ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #48 : ความจริงใจจากฉินหลิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17.71K
      1.11K
      16 ก.ย. 62

    เมื่อพวกฉินหลิงเดินจากไป  หลิงชิงหวินจึงสั่งบ่าวในจวนพาบุตรสาวไปพัก หลังจากประลองแพ้ให้แก่ชายหนุ่ม

     

    ขณะที่บ่าวรับใช้จะเข้ามาพยุงตัวหลิวซีอิง เธอก็สะบัดมือออกไปไม่สนใจบ่าวผู้นั้น ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นเจ้าเมืองชินโจวด้วยสีหน้าสับสนก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ข้าไม่เข้าใจ แม้แต่กระบวนท่าเดียวของชายผู้นั้นยังไม่ได้ใช้เลยด้วยซ้ำ ทำไมข้าถึงแพ้ได้ ทั้งๆที่ข้าใช้กระบวนท่าได้เหนือกว่ามาโดยตลอด”

     

    หลิวชิงหวินมองไปยังบุตรสาวที่กำลังจ้องเขาอย่างจริงจังก่อนจะถอนหายใจ “สิ่งที่เจ้าแพ้ไม่ใช่ความสามารถหรือกระบวนท่า ที่เจ้าแพ้คือการใช้สมองและควบคุมอารมณ์  จากที่ข้าเห็นกระบวนท่าที่ฉินหลิงใช้นั้น มีเพียงแค่เคล็ดวิชากระบี่พื้นฐานของกองทัพเท่านั้นที่เขาใช้ได้ ซึ่งการที่เขาใช้เพียงแค่การเคลื่อนไหวหนีในจังหวะต่างๆก็บอกได้แล้วว่าเขาวางแผนที่จะออมแรง แต่เป็นเจ้าเองที่ใช้อารมณ์วู่วามจนสิ้นเปลื้องเรี่ยวแรงไปมากมายและโดนอีกฝ่ายสวนกลับจุดอ่อนในคราเดียว และนี้จึงเป็นเหตุผลของความพ่ายแพ้ครั้งแรกของเจ้า”

     

    เมื่อได้ยินคำกล่าวของบิดา หลิงซีอิงก็ก้มหน้าเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ทิ้งให้หลิงชิงหวินมองเบื้องหลังอันบอบบางของบุตรสาวด้วยสีหน้าไม่สบายใจกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกพลางเอ่ยกับตัวเองเบาๆ “ หวังว่าเจ้าคงก้าวข้ามเงาในใจของเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่มีโอกาสที่จะเข้าสู่ขั้นเซียนเทียนได้ตลอดไป ”

     

    ผ่านไปสามวัน โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองท่าชินโชวที่ถูกหอการค้าตะวันฉายเหมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน

     

    “ที่นี้ใช่ที่พักของคุณชายฉินหลิงรึไม่ ?” ชายผู้หนึ่งที่ใส่ชุดเจ้าหน้าทางการเดินเข้ามาพร้อมองครักษ์ข้างกายสองคน เอ่ยถามคนงานที่กำลังนั่งยามอยู่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าง่วงนอน

     

    คนงานของหอการค้าตะวันฉายได้ยินคำถามจากชายหนุ่มสวมชุดทางการก็พยักหน้ายืนยัน “ใช่แล้วขอรับใต้เท้า ให้ข้าไปตามคุณชายฉินให้รึไม่ ?

     

    “ อืม รีบไปตามให้ข้าด้วยละกัน ” เอ่ยจบเขาก็หาที่นั่งด้านล่างในโรงเตี๊ยมแล้วนั่งลงด้วยท่าทีสบายๆราวกับเดินอยู่สวนหลังบ้าน

     

    ผ่านไปไม่นาน ฉินหลิงเดินลงมาจากชั้นบนโรงเตี๊ยมพร้อมกับองครักษ์หมิงและคนงานที่เข้าไปตามเขา

     

    เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่มีชายอายุเกือบยี่สิบปี ฉินหลิงก็เอ่ยทักออกมา “ ข้าฉินหลิง ท่านมีอะไรถึงต้องการพบข้ารึ ?

     

    ชายชุดขุนนางก็ลุกขึ้นมองพิจารณาชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยสายตาดูแคลนก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเสแสร้งและยกมือคารวะ “ข้าน้อยเป็นผู้ช่วยของท่านเจ้าเมืองที่ถูกวานให้มาส่งโฉนดและทำสัญญาที่ดินขอรับ”

     

    สายตาที่ดูแคลนของอีกฝ่ายก็ไม่สามารถหลบสัมผัสของฉินหลิงได้ แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพียงแค่พยักหน้าแล้วพูดเสียงดังด้วยท่าทีไม่พอใจ “ พวกเจ้าทำงานกันเช่นไร ทำให้ข้าต้องรอตั้งหลายวัน ”

     

    เมื่อเห็นท่าทางหยาบคายของฉินหลิง ชายในชุดขุนนางก็ขบฟันแน่นมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะถึงอย่างไรตัวเขาเองก็เป็นหลานชายของพระสนมองค์โปรดของฮ่องเต้ ที่ได้ถูกทางตระกูลส่งมาเพื่อเป็นขุนนางยังเมืองท่าแห่งนี้

     

    ด้วยเบื้องหลังที่ใหญ่โตจึงทำให้เขาสามารถกร่างและดูถูกผู้คนได้ทั่ว  แม้แต่เจ้าเมืองหลิวยังต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน แต่ยามนี้เขากลับถูกเด็กน้อยผู้นี้พูดข่มต่อหน้าลูกน้อง จึงทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งไปอีก เพียงแต่เขาไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหลานชายแม่ทัพใหญ่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่อดทนไว้ในใจ

     

    “ขออภัยที่เสียมารยาท  ข้าแค่มาทำงานตามที่เจ้าเมืองสั่งเท่านั้น รบกวนนายน้อยฉินรีบปั๊มลายนิ้วมือแล้วข้าก็จะจากไปโดยเร็ว”

     

    ฉินหลิงมองสีหน้าบิดเบี้ยวของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา “ เจ้าไม่อยากเห็นหน้าข้าอย่างนั้นรึ หน้าตาข้ามันน่าเกียจจนเจ้ารีบร้อนกลับขนาดนั้นเชียวรึ  ” เอ่ยจบฉินหลิงก็เอามือปัดกาน้ำชาที่ตั้งอยู่ไปทางชายหนุ่มชุดขุนนางด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

     

    เพล้ง!

     

    กาน้ำชาหล่นไปยังบนพื้นตามแรงที่ฉินหลิงปัด แต่ยังน้ำร้อนส่วนหนึ่งจากในจอกน้ำชามีที่สะบัดออกไปโดนตัวของชายหนุ่มชุดขุนนาง

     

    “อ๊ากๆๆ ร้อนๆ เจ้ากล้าทำร้ายข้า เจ้าหาเรื่องตายแล้ว ” เสียงโวยวายของชายชุดขุนนางดังขึ้นด้วยอารมณ์โกรธ ส่วนด้านองครักษ์ทั้งสองที่เห็นดังนั้นก็ชักกระบี่ออกมาแล้วชี้ไปยังฉินหลิงที่เป็นต้นเหตุในการทำร้ายร่างกายผู้เป็นนายของตน

     

    เมื่อเห็นกระบี่ถูกชักออกมา แววตาของฉินหลิงเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “ พวกเจ้าต้องการลอบสังหารข้าใช่รึไม่ องครักษ์หมิงจัดการพวกมันให้ข้า ”

     

    ไม่ทันให้องครักษ์ของอีกฝ่ายได้ตอบสนองอะไร หลังจากฉินหลิงเอ่ยจบ หมิงฮ่าวก็พุ่งเข้าไปจัดการองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เขาไม่ได้ช่วงชิงชีวิตของคนเหล่านั้น หมิงฮ่าวเพียงแค่สะบัดกระบี่ไปบริเวณเส้นเอ็นที่แขนและขาเท่านั้น

     

    ชั่วพริบตาเท่านั้นที่หมิงฮ่าวจัดการชายทั้งสอง ส่วนชายชุดขุนนางก็ได้สติอย่างรวดเร็วหลังเห็นลูกน้องตัวอ่อนยวบลงไปกับพื้นและมีเลือดไหลออกมาท่วมร่างกายประกอบกับออร่าจากจอมยุทธจึงทำให้ขาเขาสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว จึงเผลอชี้นิ้วไปยังฉินหลิงด้วยมือสั่นไปมา

     

    ไม่รอช้า ฉินหลิงกระโดดข้ามโต๊ะน้ำชาประเคนหมัดไปยังใบหน้าชายชุดขุนนางอย่างรวดเร็ว  เพียงพริบตาหมัดนับสิบกระหน่ำไปยังชายหนุ่มจนใบหน้าบวมเป่งและมีเศษฟันที่หลุดออกมาตาม

     

    ชายชุดขุนนางที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตนเองไปล่วงเกินชายหนุ่มเบื้องหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็หมดสติทันทีหลังโดนฉินหลิงส่งหมัดสุดท้ายไปที่คาง

     

    คนงานของหอการค้า เหล่าทาสที่พักด้านหลังโรงเตี๊ยมและเถ้าแก่โรงเตี๊ยมต่างก็ออกมาดูหลังจากได้ยินเสียงแตกของสิ่งของ  แต่สิ่งที่พวกเขาพบคือชายสองคนที่ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยเลือดจากรอยกระบี่ และคนผู้หนึ่งที่สวมชุดขุนนางหรูหราแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดและรอยบวมจนดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

     

    ไม่รอช้า หลังจากเขาเห็นคนงานของหอการค้าตะวันฉายเข้ามามุงดูมากมาย ฉินหลิงก็เอ่ยสั่งเสียงดัง “ นำเจ้าพวกนี้ไปส่งยังจวนเจ้าเมือง แล้วบอกว่าพวกเขาเสียมารยาท กล้ามาชักกระบี่ต่อหน้าข้า หากข้าไม่ทันระวังคงโดนลอบสังหารไปแล้วหวังว่าเจ้าเมืองหลิวตรวจสอบให้ด้วย” เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินขึ้นชั้นบนของโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว

     

     “ ทำไมท่านถึงต้องหาเรื่องทำร้ายชายผู้นั้นด้วยรึขอรับ ? ” หมิงฮ่าวที่เดินตามหลังก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยเพราะอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ต้องลงมือทำร้ายร่างกายชายชุดขุนนางผู้นั้นแม้แต่น้อย ถึงแม้ชายผู้นั้นจะแสดงสีหน้าเหยียดหยามไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้ลงมือถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ แต่เขาที่อยู่กับฉินหลิงมาไม่น้อยจึงพอรู้ว่านายท่านของเขาผู้นี้ย่อมไม่ทำอะไรที่ไม่คิดเป็นแน่

     

    ฉินหลิงที่เดินขึ้นมาถึงชั้นสองก็มองออกยังหน้าต่างซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับจวนของเจ้าเมืองท่าชินโจว  “ เจ้าจำได้รึไม่ หลังจากข้าประลองกับแม่นางผู้นั้นเสร็จสิ้น เจ้าเมืองหลิวได้บอกว่าจะให้คนของเขามาเชิญพวกเราไปเอาโฉนดที่ดินมิใช่รึ นอกจากนี้เจ้าไม่สังเกตเห็นองครักษ์ทั้งสองที่คุ้มกันชายชุดขุนนางผู้นั้นไม่ได้สวมใส่ชุดทางการ มันไม่แปลกไปหน่อยรึที่ขุนนางเล็กๆคนหนึ่งถึงกับมีองครักษ์ฝีมือดีคุ้มกันถึงสองคน ดังนั้นเรื่องทั้งหมดคงเป็นแผนของเจ้าเมืองหลิวผู้นี้เป็นแน่ ไม่คิดเลยว่าท่านขอให้ข้าแสดงความจริงใจรูปแบบนี้ ไม่รู้ของขวัญที่ข้าส่งคืน ท่านจะรับไหวรึไม่!

     

    หมิงฮ่าวเบิกตากว้างมองไปยังเบื้องหลังของเจ้านายที่จ้องไปยังนอกหน้าต่างก็เกิดความรู้สึกใจสั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ แล้วถ้าเรื่องที่ท่านคาดการณ์ไม่เป็นความจริงละขอรับ แต่เป็นเจ้าเมืองหลิวส่งคนผู้นั้นมาจริงๆท่านจะทำเช่นไร ”

     

    เมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นองครักษ์ ฉินหลิงก็หัวเราะออกมา “ หากเป็นคนที่ท่านอาหลิวส่งมาจริงก็ถือว่าถึงคราวซวยของเจ้านั้นไปก็แล้วกัน ถึงอย่างไรชื่อเสียงข้าก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว การจะชกต่อยขุนนางเพิ่มอีกซักคนก็ไม่เห็นจะเป็นไร ”

     

    ใบหน้าของผู้เป็นองครักษ์ซีดเซียวขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำตอบจากผู้เป็นนายพลางคิดในใจ ท่านไม่รู้รึยังไง ทำร้ายขุนนางในราชสำนักโทษถึงตายได้เลยนะ แต่เมื่อมองไปยังฉินหลิงที่กำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีราวกับการได้ชกต่อยขุนนางถือเป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง เขาจึงไม่เอ่ยเตือนแต่อย่างใดและทำเพียงก้มหน้าและครุ่นคิดคนเดียว

     

    เวลาเดียวกัน ภายในห้องทำงานของเจ้าเมืองชินโจว

     

    “ ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงต้องส่งเจ้าสารเลวนั้นไปหาชายผู้นั้นด้วยเล่า หากว่าเจ้าพวกวายร้ายสองคนนั้นร่วมมือกัน เมืองนี้ไม่เป็นอันแย่หรอกรึ ” หลิวซีอิงที่ได้ยินคำสั่งของบิดาจากบ่าวไพร่ เธอก็รีบเข้ามาหาผู้เป็นพ่ออย่างรวดเร็วเพราะเธอไม่เข้าใจว่าบิดาของเธอทำเช่นนี้ไปทำไม

     

    หลิวชิงหวินมองไปยังใบหน้าบุตรสาวที่แดงกล่ำซึ่งกำลังหอบหายใจอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม “ เจ้าเป็นห่วงเจ้าเด็กฉินหลิงหรอกรึ ถึงได้รีบร้อนมาหาข้าขนาดนี้ ”

     

    เมื่อได้ยินผู้เป็นบิดาเอ่ยหยอก หลิวซีอิงก็ขมวดคิ้วแน่นพลางพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ ข้าไม่ได้เป็นห่วงชายผู้นั้นแม้แต่น้อย เพียงแต่หากเขาถูกสังหารขึ้นมา ข้าก็ไม่สามารถแก้มือได้อีก ดังนั้นข้าเลยไม่อยากให้เขารีบตายเพียงเท่านั้น  แต่ทำไมท่านถึงให้เจ้าคนสารเลวจากเมืองหลวงผู้นั้นไปหาเจ้าสารเลวฉินหลิงละเจ้าคะ ”

     

    แววตาของเจ้าเมืองชินโจวเปล่งประกาย “ข้าเพียงต้องการดูความจริงใจของเด็กผู้นั้น เพราะอย่างไรหากข้าตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าคงไม่อาจถอนตัวได้แล้ว ดังนั้นข้าต้องการเห็นว่าเจ้าเด็กหนุ่มจะจัดการเรื่องคราวนี้อย่างไร ”

     

    หลิวซีอิงรู้สึกงงกับคำพูดจาของบิดาอย่างยิ่งว่าเขาต้องการความจริงใจอะไรจากชายหนุ่มผู้นั้น

     

    ในระหว่างการสนทนาของพ่อลูกตระกูลหลิว เสียงของคนงานจวนดังขึ้นด้านหน้าประตู

     

      เรียนท่านเจ้าเมือง ที่ปรึกษาหวังขอเข้าพบขอรับ”

     

    “ให้เขาเข้ามา”

     

    เสียงเปิดประตูตามมาด้วยชายชราที่ดูน่าเคารพเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าราวกับเต่าชราที่เต็มไปประสบการณ์ชีวิตมากมาย  “ คารวะท่านเจ้าเมือง ”

     

    “ ที่ปรึกษาหวัง  ข้าบอกแล้วไม่ต้องคารวะข้าอีก เชิญนั่งก่อน ” เอ่ยจบเจ้าเมืองหลิวก็เอื้อมมือไปพยุงชายชราด้วยสีหน้าที่แสดงออกให้เห็นถึงความอบอุ่น

     

    เมื่อที่ปรึกษาหวังนั่งลง เขาก็หันไปมองสาวน้อยที่มีใบหน้างดงามก่อนจะยิ้มเอ็นดูออกมา “ ยาโถว่น้อย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะตบแต่งหาสามีได้แล้ว ไม่ใช่มั่วแต่ฝึกยุทธกับบิดาเจ้าอยู่ ”

     

    ใบหน้าหลิวซีอิงแดงขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำทักของที่ปรึกษาชรา “ท่านปู่หวังอย่าล้อข้าเลย  หากไม่มีชายใดสามารถเทียบกับบิดาข้าได้ ข้าก็จะไม่แต่ง จะอยู่ดูแลท่านกับบิดาไปนานๆ”

     

    ชายทั้งสองที่ด้ยินคำพูดไร้เดียงสาของหญิงสาวก็เผยรอยยิ้มออกมา

     

    “ที่ปรึกษาหวัง ท่านมาหาเร่งด่วนเช่นนี้มีเรื่องอะไรรึ ? ” เจ้าเมืองหลิวเอ่ยถามชายชราตรงหน้าเพราะโดยปกติแล้วมักจะเป็นเขาเองที่เป็นคนไปขอคำปรึกษาจากชายชราตรงหน้า แต่วันนี้ที่ปรึกษาหวังผู้นี้กับเป็นคนขอเข้ามาพบเขาซึ่งถือว่าหาได้ยากมาก

     

    ที่ปรึกษาหวังขมวดคิ้วมองไปยังเจ้าเมือง “ แล้วเจ้าไปก่อเรื่องอะไรอีกละ ”

     

    หลิวชิงหวินรู้สึกสับสนทันทีเมื่อได้ยินคำตำหนิของชายชรา เพราะตัวเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าในช่วงนี้ตัวเขาเองไม่ได้ก่อเหตุอะไรเลย แต่เมื่อนึกไปมาอีกครั้ง ก็ปรากฏรูปใบหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  “ หรือเกิดเรื่องกับทายาทตระกูลฉินผู้นั้น ”

     

    ชายชราส่ายหน้าเบาๆพรางเอ่ยออกมา  “ เจ้ารู้รึไม่เมื่อครู่ได้มีชายสามคนถูกแบกเข้ามาส่งยังจวนเจ้าเมือง แถมหนึ่งในนั้นยังใส่ชุดทางการอีกด้วย ”

     

    เมื่อได้ยินคำกล่าวของที่ปรึกษาหวัง หลิวชิงหวินก็กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยเสียงดัง “ ใครหน้าไหนบังอาจมาก่อเรื่องยังเมืองของข้า ”

     

    “ เรื่องที่เกิดขึ้นมิใช่ว่าเจ้าส่งเขาไปตายหรอกรึ ?

     

     “ ห๊ะ...ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ”  เจ้าเมืองหลิวสับสนอย่างยิ่งเพราะช่วงนี้เขาไม่ได้สั่งการให้คนของเขาไปไหนเลย แล้วเขาจะเป็นคนส่งคนของตัวเองไปตายทำไม

     

    ชายชราหวังมองสีหน้างงงวยของเจ้าเมืองที่เป็นบุตรชายของสหาย ก่อนจะถอนหายใจ  “ คนผู้นั้นฝากมาบอกว่าคนของเจ้าเสียมารยาทกล้ามาชักกระบี่ต่อหน้า หากเขาไม่ทันระวังคงโดนลอบสังหารไปและหวังว่าเจ้าเมืองหลิวจะตรวจสอบให้ด้วย ซึ่งคนที่ฝากมาบอกมีแซ่ฉิน คงไม่ต้องบอกให้ข้าบอกหรอกนะว่าเขาคือใคร ”

     

    ดวงตาของหลิวชิงหวินเบิกกว้างด้วยความตกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าความจริงใจที่ชายหนุ่มตระกูลฉินส่งมาให้เขานั้นใหญ่เกินกว่าเขาจะรับได้  ในคราแรกเขาเองก็ปวดหัวไม่น้อยเลยเรื่องของขุนนางหนุ่มจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงที่มาก่อความวุ่นวายยังเมืองท่าแห่งนี้ แต่ด้วยเบื้องหลังที่ใหญ่โตจึงทำให้เขาไม่สามารถพูดหรือลงโทษอะไรได้มาก  แต่เรื่องราวเปลี่ยนไปเมื่อฉินหลิงมาถึง เขาจึงคิดยืมมือทายาทตระกูลฉินผู้นี้สั่งสอนให้ชายหนุ่มจากเมืองหลวงหลาบจำซะบ้างจะได้ไม่ก่อเรื่องให้เขาปวดหัว แต่เขาเองก็ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับบ้าระห่ำถึงกับกล้าทุบตีชายในชุดนาง

     

    “ละ..แล้วอาการบาดเจ็บพวกเขาเป็นอย่างไร” เสียงสั่นของเจ้าเมืองหลิวดังออกมาเพราะอย่างไรชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นทายาทจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ดังนั้นหากเขาไม่มีคำตอบที่ดีไม่แน่อาจก่อภัยพิบัติต่อตระกูลหลิวของเขาเป็นแน่

     

    ชายชราหวังมองใบหน้าที่แสดงของถึงความไม่สบายใจของเจ้าเมืองชินโจวแล้วเอ่ยออกมา “องครักษ์ทั้งสองถูกตัดเส้นเอ็นทั่วร่างราวยี่สิบจุด ส่วนอีกคนถูกชกจนใบหน้าบิดเบี้ยว กระดูกจมูกหัก ฟันหน้าหายไปสองซี่ โดยรวมนอกจากบริเวณใบหน้า จุดอื่นไม่มีร่องรอยบาดแผล  ตอนนี้ข้าให้หมอดูแลอยู่คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้สติ เอาละตอนนี้เจ้าเล่าเรื่องของทายาทตระกูลฉินมาให้ข้าฟังได้แล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกแล้ว หากเราไม่สามารถหาต้นไม้ใหญ่เกาะไว้ได้ อาจจะต้องพลัดปลิวไปกับพายุลูกนี้เป็นแน่”

     

     

     

     

     ขออภัยด้วยที่เมื่อวานไม่ได้ลง เป็นไข้นิดหน่อย ช่วงนี้ฝนตกดูเเลสุขภาพกันด้วยนะขอรับ



    เห็นมีคำถามเข้ามาหลายอย่างดังนั้นวันนี้ผู้เขียนก็เลยเอามาอธิบายบางประเด็น


    Q : ทำไมพลังยุทธเซียนเทียน(แปลได้ว่า เซียนสวรรค์หรือเซียนชั้นฟ้า)ถึงเป็นขั้นพลังต่อจากหลอมกายาทั้งที่มันน่าจะเป็นขั้นพลังของเซียน

    A : จากที่อธิบายไว้ก่อนเเล้วว่าโลกมนุษย์นั้นมีระดับฝึกตนอยู่สองขั้นคือหลอมกายาเเละเซียนเทียนเท่านั้น ซึ่งขั้นเซียนเทียนมันเป็นเหมือนการใช้คำเรียกขานกันในหมู่ผู้คนเพราะจุดสำคัญคือขั้นเซียนเทียนหรือจอมยุทธมีความพิเศษอยู่ที่สามารถปล่อยพลังปราณออกนอกร่างกายได้ซึ่งเหมือนเป็นอภินิหารอย่างนึง ดังนั้นผู้เขียนจึงตั้งขั้นฝึกตนระดับเซียนเทียนเป็นระดับพลังต่อจากหลอมกายา เพราะอย่างไรก็ตามในเรื่องสามารถพบเซียนที่เเท้จริงได้ยากมาก เเม้เเต่ปู่พระเอกยังมีโอกาสเจอเเค่สองหนจึงไม่แปลกที่ผู้คนจะไม่รู้จักผู้ฝึกตนเป็นเซียนเเละใช้ขั้นเซียนเทียนเรียกขานผู้ที่มีพลังออกมาจากร่างกายได้


    Q : สำหรับคำถามที่ว่าทำไมพระเอกถึงไม่ฝึกเซียนซักที

    A :  ถ้าสังเกตจากบทเเนะนำ จะเห็นว่าผมเเยกลำดับขั้นของพลังฝึกตนเอาไว้ว่าเป็นของมนุษย์ธรรมดาเเละผู้ฝึกตน ดังนั้นสองเเนวทางการฝึกตนไม่เกี่ยวข้องกันเเต่อย่างใด ไม่ใช่ว่าเมื่อบรรลุเซียนเทียนขั้นสูงสุดเเล้วจะเข้าสู่ระดับสร้างฐานได้ ดังนั้นมันจำเป็นต้องมีโอกาสบางอย่างเพื่อที่จะสามารถเข้าสู่โลกเเห่งการบำเพ็ญตน


    Q : สำหรับที่บ่นๆกันมาถึงเนื้อเรื่องที่เดินไม่ถึงไหน

    A : ต้องกราบขออภัยด้วย เเต่ที่ผมเเต่งนิยายดำเนินเนื้อเรื่องช้าเพราะอยากจะเเสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวละคร ไม่ใช่มาถึงก็ฆ่ากันไปมา พอสู้ไม่ไหวก็บังเอิญโชคดี อะไรแบบนี้  ผมอยากเเต่งให้พระเอกใช้สมองมากกว่าโชค เเละที่บอกว่าคุยเเต่เรื่องผู้หญิงมากในช่วงเเรกของเรื่องคืออยากจะให้เข้าใจว่ามันเป็นเหมือนความรู้สึกใต้สำนึกที่เจ้าของร่างคนเก่าส่งมาให้ ไม่ใช่ว่าพระเอกจะเป็นคนที่เห็นคนสวยไม่ได้อะไรเเบบนั้น เพราะในเรื่องพระเอกก็เป็นชายอายุสามสิบกว่าเเล้ว ดังนั้นการกระทำต่างๆของฉินหลิงจึงเเสดงให้ความรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่


    สุดท้าย ขอขอบคุณสำหรับทุกคำติชม หวังว่าทุกท่านจะติดตามกันต่อไป 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×