คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : การตัดสินใจของเจ้าเมืองชินโจว
เมื่อได้ยินคำพูดของที่ปรึกษาชรา
หลิวชิงหวินที่แสดงสีหน้าเคร่งเครียดก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับใช้พลังชีวิตหมดไปมากมาย
ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของทายาทตระกูลฉินตั้งแต่ฉินหลิงเริ่มเผาร้านค้าทาสภายในเมืองของเขาไปจนถึงบทสนทนาที่ชายหนุ่มชวนเขาเข้าร่วมเพื่อกำจัดสถานะออกจากแคว้นแห่งนี้
และเรื่องที่เขาส่งขุนนางตระกูลเกาจากเมืองหลวงไปลองใจเด็กหนุ่มจนถูกทำร้ายกลับมาและทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตเช่นนี้
หลังเอ่ยจบหลิวซีอิงที่เงียบมาตลอดก็แสดงท่าทางตื่นตกใจอย่างยิ่งกับความสามารถในการคิดของชายหนุ่มซึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ
แต่ความสามารถในคิดไม่แตกต่างจากเหล่าขุนนางเจ้าเล่ห์ในเมืองหลวงเลย
ที่ปรึกษาหวังเหม่อมองออกไปข้างนอกพลางกล่าว “ ดูท่าแล้วเจ้าหนูนี้คงเก็บซ่อนเขี้ยวเล็บเป็นอย่างดีเป็นเวลานานมาแล้ว
ถึงขนาดทนให้ผู้คนทั่วทั้งแคว้นกล่าวว่าร้ายป้ายสีและเก็บตัวตนที่แท้จริงไว้เป็นความลับ
เรื่องแบบนี้แม้แต่ข้าก็ไม่อาจทำได้ ดูแล้วจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทายาทตระกูลฉินผู้นี้คงต้องการให้เจ้าเลือกแล้วละว่าต้องการอยู่ฝั่งไหน
”
ได้ยินคำจากที่ปรึกษาชรา เจ้าเมืองชินโจวก็กุมมือแล้วครุ่นคิดไปมาก่อนเอ่ยถาม
“ ที่ปรึกษาหวัง
พวกเราควรจะร่วมมือกับฉินหลิงดีรึไม่ ” เพราะในคราแรกเขาก็สนใจในข้อเสนอของชายหนุ่มไม่น้อย
แต่เมื่อกลับมาคิดดูดีๆ หากเขายังคงความเป็นกลางไว้เขาก็สามารถรักษาเมืองแห่งนี้และลูกหลานไว้ได้
ชายชราแซ่หวังเผยรอยยิ้มออกมาแล้วมองเจ้าเมืองชินโจวด้วยสีหน้าเอ็นดูราวกับเป็นบุตรหลานตนเอง
“ เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนเจ้าได้
เพียงแต่เจ้าก็รับของขวัญและความหวังดีมาจากอีกฝ่ายแล้วมิใช่รึ หากเจ้าต้องการเป็นกลางเช่นนั้นเจ้าจะรับสินน้ำใจของอีกฝ่ายมาทำไมละ
?”
เมื่อคำว่าของขวัญถูกเอ่ยออกมาจากปากของชายชรา
หลิวชิงหวินก็เบิกตากว้างก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเก็บของก่อนจะหยิบกระดาษใบหนึ่งที่ถูกแอบไว้อย่างดี
แล้วนำมาส่งให้ที่ปรึกษาดูแล้วเอ่ยถาม “ นี้คือแบบแปลนที่เจ้าเด็กนั้นเอามาให้ข้า
แต่หลังจากข้าดูละเอียดแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้
โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าตะปู น็อต สกรู มันคืออะไรกัน ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ข้าเลยคิดว่าเจ้าเด็กนั้นมันอาจจะล้อข้าเล่น ดังนั้นข้าเลยโมโหและส่งชายหนุ่มที่มาจากตระกูลเกาไปแกล้งคืน
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวมันจะเลยเถิดไปเช่นนี้”
ในตอนแรกที่ปรึกษาหวังก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่เมื่อเขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นแล้วมองลงไป
มือที่จับกระดาษใบนั้นสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้างที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตัวเขาเองเป็นที่ปรึกษามาตั้งแต่เจ้าเมืองคนก่อน
ซึ่งเป็นบิดาที่เสียไปแล้วของหลิวชิงหวิน เพราะในอดีตเป็นเขาและบิดาของหลิงชิงหวินเป็นคนสร้างเมืองท่าแห่งนี้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
ซึ่งคนรุ่นใหม่ๆอย่างเจ้าเมืองคนนี้คงไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนลำบากลำบนขนาดไหน ถึงกับเดินทางไปต่างแคว้นที่อยู่ห่างไกลหลายหมื่นลี้กว่าจะได้แบบแปลนเรือประมงมา
และยังไม่รวมเงินทองที่ต้องเสียไปมากมายไม่รู้เท่าไหร่เพราะแบบแปลนใบเดียว แต่พวกเขาที่ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อต้องการวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่ลูกหลาน
แต่เจ้าเมืองรุ่นปัจจุบันกลับโง่เขลาขนาดที่มีคนแสดงความจริงใจมากเพียงนี้
เขากลับยังกล้าไปหาเรื่องกลั้นแกล้งอีกฝ่ายที่มีอายุรุ่นลูกอีก
เสียงสั่นเทาของที่ปรึกษาหวังที่ดังขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังเจ้าเมือง
“ จะ...เจ้าเด็กสารเลว เจ้าไม่รู้ถึงคุณค่าแบบแปลนนี้แม้แต่น้อย แล้วเจ้ายังบอกอีกว่านายน้อยผู้นั้นยั่วยุเจ้าเช่นนั้นรึ
หากไม่ใช่ข้าแก่แล้ว ข้าจะเอาไม้ไล่ทุบตีเจ้าให้ตาย
นึกถึงอดีตข้ากับบิดาเจ้าเดินทางไกลกว่าจะหาแบบแปลนนี้ได้ลำบากยากเย็นขนาดไหน เจ้า...เจ้ามันโง่เหมือนไก่ได้พลอยชัดๆ
”
หลิวชิงหวินที่พึ่งเคยเห็นชายชราแซ่หวังโกรธก็รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง
เพราะตั้งแต่เขายังเด็ก ชายชราผู้นี้เป็นคนที่ใจดีและใจเย็นมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นแล้ว
จึงทำให้เขาเคารพชายชราแซ่หวังผู้นี้ไม่ต่างจากบิดาแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อเขาได้เห็นความโกรธของอาวุโสผู้นี้เขาจึงทำได้เพียงก้มหัวยอมรับผิด
ซึ่งหากมีคนได้ยินว่าจอมยุทธยอมก้มหัวให้คนธรรมดาคงเป็นที่หัวเราะของชาวบ้านเป็นแน่
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้ก็คงไม่สนใจอยู่ดี
เมื่อเห็นผู้เป็นบิดาโดนท่านปู่ที่เธอนับถือดุด่า
หลิวซีอิงก็เดินเข้าไปหาที่ปรึกษาหวังแล้วเอ่ยเสียงหวาน “ ท่านปู่หวังอย่าพึ่งโกรธไปเลยเจ้าคะ ท่านพ่อก็สำนึกผิดแล้ว ท่านใจเย็นก่อนนะถือว่าอิงเอ๋อร์ขอร้อง
”
เมื่อได้ยินคำออดอ้อนเสียงหวานของหลิวซีอิงที่เปรียบเสมือนหลานสาวแท้ๆของเขา
ชายชราแซ่หวังก็สงบอารมณ์โกรธลง แต่ใบหน้ายังแฝงไปด้วยความครุ่นเคืองก่อนจะพูดอธิบายเจ้าเมืองหลิวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ เจ้าสิ่งที่เรียกว่าตะปูหรือน๊อตอะไรนั้น
หากข้าเดาไม่ผิดมันน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้เพื่อยึดส่วนประกอบของเรือให้ติดไว้ด้วยกันได้
ดังนั้นที่นายน้อยฉินผู้นั้นไม่มีวิธีการผลิตให้เจ้าก็ไม่แปลก
เพราะเขาคงอยากเก็บกระบวนการผลิตไว้เป็นความลับ ซึ่งหากเจ้าไม่เข้าร่วมกับเจ้าหนุ่มผู้นี้
เจ้าก็จะมีเพียงแค่แบบแปลนที่ไร้ประโยชน์ยังไงละ ”
“ แล้วข้าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี ”
คราวนี้เจ้าเมืองหลิวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงถ่อมตนเพราะเรื่องราวมันเกิดจากความไม่รู้ของเขาจริงๆ
ชายชราหวังนั่งครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังสาวน้อยที่ยืนด้านข้างจึงปรากฏรอยยิ้มออกมา
“ ข้าว่าหากให้เลือกขุมอำนาจจริงๆ ข้าอยากให้เจ้าสนับสนุนเจ้าเด็กแซ่ฉินผู้นี้
หากข้าเดาไม่ผิดการที่แม่ทัพใหญ่ส่งเจ้าเด็กคนนี้ออกมา คงต้องเตรียมการใหญ่อะไรบางอย่างเป็นแน่
ซึ่งหากว่าสาวน้อยได้เกี่ยวดองกับชายผู้นั้นคงดีไม่น้อย
”
“ ไม่ ข้าไม่แต่งเด็ดขาด กับเจ้าผู้ชายชั่วคนนั้น
ข้าไม่มีทางแต่งด้วยเป็นแน่ ” หลิวซีอิงเอ่ยอย่างหนักแน่นโดยลืมนึกไปเลยว่า ไม่รู้อีกฝ่ายจะสนใจเธอรึไม่
ชายทั้งสองที่เห็นสาวน้อยเป็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
พลางคิดในใจว่าคงไม่มีใครอยากแต่งกับชายที่มีชื่อเสียงเลวร้ายเช่นนี้ให้เป็นขี้ปากชาวบ้านหรอกนะ
“เอาละ
ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็ถือว่าข้าไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่เสียดายชายหนุ่มที่มีความฉลาดล้ำลึกขนาดนี้
หากเขาเกิดมาในรัชสมัยก่อน ไม่แน่ราชวงศ์ปัจจุบันอาจจะไม่ใช่แซ่หลี่ก็เป็นได้”
ชายแซ่หวังเอ่ยพลางนึกถึงอดีตในช่วงก่อตั้งแคว้นต้าเหยียนขึ้นมา หากตระกูลฉินต้องการครองบัลลังก์จริงๆ
บางทีตระกูลหลี่อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ได้
“ เช่นนั้น ข้าจัดการเรื่องฉินหลิงเอง
พวกเราเมืองชินโจวจะสนับสนุนตระกูลฉินอย่างเต็มกำลัง
หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของข้าจะไม่ผิดพลาด ”
หลิวชิงหวินเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเขามาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างตระกูลแม่ทัพใหญ่กับขุมอำนาจในเมืองหลวง
ผ่านไปหลายวัน ห่างออกจากเมืองท่าชินโจว
ขบวนรถม้ายาวเหยียดที่มีคนงานและองครักษ์คุ้มกันมากมายกำลังพยายามเปิดทางเข้าไปยังพื้นที่ชายทะเลที่ฉินหลิงได้มาจากมือผู้เป็นเจ้าชินโจวภายในเย็นวันนั้นหลังจากเขาส่งซากชายทั้งสามไปยังจวนเจ้าเมือง
โดยที่เจ้าเมืองหลิวไม่รับเงินจากเขาแม้แต่แดงเดียวและเอ่ยเพียงขอบคุณพิมพ์เขียวเรือสำเภา
นอกจากนั้นเขายังถามหาตะปู น๊อต
ซึ่งทำให้ฉินหลิงรู้ทันทีว่าที่แห่งนี้ยังไม่มีการหลอมโลหะเพื่อใช้สร้างของพวกนี้
ฉินหลิงจึงบอกกลับไปยังเจ้าเมืองว่าเขาจะเป็นคนจัดเตรียมของเหล่านี้ไว้ให้ทีหลัง
เมื่อจบจากเรื่องของเจ้าเมืองหลิว ฉินหลิงจึงได้เตรียมตัวออกเดินทางหลังจากการอวี้ฟานซือได้เดินทางนำไปก่อน
เพื่อเขาจะได้ตระเตรียมก่อสร้างบ้านเรือนง่ายๆไว้เป็นที่พักให้นายน้อยผู้นี้
ดังนั้นหลังจากเจ้านายแห่งหอการค้าตะวันฉายออกเดินทางเปิดเส้นทางไปก่อนห้าวัน
ฉินหลิงจึงเริ่มต้นเดินทางตามไปทีหลัง
ระหว่างทางเดินที่พวกเขาผ่านมา
หากไม่มีร่องรอยการเดินรถม้าที่มาก่อนห้าวัน เขาคงคิดว่าพื้นที่นี้ไม่ต่างจากการเดินเข้าป่าแม้แต่น้อย
เพราะหญ้าที่ขึ้นสูงถึงเข่า ต้นไม้สูงใหญ่ที่มีอายุนับร้อยปี ด้วยบรรยากาศธรรมชาติรายล้อมเช่นนี้
จึงทำให้การเดินทางยากลำบาก เขานึกไม่ออกเลยว่าอวี้ฟานซือที่เป็นคนเดินเปิดเส้นทางต้องลำบากขนาดไหน
หลังจากใช้เวลาเดินทางไปทั้งวันพวกเขาก็ถึงจุดหมาย
ซึ่งยามนี้มีเหล่าทาสกว่าสองร้อยคนและคนงานที่เดินทางมาในรอบแรกต่างกำลังขนหินและตัดไม้มาก่อสร้างเป็นที่พักอย่างง่ายๆ
ฉินหลิงและคณะที่อยู่บนเนินเขาก็สังเกตเห็นคนของอวี้ฟานซือเหมือนเป็นมดตัวเล็กๆเดินไปมา
แต่เมื่อพวกเขามองออกไปไกลก็เห็นถึงท้องทะเลสีฟ้าครามสดใสที่มีสายลมอ่อนๆจากทะเล
และกลิ่นเค็มโชยออกมา จึงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจากการเดินทางไกลไม่น้อย
เมื่อลงมาจากบนเขาฉินหลิงก็สังเกตเห็นบ้านพักหลังใหญ่สุดที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีชายร่างอ้วนยืนอยู่พลางโบกมือไปมาด้วยสีหน้าดีใจก่อนจะวิ่งเข้ามาทัก
“ การเดินทางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ”
ฉินหลิงพยักเบาๆให้อีกฝ่าย “ ก็ปกติดี
เพียงแต่คงต้องหาคนมาทำถนนเพิ่มอีกไม่น้อยเลย แต่ถือว่าโชคดีท่านอาหวินยกที่ดินแผ่นนี้ให้
ทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ไม่น้อยเลย ”
“ ถือว่าโชคดีมากเลยขอรับ เช่นนั้นท่านเข้ามาพักข้างในก่อนเถอะ”
อวี้ฟานซือเอ่ยชวนให้อีกฝ่ายเข้าไปพักหลังจากต้องเดินทางมาอย่างยากลำบาก
เพราะเขากลัวว่านายน้อยจากตระกูลใหญ่อาจจะไม่สามารถทนความลำบากจากการเดินทางได้เหมือนพวกพ่อค้าเช่นเขาได้
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากฉินหลิงตื่นขึ้นมาเขาก็เดินออกสำรวจอาณาเขตโดยรอบของพื้นที่พร้อมสมุดจด
โดยมีองครักษ์หมิงเดินตามดูแลความปลอดภัยในระยะใกล้ชิด
ในระหว่างการเดินสำรวจ เหล่าคนงานและทาสที่ได้มาจากร้านค้าทาสต่างมองชายหนุ่มด้วยความเลื่อมใสซึ่งทุกคนในที่แห่งนี้ต่างโค้งคำนับอีกฝ่ายเมื่อพบเจอ
จนฉินหลิงรู้สึกลำบากใจไม่น้อย
หลังจากวางแผนเสร็จสิ้น
ฉินหลิงก็ได้เอ่ยบอกให้อวี้ฟานซือจัดการตามแผนที่เขาวางไว้
ไม่ว่าจะเป็นขนาดของบ่อนาเกลือหรือทิศทางที่ตั้งของที่พักคนงาน
“ แล้วเราจะขนน้ำทะเลเข้ามายังไงรึขอรับ
หากจะให้เหล่าทาสขนมา ข้าว่าคงใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว ” หลังจากได้แบบแผนมาจากนายน้อยฉิน
อวี้ฟานซือก็เอ่ยออกมาด้วยความกังวลเพราะขนาดของนาเกลือใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้มาก
ดังนั้นการจะขนน้ำทะเลมายังบ่อที่กำลังขุดอยู่ตอนนี้ทำได้ยากลำบากอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินปัญหาของเจ้าของหอการค้าผู้นี้
ฉินหลิงก็ยิ้มออกมา “ ถ้าเป็นเรื่องท่านไม่ต้องกังวล ข้าได้เตรียมวิธีแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว
ท่านจำของที่ข้าให้ท่าขนมาด้วยได้รึไม่ ตอนนี้นำมาให้ข้าได้แล้ว ”
หลังจากรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้เตรียมวิธีไว้แล้ว
อวี้ฟานซือรู้สึกดีใจอย่างยิ่งพลางนึกไปถึงพิมพ์เขียวของชายหนุ่มที่เขาได้ให้บุตรชายไปตระเตรียมไว้
ก็เข้าใจทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้คิดถึงเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป รถม้าสามคันที่ขนไม้ยาวขนาดใหญ่จนล้นออกมาได้เดินมาถึงหน้าบ้านพักหลังใหญ่ของฉินหลิง
เมื่อเห็นอุปกรณ์ต่างๆ
ฉินหลิงก็รู้สึกตื่นเต้นพลางเอ่ยให้ทาสรับใช้และคนงานของหอการค้าประกอบตามคำสั่ง
หลังจากผ่านไปกว่าสองชั่วยาม
ด้วยความร่วมมือของหลายคน จึงทำให้สิ่งที่เหมือนกังหันน้ำซึ่งมีส่วนประกอบต่างๆทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ปรากฏออกมา
“ นายน้อย สิ่งนี้มันคืออะไรรึขอรับ ” หนึ่งในคนงานของหอการค้าตะวันฉายเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ สิ่งนี้มันมีชื่อเรียกว่า ระหัดวิดน้ำ เราสามารถใช้เจ้าสิ่งนี้ดูดน้ำจากทะเลมาใส่ยังบ่อนาเกลือของเราได้โดยอาศัยแรงลม
จากที่เจ้าเห็นแผ่นหนังที่ถูกตึงไว้นั้นเมื่อลมถูกพัดมาจะทำให้เกิดแรงหมุน และเมื่อมีแรงหมุนที่มาพอจะช่วยให้ท่อด้านล่างดูดน้ำทะเลไปได้ยังไง”
จากที่ได้ฟังสิ่งที่นายน้อยฉินพูดออกมา
เหล่าคนงานต่างไม่มีเข้าใจแต่พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงความสุดยอดของเจ้าสิ่งที่เรียกว่า
ระหัดวิดน้ำ และแย่งกันเอ่ยชมนายน้อยฉินจนทำให้เจ้าตัวหน้าบานไม่หุบเลยทีเดียว
ความคิดเห็น