คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #46 : หลิวชิงหวิน (2)
เจ้าเมืองหลิวหันไปมองพื้นที่ทั้งสองจุดบนแผนที่ด้วยความแปลกใจสำหรับพื้นที่ทั้งสอง
หากจะบอกว่ามีอะไรเป็นพิเศษในพื้นที่ทั้งสองที่ชายหนุ่มตระกูลฉินต้องการ ก็คงเป็นเพราะไม่มีผู้คนต้องการเป็นแน่
ซึ่งในพื้นที่แห่งแรกคือที่ดินติดชายทะเล แต่โดยรอบกับมีภูเขาล้อมรอบมากมายทำให้การเดินทางลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากเดินทางไปยังพื้นที่ทุรกันดารเช่นนั้นเลย ซึ่งที่ดินผืนนี้ชายหนุ่มผู้นี้อาจจะพอทำประโยชน์ได้บ้างเช่นการก่อสร้างบ้านพักชายทะเลที่ขุนนางใหญ่โตชอบทำกัน
แต่เมื่อเทียบกับที่ดินอีกแห่งซึ่งมีแต่ดินทรายโดยรอบและไม่สามารถปลูกอะไรได้เลยแถมยังไม่ได้ติดชายทะเลอีก
จึงทำให้ผู้เป็นเจ้าเมืองสับสนกับชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่งว่าเขาจะเอาพื้นที่ทั้งสองไปทำอะไรกันแน่
หลิวชิงหวินเงยหน้ามามองชายหนุ่มเบื้องหน้าพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นด้วยหรอกนะ แต่พื้นที่ทั้งสองมันแทบจะไร้ประโยชน์
ข้าว่าเจ้าเลือกที่แห่งอื่นไม่ดีกว่ารึ ? ”
เมื่อได้ยินคำเตือนจากผู้เป็นเจ้าเมือ
งก็ทำให้ฉินหลิงรู้สึกดีกับชายเบื้องหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว
อาจจะเป็นเพราะเจ้าเมืองผู้นี้เห็นว่าเขาเป็นลูกชายของสหายเก่าก็เป็นได้ ซึ่งฉินหลิงสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีที่เจ้าเมืองผู้นี้มีให้แก่เขา
หากเป็นผู้อื่นเมื่อมีคนต้องการที่ดินไร้ค่าเช่นนี้คงรีบขายออกไปโดยไม่สนใจเตือนอะไรออกมาเป็นแน่
“
ข้าเลือกไว้แล้ว ท่านไม่ต้องกังวล ข้าเพียงเริ่มทำการค้าเล็กๆเท่านั้น ดังนั้นจึงอยากรบกวนให้ท่านดูแลคนของข้าด้วย”
เจ้าเมืองท่าชิวโจวเผยสีหน้าประหลาดใจก่อนจะเอ่ยออกมา
“ ถ้าเจ้าแน่ชัดในเรื่องนี้ ข้าก็ไม่ขอเอ่ยขัดอีกต่อไป
ส่วนโฉนดข้าจะจัดการให้โดยไว สำหรับราคาที่ดินผืนแรกเนื่องจากมันติดชายทะเลแต่ค่อนข้างห่างไกล
ข้าคิดราคาสามพันตำลึงทอง เจ้าสู้ราคานี้ไหวรึไม่ ? ”
เมื่อฉินหลิงได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย
เพราะที่ดินรอบภูเขาหลายลูกจนกระทั้งติดชายทะเล
เจ้าเมืองผู้นี้กลับคิดราคาเพียงสามพันตำลึงเท่านั้น “ ข้าไม่มีปัญหาหรอกขอรับ
แต่ราคานี้ไม่ต่ำไปสำหรับท่านหรอกรึ ”
“ ฮ่าๆ
ไม่ต้องห่วง ที่ดินผืนนี้ปล่อยทิ้งร้างไว้ตั้งแต่รุ่นพ่อข้าแล้ว
ยังไม่มีคนซื้อไปด้วยซ้ำ สามพันตำลึงทองนี้แหละเหมาะสมแล้ว ”
“ แล้วที่ดินที่เป็นดินทรายก่อนถึงเมืองชินโจว
ท่านคิดราคาเท่าไหร่ขอรับ ”
“ที่ดินผืนนั้น
เจ้าเอาไปใช้ประโยชน์เถอะ ไม่ต้องจ่ายอะไรให้ข้าหรอก
ที่ดินไร้ประโยชน์แบบนั้นเจ้าจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเจ้าเมืองผู้นี้ก็ทำให้ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจังอีกครั้ง
เพราะเจ้าเมืองผู้นี้มีจุดประสงค์ให้เขาใช้ประโยชน์ในที่ดินแห่งนี้อย่างเต็มที่แต่ไม่ยอมขายขาดตัว
คงเป็นเพราะต้องการรู้เป็นแน่ว่าเขาจะเอาที่ดินผืนนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร
ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้เขาได้ประโยชน์คนเดียว อีกฝ่ายก็สามารถอ้างสิทธิในการครอบครองพื้นที่เพื่อมาขอแบ่งรายได้จากเขาได้
ดูท่าแล้วเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้ก็เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ไม่ธรรมดาผู้หนึ่งเช่นกัน
ฉินหลิงปรับท่าทางอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสบายๆและเอ่ยตอบ
“ เช่นนั้นข้าก็ขอรับน้ำใจของท่านไว้แล้วกัน ” เอ่ยจบฉินหลิงหันไปมองผู้เป็นองครักษ์ก่ออนจะพยักหน้ายืนยันบางอย่างให้หมิงฮ่าว
หลังจากได้สัญญาณจากฉินหลิง
หมิงฮ่าวก็นึกถึงคำสั่งก่อนเข้ามาภายในจวนแห่งนี้ ‘หากข้าสังเกตดูแล้วเจ้าเมืองผู้นี้ไม่เป็นที่อันตราย
ข้าต้องการสนทนากับเขาตามลำพัง เมื่อข้าให้สัญญาณเจ้าออกไปรอนอกห้อง’
เมื่อเห็นผู้เป็นองครักษ์ของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเดินออกจากห้อง
หลิวชิงหวินก็หรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังขึ้น พร้อมคิดว่าเรื่องที่จะคุยต่อจากนี้อาจเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เจ้าเด็กตระกูลฉินมาขอพบเขา
“ หลายชายมีเรื่องสำคัญอะไรถึงต้องการคุยกับข้าเพียงลำพังเช่นนี้
? ”
หลิวชิงหวินยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ
“ ข้าไม่ขออ้อมค้อมอะไรอีก
ข้าต้องการความร่วมมือจากท่าน ”
หลิวชิงหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร ”
“ ข้าต้องการกำจัดการค้าทาสออกจากแคว้นแห่งนี้
” ตั้งแต่เริ่มสนทนากันมา ฉินหลิงสังเกตเห็นแล้วว่าเจ้าเมืองผู้นี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เข้าก่อขึ้นในร้านค้าทาสภายในเมืองชินโจวแม้แต่น้อย
ทั้งที่การที่เขาไปเผาร้านค้าทาสนั้นย่อมหมายถึงการประกาศศึกกับขุมอำนาจเบื้องหลังที่ได้ให้สนับสนุนการค้าทาสอย่างแน่นอน
ซึ่งหลิวชิงหวินผู้นี้ก็ไม่ได้ออกมาห้ามหรือเตือนเขาแม้แต่น้อย
เหตุผลที่เขาจะจุดไฟเผาร้านค้าทาสแห่งนั้น
ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการเผาเพื่อตอบรับคำที่เจ้าของร้านร่างอ้วนเคยพูดออกมา แต่เขาต้องการดูทิศทางลมว่าเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้จะมีเจตนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
แต่บทสรุปที่ได้รับทำให้เขาสามารถรับรู้ได้อย่างแน่ชัดอย่างหนึ่งแล้วว่า
หลิวชิงหวินผู้นี้ต้องการแอบปกป้องเขาอย่างลับๆเป็นแน่ ถึงอย่างไรเมื่อมีร้านค้าทาสถูกทำลายลงไป
สิ่งที่ขุมอำนาจเบื้องหลังของร้านค้าทาสพวกนั้นจะตอบโต้อับดับแรกก็ย่อมต้องเป็นผู้เป็นเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนดูแลความเรียบร้อยในเมืองชินโจวเป็นแน่
แต่เจ้าเมืองผู้นี้กลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เขาก่อไว้ให้เขาเป็นกังวลเลยแม้เเต่น้อย ดังนั้นสิ่งที่หลิวชิงหวินผู้นี้ต้องการกระทำคือกันเขาออกห่างจากการปะทะกันระหว่างเขาและเบื้องหลังของร้านค้าทาส
หลังจากได้ยินคำกล่าวฉินหลิง
สีหน้ายิ้มแย้มของผู้เป็นเจ้าเมืองหุบลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น “ เจ้าคิดว่ามีจอมยุทธคอยคุ้มกันแล้วจะสามารถหาเรื่องกับขุมอำนาจเหล่านั้นได้รึ แม้แต่ปู่ของเจ้าที่กองทัพนับล้านยังไม่สามารถกำจัดการค้าทาสออกจากแคว้นแห่งนี้ไปได้เลย
แล้วเด็กน้อยเช่นเจ้าจะไปทำอะไรได้ ”
“ ภูผาสูงยังมีสูงกว่า ยอดฝีมือก็ย่อมมีผู้เหนือกว่า
สิ่งที่ท่านปู่ทำไม่สำเร็จก็ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้ ” ฉินหลิงจ้องสายตาเย็นชาคู่นั้นของหลิวชิงหวินอย่างไม่สะทกสะท้าน
ราวกับเป็นขุนเขาจากสรวงสวรรค์ที่หนักแน่นด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจพังทลายลงได้
เมื่อได้ยินคำโต้กลับของชายหนุ่มเบื้องหน้าก็ทำให้หลิงชิงหวินใจสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะดวงตาคู่นั้นของฉินหลิงทำให้เขารู้ถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับสิ่งที่เขาพูด
เจ้าเมืองชินโจวสูดลมหายใจแน่นก่อนจะปรับท่าทางตนเองเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลฉินและยังเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของสหายข้า
ในชีวิตข้านับถือคนไม่มากเท่าไหร่นัก แต่บิดาของเจ้าคือหนึ่งในนั้น
เขาเป็นขุนพลที่กล้าหาญไม่แพ้ท่านแม่ทัพใหญ่ ต่อสู้เพื่อแคว้นต้าเหยียนจนสิ้นชีพไป
ข้าเองก็ไม่ต้องการให้สายเลือดสุดท้ายของสหายข้าตายจากไปเช่นนี้
ดังนั้นเจ้ายกเลิกเรื่องที่ต้องการทำลายการค้าทาสเถอะ
ส่วนเรื่องที่เจ้าทำลายร้านค้าทาสในเมืองชินโจวก็ปล่อยให้ข้าจัดการเอง ”
ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ ขอบคุณท่านอาหวินที่เป็นห่วง แต่หากท่านคิดว่าข้าจะไปเสี่ยงสู้รบฆ่าฟันกับขุมอำนาจเบื้องหลังพวกนั้นเพื่อพวกทาสที่ข้าไม่รู้จักแล้วละก็ท่านคิดผิดไปไกลโข ข้าเองก็เป็นเพียงคนโลภคนหนึ่งเท่านั้น คงไม่สามารถเสียสละเลือดเนื้อและสิ่งต่างๆเพื่อเพื่อนมนุษย์ได้
”
หลิวชิงหวินรู้สึกตกใจอย่างยิ่งกับคำตอบที่เขาได้รับจากเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง
เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจแล้วว่าฉินหลิงต้องการปลดปล่อยทาสไปเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่
“ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะต้องให้ความร่วมมือกับเจ้า
? ”
หลิวชิงหวินเอ่ยถามลองเชิงเด็กหนุ่มเบื้องหน้า
ฉินหลิงไม่เอ่ยตอบคำถามจากผู้เป็นเจ้าเมืองแต่เปลี่ยนเรื่องคุย
“ ท่านคิดว่าชื่อเสียงของข้าเป็นเช่นไร แตกต่างจากตัวจริงรึไม่ ”
เมื่อหลิวชองหวินได้ยินคำถามของชายหนุ่ม
เขาก็ขมวดคิ้วแน่นพลางนึกถึงคำร่ำลือถึงชื่อเสียงที่เลวร้ายของหลานชายแม่ทัพใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากบุคคลด้านหน้าของเขายิ่งนัก
จากการสนทนากับชายหนุ่มกับทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับคนอายุรุ่นเดียวกัน ไม่ใช่ได้สนทนากับเด็กหนุ่มรุ่นลูก
ฉินหลิงเห็นสีหน้าผิดปกติของผู้เป็นเจ้าเมือง
เขาก็เอ่ยออกมา “ ศัตรูที่ร้ายกาจ ใช้คำปากมากกว่าคมดาบ
”
“ เจ้าหมายความอย่างไร
? ” หลิวชิงหวินเอ่ยถามด้วยความสับสนเพราะเขาในตอนนี้ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการสื่อให้เขาเข้าใจในเรื่องใดกันแน่
“ ท่านคิดว่าชื่อเสียงเลวร้ายที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วส่งผลต่อข้าเยี่ยงไรกัน
ชาวบ้าน ผู้คน แม้แต่ทหารภายในจวนก็พากันหวาดกลัวข้าทั้งสิ้น
ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำความจริงเป็นเช่นไร
ดังนั้นสมมุติหากมีข่าวลือถูกปล่อยออกมาว่ามีการลักพาตัวชาวบ้านไปเป็นทาสมากๆเข้าละ
ท่านคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชาวบ้านที่หวาดกลัวว่าลูกหลานตนเองจะถูกจับไปเป็นทาสเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เมื่อข่าวลือถูกกระจายไปทั่วทั้งแคว้นแล้วเราใส่ความไปอีกเล็กน้อยจนเรื่องราวบานปลาย
จนถึงเวลานั้นข้าเองก็อยากรู้นักว่าขุมอำนาจเบื้องหลังร้านค้าทาสพวกนั้นจะทำเช่นไรต่อไป
”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่ฉินหลิงพูดออกมา
ผู้เป็นเจ้าเมืองถึงกับรู้สึกคอแห้งผากก่อนจะฝืนกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าให้เด็กหนุ่มเบาๆแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เพียงแต่กำลังพิจารณาชายหนุ่มด้านหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ฉินหลิงก็ล้วงเข้าไปภายในอกแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ผู้เป็นเจ้าเมือง “ ถือว่าเป็นของตอบแทน
ที่ข้ามารบกวนท่าน ”
หลิวชิงหวินรับกระดาษที่ม้วนอยู่คลี่ออกมามองก่อนจะเบิกตากว้างแล้วเอ่ยเสียงสั่น
“ นะ..นี้เจ้าไปได้มาเช่นไร ? ”
“ ไม่สำคัญว่าข้าได้มาอย่างไร
ข้าหวังเพียงว่าจะได้รับการดูแลที่ดีจากท่านอีกในอนาคต ”
เจ้าเมืองชิวโจวพยักหน้ายืนยันก่อนจะวางกระดาษที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียน
ซึ่งหากคนในโลกเก่าของฉินหลิงมาเห็นก็นึกได้เลยว่ารูปร่างแบบนี้มันคือรูปเรือสำเภาเป็นแน่
ด้วยความที่ฉินหลิงเคยมีเรือสำเภาจำลองตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานในโลกเก่า
ทำให้เขามองเห็นอยู่ทุกวัน จึงทำให้เขาจดจำรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นเขาจึงเขียนแบบแปลนโดยคราวๆมาเพื่อเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะเอาไว้ต่อรองกับเจ้าเมืองชินโจวผู้นี้
แต่หลังจากสนทนากันไป ทำให้เขาพบว่าอีกฝ่ายเคยเป็นสหายของบิดา
จึงทำให้เขาไม่นำเอาแบบแปลนฉบับนี้มาต่อรองแต่นำมาให้เป็นของขวัญเพื่อมิตรภาพแทน ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างเรือสำเภาได้จริงรึไม่คงทำได้แค่หวังพึ่งช่างต่อเรือของเมืองท่าแห่งนี้ให้มีความสามารถมากพอ
เมื่อเห็นฉินหลิงไม่ได้อยากเอ่ยถึงที่มา
หลิวชิงหวินก็ไม่รบเร้าอะไรเพียงแต่รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาจากชายหนุ่ม
เพราะอย่างไรเมืองท่าชินโจวก็เป็นพื้นที่แห่งเดียวในแคว้นต้าเหยียนที่มีการต่อเรือ
แต่ชายหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรหลานตระกูลฉินที่มีอาณาเขตไม่ได้ติดกับทะเลแม้แต่น้อย แต่เขาสามารถหาแบบแปลนเรือมาได้
แถมเรือที่ฉินหลิงให้มาก็เป็นเรือขนาดใหญ่ที่สามารถทุกคนได้นับร้อย
เรื่องนี้จึงสร้างความฉงนใจแก่เขาอย่างยิ่ง
หลังจากคุยเสร็จ
เจ้าเมืองหลิวเอ่ยชวนฉินหลิงด้วยสีหน้าเป็นกันเอง “ วันนี้ให้ข้าเลี้ยงข้าวหลานชายเถอะ
เดี๋ยวข้าจะแนะนำลูกสาวข้าอิงเอ๋อร์ให้เจ้ารู้จัก ”
ฉินหลิงลุกขึ้นแล้วโค้งให้อีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างสุภาพ
“ เช่นนั้น ข้าขอรบกวนท่านอาหวินแล้ว ”
ความคิดเห็น