ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #37 : องครักษ์หมิงปรากฏตัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.58K
      1.5K
      26 มิ.ย. 62

    หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป อดีตนายน้อยฉินแห่งเมืองไผ่เขียวที่ยามนี้อยู่ในสภาพซูบผอมและใต้ตาที่ปรากฏรอยคล้ำดำอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาได้พักผ่อนน้อยขนาดไหน เพราะในยามนี้ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่มีสภาพแทบไม่ต่างกับศพเดินได้ แต่ถานอวี้จี้และเสี่ยวหลู่ก็มีสภาพแทบไม่ต่างกัน เพราะด้วยการที่เขาเร่งผลิตสบู่และเริ่มหมักหัวเชื้อสุราทำให้งานที่ต้องทำมีเยอะอย่างยิ่ง จนเขาแทบไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว


    และการที่เขาไม่ใช้คนงานมาเพื่อผลิตสินค้าชนิดใหม่นี้เป็นเพราะเขาต้องการเก็บความลับในขั้นตอนการผลิตซึ่งเขาทำได้เพียงให้สตรีทั้งสองที่เขาไว้ใจได้ช่วยเหลือเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหากมีตระกูลหรือผู้มีอำนาจรู้เกี่ยวกับสินค้าชนิดใหม่นี้เข้าอาจจะสร้างปัญหาให้แก่เขาได้ จึงทำให้เขาต้องทำทุกอย่างให้เสร็จด้วยตนเองและเมื่อทุกอย่างลงตัวเขาจึงค่อยใช้คนงานเพื่อแยกทำงานเป็นส่วนๆเพื่อป้องกันการขโมยสูตรผลิตสินค้าของเขาได้


    “นายน้อย พวกเราเตรียมของขนาดนี้มันไม่มากไปหรือเจ้าคะ” เสียงของเสี่ยวหลู่ที่อ่อนแรงดังออกมาเพื่อถามชายหนุ่ม เพราะเธอเห็นว่าก้อนสีขาวที่พวกเธอได้ตระเตรียมมีปริมาณมากจนล้นห้องเก็บของแล้ว ยังไม่รวมถึงวัตถุดิบที่ยามนี้แม้แต่ห้องรับแขกก็เปลี่ยนเป็นคลังเก็บสินค้าของชายหนุ่มแล้ว


    “ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าพอ รอให้โรงงานด้านข้างสร้างเสร็จเมื่อใด พวกเราก็สามารถให้คนงานมาช่วยได้แล้ว” ฉินหลิงเอ่ยโดยไม่ได้มองอีกฝ่ายเพราะยามนี้เขากำลังจดสูตรส่วนผสมสำคัญสำหรับทำน้ำหอมกลิ่นต่างๆ พลางนึกในใจว่าเขาโลภเกินไปที่จะทำการผลิตสิ้นค้าจำนวนมากโดยที่กำลังคนไม่เพียงพอทำให้เขานึกขึ้นแล้วอยากจะตีตัวเองนักว่าทำไมเวลาเขาต้องคิดจะทำสิ่งต่างๆพร้อมกันหลายชนิดด้วย


    ด้านข้างบ้านหลังใหญ่ที่เขาอาศัยอยู่ ยามนี้ปรากฏโครงบ้านหลังใหญ่ที่มีคนงานกำลังลงมือกันสร้างอย่างเต็มที่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาไปกดดันเจ้าอวี้หยวนให้ใช้คนงานมาสร้างโรงงานที่เขาเขียนแบบแปลนไว้ให้เร็วที่สุด ดังนั้นคนงานของหอการค้าตะวันฉายเกือบครึ่งต้องมาลงมือสร้างโรงงานของเขาและทำให้เจ้าอ้วนโอดครวญไม่น้อย


    “นายน้อยแล้วโรงงานข้างบ้านจะสร้างเสร็จเมื่อใดรึเจ้าคะ” เสียงดังของเสี่ยวหลู่เอ่ยถามขึ้นมา


     “น่าจะภายในสองสามวันนี้แหละ”


    “เช่นนั้น ท่านต้องการจะทำโรงงานทั้งสองหลังเลยหรือเจ้าคะ”


    ในตอนเเรกฉินหลิงเพียงต้องการทำโรงบ่มสุราเท่านั้น เเต่เมื่อเขาคิดถึงรายได้จากสุราที่ไม่มากนักเเละต้องใช้เวลาบ่มค่อนข้างนานทำให้เขาคิดเริ่มทำน้ำหอมขึ้นมาเพื่อขายชนชั้นสูงเพราะว่าเขายังไม่เคยเห็นผู้ใดใช้น้ำหอมมากก่อน มีเพียงเเต่ใช้กลีบดอกไม้ผสมน้ำยามเมื่ออาบน้ำเท่านั้นซึ่งส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้มีเงินทอง ดังนั้นน้ำหอมของเขาน่าจะเป็นสินค้าที่ขายดีสำหรับสตรีชนชั้นสูง


    “ใช่แล้วละ โรงงานหลังแรกข้าจะผลิตโรงบ่มสุรา และอีกโรงงานจะเป็นโรงงานที่เอาผลิตน้ำหอมนะ”

     

    “นายน้อยท่านไปเอาความรู้ทำสิ่งของพวกนี้มาจากไหนเจ้าคะ” เสี่ยวหลู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะสิ่งต่างๆที่ชายหนุ่มทำขึ้นต่างก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนและทำไมเขาถึงคิดจะทำอะไรเช่นนี้ได้จึงอดทำให้หญิงสาวสงสัยอย่างช่วยไม่ได้

     

    ฉินหลิงเงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “เพราะข้าแตกต่างจากผู้อื่นไงละ”

     

    เมื่อเห็นรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของชายหนุ่มเบื้องหน้าก็ทำให้เสี่ยวหลู่หน้าแดงและก้มหน้ารีบวิ่งออกไปทันที จึงทำให้ฉินหลิงปรากฏสีหน้างงงวยทันทีกับท่าทางของหญิงสาว

     

    เสียงหัวเราะเบาๆที่ฟังดูไพเราะราวกับเพลงจากสวรรค์ดังขึ้นพร้อมเอ่ย “ท่านไปยิ้มแบบนั้นใส่พี่เสี่ยวหลู่ นางก็เขินสิเจ้าคะ มิใช่ว่าท่านคิดอะไรกับพี่สาวคนนี้ของข้าหรอกนะ”

     

    ฉินหลิงที่ยามนี้ไม่รู้เลยว่าท่าทางของตนราวกับเป็นชายเจ้าชู้ที่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์และประกอบกับหน้าตาที่ดุดันตามแบบฉบับคนตระกูลฉิน ดังนั้นหากจะบอกว่าเขาดูค่อนข้างหล่อเหลาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ หากตัวเขาไม่มีข่าวลือเสียหายว่าเป็นจอมราคะก็คงมีคุณหนูจากตระกูลต่างๆต้องการเข้ามาสานสัมพันธ์ไม่น้อยเป็นแน่ แต่ที่ตระกูลต่างๆปฏิเสธที่จะเข้ามาสร้างสัมพันธ์ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อเสียงที่เลวร้ายเเต่ยังกลัวว่าบุตรหลานของตนจะมาเป็นเพียงของเล่นให้นายน้อยผู้นี้เท่านั้นเเละไม่สามารถหาประโยชน์อะไรได้กลับคืนมาจึงทำให้ได้ไม่คุ้มเสียกับการยกบุตรหลานให้ทายาทตระกูลฉินผู้นี้


    แต่ก็ถือว่าโชคดีไม่น้อยหากเขาต้องมาปวดหัวกับหญิงสาวมากมายสู้ให้เขาใช้เวลากับถานอวี้จี้คนเดียวไม่ดีกว่ารึ ไม่เพียงจะงดงามและยังเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกสงบใจเมื่อได้อยู่กับนาง

     

    เสียงหัวเราะแห้งๆของชายหนุ่มดังออกมา “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป เพียงแต่รอยยิ้มข้ามันแปลกขนาดนั้นเลยรึ ?

     

    เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่มก็อดทำให้หญิงสาวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้  “ต่อไปข้าคงต้องคอยกันหญิงสาวที่จะมาตามติดท่านเป็นแน่  ตอนนี้พวกเธอเหล่านั้นยังไม่รับรู้ความเป็นเลิศของท่าน ยามใดเมื่อสินค้าเหล่านั้นออกสู่ตลาด คงไม่พ้นเป็นที่รับรู้และเมื่อรู้ว่าท่านเป็นเจ้าของคงมีตระกูลต่างๆส่งหญิงสาวมาให้ท่านเลือกมากมายนัก”

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อยกับคำพูดปะชดของหญิงสาวที่กล่าวออกมา “เจ้ากลัวข้าจะไปหลงสตรีอื่นเช่นนั้นรึ ?

     

    ถานอวี้จี้พ่นลมหายใจออกมา “หึ... ใครจะไปรู้ได้ละใช่ว่าท่านจะมีประวัติดีซะที่ไหน ขนาดข้า...”

     

    แค๊กๆ

     

    เสียงไอของฉินหลิงดังขึ้นขัดนางทันทีก่อนที่นางจะบ่นไปไกล “ข้าจะรีบหาเงินแล้วคืนตระกูลฉินให้เร็วที่สุด  จากนั้นก็ตบแต่งกับเจ้า เช่นนี้ดีรึไม่”

     

    เมื่อฉินหลิงพูดถึงเรื่องแต่งงานหญิงสาวก็พยักหน้าอย่างเขินอายก่อนจะยิ้มอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ ท่านก็พักผ่อนบ้างเถิด ข้าเห็นท่านนอนไม่กี่ชั่วยามเองโหมงานหนักเช่นนี้ไม่ดีเลยเดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้”

     

    ฉินหลิงพยักหน้าในแววตาปรากฏความซาบซึ้ง “ไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นถึงผู้ฝึกวรยุทธ ดังนั้นการพักผ่อนไม่กี่ชั่วยามก็เพียงพอแล้ว”

     

    ถานอวี้จี้หัวเราะเบาๆก่อนเอ่ย “ท่านควรดูใบหน้าท่านด้วยก่อนเอ่ยออกมานะ  ข้าว่าท่านจัดการงานนี้เสร็จแล้วควรจะไปพักผ่อนได้แล้วเจ้าคะ”

     

    ผ่านไปชั่วครู่หลังจากถานอวี้จี้เดินออกไป เสี่ยวหลู่วิ่งมาด้วยท่าทีกระวนกะวายก่อนจะหอบหายใจแล้วชี้ออกไปนอกประตูใหญ่ด้วยท่าทางตื่นกลัว

     

     แววตาของฉินหลิงปรากฏความสงสัยขึ้น “ทำไมเจ้าถึงต้องเร่งรีบเช่นนี้ มีอะไรเช่นนั้นรึ 

     

     เสียงติดขัดของเสี่ยวหลู่ดังขึ้น “มะ...มีทหารที่เคยอยู่กับท่านมาหา  เขาจะพาท่านกลับไปรึไม่เจ้าคะ ?”

     

    ใบหน้าของฉินหลิงปรากฏความเคร่งเครียดอย่างชัดเจนเมื่อเสี่ยวหลู่เอ่ยจบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าท่านปู่ต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่เวลาตอนที่เขาออกจากจวนมาก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร แต่ทำไมยามนี้ถึงต้องตามตัวเขากลับไปหรือมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลฉิน

     

    “ไม่มีอะไรต้องกังวล พวกเขาเป็นคนของปู่ข้ายังไงก็ไม่ได้มาร้าย เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจำไว้เจ้ารีบพาอวี้จี้และมารดาหลบหนีไป”  ฉินหลิงที่คิดไปไกลถึงว่าท่านปู่เขาคงไม่ต้องการให้เขาแต่งงานกับหญิงชาวบ้านและอาจใช้ถานอวี้จี้มาข่มขู่เขาก็เป็นได้ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากก่อนจะกำหมัดแน่นก่อนจะเดินไปลานหน้าบ้าน

     

    เมื่อฉินหลิงปรากฏขึ้นเขาก็พบอดีตหัวหน้าองครักษ์ประจำตัวที่ยามนี้ยืนนิ่งหน้าประตูบ้านก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรผู้เป็นองครักษ์ก็คุกเข่าข้างหนึ่งและคารวะเขาด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าน้อยหมิงฮ่าว ต่อจากนี้จะมาคุ้มครองนายน้อยฉินขอรับ”

     

    ฉินหลิงแสดงสีหน้าสับสนเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ยามนี้ข้าไม่ใช่นายน้อยฉินแห่งเมืองไผ่เขียว เจ้าไม่ต้องมาดูแลอะไรข้าอีกแล้ว ดังนั้นเจ้ากลับไปเถอะ” เอ่ยจบฉินหลิงก็หันหลังเตรียมเดินกลับไปเข้าบ้านและรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่ทางจวนเจ้าเมืองไม่ได้ส่งคนมาจับตัวเขากลับไป แต่เมื่อเขาหันกลับและต้องการเดินเข้าไปในบ้านกับปรากฏร่างของหมิงฮ่าวผู้ที่เคยเป็นองครักษ์ของเขาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันตั้งตัวดักอยู่ด้านหน้าทันที

     

    ฉินหลิงมองไปยังบุรุษด้านหน้าก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้าบอกแล้วไงตอนนี้ข้าไม่ใช่นายน้อยฉินอะไรนั้นอีกแล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาดูแลความปลอดภัยของข้าอีก”

     

    องครักษ์หมิงส่ายหัวเบาๆก่อนเอ่ย “ข้าทราบแล้วว่าท่านออกจากตระกูลฉินแล้ว”

     

    “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วก็กลับไปได้แล้ว”

     

    “ขออภัยด้วย ข้ามาคุ้มครองด้วยความต้องการของข้าเอง ไม่เกี่ยวข้องกับทางจวนเจ้าเมืองแต่อย่างใดและข้าลาออกจากการเป็นองครักษ์ตระกูลฉินแล้ว ดังนั้นตอนนี้ข้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตระกูลท่านแม่ทัพอีก”

     

    ฉินหลิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ทำอะไรโง่เช่นนี้ และมีความหมายอะไรแอบแฝงอยู่รึไม่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าถึงต้องการมาคุ้มครองข้ากัน ?

     

    หมิงฮ่าวก้มศีรษะให้อีกฝ่าย “ข้าได้สาบานตนไว้แล้วว่าชีวิตนี้ของข้า จะมีไว้เพื่อปกป้องท่าน ดังที่ท่านเคยเมตตาต่อข้าในอดีต ข้าไม่สนใจชื่อเสียงหรือฐานะของท่าน ขอท่านได้โปรดอย่าขับไล่ข้าอีก ในฐานะองครักษ์หากข้าล้มเหลวในการดูแลผู้เป็นนายอีก ข้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เป็นแน่ ดังนั้นให้ข้าติดตาท่านเถอะขอรับ”

     

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับคำพูดขององครักษ์เบื้องหน้าและแสดงท่าทางไม่เข้าใจออกมา เพราะเขาในตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมองครักษ์ผู้นี้ถึงกับทิ้งตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่เพื่อมาติดตามเขาที่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย และทำไมถึงต้องสาบานว่าต้องคอยปกป้องชีวิตเขาด้วยซึ่งนี้เป็นจุดสำคัญที่เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

     

    “บอกมาก่อนเถอะ ทำไมท่านถึงกับต้องสาบานตนเพื่อปกป้องข้าด้วย”

     

    องครักษ์หมิงกำหมัดแน่นและเอ่ยออกมา “ในครานั้นที่นายน้อยไม่ได้ตัดสินใจลงโทษข้าด้วยความตายและยึดเอาเพียงกระบี่ที่เป็นศักดิ์ศรีของพวกเราเหล่าองครักษ์ไป ดังนั้นข้าจึงได้ปฏิญาณตนไปว่าข้าจะใช้ชีวิตของข้าเพื่อปกป้องดูแลท่าน และรับกระบี่ที่ท่านยึดไปกลับคืนมาด้วยความภาคภูมิใจให้ได้”

     

    ฉินหลิงอ้าปากค้างกับเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะพอสรุปได้ในใจว่า เมื่อยามที่เขาได้รับบาดเจ็บจากการลอบสังหารโดยไม่มีองครักษ์หมิงคอยอยู่คุ้มกันจึงน่าจะเป็นการที่ละเลยปฏิบัติตามหน้าที่ซึ่งมีโทษถึงตายและยามที่หมิงฮ่าวยื่นกระบี่ให้เขาเมื่อตอนออกจากหมู่บ้านโคเขียวไม่ใช่เพื่อให้เขาใช้ป้องกันตัวแต่ไว้ใช้สำเร็จโทษองครักษ์ที่ไม่สามารถคุ้มกันผู้เป็นนนายได้และถึงเขาจะรู้เกี่ยวกับบทลงโทษเขาก็ไม่มีทางสังหารผู้ที่เป็นองครักษ์ของเขาได้อยู่ดี

     

    เมื่อเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดเขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อยที่ได้องครักษ์ผู้หนึ่งมาโดยไม่รู้ตัวและยังเป็นองครักษ์ที่ได้สาบานตนว่าจะคอยคุ้มครองดูแลเขาอีก

     

    ฉินหลิงพยักหน้าตอบรับบุรุษด้านหน้า “เอาละเช่นนั้นต่อจากนี้ก็รบกวนท่านด้วยแล้วกัน องครักษ์หมิง”

     

    องครักษ์เบื้องหน้ายิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ย “เช่นกันขอรับนายท่าน”

     

    ทั้งสองจ้องหน้ากันก่อนหัวเราะออกมาเสียงดังและฉินหลิงจึงเอ่ยขึ้นมา “จากนี้ไปข้าจะเรียกท่านว่าพี่หมิง และข้าไม่ได้เป็นนายน้อยฉินอีกแล้วแต่เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น ดังนั้นหวังว่าท่านจะทนลำบากกับข้าได้นะ”

     

    ผู้เป็นองครักษ์พยักหน้าเบาๆ “ไม่ต้องกังวลขอรับ ในชีวิตข้าอาจจะมีสิ่งที่กลัวอยู่ไม่น้อยแต่ความยากลำบากไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่”

     

    ฉินหลิงยิ้มด้วยความพอใจ “เช่นนั้นให้ข้าเลี้ยงสุราต้อนรับท่านเถอะ ถึงตอนนี้ข้าจะไม่ได้มีเงินทองมากมายแต่เพื่อฉลองแด่ท่าน ต้องให้ท่านได้ลิ้มรสสุรากุ๊ยฮวาของอวี้จี้หน่อยแล้ว”

     

    หมิงฮ่าวหัวเราะเสียงดัง “ฮาๆ ดียิ่งนัก เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นงานฉลองที่ข้าเลื่อนขั้นพลังยุทธทีเดียวเลยเเล้วกัน”

     

    เมื่อองครักษ์หมิงกล่าวจบก็ทำให้ฉินหลิงหันไปมองอีกฝ่ายทันทีราวกับเห็นปีศาจ เพราะชายหนุ่มเบื้องหน้าดูหน้าตาราวกับมีอายุเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้นหากที่เขาบอกว่าเขาเลื่อนวรยุทธได้ เช่นนั้นหมายความว่าตอนนี้เขามีพลังยุทธอยู่ในขั้นเซียนเทียนเเล้วและถือเป็นจอมยุทธผู้หนึ่งแล้ว และโดยทั่วไปจอมยุทธมักเป็นที่นับหน้าถือตา แม้แต่พบฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญของโลกใบนี้ที่ถือความแข็งแกร่งเป็นที่ตั้ง แต่ในยามนี้เขากลับมีองครักษ์ที่ซื่อสัตย์เป็นถึงจอมยุทธจะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร และเมื่อเขานึกถึงยามที่หมิงฮ่าวสามารถปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้เมื่อครู่ก็ทำให้เขาอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ หากมีผู้ฝึกยุทธระดับจอมยุทธต้องการลงมือสังหารเขา เขาทำได้เพียงยืนรอรับมีดได้เท่านั้น

     

     จากที่เขารู้มาจอมยุทธคือผู้ที่ก้าวผ่านคอขวดของขั้นหลอมกายามามาได้และมีเพียงคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะก้าวผ่านมาได้ ซึ่งองครักษ์หมิงผู้นี้ก้าวผ่านคอขวดที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น หากมีคนทราบคงต้องเป็นที่ตกใจของทั้งแคว้นเป็นแน่เพราะขนาดเหล่าผู้ฝึกยุทธวัยเยาว์จากตระกูลสูงศักดิ์หรือสำนักที่มีศิษย์อัจฉริยะมากมายก็คงแทบจะไม่มีที่จะหาผู้ที่ก้าวผ่านขั้นจอมยุทธทั้งที่อายุยังน้อยเช่นนี้ และถึงขั้นเคยมีเด็กอัจฉริยะที่สามารถก้าวถึงขั้นหลอมกายาขั้นสิบหรือครึ่งก้าวเซียนเทียนตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหกแต่กลับติดคอขวดจนไม่อาจก้าวข้าวไปขั้นเซียนเทียนได้เลยทีเดียวซึ่งนี้บอกถึงความยากลำบากในการก้าวมาถึงขั้นเซียนเทียนได้อย่างดี

     

    ฉินหลิงหัวเราะแห้งๆให้กับผู้ติดตามของตนก่อนจะเชิญอีกฝ่ายมาร่ำสุราด้วยความสุภาพขึ้นเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงจอมยุทธแล้ว

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×