่าหัวหน้าพรรค นิกายต่างๆ หรือง่ายๆก็คือข้าไปสวมหมวกเขียวให้พวกมันมาหมดแล้ว พวกมันจึงรวมตัวกันมาลอบวางกับดักเพื่อสังหารข้าไงล่ะ  ฮาๆๆๆ ชีวิตนี้ของข้าได้ใช้ชีวิตตามที่ตนปรารถนาแล้ว ไม่มีเหตุใดที่ทำให้ข้าต้องเสียดายอีก ส่วนตัวเจ้าข้าขออวยพรให้เจ้าโชคดีน่ะ เจ้าปีศาจน้อย จงตามตามใจตัวเองนั้นเเหละคือวิถีของพวกเรา ” หลังเอ่ยจบแสงสีเงินวูบหายไปภายในพริบตา


    ฉินหลิงถึงกับอ้าปากาค้างกับวีรกรรมที่บุรุษนามเหยาหมิงได้ทำเอาไว้  พี่ท่านหากว่าท่านจะทำตามใจตนต้องการขนาดนี้ ข้าว่าพี่ครองโลกไปเลยเถอะ ก่อนที่ฉินหลิงจะทันรู้สึกอะไรแสงจ้าก่อนจะได้ยินเสียงลู่ชิง บ่าวตัวน้อยของเขา



    (ซูโดกุ ในเรื่องจะเปลี่ยนจากตัวเลขเป็นเลขโรมันแทน I II III IV V )

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×