ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #46 : หลิวชิงหวิน (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17.54K
      1.42K
      3 ก.ค. 62

    เจ้าเมืองหลิวหันไปมองพื้นที่ทั้งสองจุดบนแผนที่ด้วยความแปลกใจสำหรับพื้นที่ทั้งสอง หากจะบอกว่ามีอะไรเป็นพิเศษในพื้นที่ทั้งสองที่ชายหนุ่มตระกูลฉินต้องการ ก็คงเป็นเพราะไม่มีผู้คนต้องการเป็นแน่  ซึ่งในพื้นที่แห่งแรกคือที่ดินติดชายทะเล แต่โดยรอบกับมีภูเขาล้อมรอบมากมายทำให้การเดินทางลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากเดินทางไปยังพื้นที่ทุรกันดารเช่นนั้นเลย ซึ่งที่ดินผืนนี้ชายหนุ่มผู้นี้อาจจะพอทำประโยชน์ได้บ้างเช่นการก่อสร้างบ้านพักชายทะเลที่ขุนนางใหญ่โตชอบทำกัน  แต่เมื่อเทียบกับที่ดินอีกแห่งซึ่งมีแต่ดินทรายโดยรอบและไม่สามารถปลูกอะไรได้เลยแถมยังไม่ได้ติดชายทะเลอีก จึงทำให้ผู้เป็นเจ้าเมืองสับสนกับชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่งว่าเขาจะเอาพื้นที่ทั้งสองไปทำอะไรกันแน่

     

    หลิวชิงหวินเงยหน้ามามองชายหนุ่มเบื้องหน้าพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นด้วยหรอกนะ แต่พื้นที่ทั้งสองมันแทบจะไร้ประโยชน์ ข้าว่าเจ้าเลือกที่แห่งอื่นไม่ดีกว่ารึ ?

     

    เมื่อได้ยินคำเตือนจากผู้เป็นเจ้าเมือ งก็ทำให้ฉินหลิงรู้สึกดีกับชายเบื้องหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว อาจจะเป็นเพราะเจ้าเมืองผู้นี้เห็นว่าเขาเป็นลูกชายของสหายเก่าก็เป็นได้  ซึ่งฉินหลิงสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีที่เจ้าเมืองผู้นี้มีให้แก่เขา  หากเป็นผู้อื่นเมื่อมีคนต้องการที่ดินไร้ค่าเช่นนี้คงรีบขายออกไปโดยไม่สนใจเตือนอะไรออกมาเป็นแน่

     

    “ ข้าเลือกไว้แล้ว ท่านไม่ต้องกังวล ข้าเพียงเริ่มทำการค้าเล็กๆเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากรบกวนให้ท่านดูแลคนของข้าด้วย”

     

    เจ้าเมืองท่าชิวโจวเผยสีหน้าประหลาดใจก่อนจะเอ่ยออกมา “ ถ้าเจ้าแน่ชัดในเรื่องนี้ ข้าก็ไม่ขอเอ่ยขัดอีกต่อไป ส่วนโฉนดข้าจะจัดการให้โดยไว สำหรับราคาที่ดินผืนแรกเนื่องจากมันติดชายทะเลแต่ค่อนข้างห่างไกล ข้าคิดราคาสามพันตำลึงทอง เจ้าสู้ราคานี้ไหวรึไม่ ?

     

    เมื่อฉินหลิงได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย  เพราะที่ดินรอบภูเขาหลายลูกจนกระทั้งติดชายทะเล เจ้าเมืองผู้นี้กลับคิดราคาเพียงสามพันตำลึงเท่านั้น “ ข้าไม่มีปัญหาหรอกขอรับ แต่ราคานี้ไม่ต่ำไปสำหรับท่านหรอกรึ ”

     

    “ ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วง ที่ดินผืนนี้ปล่อยทิ้งร้างไว้ตั้งแต่รุ่นพ่อข้าแล้ว ยังไม่มีคนซื้อไปด้วยซ้ำ สามพันตำลึงทองนี้แหละเหมาะสมแล้ว ”

     

    “ แล้วที่ดินที่เป็นดินทรายก่อนถึงเมืองชินโจว ท่านคิดราคาเท่าไหร่ขอรับ ”

     

    “ที่ดินผืนนั้น เจ้าเอาไปใช้ประโยชน์เถอะ ไม่ต้องจ่ายอะไรให้ข้าหรอก ที่ดินไร้ประโยชน์แบบนั้นเจ้าจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า”

     

    เมื่อได้ยินคำกล่าวของเจ้าเมืองผู้นี้ก็ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจังอีกครั้ง เพราะเจ้าเมืองผู้นี้มีจุดประสงค์ให้เขาใช้ประโยชน์ในที่ดินแห่งนี้อย่างเต็มที่แต่ไม่ยอมขายขาดตัว  คงเป็นเพราะต้องการรู้เป็นแน่ว่าเขาจะเอาที่ดินผืนนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้เขาได้ประโยชน์คนเดียว อีกฝ่ายก็สามารถอ้างสิทธิในการครอบครองพื้นที่เพื่อมาขอแบ่งรายได้จากเขาได้ ดูท่าแล้วเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้ก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ไม่ธรรมดาผู้หนึ่งเช่นกัน

     

    ฉินหลิงปรับท่าทางอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสบายๆและเอ่ยตอบ “ เช่นนั้นข้าก็ขอรับน้ำใจของท่านไว้แล้วกัน ” เอ่ยจบฉินหลิงหันไปมองผู้เป็นองครักษ์ก่ออนจะพยักหน้ายืนยันบางอย่างให้หมิงฮ่าว

     

    หลังจากได้สัญญาณจากฉินหลิง หมิงฮ่าวก็นึกถึงคำสั่งก่อนเข้ามาภายในจวนแห่งนี้ หากข้าสังเกตดูแล้วเจ้าเมืองผู้นี้ไม่เป็นที่อันตราย ข้าต้องการสนทนากับเขาตามลำพัง  เมื่อข้าให้สัญญาณเจ้าออกไปรอนอกห้อง

     

    เมื่อเห็นผู้เป็นองครักษ์ของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเดินออกจากห้อง หลิวชิงหวินก็หรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังขึ้น พร้อมคิดว่าเรื่องที่จะคุยต่อจากนี้อาจเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เจ้าเด็กตระกูลฉินมาขอพบเขา

     

    “ หลายชายมีเรื่องสำคัญอะไรถึงต้องการคุยกับข้าเพียงลำพังเช่นนี้ ? ” หลิวชิงหวินยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ

     

    “ ข้าไม่ขออ้อมค้อมอะไรอีก ข้าต้องการความร่วมมือจากท่าน ”

     

    หลิวชิงหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร ”

     

    “ ข้าต้องการกำจัดการค้าทาสออกจากแคว้นแห่งนี้ ” ตั้งแต่เริ่มสนทนากันมา ฉินหลิงสังเกตเห็นแล้วว่าเจ้าเมืองผู้นี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เข้าก่อขึ้นในร้านค้าทาสภายในเมืองชินโจวแม้แต่น้อย ทั้งที่การที่เขาไปเผาร้านค้าทาสนั้นย่อมหมายถึงการประกาศศึกกับขุมอำนาจเบื้องหลังที่ได้ให้สนับสนุนการค้าทาสอย่างแน่นอน ซึ่งหลิวชิงหวินผู้นี้ก็ไม่ได้ออกมาห้ามหรือเตือนเขาแม้แต่น้อย

     

    เหตุผลที่เขาจะจุดไฟเผาร้านค้าทาสแห่งนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการเผาเพื่อตอบรับคำที่เจ้าของร้านร่างอ้วนเคยพูดออกมา แต่เขาต้องการดูทิศทางลมว่าเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้จะมีเจตนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่  แต่บทสรุปที่ได้รับทำให้เขาสามารถรับรู้ได้อย่างแน่ชัดอย่างหนึ่งแล้วว่า หลิวชิงหวินผู้นี้ต้องการแอบปกป้องเขาอย่างลับๆเป็นแน่ ถึงอย่างไรเมื่อมีร้านค้าทาสถูกทำลายลงไป สิ่งที่ขุมอำนาจเบื้องหลังของร้านค้าทาสพวกนั้นจะตอบโต้อับดับแรกก็ย่อมต้องเป็นผู้เป็นเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนดูแลความเรียบร้อยในเมืองชินโจวเป็นแน่  แต่เจ้าเมืองผู้นี้กลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เขาก่อไว้ให้เขาเป็นกังวลเลยแม้เเต่น้อย  ดังนั้นสิ่งที่หลิวชิงหวินผู้นี้ต้องการกระทำคือกันเขาออกห่างจากการปะทะกันระหว่างเขาและเบื้องหลังของร้านค้าทาส

     

    หลังจากได้ยินคำกล่าวฉินหลิง สีหน้ายิ้มแย้มของผู้เป็นเจ้าเมืองหุบลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น “ เจ้าคิดว่ามีจอมยุทธคอยคุ้มกันแล้วจะสามารถหาเรื่องกับขุมอำนาจเหล่านั้นได้รึ  แม้แต่ปู่ของเจ้าที่กองทัพนับล้านยังไม่สามารถกำจัดการค้าทาสออกจากแคว้นแห่งนี้ไปได้เลย แล้วเด็กน้อยเช่นเจ้าจะไปทำอะไรได้ ”

     

     “ ภูผาสูงยังมีสูงกว่า ยอดฝีมือก็ย่อมมีผู้เหนือกว่า สิ่งที่ท่านปู่ทำไม่สำเร็จก็ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้ ” ฉินหลิงจ้องสายตาเย็นชาคู่นั้นของหลิวชิงหวินอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับเป็นขุนเขาจากสรวงสวรรค์ที่หนักแน่นด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจพังทลายลงได้

     

    เมื่อได้ยินคำโต้กลับของชายหนุ่มเบื้องหน้าก็ทำให้หลิงชิงหวินใจสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะดวงตาคู่นั้นของฉินหลิงทำให้เขารู้ถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับสิ่งที่เขาพูด

     

    เจ้าเมืองชินโจวสูดลมหายใจแน่นก่อนจะปรับท่าทางตนเองเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลฉินและยังเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของสหายข้า ในชีวิตข้านับถือคนไม่มากเท่าไหร่นัก แต่บิดาของเจ้าคือหนึ่งในนั้น เขาเป็นขุนพลที่กล้าหาญไม่แพ้ท่านแม่ทัพใหญ่ ต่อสู้เพื่อแคว้นต้าเหยียนจนสิ้นชีพไป ข้าเองก็ไม่ต้องการให้สายเลือดสุดท้ายของสหายข้าตายจากไปเช่นนี้ ดังนั้นเจ้ายกเลิกเรื่องที่ต้องการทำลายการค้าทาสเถอะ ส่วนเรื่องที่เจ้าทำลายร้านค้าทาสในเมืองชินโจวก็ปล่อยให้ข้าจัดการเอง ”

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ขอบคุณท่านอาหวินที่เป็นห่วง แต่หากท่านคิดว่าข้าจะไปเสี่ยงสู้รบฆ่าฟันกับขุมอำนาจเบื้องหลังพวกนั้นเพื่อพวกทาสที่ข้าไม่รู้จักแล้วละก็ท่านคิดผิดไปไกลโข  ข้าเองก็เป็นเพียงคนโลภคนหนึ่งเท่านั้น คงไม่สามารถเสียสละเลือดเนื้อและสิ่งต่างๆเพื่อเพื่อนมนุษย์ได้ ”

     

    หลิวชิงหวินรู้สึกตกใจอย่างยิ่งกับคำตอบที่เขาได้รับจากเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจแล้วว่าฉินหลิงต้องการปลดปล่อยทาสไปเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่

     

    “ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะต้องให้ความร่วมมือกับเจ้า ? ” หลิวชิงหวินเอ่ยถามลองเชิงเด็กหนุ่มเบื้องหน้า

     

    ฉินหลิงไม่เอ่ยตอบคำถามจากผู้เป็นเจ้าเมืองแต่เปลี่ยนเรื่องคุย “ ท่านคิดว่าชื่อเสียงของข้าเป็นเช่นไร แตกต่างจากตัวจริงรึไม่ ”

     

    เมื่อหลิวชองหวินได้ยินคำถามของชายหนุ่ม เขาก็ขมวดคิ้วแน่นพลางนึกถึงคำร่ำลือถึงชื่อเสียงที่เลวร้ายของหลานชายแม่ทัพใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากบุคคลด้านหน้าของเขายิ่งนัก จากการสนทนากับชายหนุ่มกับทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับคนอายุรุ่นเดียวกัน ไม่ใช่ได้สนทนากับเด็กหนุ่มรุ่นลูก

     

    ฉินหลิงเห็นสีหน้าผิดปกติของผู้เป็นเจ้าเมือง เขาก็เอ่ยออกมา “ ศัตรูที่ร้ายกาจ  ใช้คำปากมากกว่าคมดาบ ”

     

    “ เจ้าหมายความอย่างไร ? ” หลิวชิงหวินเอ่ยถามด้วยความสับสนเพราะเขาในตอนนี้ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการสื่อให้เขาเข้าใจในเรื่องใดกันแน่

     

     “ ท่านคิดว่าชื่อเสียงเลวร้ายที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วส่งผลต่อข้าเยี่ยงไรกัน ชาวบ้าน ผู้คน แม้แต่ทหารภายในจวนก็พากันหวาดกลัวข้าทั้งสิ้น ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำความจริงเป็นเช่นไร  ดังนั้นสมมุติหากมีข่าวลือถูกปล่อยออกมาว่ามีการลักพาตัวชาวบ้านไปเป็นทาสมากๆเข้าละ ท่านคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ชาวบ้านที่หวาดกลัวว่าลูกหลานตนเองจะถูกจับไปเป็นทาสเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อข่าวลือถูกกระจายไปทั่วทั้งแคว้นแล้วเราใส่ความไปอีกเล็กน้อยจนเรื่องราวบานปลาย จนถึงเวลานั้นข้าเองก็อยากรู้นักว่าขุมอำนาจเบื้องหลังร้านค้าทาสพวกนั้นจะทำเช่นไรต่อไป ”

     

    หลังจากได้ฟังสิ่งที่ฉินหลิงพูดออกมา ผู้เป็นเจ้าเมืองถึงกับรู้สึกคอแห้งผากก่อนจะฝืนกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าให้เด็กหนุ่มเบาๆแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแต่กำลังพิจารณาชายหนุ่มด้านหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

     

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ฉินหลิงก็ล้วงเข้าไปภายในอกแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ผู้เป็นเจ้าเมือง “ ถือว่าเป็นของตอบแทน ที่ข้ามารบกวนท่าน ”

     

    หลิวชิงหวินรับกระดาษที่ม้วนอยู่คลี่ออกมามองก่อนจะเบิกตากว้างแล้วเอ่ยเสียงสั่น “ นะ..นี้เจ้าไปได้มาเช่นไร ?

     

    “ ไม่สำคัญว่าข้าได้มาอย่างไร ข้าหวังเพียงว่าจะได้รับการดูแลที่ดีจากท่านอีกในอนาคต ”

     

    เจ้าเมืองชิวโจวพยักหน้ายืนยันก่อนจะวางกระดาษที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียน ซึ่งหากคนในโลกเก่าของฉินหลิงมาเห็นก็นึกได้เลยว่ารูปร่างแบบนี้มันคือรูปเรือสำเภาเป็นแน่

     

    ด้วยความที่ฉินหลิงเคยมีเรือสำเภาจำลองตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานในโลกเก่า ทำให้เขามองเห็นอยู่ทุกวัน จึงทำให้เขาจดจำรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงเขียนแบบแปลนโดยคราวๆมาเพื่อเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะเอาไว้ต่อรองกับเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้ แต่หลังจากสนทนากันไป ทำให้เขาพบว่าอีกฝ่ายเคยเป็นสหายของบิดา จึงทำให้เขาไม่นำเอาแบบแปลนฉบับนี้มาต่อรองแต่นำมาให้เป็นของขวัญเพื่อมิตรภาพแทน ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างเรือสำเภาได้จริงรึไม่คงทำได้แค่หวังพึ่งช่างต่อเรือของเมืองท่าแห่งนี้ให้มีความสามารถมากพอ

     

    เมื่อเห็นฉินหลิงไม่ได้อยากเอ่ยถึงที่มา หลิวชิงหวินก็ไม่รบเร้าอะไรเพียงแต่รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาจากชายหนุ่ม เพราะอย่างไรเมืองท่าชินโจวก็เป็นพื้นที่แห่งเดียวในแคว้นต้าเหยียนที่มีการต่อเรือ แต่ชายหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรหลานตระกูลฉินที่มีอาณาเขตไม่ได้ติดกับทะเลแม้แต่น้อย แต่เขาสามารถหาแบบแปลนเรือมาได้ แถมเรือที่ฉินหลิงให้มาก็เป็นเรือขนาดใหญ่ที่สามารถทุกคนได้นับร้อย เรื่องนี้จึงสร้างความฉงนใจแก่เขาอย่างยิ่ง

     

    หลังจากคุยเสร็จ เจ้าเมืองหลิวเอ่ยชวนฉินหลิงด้วยสีหน้าเป็นกันเอง “ วันนี้ให้ข้าเลี้ยงข้าวหลานชายเถอะ เดี๋ยวข้าจะแนะนำลูกสาวข้าอิงเอ๋อร์ให้เจ้ารู้จัก ”

     

    ฉินหลิงลุกขึ้นแล้วโค้งให้อีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างสุภาพ “ เช่นนั้น ข้าขอรบกวนท่านอาหวินแล้ว ”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×