ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #291 : ความขัดเเย้งภายใน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.34K
      464
      9 เม.ย. 63

    บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายสีเหลืองสุดสายตาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด มีกลุ่มผู้ฝึกตนมากมายที่นั่งอยู่บนของวิเศษเดินทางบนฟากฟ้า
     
    พวกเขาล้วนแล้วแต่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สุดขอบทะเลทรายแห่งนี้ อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ซึ่งถูกเรียกโดยเหล่าผู้ฝึกตนว่าเป็นพื้นที่รกร้าง
     
    จำนวนผู้ฝึกตนนับพันที่นั่งอยู่บนของวิเศษบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขามีที่มาไม่ธรรมดา แน่นอนว่ากลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนมากเหล่านี้คือกลุ่มคนจากหนึ่งในหกสำนักใหญ่แห่งทวีปหนานหวู่ สำนักขจีไพรสันนั้นเอง
     
    อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของขบวนผู้ฝึกตนจากสำนักขจีไพรสันอยู่ที่ใบไม้ยักษ์ที่มีตำหนักตั้งอยู่ตรงกลาง เทียบกับของวิเศษเหาะเหินธรรมดาที่อยู่โดยรอบแล้ว ช่างแตกต่างราวกับสวรรค์และปฐพีเลยทีเดียว
     
    แต่พวกเขารู้ดีว่าใบไม้ยักษ์นั้นเป็นของท่านบรรพชน นอกจากความรู้สึกอิจฉาลึกๆแล้วพวกเขายังรู้สึกภูมิใจที่สำนักขจีไพรสันมีความร่ำรวยจนสามารถหลอมสร้างของวิเศษใหญ่โตเช่นนี้ได้..
     
    ภายในตำหนักที่อยู่บนใบไม้ยักษ์ซึ่งกำลังล่องลอยเหนือทะเลทราย
     
    ฉินหลิงมองลอดผ่านหน้าต่าง เขาเห็นแนวคลื่นสีเหลืองอร่ามทอดยาวไปไกล นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้กลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง ใครจะคิดว่าคุณชายน้อยแห่งตระกูลแม่ทัพใหญ่ที่ถูกชาวบ้านในเมืองไผ่เขียวสาปส่งในตอนนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ โชคชะตาช่างเล่นตลกต่อผู้คนนัก...
     
    สีหน้าของฉินหลิงดูอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว เขากำหมัดแน่นจนเกิดเป็นเสียงดัง โทสะภายในใจระเบิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อกลับมายังดินแดนแห่งนี้ทำให้เขานึกถึงภาพความตายของหญิงสาวอันเป็นที่รัก ความอ่อนแอในอดีตได้ตอกย้ำกลางดวงใจ มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้พบนางอีกครั้ง
     
    ทันใดนั้นเองสายตาของฉินหลิงเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น หนทางยังอีกยาวไกลข้าต้องไม่ย่อท้อ ก่อนจะนำถานอวี้จี้กลับมา ข้าต้องมีชีวิตรอดและแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
     
    “เจ้าเป็นอะไรรึไม่?” ชิงชิงเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นกลิ่นอายของชายหนุ่มตรงหน้าเปลี่ยนไป เหมือนกับว่ายิ่งเดินทางไปยังพื้นที่รกร้างลึกเท่าไหร่ ท่าทางของฉินหลิงดูเหมือนกังวลใจบางอย่างมากยิ่งขึ้น
     
    ถางอีเหวินที่นั่งดื่มชาอยู่ก็สัมผัสได้ถึงห้วงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของฉินหลิง แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา อย่างความลับของฉินหลิง นางไม่เคยเอ่ยถามแม้แต่ครั้งเดียว เพราะนางเชื่อว่าเขาจะจัดการมันด้วยตัวเองได้
     
    ฉินหลิงสงบใจอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปตอบชิงชิง “ไม่มีอะไร ข้าเพียงคิดถึงบ้านเกิดน่ะ”
     
    “ตอนนั้นที่ข้าพบเจ้าหน้าประตูเมืองก็แสดงว่าเจ้าเพิ่งเดินทางออกจากพื้นที่รกร้างสิน่ะ?” ชิงชิงเอ่ยถามถึงครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน เมื่อนึกถึงตอนนั้นนางรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน โดยเฉพาะยามที่เขาเสี่ยงบุกขึ้นบนเขาทันทีหลังจากได้ยินว่านางถูกจับตัวไป และเหตุการณ์นั้นทำให้นางตกหลุมรักเขาโดยไม่รู้ตัว
     
    ...................................
     
    การเคลื่อนไหวของสำนักขจีไพรสันย่อมถูกทุกทิศทางจับจ้อง โดยเฉพาะสำนักคุนเผิงที่ได้สู้รบโรมรันกันมาไม่หยุดหย่อน ความเกลียดชังระหว่างสองสำนักราวกัยไร้ที่สิ้นสุดประหนึ่งไม่เจ้าตายก็เป็นเราที่ต้องสิ้น
     
    “เจ้าพูดว่าอะไรน่ะ! พวกสำนักขจีไพรสันมันเดินทางไปยังที่ไหน” ไป๋เฟิงอี้แทบไม่เชื่อว่ารายงานจากสายลับของเขานั้นถูกต้อง
     
    “เรียนเจ้าสำนัก สำนักขจีไพรสันนำเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์สืบทอดที่อยู่ในขั้นแก่นทองคำเดินทางไปยังพื้นที่รกร้างแล้วขอรับ”
     
    “เจ้าแน่ใจน่ะ?” สีหน้าของไป๋เฟิงอี้จริงจังอย่างถึงที่สุด แม้แต่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาอย่างไม่ตั้งใจยังก่อให้เกิดแรงกดดันที่ยากจนทานทน
     
    “ขะ...ขอรับ ผู้น้อยเห็นมากับตาตัวเอง หลังจากพวกมันเคลื่อนเข้าสู่ทะเลทราย ข้าจึงรีบกลับมารายงานท่านทันที”
     
    ไป๋เฟิงอี้พยักหน้าเบาๆและรีบเก็บพลังเข้าในร่าง ต่อให้สายลับของเขาอยากตามพวกคนจากสำนักขจีไพรสันไปเพียงใดก็ไม่สามารถติดตามได้ ต้องรู้ว่าทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาแห่งนั้นไม่มีที่ซ่อนเร่นตัวตน หากยังฝืนติดตามไปอีกก็เป็นการหาเรื่องตายเท่านั้น
     
    “ทำไมพวกมันถึงไปยังเขตรกร้างที่ไร้ซึ่งพลังวิญญาณกันน่ะ หรือมีอะไรที่ข้าไม่รู้กันแน่ซ่อนอยู่” ไป๋เฟิงอี้พึมพำเสียงเบา การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของสำนักขจีไพรสันเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ แต่เขารู้ดีว่าสำนักแห่งนั้นไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น การเคลื่อนไหวในเชิงกลยุทธหลายคราที่ผ่านมาทำให้สำนักคุนเผิงของเขาต้องสละเลือดเนื้อไปเป็นจำนวนมาก
     
    “ข้าว่าพวกมันคงรู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถบุกแย่งชิงทางเข้าโลกลี้ลับเลยคิดหนียังไงล่ะ”
     
    ไป๋เฟิงอี้หันไปมองยังที่มาของเสียงด้วยความไม่พอใจ ชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาในกระโจมของเขาด้วยท่าทางหยิ่งยโสจนเจ้าสำนักคุนเผิงอย่างเขาต้องขมวดคิ้ว
     
    แต่เนื่องจากพวกเขาทำสัญญาเป็นพันธมิตรต่อกัน ดังนั้นไป๋เฟิงอี้จึงได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้และเอ่ยทักทาย “พี่โจวมีอะไรให้ข้าช่วยรึ?”
     
    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแค่ว่าข้าถูกใจลูกศิษย์ของเจ้าคนหนึ่ง คืนนี้จงนำนางไปบำเรอแก่ข้า หากถูกใจข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม...”
     
    ทันใดนั้นเองก่อนที่ชายแซ่โจวจะเอ่ยจบ ร่างของไป๋เฟิงอี้ระเบิดพลังจนทำให้กระโจมระเบิด เขาพุ่งเข้าไปพร้อมกับใช้แขนเพียงข้างเดียวที่มีกุมคอชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว
     
    สีหน้าของชายแซ่โจวซีดขาวด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าสำนักคุนเผิงจะเปลี่ยนท่าทีไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เมื่อเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมของไป๋เฟิงอี้และมือที่บีบแน่นเข้าไปในลำคอ ชายวัยกลางคนใช้เรี่ยวแรงฮึดสุดท้ายชกใส่กลางอกของไป๋เฟิงอี้เข้าอย่างจัง
     
    ปังงง!!!
     
    อย่างไรก็ตามคลื่นพลังที่ปกคลุมร่างของไป๋เฟิงอี้แข็งแกร่งเกินไป พลังหมัดของชายแซ่โจวไม่อาจทะลวงเข้าสู่ร่างเจ้าสำนักไป๋แห่งสำนักคุนเผิงได้แม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งยั่วโทสะของไป๋เฟิงอี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ออกจากร่างชายแขนเดียว ยิ่งทำให้ชายจากตระกูลโจวขวัญหนีดีฝ่อ
     
    “ไม่ๆๆ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ข้าเป็นคนจากตระกูลโจว เป็นหัวหน้าตระกูลโจวในรุ่นนี้ พวกเราเป็นพันธมิตรกัน หากเจ้าสังหารข้า บรรพชนตระกูลข้าไม่ยอมแน่” ชายวัยกลางคนแซ่โจวขู่ออกมา
     
    การประจันหน้าระหว่างเจ้าสำนักคุนเผิงและหัวหน้าตระกูลโจวทำให้เหล่าผู้คนที่กำลังพักผ่อนโดยรอบต่างรีบทะยานร่างเข้ามาสังเกตดู
     
    ทว่าเมื่อเห็นภาพไป๋เฟิงอี้ใช้แขนเพียงข้างเดียวกุมคอของหัวหน้าตระกูลโจว พวกเขาต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ผู้คนมากมายอุทานออกมา รัศมีพลังที่ออกมาจากร่างเจ้าสำนักคุนเผิงช่างแข็งกร้าวยิ่งนัก
     
    หลังจากที่ไป๋เฟิงอี้พ่ายแพ้แก่เซี่ยชิงหมินในอดีต ความศรัทธาและเคารพของคนในสำนักคุนเผิงต่อผู้เป็นเจ้าสำนักเลือนรางลงไปมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นไป๋เฟิงอี้เหลือแขนเพียงข้างเดียว
     
    อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าฝีมือที่แท้จริงของเจ้าสำนักไป๋ผู้นี้ช่างน่าตกตะลึงอย่างแท้จริง หากไม่เพราะเซี่ยชิงหมินมไพ่ตายที่เหนือกว่า บางทีการต่อสู้ในเมืองไร้อธรรมอาจจะไม่จบด้วยความพ่ายแพ้ การสู้รบปรบมือกับคนในระดับพลังขั้นเดียวกันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับไป๋เฟิงอี้เลย
     
    แน่นอนว่านอกจากผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมที่เดินทางไปกับไป๋เฟิงอี้ก็ไม่มีใครับรู้ถึงความเก่งกาจของเขา
     
    ทว่าภาพตรงหน้าได้สร้างความเชื่อมั่นแก่เหล่าลูกศิษย์สำนักคุนเผิงอีกครั้ง หัวหน้าตระกูลโจวที่มีพลังบ่มเพาะหลอมรวมขั้นสุดท้ายได้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของเจ้าสำนักไป๋ หากไม่เห็นเห็นกับตาใครเล่าจะเชื่อได้ลง
     
    หลายวันที่ผ่านมาหลังจากสำนักคุนเผิงยอมรับคนตระกูลโจวเข้าร่วมเป็นพันธมิตรและเฝ้าทางเข้าโลกลี้ลับในอาณาเขตรอบแม่น้ำหวางหมิง เหล่าทายาทตระกูลโจวที่ได้ใจต่างพากันรังแกและเย้ยหยันลูกศิษย์สำนักคุนเผิงจนเกิดความรู้สึกบาดหมางต่อกัน 
     
    ในสายตาของคนจากตระกูลโจว เหล่าลูกศิษย์สำนักคุนเผิงมิต่างจากเด็กบ้านนอกที่โง่เขลาไม่รู้ถึงโลกกว้าง ขณะเดียวกันเหล่าศิษย์สำนักคุนเผิงก็มองคนตระกูลโจวด้วยมุมมองดูถูกไม่ต่างกัน
     
    “หยุด!!!” คลื่นพลังที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเต๋ากดลงมายังร่างของไป๋เฟิงอี้จนทำให้เจ้าสำนักคุนเผิงกระอักเลือดออกมา ทว่ามือที่กุมคอผู้นำตระกูลโจวกับยิ่งแน่นขึ้นจนทำให้ชายวัยกลางคนเริ่มขาดอากาศหายใจและสีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
     
    “เจ้า!” ชายชราที่ปล่อยแรงกดดันออกมาขู่ขวัญไป๋เฟิงอี้เผยสีหน้าโกรธเคืองออกมาเมื่อเห็นเจ้าสำนักคุนเผิงยังไม่ยอมปล่อยทายาทตระกูลของเขา
     
    เพียงชั่วพริบตาร่างบรรพชนจากตระกูลโจวก็ไปปรากฏตัวข้างไป๋เฟิงอี้ คลื่นพลังที่อัดแน่นเต็มฝ่ามือพุ่งไปยังแขนข้างที่กำลังกุมคอผู้นำตระกูลโจวโดยมีเจตนาทำลายแขนข้างนั้นเพื่อหวังให้เจ้าสำนักคุนเผิงพิการโดยสมบูรณ์
     
    ทว่าก่อนที่พลังขั้นประสานวิญญาณจะพุ่งไปถึงแขนของไป๋เฟิงอี้ คลื่นแสงสีเขียวสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเพื่อหยุดยั้งมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้น
     
    “ไยสหายเต๋าต้องลงมือทำร้ายชนรุ่นหลังเช่นนี้ด้วยเล่า”
     
    บรรพชนจากตระกูลโจวหันไปมองชายชราในชุดเต๋าที่มาหยุดเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ดูเหมือนทายาทของสหายจะไม่เห็นหัวตระกูลโจวของเราเลยน่ะ”
     
    “เพียงแค่การประมือกันของชนรุ่นหลัง อย่าได้นำมาใส่ใจเลย” บรรพชนสำนักคุนเผิงยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายก่อนจะหันไปยังเจ้าสำนักคุนเผิง “เฟิงอี้ ปล่อยผู้นำตระกูลโจวได้แล้ว”
     
    “ขอรับท่านบรรพชน” เอ่ยจบไป๋เฟิงอี้ก็สะบัดร่างผู้นำตระกูลโจวจนกระแทกไปกับพื้นก่อนจะเคลื่อนตัวมายืนอยู่หลังผู้เป็นบรรพชนจากสำนักคุนเผิง
     
     
    “ท่านพ่อ ท่านต้องแก้แค้นให้แก่ข้า เจ้าสารเลวนั้นมันจะฆ่าข้า” ผู้นำตระกูลโจวที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมรีบเอ่ยฟ้องบรรพชนของตระกูลโจวทันที แต่สายตาที่มองไปยังไป๋เฟิงอี้ยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว หากชายชรามาถึงช้ากว่านี้ บางทีเขาอาจจะไปเยือนปรภพแล้วก็เป็นได้
     
    “หุบปาก!” ชายชราจากตระกูลโจวหันไปตวาดใส่บุตรชาย เพียงแค่สู้อีกฝ่ายไม่ได้เขาก็อับอายมากพออยู่แล้ว เจ้าสารเลวผู้นี้ยังมีหน้ามาฟ้องเขาอีก ทันใดนั้นเองบรรพชนตระกูลโจวเริ่มรู้สึกเสียใจที่มอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้บุตรชายคนนี้
     
    หลังจากมองร่างคนตระกูลโจวจากไป ไป๋เฟิงอี้ก็หันไปทางชายชราในชุดเต๋า “ขอบคุณท่านบรรพชนที่ช่วยเหลือ เป็นความผิดข้าที่วู่วามไป”
     
    “อย่าได้ใส่ใจ ช้าเร็วก็ต้องสู้กันอยู่ดี ได้ลองเชิงก่อนก็นับว่าดี” ชายชราผู้เป็นบรรพชนแห่งสำนักคุนเผิงเอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลายทว่าในแววตาฉายประกายอำมหิตออกมา
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×