ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #305 : ความน่ากลัวของพี่สาวหยาง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.2K
      468
      15 พ.ค. 63

     
    ผ่านไปราวสองก้านธูป ฉินหลิงที่กำลังนั่งฟื้นพลังวิญญาณก็เปิดตาขึ้นพร้อมกับพลังที่เต็มเปี่ยม
     
    นี่คือหนึ่งในความพิเศษของโลกลี้ลับแห่งนี้ ด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นจนไม่อาจเอาทวีปหนานหวู่ไปเทียบได้เลย ทำให้ระยะเวลาที่ฉินหลิงใช้ในการฟื้นคืนพลังหดสั้นลงเป็นอย่างมาก
     
    เพียงแค่พลังวิญญาณที่มากมายราวกับมหาสมุทรเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้ฝึกตนทวีปหนานหวู่บ้าคลั่งได้แล้ว
     
    หลังจากบ่มเพาะเสร็จ ฉินหลิงก็ลุกขึ้นและยกมือคารวะไปทางสตรีที่กำลังเอนร่างอยู่บนต้นไม้
     
    “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยคุ้มครอง”
     
    นางโบกมือเบาๆก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องใส่ใจ ข้าแซ่หยาง เรียกข้าว่าพี่สาวหยางก็พอ”
     
    “แต่ว่าผู้อาวุโส...”
     
    ก่อนที่ฉินหลิงจะเอ่ยจบ แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวพลันกดทับมายังร่างของเขาจนทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
     
    “พี่ - สาว - หยาง !!” สตรีแซ่หยางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกราวกับว่าไม่ต้องการคำปฏิเสธใดๆจากชายหนุ่มตรงหน้า
     
    “ขอรับ พะ..พี่สาวหยาง” ฉินหลิงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมา ใครจะคิดว่าผู้อาวุโสตรงหน้าจะมีนิสัยประหลาดชอบให้คนรุ่นเยาว์เรียกขานตนเองว่าเป็นพี่สาว แน่นอนว่านอกจากทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ เขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก หากไปทำให้นางไม่พอเข้า เพียงแค่สะบัดนิ้วเบาก็เพียงพอจะฆ่าเขาได้แล้ว
     
    “ดีมาก..” พี่สาวหยางผู้ลึกลับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตอนที่ข้ามาถึง ข้าเห็นเจ้าฟันไปยังต้นไม้เหล่านี้ เจ้าทำไปเพื่ออะไรรึ?”
     
    “ข้าเพียงต้องการทดลองบางอย่าง..” ฉินหลิงเหลือบมองไปยังผู้อาวุโสที่ให้เขาเรียกขานว่าพี่สาวหยางเล็กน้อย แต่สายตาของเขาแท้จริงแล้วกำลังจดจ้องไปยังผ้าคลุมสีดำที่ใช้ปกปิดใบหน้าด้วยความสงสัย
     
    เมื่อเห็นสายตาที่จดจ้องมาทางผ้าคลุมใบหน้าของนาง พี่สาวหยางหัวเราะออกมาก่อนจะลูบผ้าคลุมหน้าสีดำของนางเบาๆ “เจ้าสงสัยใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนี้รึ?”
     
    ฉินหลิงพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว โดยปกติแล้วเหล่าผู้ฝึกตนไม่ได้มีธรรมเนียมในการใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้า ต่อให้เป็นสตรีที่ไม่ได้แต่งงานแล้วก็ตาม ซึ่งการใช้ผ้าคลุมหน้าเช่นนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เหล่าหญิงสาวชั้นสูงในโลกปุถุชนใช้กันมากกว่า ดังนั้นเขาจึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
     
    “ข้าเองก็อยากเปิดเผยโฉมหน้าตัวเองเหมือนกัน แต่ข้าเกรงว่าหากเจ้าได้เห็นใบหน้าของข้าเข้า เจ้าจะเอาใจไม่ไหวและเข้ามาตระครุบเราเสียมากกว่า” น้ำเสียงยั่วยวนชวนเสน่ห์ของสตรีแซ่หยางทำให้ลมหายใจฉินหลิงปั่นป่วน
     
    เพียงแค่น้ำเสียงอ่อนหวานของสตรีตรงหน้าก็ทำให้ฉินหลิงแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาต้องการเข้าไปกดร่างพี่สาวหยางตรงหน้าให้ล้มลงและนำนางมาเป็นของเขา ฉินหลิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายร่างเป็นหมาป่าชั่วร้ายที่หื่นกระหาย
     
    อย่างไรก็ตามเสี้ยววินาทีก่อนที่ฉินหลิงจะขาดสติ เขากระตุ้นพลังจิตในร่างเพื่อยับยั้งความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
     
    คาดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่น้ำเสียงยั่วยวนจะทำให้ฉินหลิงควบคุมตัวเองไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือสามัญสำนึกของเขาไปไกล
     
    ฉินหลิงที่กลับมามีสติได้เพราะคลื่นพลังจิตรีบกระโดดถอยหลังห่างจากสตรีชุดดำผู้ลึกลับทันที ไม่ต้องคาดเดาเลย อาการแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นย่อมเป็นเพราะนางอย่างแน่นอน
     
    แววตาของฉินหลิงที่มองไปยังสตรีตรงหน้าเผยความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด หากเมื่อครู่เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่และคิดล่วงเกินนางเข้าล่ะก็... เกรงว่าตอนนี้เขาคงได้กลายเป็นร่างนิ่งเย็นเฉียบไร้ซึ่งวิญญาณไปแล้ว
     
    หากว่าการที่ฉินหลิงแตกตื่นมากอยู่แล้ว สตรีแซ่หยางก็เผยความตกตะลึงมาไม่น้อยกว่าฉินหลิง แม้แต่นางเองก็ยังแทบไม่เชื่อว่าชายหนุ่มรุ่นเยาว์ตรงหน้าจะสามารถทานทนต่อน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยถ้อยคำยั่วยวนของนางได้
     
    ไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ที่นางกล่าวกับฉินหลิงเป็นเพียงเรื่องสนุกล้อเล่นและที่ไม่ได้จริงจัง นางเพียงต้องการละเล่นกับชายหนุ่มที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดอย่างฉินหลิง
     
    ทว่าด้วยการที่เขาสามารถหยุดยั้งตัวเองจากห้วงอารมณ์เสน่หาได้ ทำให้นางตกตะลึงอย่างแท้จริง ตอนนี้นางไม่ได้ประเมินฉินหลิงต่ำเหมือนเดิมอีกต่อไป
     
    “ขอผู้อาวุโสโปรดอภัย ได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยที่ล่วงเกินด้วย” ฉินหลิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร เพียงแค่ถ้อยคำวาจาไม่กี่คำกลับทำให้เขาศิโรราบแทบเท้านาง ฉินหลิงเกิดความหวาดกลัวจับใจ หากเข้าเห็นใบหน้าของนางเข้าจริงๆ เขามิหลงใหลจนควบคุมตัวเองไม่ได้เลนรึ? เพียงแค่คิดเรื่องนี้ ขนทั่วร่างของชายหนุ่มลุกชี้ชันไม่อาจระงับ
     
    สตรีแซ่หยางเหมือนได้สติขึ้นมาจากคำพูดของฉินหลิง นางมองไปทางฉินหลิงด้วยความสนใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่สนใจในตัวเขาที่ใช้อาวุธประหลาดอย่างกระบี่และมียันต์มากมายในการครอบครอง แต่หลังจากชายหนุ่มตรงหน้าสามารถทนต่อวาจาของนางได้ ทำให้นางรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมิธรรมดาดั่งตาเห็น
     
    “ฮิฮิ  ล่วงเกินอะไรกัน ข้าไม่ได้โกรธเคืองเจ้าเสียหน่อย ว่าแต่เมื่อครู่เราถามว่าทำไมเจ้าถึงฟันไปยังต้นไม้เหล่านั้นล่ะ” พี่สาวหยางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ ถึงแม้ว่าจะฟังดูน่าลุ่มหลงแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฉินหลิงจนแทบควบคุมร่างกายเหมือนเมื่อครู่อีก
     
    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาพูดถึงเรื่องก่อนหน้า ฉินหลิงจึงถอนหายใจออกมาและเอ่ยตอบ
     
    “ท่านคงทราบดีว่าพลังของข้าในยามที่ใช้กระบี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นแก่นทองคำนัก แต่พลังของข้าก็ยังคงไม่อาจทำลายต้นไม้ธรรมดาต้นหนึ่งได้เลย และเมื่อได้มองเปลือกไม้อย่างใกล้ชิดข้าจึงพบว่ารูปร่างมันดูคล้ายคลึงกับอักขระมาก ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามันคืออักขระชนิดไหนแต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าลายเปลือกไม้เหล่านั้นเป็นอักขระอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าต้นไม้จำนวนมากเหล่านี้กำลังบ่มเพาะอยู่” ฉินหลิงตอบออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทว่าเขายังคงก้มหน้าลงไม่กล้าเงยหน้าไปมองสตรีตรงหน้าอีกแล้ว
     
    “โอ้! เจ้ารู้เกี่ยวกับอักขระด้วยรึ? ช่างทำให้พี่สาวคนนี้แปลกใจเสียจริง” ต้องรู้ว่านอกจากผู้ฝึกตนสายอักขระวิถีแล้วก็แทบไม่มีใครที่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับลวดลายอักขระแปลกประหลาดได้เลย หากผู้ฝึกตนทั่วไปคงไม่มีใครใช้เวลาไปกับการสงสัยลายของเปลือกไม้เฉกเช่นฉินหลิง ต่อให้พวกเขาสังเกตเห็น พวกเขาก็คิดว่าต้นไม้เหล่านี้เป็นเพียงต้นไม้ในโลกลี้ลับที่แข็งแรงยากจะโค่นล้ม
     
    “ขอรับ ผู้น้อยเป็นผู้จารึกอักขระ” เนื่องจากเขาได้ใช้ยันต์ไปจำนวนมากเพื่อโจมตีพี่สาวหยางผู้นี้ไปแล้ว แถมเขายังเอ่ยถึงลวดลายเปลือกไม้ที่คล้ายคลึงอักขระ ดังนั้นฐานะของผู้จารึกอักขระจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะคาดเดาได้
     
    “เคยได้ยินว่าผู้ฝึกตนสายอักขระมีจิตใจเข้มแข็งไม่ธรรมดา สมดั่งคำร่ำลือ” สตรีแซ่หยางพยักหน้าเบาๆ “ไม่แปลกที่เจ้ากล้าเข้ามาโลกลี้ลับทั้งที่มีพลังบำเพ็ญตนเพียงเท่านี้ ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมไพ่ตายมาไม่น้อยสินะ”
     
    ฉินหลิงที่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาอีกฝ่ายได้แต่แอบกรอกตาไปทางนาง ไพ่ตายที่เขาเตรียมมาจะนับเป็นอันใดได้เมื่อมาเจอกับท่านเล่า เพียงแค่นิ้วมือก็พอจะหยุดปราณกระบี่ แถมยันต์จำนวนมากยังถูกใช้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ เมื่อนึกถึงยันต์ที่หายไปถึงหนึ่งในสามทำให้ฉินหลิงเจ็บแปลบที่หัวใจ
     
    “เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางกันเถอะ” สตรีแซ่หยางเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับเตรียมเดินทางต่อ
     
    “ผู้อา.. พี่สาวหยางช้าก่อน”
     
    “หือ!.. มีอะไรรึ?”
     
    “ท่านไม่คิดว่ามันแปลกรึ? พวกเรามาถึงโลกลี้ลับครึ่งค่อนวันไปแล้ว แต่ที่แห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม ไม่มืดหรือสว่างไปกว่าเดิมเลย”
     
    ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมหรี่ลง หากไม่ใช่เพราะฉินหลิงเอ่ยขึ้นมา กว่านางจะรู้ตัวคงผ่านไปหลายวัน ในขณะที่ทุกคนกำลังมัวยุ่งแต่กับการหาสมบัติวิเศษล้ำค่า แต่ชายหนุ่มตรงหน้านางกับสามารถสังเกตสิ่งต่างด้วยความละเอียดรอบคอบ แม้แต่นางยังเทียบเด็กหนุ่มผู้มีแซ่ฉินไม่ได้
     
    “สิ่งที่เจ้าพูดมาก็ถูกต้อง แล้วเจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร”
     
    “ตอนแรกข้าคิดว่าจะปีนขึ้นไปดูข้างบน แต่ในเมื่อมีท่านผู้อาวุโสอยู่ ข้าคิดว่าท่านบินขึ้นไปบนต้นไม้น่าจะง่ายกว่า” ฉินหลิงเอ่ยแนะนำออกมา ด้วยความสูงของต้นไม้ หากว่าต้องการจะปีนขึ้นไปจนบนยอดก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่ในเมื่อมีผู้อาวุโสที่เก่งกาจอยู่ด้วย มิสู้บินไปทีเดียวจะดีกว่ารึ!
     
    พี่สาวหยางที่ลึกลับก็ไปปรากฏด้านหลังฉินหลิงและใช้มือที่เรียวยาวของนางคว้าไปที่ไหล่ของเขา
     
    “เอ๋!” เสียงของพี่สาวดังขึ้นด้านหลังของฉินหลิง
     
    “มีอะไรรึ?” ฉินหลิงที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายคว้าเอาไว้จึงหันกลับไปถามอย่างสงสัย
     
    “ข้าบินไม่ได้!!!” น้ำของพี่สาวหยางในตอนนี้ดูเหมือนจะเขินอายอยู่เล็กน้อย แม้แต่นางยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมนางถึงไม่สามารถควบคุมพลังวิญญาณรอบร่างเพื่อเหาะเหินขึ้นบนอากาศได้เหมือนอย่างทุกที สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นางรู้สึกงุนงงไม่น้อย
     
    “เอ่อ.. นี่คือมุขตลกที่ท่านล้อข้าเล่นรึ?” ฉินหลิงเอ่ยถามออกมาท่าทางสับสน ด้วยนิสัยแปลกประหลาดของนางทำให้เขาไม่แน่ใจว่าสตรีผู้นี้ต้องการเล่นตลกอะไรกับเขาอีกรึเปล่า
     
    “เจ้าคิดว่าพี่สาวหยางผู้นี้เป็นคนตลกนักรึไง!” น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจปนความประหลาดใจ
     
    เมื่อเห็นว่าสตรีหน้าตรงเริ่มเผยความหงุดหงิดออกมา ฉินหลิงจึงรู้ได้ทันทีว่าพี่สาวหยางผู้นี้ไม่ได้ล้อเล่น
     
     “หรือว่าที่นี้จะมีพลังที่จำกัดไว้ไม่ให้ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราเหาะเหินบนฟ้าได้” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหลิงจึงเอ่ยขึ้น เพราะการที่เขาได้ครอบครองค่ายกลผนึกวิญญาณมาก่อนจึงทำให้เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจนักหากจะมีผู้ใดสร้างค่ายกลที่สามารถห้ามบินขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าจะดูเหลือเชื่อไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
     
    “ที่เจ้าพูดออกมาก็มีเหตุผล ที่แห่งนี้คือมิติลี้ลับ ดังนั้นย่อมมีการดำรงอยู่ของกฎเกณฑ์แปลกประหลาดจากยุคบรรพกาล”
     
    “หืม! มิติลี้ลับ” ฉินหลิงพึมพำขึ้นอย่างสงสัยเมื่อได้ยินคำแปลกๆของสตรีตรงหน้า
     
    “ใช่มิติลี้ลับ ที่แห่งนี้ไม่ใช่โลกลี้ลับแต่เป็นเพียงมิติลี้ลับเท่านั้น หากที่แห่งนี้เป็นโลกลี้ลับจริง ข้าเกรงว่าไม่ทันที่คนจากทวีปหนานหวู่จะเข้ามาคงถูกพวกคนจากทวีปพิรุณแย่งชิงไปจนหมด”
     
     “ท่านเป็นบรรพชนจากเหล่าตระกูลลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในทวีปหนานหวู่รึ?” เมื่อได้ยินที่นางเอ่ยถึงทวีปพิรุณ ไม่แปลกที่ฉินหลิงจะคิดว่านางเป็นผู้คนจากตระกูลลึกลับที่เคยไปฝึกปรือยังทวีปพิรุณมาก่อน
     
    อย่างไรก็ตามคำตอบที่ฉินหลิงได้คือกลับมาเสียงหัวเราะ
     
    ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอกเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปอีก
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×