คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : เมืองท่าชินโจว
หลังจากอวี้ฟานซือได้พบกับฉินหลิงเมื่อครั้งกลับจากไปดูที่ดินติดชายทะเล
เขาก็ได้สั่งให้บุตรชายรับหน้าที่ดูแลการสร้างสิ่งของตามแบบแปลนที่นายน้อยฉินมอบให้มา
ส่วนตัวเขาก็จัดการงานเอกสารบัญชีอย่างเร่งด่วนเพราะครั้งนี้เขาต้องเดินทางไปพร้อมฉินหลิงอีกคราเพื่อลงทุนการค้าเกลือครั้งใหญ่
ซึ่งในตอนแรกเขาก็กังวลใจไม่น้อยว่าเงินทุนของหอการค้าตะวันฉายจะเพียงพอหรือไม่และเริ่มไม่อยากเสี่ยงกับการค้าเกลือที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงรึไม่
แต่หลังจากได้เห็นปาฏิหาริย์ที่ชายหนุ่มผู้นั้นสร้างขึ้นเขาก็เชื่อสนิทใจเลยว่าการทำให้ทะเลกลายเป็นเกลือนั้นไม่ใช่การกล่าวคำเท็จแน่นอน
ห้าวันผ่านไป
หน้าบ้านหลังใหญ่ทางทิศตะวันตกของเมืองไผ่เขียวที่แขวนไว้ด้วยป้ายไม้สลักอักษรตัวใหญ่ด้วยคำว่า ‘ตระกูลฉิน’ มีรถม้าและเกวียนลากอีกนับสิบที่มีธงรูปดวงตะวันสีแดงจอดอยู่ด้านหน้าประตู
ผ่านไปชั่วครู่
ประตูบานใหญ่เปิดออกมีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา ซึ่งสร้างความสนใจให้แก่เหล่าคนงานและทหารรับจ้างที่เจ้าของหอการค้าตะวันฉายจ้างมาคุ้มกันขบวนการค้าในครานี้ไม่น้อย
ชายหนุ่มร่างผอมที่มีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาซึ่งก็คือฉินหลิงเดินนำออกมา
ตามติดมาด้วยองครักษ์ประจำตัวหมิงฮ่าวที่เดินตามมาอย่างใกล้ชิด
และสตรีทั้งสามที่อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน
เมื่อเดินออกมาภายนอกบ้านหลังใหญ่
ลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้ฉินหลิงรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที
ก่อนจะหันกลับไปมองถานอวี้จี้แล้วเอ่ย “เจ้ามาส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้ว อากาศด้านนอกหนาวยิ่งนักเจ้าเข้าไปผิงไฟในเรือนเถอะ”
ถานอวี้จี้หยิบผ้าพันคอสีส้มที่สวยงามผืนหนึ่งมาโอบรอบคอของชายหนุ่มก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย
“ท่านเดินทางดีๆนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าเป็นเพราะข้า ท่านจึงต้องออกมาลำบากมากมายขนาดนี้
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย”
ฉินหลิงส่ายหัวเบาๆราวกับไม่เชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก่อนจะเข้าไปโอบกอดหญิงสาวแล้วเอ่ยเบาๆที่ใบหู
“เพื่อให้เจ้าได้อยู่สุขสบายถึงจะเหนื่อยลำบากมากกว่านี้ข้าก็ยอม ครั้งนี้ข้าอาจไปเป็นเวลานานเจ้าจงรักษาตัวให้ดี”
เอ่ยเสร็จฉินหลิงก็หันหลังเดินขึ้นรถม้าคันใหญ่ทันทีเพราะเขาไม่อยากเห็นหยดน้ำตาของหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขา
หลังรถม้าเคลื่อนไปจนสิ้นสุดสายตา
ถานอวี้จี้ที่อดกลั้นมานานก็ปล่อยหยดน้ำออกมาพลางเข้าไปกอดผู้เป็นมารดา “นายน้อยฉินเขาต้องลำบากเพราะข้ามากมาย
ท่านแม่ข้ารู้สึกผิดต่อเขายิ่งนัก”
ถานฮูหยินลูบหัวบุตรสาวเบาๆก่อนจะเอ่ย
“เจ้าโชคดีมากแล้วรู้รึไม่
จะมีบุรุษสักกี่คนที่ยอมเสียสละทุกสิ่งเพียงเพื่อสตรีผู้หนึ่งได้ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ผู้ชายสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้
ตระกูลฉินไม่ธรรมดาเลยจริงๆที่สามารถเลี้ยงเด็กเช่นนี้มาได้ ”
หลังจากถานซงอวิ้นได้สังเกตุเห็นว่าที่ลูกเขยพยายามทดลองทำสิ่งแปลกๆภายในเรือนมากมาย
คราแรกเธอเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเธอและเสี่ยวหลู่ก็บังเอิญรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าสบู่เมื่อครั้งพวกเธอได้ไปเดินเล่นภายในเมืองไผ่เขียว
ซึ่งฉินหลิงได้ให้พวกเธอได้ทดลองใช้กันมาก่อนจะเอามาขายหลายวันแล้ว
พวกเธอก็อดนึกไม่ได้เลยว่าสบู่ที่พวกเธอใช้กันจะทำเงินให้ฉินหลิงมากเท่าใดกันนะ
ในคราแรกถานซงอวิ้นก็รู้สึกประทับใจกับความสามารถมหัศจรรย์และกลิ่นหอมของเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสบู่อย่างยิ่ง
เพราะขนาดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ไม่มีสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ จึงทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงกับมีความสามารถมากมายนักรวมไปถึงการที่เด็กหนุ่มจะเดินทางไปเมืองทางเพื่อทำการค้าเกลือ
ซึ่งเธอได้ยินมาจากปากฉินหลิงเองว่าเขาสามารถเปลี่ยนทะเลเป็นเกลือได้ ยิ่งทำให้เธอตกตะลึงเพราะในช่วงเวลาที่เธอยังเป็นผู้ฝึกตนอยู่เธอเองก็ยังไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนคนใดที่สามารถเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นเกลือได้
แล้วเพราะเหตุใดมนุษย์ปุถุชนผู้หนึ่งถึงมีความสามารถมากมายถึงเพียงนี้
ภายในรถม้าคันใหญ่มีบุรุษสองคนนั่งอยู่ด้วยกันซึ่งก็คืออดีตนายน้อยตระกูลฉินและหมิงฮ่าวที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้เป็นนาย
“พี่หมิง
ท่านไปจัดการเรื่องที่ข้าบอกเรียบร้อยรึยัง ?”
“ข้าได้ทำการว่าจ้างทหารรับจ้างฝีมือดีให้ทำการการคุ้มกันโดยรอบบ้านพักของเราแล้วขอรับ”
“แล้วทหารรับจ้างเหล่านั้นเชื่อถือได้รึไม่
?”
ฉินหลิงเอ่ยด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างยิ่งเพราะเขาต้องเดินทางไกลทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่ไม่มีคนคอยอยู่ดูแลภายในเรือนของเขา
จึงใช้ให้องครักษ์หมิงไปหาคนมาคุ้มกันในช่วงเวลาที่เขากำลังเดินทางไปเมืองท่าชินโจว
หมิงฮ่าวหยักหน้ายืนยันให้แก่ผู้เป็นนาย
“ไม่ต้องกังวลขอรับ ทหารรับจ้างเหล่านั้นเป็นมือดีที่เชื่อถือได้
มีครั้งหนึ่งที่ทางจวนเจ้าเมืองได้ส่งข้าออกไปทำภารกิจ ข้าจึงได้มีโอกาสรู้จักและสนิทสนมกับหัวหน้าทหารรับจ้างผู้นั้น
ดังนั้นข้ารับรองได้เลยว่าจะไม่มีอันตรายใดกับนายหญิงน้อยได้แน่นอนขอรับ”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากหมิงฮ่าว
ฉินหลิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเพียงแต่มองออกไปนอกรถม้าที่ไม่มีความหรูหราดั่งเช่นรถม้าตระกูลฉินที่เขาเคยนั่งอยู่เป็นประจำและมีเจ้าบ่าวตัวน้อยลู่ชิงนั่งตะโกนไร้สาระอยู่ด้านหน้า
ผ่านไปสี่วันอย่างรวดเร็ว
การเดินทางของขบวนการค้าก็ใกล้ถึงเมืองท่าชินโจวแล้ว เพียงแต่ยามนี้ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่แทนที่จะเป็นอวี้ฟานซือผู้เป็นเจ้าของกิจการหอการค้าตะวันฉายซึ่งสร้างความงุนงงให้แก่ทหารรับจ้างที่เดินทางมาคุ้มกันไม่น้อย
แต่สำหรับคนงานของหอการค้าต่างก็รับรู้อยู่ภายในใจแล้วว่าเจ้านายตนทำงานให้แก่อดีตนายน้อยตระกูลฉินผู้นี้จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรออกมา
อวี้ฟานซือมองดูนายน้อยฉินที่ยามนี้กำลังเอามือไปเล่นทราย
แลดูอาการดีใจที่ไม่ต่างจากเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ทำให้เขาสับสนนักพลางคิดในใจ ‘บ้านท่านไม่มีทรายให้เล่นรึยังไง
ถึงมาดีใจกับการได้เจอทรายแบบนี้’
เมื่อมองไปโดยรอบก็พบพื้นที่แห้งแล้งแห่งหนึ่งที่มีหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ
แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติเพราะพื้นที่แห่งนี้ก็ไม่ได้ไกลจากชายฝั่งทะเลนัก
ดังนั้นการจะพบดินทรายแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่นายน้อยฉินผู้นี้ต้องผิดปกติเป็นแน่
กับการเห็นทรายขาวแล้วดีอกดีใจมากขนาดนี้
เจ้าของหอการค้าที่เห็นขบวนรถม้าหยุดนานแล้วจึงเดินลงไปหาฉินหลิงพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา
“นายน้อยฉิน
มีอะไรกับพื้นที่แห่งนี้รึขอรับ” อวี้ฟานซือเอ่ยถามอย่างมีมารยาทถึงแม้ภายในใจอยากจะบ่นออกมาว่าการเดินทางครั้งนี้ก็ช้ามากอยู่แล้ว
ทำไมท่านถึงยังมีอารมณ์มาดูดินทรายที่แห้งแล้งแห่งนี้อีก
“ข้าต้องการที่ดินแห่งนี้
โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีทรายขาวพวกนี้” ฉินหลิงเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หันไปดูใบหน้าที่บิดเบี้ยวของอวี้ฟานซือแม้แต่น้อย
“ท่านต้องการที่แห่งนี้ไปทำไมกัน
แม้แต่หญ้ายังโตไม่ได้เลย แล้วเราจะเอาไปปลูกอะไรได้ขอรับ”
ชายอ้วนเอ่ยออกมาอย่างสงสัยเพราะเหตุใดชายหนุ่มถึงได้ให้ความสำคัญกับทรายขาวพวกนี้นัก
แต่ในยุคสมัยนี้การมีที่ดินส่วนมากหากไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่เพื่อสร้างที่พัก ก็เอาไว้สำหรับเพาะปลูกพืชเท่านั้น
ดังนั้นภาษีสำหรับพื้นที่เพาะปลูกที่ต้องจ่ายให้ทางการก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของดิน
ยิ่งดินมีสีดำเข้มภาษีที่ต้องจ่ายก็สูงเพราะถือว่าเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์
แต่ก็มักคุ้มค่ากับผลผลิตที่ได้รับ ดังนั้นแล้วดินทรายที่ไม่สามารถปลูกอะไรได้เลยจึงไม่มีผู้คนให้ความสนใจ
“ข้าได้สินค้าชนิดใหม่อีกแล้วละ”
ฉินหลิงยิ้มออกมาพลางมองออกไปไกล
เมื่อได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่ม
อวี้ฟานซือก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ ครั้งที่แล้วก่อนที่เขาจะออกเดินทางเขาก็ได้ยินแบบนี้ก่อนเดินทางและเมื่อยามกลับมาชายหนุ่มก็สร้างความตกตะลึงให้แก่เขาจนแทบหัวใจวาย
และตอนนี้เขาก็ยังได้ยินกล่าวนี้อีกครั้ง
เสียงสั่นของอวี้ฟานซือเอ่ยขึ้น
“ทะ...ท่านต้องการทำอะไรอีกรึขอรับ ?”
ฉินหลิงหัวเราะเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“ทรายพวกนี้มีชื่อเรียกว่า ทรายแก้ว มันเป็นส่วนผสมหลักสำหรับทำกระจกหรือแก้วไงละ”
หมิงฮ่าวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เผยสีหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม
“กระจกทำจากทองเหลืองมิใช่รึขอรับ
ส่วนแก้วก็ส่วนมากทำจากไม้หรือไม่ก็พวกเครื่องดินเผาที่ตระกูลร่ำรวยเขาใช้กัน
แล้วทรายขาวแบบนี้จะทำกระจกหรือแก้วได้อย่างไรขอรับ ?”
“มันมิได้เรียกว่าทรายขาว
แต่มันคือทรายแก้วต่างหาก ส่วนวิธีการผลิตเอาไว้ทดลองอีกครั้ง
ในที่สุดข้าก็ได้ขวดไว้ใส่น้ำหอมซักที
การเดินทางครั้งนี้ได้ประโยชน์มากกว่าที่คาดแล้ว”
ฉินหลิงเอ่ยพลางเอามือลูบคางไปมาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
หมิงฮ่าวและอวี้ฟานซือต่างก็ไม่เข้าใจในตัวฉินหลิงแม้แต่น้อย
แต่พวกเขาย่อมทราบดีว่านายน้อยผู้นี้ย่อมไม่ได้มีการคิดอ่านเฉกเช่นคนธรรมดา ดังนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงทำตามสิ่งที่ชายหนุ่มสั่งเท่านั้น
“เช่นนั้นหลังจากท่านเดินทางไปถึงเมืองท่าชินโจว
ท่านก็ไปทำเรื่องซื้อที่ดินแห่งนี้ในที่ทำการก็แล้วกัน ข้าว่าที่ดินไร้ประโยชน์เช่นนี้ราคาคงไม่สูงนัก
ไม่แน่เจ้าเมืองอาจจะยกให้ท่านเลยก็ได้ เพราะจะได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น” อวี้ฟานซือเอ่ยแนะนำออกมาเพราะเขาพอเข้าใจได้ว่าเจ้าเมืองชินโจวคงอยากได้เงินเพิ่มไม่น้อยเพียงแต่ที่ดินแห้งแล้งแถมยังไม่ติดชายทะเลจะมีซักกี่คนที่ต้องการที่ดินที่ไร้ประโยชน์แบบนี้
“เอาละ
ช้ามามากแล้ว เราไปกันต่อเถอะ” เอ่ยจบฉินหลิงเดินทางขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว
ปล่อยให้อวี้ฟานซือและหมิงฮ่าวยืนงงอยู่ว่าเหตุใดท่านคิดจะลงก็ลงมาดูอย่างฉับพลันปล่อยให้ขบวนรถม้าหยุดรอแล้วพอจะไปก็ไปอย่างรวดเร็วจนเหล่าคนงานทำตามไม่ทัน
ทำไมอารมณ์ท่านถึงแปรปรวนเร็วนัก
ผ่านไปอีกหนึ่งคืน
ยามเหม่า(05.00 - 06.59 น.)
ขบวนรถม้าก็ได้เดินทางมาถึงเมืองท่าชินโจว เมืองที่ใหญ่มากสุดที่ติดอยู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของแคว้นต้าเหยียน
สายลมอ่อนๆที่แฝงไปด้วยความหนาวเย็นของฤดูเหมันต์และกลิ่นอายความเค็มจากท้องทะเลที่พัดเข้ามาสู่ใบหน้าของผู้คน
ทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่นอย่างหนึ่ง
รถม้าขบวนใหญ่ที่เดินเข้ามาภายในเมืองท่าชินโจว
ซึ่งภายในเมืองแห่งนี้ไม่มีการเก็บค่าเข้าเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ชาวประมงที่ต้องการนำเรือมาขึ้นท่าต้องจ่ายภาษีและนั้นก็เป็นเหตุให้ราคาอาหารทะเลสูงขึ้นเพราะภาษีมักถูกนับไปในตัวอาหารทะเลแล้ว
เมืองท่าชินโจวไม่ได้เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบดั่งเช่นเมืองไผ่เขียวแต่เป็นเมืองที่สร้างไว้สำหรับเป็นท่าเทียบเรือ
ซึ่งก็มีเรือน้อยใหญ่ต่างกัน แต่เรือขนาดใหญ่สุดก็ใหญ่เพียงสามารถจุคนได้ไม่กี่สิบคนเท่านั้น
ในเวลานี้เขาเองก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมแคว้นต่างๆถึงไม่นิยมสงครามทางท้องทะเล
เพราะความสามารถในการต่อเรือของคนในโลกแห่งนี้มีน้อยเกินไป
หลังจากฝากรถม้าและทรัพย์สินต่างๆไว้ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซึ่งเขาได้สั่งให้เหมาเอาไว้เป็นเวลาหนึ่งเดือนก็สร้างความดีอกดีใจให้เถ้าแก่อย่างยิ่ง
เขากับหมิงฮ่าวจึงเดินออกจากโรงเตี๊ยมกันเพียงลำพัง
ปล่อยให้อวี้ฟานซือเป็นคนจัดการเรื่องอื่นๆไป
ผ่านไปไม่นานแสงแดดก็สาดส่องออกมาทำให้อุณหภูมิที่หนาวเย็นของฤดูหนาวอบอุ่นขึ้น
ส่งผลให้ผู้คนออกมาค้าขายกันเต็มท่าเทียบเรือ เพียงชั่วครู่จากท่าเทียบเรือที่เงียบเหงาซึ่งมีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่เดินอยู่ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากเสียงตะโกนของชาวบ้านที่เริ่มทำมาค้าขายกัน
ภาพบรรยากาศการค้าขายชนิดนี้ก็สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้แก่ชายหนุ่มไม่น้อย
เพราะตัวเขาเองก็เคยเป็นพนักงานขายของบริษัทแห่งหนึ่งเช่นกัน แต่เขากลับยังไม่เคยลองไปเดินขายของหรือเปิดร้านขายสินค้าเฉกเช่นเหล่าชาวบ้านในเมืองท่าแห่งนี้เลย
หมิงฮ่าวที่เห็นผู้คนเดินกันพลุงพล่านก็เดินเข้ามาเบื้องหน้าฉินหลิง
“ผู้คนมากมายนัก ข้าว่าเรากลับกันก่อนดีรึไม่”
ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอก ส่วนมากก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เราไปเดินเล่นผ่อนคลายกันเถอะ
อยู่บนรถม้านานๆก็ปวดเมื่อยไม่น้อย ”
เมื่อเห็นผู้เป็นนายไม่เห็นด้วยหมิงฮ่าวก็พยักหน้าด้วยความจนใจพลางมองไปรอบๆด้วยความระวังเพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดการลอบสังหารขึ้นอีก
ความคิดเห็น