ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #4 : คัมภีร์จิตวิญญาณทมิฬ(1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 32.4K
      2.53K
      16 ก.ย. 62


    หอตำรา คฤหาสน์เจ้าเมืองไผ่เขียว


    “ นายน้อยขอรับ ที่นี้คือหอตำราของจวนเจ้าเมือง ท่านแม่ทัพได้ออกรบและรวบรวมตำราต่างๆระหว่างสู้ศึกต่างๆไว้ยังที่แห่งนี้ ส่วนชั้นบนจะเป็นที่เก็บตำราวรยุทธ์โดยปกติจะห้ามไม่ให้ขึ้น เพราะตำรายุทธ์เหล่านี้รวบรวมขึ้นมาได้เพราะเลือดเนื้อทหารกล้าที่ทำศึกกับแคว้นต่างๆ ถ้าต้องการอ่านคัมภีร์ยุทธ์ในชั้นบนของหอตำรา จำต้องมีคะแนนความชอบทางทหารด้วยขอรับ แล้วก็ชั้นบนจะมีผู้เฒ่าเชียวเป็นคนดูแลหอตำรา ถ้านายน้อยต้องการตำราหรือต้องการคำแนะนำอะไรสามารถสอบถามเฒ่าเชียวได้โดยตรงเลยขอรับ ข้าได้ยินมาว่าเฒ่าเชียวเป็นสหายกับท่านแม่ทัพตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ แต่ด้วยโชคร้ายจากการศึกทำให้เสียแขนไปหนึ่งข้างจึงต้องเกษียณจากการเป็นทหาร ต่อมาท่านแม่ทัพจึงรับท่านผู้เฒ่ามาดูแลหอตำราขอรับ ” ลู่ชิงเอ่ยเเนะนำ


    “ อืม..ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะขึ้นไปด้านบน เจ้ารออยู่ที่นี้แหละ ” ฉินหลิงบอกกับบ่าวตัวน้อยก่อนเดินขึ้นบันไดชั้นสอง แล้วจึงได้พบกับอาวุโสผู้หนึ่งที่มีแขนเดียวตามที่ลู่ชิ่งได้กล่าวบอกกับเขาไว้ว่านั้นคือเฒ่าเชียว เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าหาเข้าไปยังด้านหน้าห้องเก็บคำภีร์ยุทธ์


     ฉินหลิงโบกมือคารวะก่อนเอ่ย “ ข้าน้อยฉินหลิง คาราวะผู้อาวุโสเชียวขอรับ ข้าต้องการดูตำราวรยุทธ์ขอรับ รบกวนผู้อาวุโสโปรดแนะนำ” เขาเอ่ยอย่างมีมารยาทต่อเฒ่าเซียวที่กำลังนั่งหลับตาอยู่หน้าห้องตำรา ด้วยความรู้สึกของเขาที่มีต่อเฒ่าเชียวคือให้ความรู้สึกกดดันที่ไม่ธรรมดา สมแล้วที่เป็นสหายร่วมรบกับปู่ของเขา


    “ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ได้ข่าวว่าเจ้ารอดตายแล้วจำอะไรไม่ได้เช่นนั้นรึ  ดูท่าน่าจะจริง เเต่ก่อนไม่เคยเห็นเจ้าเคยเข้ามา ดูท่าแล้วเจ้าคงโตขึ้นแล้วไม่น้อย  เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก ตอนเจ้าตัวยังเล็กข้าเคยอุ้มเจ้าอยู่เลย เอาเถอะคิดได้ก็ดีแล้วต่อไปจะทำอะไรก็คิดให้ดี ปู่เจ้าเหลือเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยวรยุทธ์หลอมกายาขั้นสองของเจ้า ก็สามารถฝึกเพลงกระบี่พื้นฐานของกองทัพได้ หรือจะฝึกวิชากายาทรายเหล็กเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย เจ้าก็เลือกดูก็แล้วกัน อยู่ด้านซ้ายมือ เเละจงจำไว้ให้ดี มีเวลาให้เจ้ายืมสิบวันเท่านั้น เจ้าจะจำได้หรือไม่ก็ต้องนำตารามาคืน มันคือกฎ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นลูกหรือหลานของแม่ทัพหรือไม่ ” เฒ่าเซียวใช้สายตาอันเยือกเย็นสำรวจพลังยุทธ์ของฉินหลิงเพียงหางตา ก่อนที่สายตาคลายความเย็นชาลงแล้วหลับตาต่อ


    “ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านผู้อาวุโส ” ฉินหลิงเอ่ยตอบ


    เฒ่าเชียวโบกมือก่อนเอ่ย “ ไม่ต้องเรียกข้าอาวุโส  เรียกข้าเฒ่าเชียวพอ ”


    หลังจากฉินหลิงเข้าไปในหอตำรา ภายในห้องประกอบไปด้วยตำรารูปแบบต่างๆตั้งเรียงอยู่มากมาย มีทั้งเก่า ใหม่ ปะปนกัน ซึ่งวิชาทั้งหมดในห้องจะเป็นวิชาวรยุทธขอบเขตหลอมรวมกายา ส่วนวิชาขั้นเซียนเทียนนั้นหาได้ยากยิ่ง ถึงขนาดที่ใช่ว่าจะมีเงินล้านตำลึงทองก็หาซื้อได้ เพราะวิชาขอบเขตเซียนเทียนนั้นเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับกำลังภายใน ดังนั้นจึงมีความสำคัญยิ่งยวดกับเหล่านิกายหรือสำนักมากกว่าที่จะนำมาขาย เพราะหากวิชาของนิกายตนถูกอ่านออกจะทำให้เสียเปรียบต่อศัตรูได้ ดังนั้นโดยปกติแล้วคัมภีร์วิชาขอบเขตเซียนเทียนมักจะถูกเก็บซ่อนอยู่กับเหล่าหัวหน้าตระกูลหรือผู้นำนิกาย เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่หายหรือมีใครจะมาขโมยมันไปได้


    ฉินหลิงที่กำลังเดินดูคำภีร์โดยรอบก็สังเกตุเห็นถึงรูปแบบวิชายุทธ์ทั่วไปที่กล่าวถึงการฝึกวิชาลมปราณ ซึ่งเขาทราบจากลู่ชิ่งว่าตัวเขาฝึกฝนวิชาพยัคฆ์สังหารตามปู่ของเขา โดยวิชาลมปราณชนิดนี้สามารถเพิ่มแรงกดดันต่อศัตรูได้เหมาะสำหรับการรับมือคนจำนวนมาก แต่ด้วยความสามารถของเขาจึงทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าได้ ก่อนที่สายตาของฉินหลิงจะเหลือบไปเห็นหินก้อนหนึ่งรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่มุมอับของห้อง ด้วยคัมภีร์ในห้องที่ทำมาจากกระดาษหรือไม่ก็จากรึกไว้ในคำภีร์ไม้ไผ่ จึงทำให้ก้อนหินก้อนหนึ่งมันดูเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน


    “ หืม...นี้มันอะไร ตำราหินงั้นรึ รูปทรงแบบนี้มันซูโดกุ แล้วเหตุใดซูโดกุถึงได้มีอยู่ในโลกนี้ได้ ” ฉินหลิงบ่นพึมพำพลางนึกนึกเกมซูโดกุในสมัยวัยเด็กที่คุณครูมักเอามาให้เล่นกัน แต่แล้วทำไมของจากโลกใบที่เขาจากมาถึงโผล่ได้ในโลกใบนี้ได้


    ฉินหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางก่อนจะเดินกลับไปหน้าห้องเก็บคำภีร์เเละเอ่ยถาม “ เฒ่าเชียว ตำราหินนี้คืออะไรรึขอรับ มันคือตำราวิชายุทธ์ใช่รึไม่ ”


    เฒ่าเชียวลืมตาขึ้นก่อนจะพยายามนึกแล้วเอ่ยกลับ “ หืม..ตำราหินนั้นมันได้มาจากไหนกันน่ะ ข้าเองก็จำไม่ได้ มันมีแต่ตัวอักษรแปลกๆ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน มันอยู่ในหอตำรามานานจนข้าเองก็ลืมมันไปแล้ว ถ้าเจ้าไม่เอามันออกมาข้าก็คงลืมมันไปแล้ว ถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ ” หลังจากเฒ่าเซียวกล่าวจบฉินหลิงก็เก็บตำราหินแล้วนำตำรากระบี่พื้นฐานกลับลงมาด้านล่างของหอตำราที่ซึ่งลู่ชิงกำลังรอเขาอยู่


    เมื่อลู่ชิงเห็นนายน้อยของตนเดินลงมา ก็รีบเดินไปหาก่อนเอ่ยถาม “นายน้อยเลือกตำราได้แล้วรึยัง เเล้วท่านจะกลับไปพักเลยหรือว่าจะไปหาอะไรกินก่อนรึไม่ขอรับ ”


    “ อืม ไปหาอะไรกินก่อนก็แล้วกัน พาข้าไปยังโรงเตี้ยมที่ข้าเคยไปประจำ บางทีข้าอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง ” ฉินหลิงกล่าวอ้างเพื่อต้องการออกไปยังนอกจวนเจ้าเมืองบ้าง เพราะตั้งแต่ตัวเขาเข้ามาอยู่ในร่างนี้ เขายังไม่เคยออกจากจวนเจ้าเมืองไผ่เขียวเลยสักครั้ง เมื่อเห็นลู่ชิงเอ่ยถามเขาเลยถือโอกาสครั้งนี้ไปกินข้าวข้างนอกเพื่อดูสภาพเเวดล้อมของโลกใบนี้


    “ ขอรับนายน้อย เดียวข้าไปเรียกองครักษ์สักครู่นะขอรับ ” ลู่ชิงตอบกลับฉินหลิง ก่อนจะรีบวิ่งไปยังห้องพักของเขา ก่อนจะเดินกลับมาด้วยเหล่าองครักษ์อีกห้านาย “ นายน้อย นี้คือหัวหน้าองครักษ์หมิงน่ะขอรับ หลังจากที่นายน้อยเกือบตายครานั้น ท่านแม่ทัพได้สั่งให้องครักษ์หมิงคอยดูแลท่านน่ะขอรับ”


    “ รบกวนท่านแล้ว องครักษ์หมิง ” ฉินหลิงกล่าวด้วยความสุภาพอย่างมีมารยาทตามแบบชนชั้นสูง ซึ่งต่างจากข่าวลือที่องครักษ์หมิงเคยได้ยินมาว่านายน้อยฉินเป็นอัธพาลน้อยโดยแท้ที่เที่ยวหาเรื่องชาวบ้านตาดำๆและยังเป็นปีศาจราคะที่เห็นหญิงงามเป็นไม่ได้ต้องตะครุบเข้าใส่ทันที


    “ หามิได้ขอรับ ท่านแม่ทัพให้ข้าดูแลความปลอดภัยของนายน้อย ถือว่าเป็นหน้าที่ของข้าเอง ” องค์รักษ์หมิงตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ดั่งเช่นทหารกล้า เพราะตัวเขาเองก็เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นครึ่งก้าวเซียนเทียน


    โรงเตี้ยมแสงจันทร์ โรงเตี้ยมอันดับหนึ่งแห่งเมืองไผ่เขียว


    หลังจากฉินหลิงที่นั่งอยู่ในรถม้าและเหล่าผู้ติดตามมาถึงที่ขี่ม้านำทางมาถึง เถ้าแก่ร้านก็เดินออกมาต้อนรับ


    เฒ่าแก่ร้านแสงจันทร์ยิ้มกว้างออกมาก่อนเอ่ยต้อนรับ “ โอ้...นายน้อยฉินนั้นเอง ท่านหายไปหลายวันเลยน่ะขอรับ ข้าน้อยเป็นห่วงท่านยิ่งนัก ได้ข่าวว่าท่านป่วยหนักข้าน้อยรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง หากท่านเป็นอะไรขึ้นมาร้านข้าน้อยคงอยู่ไม่ได้ ”


    ฉินหลิงถึงกับเบ้ปากกับคำพูดของเถ้าแก่ร้านหน้าด้านผู้นี้ แค่เขาไม่มากินอาหารถึงกับทำให้ร้านอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไผ่เขียวเจ๊งได้ เมื่อฉินหลิงเดินเข้าไปในร้านเถ้าแก่ก็ได้ตะโกนเสียงดังให้เสียวเอ้อไปเตรียมห้องพิเศษให้นายน้อยฉิน


     “ นายน้อยต้องการให้ใครไปรินสุราให้เป็นพิเศษหรือไม่ เดี๋ยวข้าให้คนไปเรียกให้ขอรับ ” เฒ่าแก่ร้านแสงจันทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ยางอาย


    ฉินหลิงรีบตอบก่อนที่เฒ่าแก่จะบ่นพล่ามไปมากกว่านี้ “ ไม่จำเป็น ข้ามาทานอาหารอย่างเดียว จัดมาให้ซัก 3-4 อย่างกับน้ำชาสักกาก็พอ ”


    เฒ่าแก่ร้านแสงจันทร์อ้าปากกว้างมองดูคุณชายน้อยแห่งเมืองไผ่เขียวเดินขึ้นไปยังชั้นบนด้วยแววตาตกตะลึง เพราะด้วยทุกครั้งที่ฉินหลิงมาเขามักจะสักอาหารจานพิเศษไม่ต่ำกว่าสิบ และต้องเรียกสตรีจากหอนางโลมมารินสุราให้ทุกครั้ง หากครั้งไหนไม่ถูกใจก็โดนพังร้านเป็นประจำ โดยเฉพาะเวลาเมาเขาก็ชอบมีเรื่องกันในร้านจนทำให้ภายในร้านพังอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยอำนาจของแม่ทัพฉิน ทำให้เฒ่าแก่ร้านไม่อาจบ่นอะไรได้มาก เพียงแค่ค่าชดเชยที่ได้จากจวนเจ้าเมืองก็พอจะทำให้เถ้าแก่ร้านยิ้มออกเเล้ว เเละถึงขั้นอยากให้นายน้อยพังร้านบ่อยๆด้วยซ้ำ ด้วยที่นายน้อยฉินหายไปเป็นอาทิตย์จึงทำให้ยอดการค้าลดลง แต่ด้วยการที่นายน้อยกลับมาแล้วสั่งอาหารธรรมดากับน้ำชากลับยิ่งทำให้เถ้าแก่ตกตะลึงยิ่งกว่า


    เฒ่าแก่ร้านแสงจันทร์พึมพำคนเดียว ‘เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อยฉินในช่วงที่หายไป’

     

    ห้องพิเศษชั้นบนสุดที่โรงเตี้ยมแสงจันทร์

    .

    ‘ นับว่าหรูหรายิ่งนัก สมแล้วที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองไผ่เขียว’ ฉินหลิงถึงกับตกใจกับการตกแต่งห้องพิเศษของร้านอาหารแสงจันทร์ ชั้นบนสุดของร้านอาหารแห่งนี้สามารถมองเห็นรอบเมืองไผ่เขียวได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีสีเขียวอ่อนลวดลายอ่อนไหว มีต้นไผ่ประดับ และงานศิลปะต่างๆตั้งอยู่ภายในห้อง ทำให้ความรู้สึกสงบ นับว่าร้านเเห่งนี้มีการตกเเต่งที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×