ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #303 : อันตรายในโลกลี้ลับ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.72K
      440
      11 พ.ค. 63

     
    หลังจากกลุ่มผู้นำของสำนักขจีไพรสันพุ่งทะยานกันเข้าไปจนหมดแล้ว ฉินหลิงก็ย่างก้าวเข้าไปรอยแยกมิติอย่างไม่รอช้าเพราะยังมีเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสภายนอกอีกหลายคนที่กำลังรอเข้าไป
     
    ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติที่เชื่อมต่อกับโลกลี้ลับ ภาพตรงหน้าที่เขาเคยเห็นเป็นพืชพรรณอย่างเรือนลางพลันเปลี่ยนเป็นแสงสีดำทึบราวกับคืนเดือนมืดไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ
     
    อย่างไรก็ตามนอกจากความมืดที่อยู่ๆก็ปรากฏในสายตา ฉินหลิงยังรู้สึกว่าตัวเองถูกเหวี่ยงไปมาอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยวจนหายใจแทบไม่ทัน
     
    ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติรวดเร็วเกินกว่าที่ฉินหลิงจะได้ทันตั้งตัว
     
    ฉินหลิงที่ราวกับว่าตัวเองกลายไปลูกข่างไปแล้วนั้นพลันรู้สึกได้ว่าร่างของเขากระแทกลงบนพื้นดินจนเกิดเป็นเสียงดัง ‘ตุบ’ ก่อนจะฝืนพยุงร่างกายที่กำลังรู้สึกปั่นป่วนเหลือบมองไปโดยรอบ ตรงหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่เขาไม่เคยพบเห็น ลำต้นที่สูงยาวขนาดนี้ทำให้เขาแทบไม่เชื่อตาตัวเอง นอกจากแสงแดดที่ลอดผ่านช่องระหว่างใบมา ฉินหลิงก็ไม่อาจมองเห็นทะลุไปบนท้องนภาได้เลย
     
    โชคดีที่สภาพแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับร่างของเขามีผลกระทบเพียงไม่กี่อึดใจ หากต้องอยู่ในช่องว่างมิตินานกว่านั้นอีกซักสิบอึดใจร่างของเขาคงทนต่อไปไม่ไหวและระเบิดเป็นเสี่ยงๆอย่างแน่นอน
     
    ถึงแม้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นเอาชีวิต  แต่เขายังอดรู้สึกหวาดหลัวจนหน้าซีดเซียวไม่ได้ การข้ามรอยแยกมิติดูเหมือนว่ามันจะอันตรายกว่าที่เขาคิดไว้ยิ่งนัก
     
    หลังจากใช้เวลาในการปรับตัวอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหลิงจึงรู้สึกถึงความผิดปกติ พื้นที่โดยรอบตัวเขาไม่ได้มีอาจารย์ ชิงชิงหรือกลุ่มผู้อาวุโสหลักที่เข้ามาก่อนแม้แต่ผู้เดียว หากคาดไม่ผิดดูเหมือนว่าหลังจากเข้าสู่ภายในโลกลี้ลับแห่งนี้แล้วพวกเขาคงจะถูกสุ่มออกไปยังสถานที่แตกต่างกันไป
     
    คาดไม่ถึงว่าในขณะที่ฉินหลิงกำลังครุ่นคิดหาหนทางอยู่ ห่างจากเขาไปไม่ถึง10จั้ง จู่ๆก็ปรากฎรอยแยกมิติพร้อมกับร่างชายผู้หนึ่งล่วงหล่นลงมาจนกระแทกบนพื้นดังปัง!
     
    แน่นอนว่าชายที่ร่วงหล่นมาจากรอยแยกมิติก็มีอาการเดียวกับฉินหลิงก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน ชายผู้นั้นเผยสีหน้าหวาดกลัวในขณะที่ร่างหล่นลงบนพื้น เขาไอออกมาหลายครั้งก่อนจะตั้งสติได้ ความแตกตื่นที่ปรากฏบนใบหน้าค่อยๆจางหายไป
     
    อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันรู้ตัวก็มีลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นด้านหลังและแกว่งผ่านลำคอของเขาไปด้วยความเร็วสูง
     
    “อึก!” ชายหนุ่มในชุดขาวเบิกตากว้างด้วยความตะลึง ร่างของเขาสั่นสะท้าน มุมปากปรากกฎคราบเลือดออกมา มือทั้งสองกุมรอยแผลเรียบสนิทที่อยู่บนลำคอ เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากก้าวเข้าสู่โลกลี้ลับเพียงไม่กี่อึดใจจะถูกลอบสังหารโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้
     
    ต่อมาศีรษะของชายหนุ่มชุดขาวที่ไร้ซึ่งร่างยึดเหนี่ยวเอาไว้พลันร่วงหล่นบนพื้นพร้อมก่อเกิดเป็นน้ำพุโลหิตสายหนึ่งที่กระฉูดขึ้นมา
     
    ฉินหลิงมองร่างไร้วิญญาณของศิษย์จากสำนักคุนเผิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย เดิมทีนั้นเขาเองก็มิได้มีเจตนาสังหารอีกฝายแต่อย่างใด ทว่าเมื่อได้เห็นรอยปักที่เป็นสัญลักษณ์อันคุ้นเคยของพวกสำนักคุนเผิง เขาจึงจำเป็นต้องลงมือ ด้วยการตายของศิษย์ระดับแก่นทองคำขั้นปลายผู้นี้คนหนึ่งก็ทำให้สำนักคุนเผิงอ่อนแอไปส่วนหนึ่งย่อมเป็นผลดีต่อสำนักขจีไพรสันอย่างแน่นอน
     
    หลังจากค้นศพไร้หัวตรงหน้า ฉินหลิงก็พบหินวิญญาณขั้นกลางสิบกว่าก้อนและสมุนไพรล้ำค่าอีกหลายชนิด ดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะเตรียมตัวมาไม่น้อย แต่โชคร้ายที่เขาไม่ได้พกโชคมามากพอ ดังนั้นก็เลยจบลงที่ต้องมาพบกับฉินหลิงทันทีที่มาถึงโลกลี้ลับ
     
    “ดูเหมือนการค้าที่กำไรดีที่สุดก็คือการปล้นชิงสินะ” ฉินหลิงพึมพำเสียงเบาในขณะที่เก็บหินวิญญาณและสมุนไพรในมือลงไปในแหวนมิติ เขาเองก็รู้ดีว่าโชคดีเช่นนี้คงไม่มีอีกแล้ว หลังจากนี้คงได้แต่พึ่งความแข็งแกร่งของตัวเอง
     
    หลังจากตบทรัพย์จากผู้โชคร้ายของสำนักคุนเผิงเสร็จ ฉินหลิงก็รีบเดินจากไปทันที เขาไม่แน่ใจว่าพื้นที่โดยรอบจะมีสัตว์อสูรอยู่รึไม่? หากกลิ่นเลือดจากศพดึงดูดพวกสัตว์ร้ายเข้ามาละก็คงเกิดอันตรายใหญ่โตเป็นแน่ ทางที่ดีเขาควรหลบหนีให้ห่างจากพื้นที่รอบนี้ก่อน
     
    ผ่านไปได้ไม่นาน พื้นดินด้านล่างซากศพไร้วิญญาณของศิษย์สำนักคุนเผิงพลันสั่นไหวเบาๆ เถาวัลย์สีเขียวทะลวงผืนดินขึ้นมาอย่างเงียบสงัดไร้เสียง ราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความตายจากซากศพ เถาวัลย์พุ่งทะลวงเข้าไปในร่างไร้วิญญาณของศิษย์สำนักคุนเผิงอย่างไม่รอช้า
     
    เพียงเสี้ยวอึดใจ กายเนื้อของศิษย์สำนักคุนเผิงที่ถูกฉินหลิงลอบสังหารไปถูกเถาวัลย์รูปร่างธรรมดาดูดกลืนไปจนหมดสิ้น หลงเหลือเพียงเสื้อผ้าเนื้อดีที่ห่อหุ้มเพียงกระดูกสีขาว
     
    เถาวัลย์เขียวส่ายไปมาราวกับกำลังหาว่ามีอาหารอีกรึไม่อยู่ครู่หนึ่ง? หลังจากพบว่าไม่มีอาหารเหลืออยู่อีก เถาวัลย์รูปร่างธรรมดาก็ค่อยๆจมหายไปในผืนดินตามเดิม
     
    หลังจากเถาวัลย์สีเขียวที่แสนน่ากลัวหายไป ห่างจากเศษซากกระดูกไม่ไกลพลันปรากฏกลุ่มผู้ฝึกตน3คน สายตาของคนทั้งกลุ่มที่มองมาทางหัวกระโหลกขาวแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวอย่างปิดไม่มิด
     
    “ศิษย์พี่ เมื่อครู่มันเถาวัลย์สายพันธ์ไหนกัน เพียงไม่กี่อึดใจก็สามารถดูดกลืนร่างผู้ฝึกตนได้จนเหลือแต่กระดูก ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน” หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยออกมาด้วยท่าทางตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่าภาพก่อนหน้านี้ได้ทำให้นางตกใจเป็นอย่างมาก
     
    “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในโลกนี้มีพืชที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ดูเหมือนภายในโลกลี้ลับจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ” ชายวัยกลางที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนทั้งสามเอ่ยขึ้น
     
    “ศิษย์พี่ ท่านว่าใครเป็นคนฆ่าศิษย์สำนักคุนเผิงผู้นี้กัน ดูจากที่หัวและร่างถูกที่แยกจากกัน ข้าคิดว่าคนผู้นี้น่าจะถูกสะบั้นศีรษะในกระบวนท่าเดียว หรือว่าเป็นระดับผู้อาวุโส?” ชายหนุ่มอีกคนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
     
    ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพยักหน้าเบาๆ “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้  ตอนนี้พวกเราอยู่ในโลกลี้ลับ กฎเกณฑ์ที่ผู้อาวุโสจะไม่ทำร้ายรุ่นเยาว์ไม่มีอีกแล้ว ต่อจากนี้จงระวังให้ดี ทางที่ดีพวกเราควรรีบหาทางไปรวมตัวกับผู้คนในสำนัก”
     
    ทว่าในตอนที่คนทั้งสามกำลังปรึกษาอยู่นั้นเอง เถาวัลย์เขียวที่กลุ่มคนทั้งสามคิดว่ามันจากไปแล้วพลันทะลวงขึ้นจากพื้นดินด้วยความเร็วสูง
     
    ฉึก!!
     
    ชายผู้ถูกเรียกว่าศิษย์พี่มองดูเถาวัลย์สีเขียวที่แทงทะลุผ่านกลางหน้าอกด้วยท่าทางแตกตื่น อย่างไรก็ตามเขาเคยเห็นความร้ายกาจของเถาวัลย์รูปร่างธรรมดามาแล้ว แถมเขายังเคยผ่านการต่อสู้มาไม่น้อย จากสีหน้าตื่นตระหนกเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวทันที
     
    “อ๊าคคค.. จงระเบิดออกมา เพลิงกัมปนาท!!”
     
    ร่างของศิษย์น้องสองคนรีบเคลื่อนร่างถอยห่างทันทีหลังจากได้ยินว่าศิษย์พี่ผู้นั้นใช้เคล็ดวิชาเพลิงกัมปนาท หนึ่งในเคล็ดวิชาชั้นยอดของตำหนักอัคคี
     
    ในตอนนั้นเองทั่วทั้งร่างกายของชายวัยกลางเปลี่ยนเป็นสีแดง เปลวเพลิงร้อนแรงโหมกระหน่ำลุกไหม้ท่วมทั้งร่าง พลังวิญญาณในร่างถูกสูบฉีดพร้อมกับแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงบ้าคลั่งเพื่อใช้เผาไหม้เถาวัลย์เขียวที่ลอบทำร้ายเขา
     
    ราวกับสัมผัสได้ถึงศัตรูที่แพ้ทางตามธรรมชาติ เถาวัลย์เขียวที่พึ่งกลืนกินเลือดเนื้อได้ไปไม่กี่อึดใจก็รีบถอยกลับเข้าไปในผืนดินทันทีราวกับว่ามันมีความคิดเป็นของตัวเอง
     
    “คิดว่าจะหนีได้ง่ายๆรึ!” สีหน้าของชายวัยกลางคนปรากฏความโหดเหี้ยม เขาควบแน่นพลังเพลิงมายังปลายนิ้วเป็นคลื่น ก่อเกิดเป็นวิชาดัชนีและปล่อยโจมตีไปยังเถาวัลย์สีเขียวอย่างไม่รอช้า
     
    ตูมมม!!!!
     
    ลำแสงสีแดงที่เกิดเคล็ดวิชาธาตุไฟของหนึ่งในห้าตำหนักแห่งตำหนักเบญจธาตุระเบิดพื้นดินที่เถาวัลย์เขียวหลบหนีไปจนไม่เหลือซาก ฝุ่นควันพวยพุ่งจนยากจะมองเห็น หน้าดินถูกเปลวเพลิงทำลายจนไม่หลงเหลือสภาพเดิม
     
    ด้วยอนุภาพการทำลายล้างของเปลวเพลิงที่เทียบได้กับการโจมตีของขั้นหลอมรวมย่อมดูดกลืนพลังวิญญาณของผู้ใช้มหาศาล
     
    ชายวัยกลางคนที่กลางอกถูกทะลวงเป็นรูกระอักเลือดออกมา สีหน้าของเขาซีดเซียว ร่างกายสั่นระริกจนต้องทรุดเข่าลงไปกับพื้นข้างหนึ่งเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้มลง ทั้งอาการบาดเจ็บและพลังวิญญาณที่หมดเกลี้ยงทำให้เขากัดฟันแน่นทนต่ออาการบาดเจ็บ
     
    อย่างไรก็ตามสายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่รอยระเบิดตรงหน้า หลังจากถูกลอบโจมตีไปเมื่อครู่ทำให้เขาไม่อาจประมาทพืชที่ไม่รู้จักนี้ได้อีกแล้ว
     
    “ศิษย์พี่!” ศิษย์น้องสองคนแห่งตำหนักเบญจธาตุพุ่งเข้ามาช่วยพยุงร่างชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเป็นกังวล หากเมื่อครู่ไม่ใช่เป็นเพราะเถาวัลย์นั้นเล็งไปที่ศิษย์พี่ผู้นี้แต่เป็นพวกเขาแทน บางทีพวกเขาทั้งสองอาจจะตายไปแล้ว
     
    “ข้าไม่เป็นอะไรมาก ดูเหมือนมันจะหนีไปได้ พวกเราควรหนีไปจากที่แห่งนี้ดีกว่า ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากลราวกับว่ามีคนกำลังจับตามองพวกเรา”
     
    เมื่อได้ยินศิษย์พี่เอ่ยออกมา ชายหญิงทั้งสองต่างยิ่งรู้สึกหวาดกลัว พวกเขารีบพยุงร่างของศิษย์พี่ที่บาดเจ็บหนักและหลบหนีไปทันที
     
    แน่นอนว่าเมื่อผ่านเหตุการณ์เมื่อเสี่ยงตายครู่มา ทั้งสามคนต่างคอยเฝ้ามองระวังการลอบโจมตี พวกเขาไม่กล้าประมาทภัยอันตรายในโลกลี้ลับอีกต่อไปแล้ว…
     
    ห่างจากกลุ่มคนทั้งสามจากตำหนักเบญจธาตุ บนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ปรากฏร่างหญิงสาวสองคนที่หน้าตางดงามบริสุทธิ์ไร้มลทิน ทั้งที่มีต้นไม้ขวางกั้นมากมายแต่สายตาของพวกนางต่างกับมองเห็นสามคนที่กำลังเร่งรีบหนีไปอย่างชัดเจน
     
    ในตอนนั้นเองเถาวัลย์เขียวที่ลอบจู่โจมคนทั้งสามปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่ที่พวกนางทั้งสองยืนอยู่ มันเลื้อยขึ้นไปบนต้นไม้อย่างชำนาญก่อนจะพุ่งไปยังร่างหญิงสาวและหยุดที่ข้อมือก่อนจะย่อขนาดลงเปลี่ยนเป็นกำไลมือ
     
    “เจ้าจะไม่ฆ่าพวกมันรึ?” หญิงสาวอีกคนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาสีเขียวงดงามราวกับอัญมณีล้ำค่าหรี่ลงในขณะที่มองดูกลุ่มคนทั้งสามเร่งรีบหนีไป
     
    อย่างไรก็ตามหญิงสาวเจ้าของกำไลเถาวัลย์สีเขียวส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสนไพเราะ “พวกบุกรุกเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นภัยต่อพวกเรา ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนเยอะไปหน่อย”
     
    “หึ! ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกมันต่างเต็มไปด้วยความโลภไม่มีที่สิ้นสุด แถมพวกมันยัง..” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเกียจชัง
     
    “ไปเถอะ! ไม่ต้องคิดมาก คอยดูท่าทีเหล่าผู้อาวุโสในหมู่บ้านก่อนว่าพวกเขาจะทำเช่นไร?” เอ่ยจบหญิงสาวที่สวมกำไลสีเขียวก็จากไป
     
    เมื่อเห็นว่าสหายไม่ยินดีสังหารกลุ่มคนทั้งสาม หญิงอีกคนก็พ่นลมหายใจฮึดฮัดออกมาก่อนจะหันหลังกลับไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×