คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : คุยการค้า (1)
ฉินเจินที่มองหลานชายเดินจากไปจนลับสายตาก็ล้มลงบนเก้าอี้อย่างแรง
ก่อนจะหลับตาแล้วผ่อนลมหายใจออกมา “พ่อบ้าน รบกวนเจ้าไปบอกให้หัวหน้าครูฝึก
แอบคุ้มครองเจ้าเด็กสารเลวนั้นลับๆด้วย”
พ่อบ้านผมขาวก้มหัวเล็กน้อยตอบรับก่อนจะเอ่ย
“ท่านแม่ทัพ ท่านจะปล่อยนายน้อยไปเช่นนี้จะดีรึขอรับ”
แม่ทัพเฒ่าก็เอามือมานวดขมับก่อนจะเอ่ย
“ปล่อยให้เจ้าเด็กนั้นมันรู้จักเรียนรู้ชีวิตซะบ้าง
ถึงแม้มันจะทำตัวดีขึ้นมากหลังจากรอดตายครานั้น แต่เจ้าเด็กน้อยนั้นที่รู้จักใช้แต่อำนาจของตระกูล คนที่ไม่เคยหาเงินเองจะทำอะไรได้”
“แล้วถ้านายน้อยสามารถหาเงินได้จริงละขอรับ
นายท่านจะปล่อยให้นายน้อยแต่งกับหญิงชาวบ้านผู้นั้นรึ”
เมื่อได้ยินคำถามของพ่อบ้านก็ทำให้ฉินเจินขมวดคิ้วแน่นแล้วยิ้มออกมาอย่างข่มขื่น “ข้าเองก็เติบโตมาจากชาวบ้านธรรมดาและสร้างชื่อเสียงจากสงครามนับครั้งไม่ถ้วน
เสียสละหยาดเหงื่อเลือดเนื้อมากเท่าไหร่กว่าจะมีวันนี้ได้
ถ้าหากเจ้าเด็กสารเลวนั้นสามารถทำได้ ข้าก็ไม่ขอขัดขวางความรักของมันอีก
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เงินหมื่นกว่าตำลึง ใช่ว่าจะหาง่ายๆซะที่ไหน”
เมื่อได้ยินที่ผู้เป็นนายเอ่ยก็ทำให้พ่อบ้านชรายิ้มออกมาเพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นคนดูแลฉินหลิงตั้งแต่เด็กทำให้เขาเองก็รักเอ็นดูฉินหลิงเหมือนดั่งบุตรหลานของตัวเอง
“แล้วเรื่ององค์หญิงหลิงเหมย ท่านจะจัดการเช่นไรขอรับ”
ฉินเจินถอนหายใจออกมา “ข้าได้นัดหมายให้เจ้าเด็กสารเลวนั้นไปเจอกับองค์หญิงเดือนหน้า
แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนั้นหนีออกจากบ้านไป แล้วเช่นนี้จะให้ข้าแบกหน้ากลับไปทูลฝ่าบาทอย่างไรดีละ”
แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเหยียนที่ยามนี้สับสนอย่างยิ่งว่าตนเองควรจะไปทูลฮ่องเต้ว่าอย่างไรดี เพราะตนเองเป็นคนไปขอพระราชทานสมรสให้หลานชาย แต่ตอนนี้ผู้เป็นหลานชายกลับไปชอบหญิงชาวบ้านและต้องการแต่งกับนาง เช่นนั้นมันจะไม่เป็นการต่อว่าองค์หญิงทางอ้อมหรอกรึที่องค์หญิงแคว้นเหยียนไม่มีเสน่ห์พอเทียบได้กับหญิงชาวบ้านได้ หากเรื่องราวบานปลายออกไปอาจจะมีความหมายถึงการดูหมิ่นราชวงศ์ก็เป็นได้
.................
ฉินหลิงที่ยามนี้กำลังเดินหลงอยู่ในเมือง
นับตั้งแต่ที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้เขายังไม่เคยเดินสำรวจภายในเมืองแม้แต่ครั้งเดียว
ทุกครั้งเมื่อเขาต้องการจะออกไปไหนก็จะมีลู่ชิง บ่าวตัวน้อยคอยขับรถม้านำทางให้ตลอด
แต่ตอนนี้เขาที่เดินออกจากจวนมาตัวคนเดียวทำให้เขาหลงทางและเดินวนอยู่ภายในเมืองใหญ่ที่ยามนี้ประดับไปด้วยโคมไฟส่องสว่างทำให้ทั่วทั้งเมืองดูวิจิตรตระการตา
หลังจากเดินไปชั่วครู่เขาก็บังเอิญไปเหลือบเห็นร้านค้าสองชั้นขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีป้ายอันใหญ่โตสีแดงติดอยู่ด้านบนที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนซึ่งสลักคำว่า
หอการค้าตะวันฉาย
อวี้หยวน
เจ้าเด็กอ้วนที่เคยโดนองครักษ์หมิงกระทืบจนหน้าบวมเป่ง
แต่ยามนี้ใบหน้ากลับมาเป็นปกติเหลือเพียงรอยเขียวช้ำรอบขอบตาเล็กน้อย ในเวลานี้กำลังทำหน้าที่เรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน
ซึ่งในฐานะบุตรชายเจ้าของหอการค้าคงไม่มีใครมาทำงานเช่นนี้เป็นแน่ แต่เขาต้องทำงานเช่นนี้เพราะโดนบิดาลงโทษเนื่องจากตนเองได้ไปหาเรื่องนายน้อยฉินผู้เป็นหลานชายของเจ้าเมืองแห่งนี้
และเมื่อนึกย้อนไปเขาเองก็เมาจนจำไม่ได้ว่าเขาไปหาเรื่องนายน้อยผู้นั้นเช่นไรกัน
เขาเพียงรู้สึกตัวว่าโดนทุบตีจนหน้ากลายเป็นหมูแล้ว ในขณะที่เขากำลังเรียกลูกค้าเข้าร้าน
เขาก็หันไปเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงผอมที่ดูหน้าตาซีดเซียวเล็กน้อยกำลังหันมองมาทางตน ทำให้เขานึกได้ทันทีว่าเบื้องหน้าตนคือบุคคลที่ทำให้เขาต้องโดนลงโทษอยู่เช่นนี้
เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาเบิกตากว้างขึ้นและการถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินมาทางเขา
“นายน้อยฉิน
ข้าผิดไปแล้วอย่าทำร้ายข้าเลย ทีหลังข้าไม่กล้าหาเรื่องท่านแล้ว”
เสียงของเจ้าอ้วนอวี้หยวนที่คุกเข่ากับพื้นแล้วร้องออกมาดังลั่นทำให้ผู้คนที่เดินไปมาต่างหันมามองบุคคลที่ถูกกล่าวว่าเป็นนายน้อยฉินก่อนจะถอยหนีอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของฉินหลิงดำหล้ำทันทีเมื่อเห็นเหล่าผู้คนต่างจ้องมองตนราวกับดูสัตว์ประหลาด
เขาจึงทนไม่ไหวก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าอ้วนตัวปัญหาที่ยามนี้กำลังตัวสั่นเทา
ทำให้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อเจ้าอ้วนก่อนจะลากเข้าไปภายในร้านอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านโดยรอบที่เห็นเจ้าอ้วนอวี้หยวนโดนลากเข้าไปในร้านก็ทำให้ผู้คนต่างตกใจ
“อ่า...ช่างน่าสงสารเจ้าเด็กคนนั้นนัก
ดันไปหาเรื่องนายน้อยฉินซะได้”
“เจ้าอันธพาลนั้นคงไปหาเรื่องทุบตีเจ้าเด็กอ้วนนั้นเป็นแน่”
“ข้าว่าแล้วชายหนุ่มผู้นั้นดูท่าทางชั่วร้ายนัก
คิดไม่ถึงเป็นเจ้าอันธพาลนั้น”
“เจ้าเด็กนั้น
ทำไมช่างแตกต่างกับผู้เป็นปู่นักนะ”
“ใครว่าบิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัขไง ที่ข้าเห็นมันยิ่งกว่าสุนัขซะอีก”
“หากวันไหนข้าหายไป
โปรดรู้ไว้ด้วยข้าคงโดนนายน้อยฉินซ้อมจนตายแล้วเอาไปให้หมากินเป็นแน่”
ฉินหลิงที่แสดงสีหน้าออกอย่างขมขื่นกับคำที่เหล่าชาวบ้านกล่าวออกมา
เพราะไปเจอเจ้าอ้วนบัดซบนี้ที่โวยวายออกเสียงดังจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่
ทั้งที่เขาเพียงต้องการเดินมาถามทางเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้เขาเจอคำว่าร้ายของชาวบ้าน
“นายน้อย
ท่านอย่าได้ทำอะไรข้าเลยนะขอรับ ข้าเป็นลูกคนเดียว แถมยังไม่มีทายาทอีก
หากนายน้อยทำอะไรข้า ตระกูลอวี้ของเราได้สูญสิ้นแน่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด”
ยามนี้ฉินหลิงที่ทนคำพูดไร้สาระของเจ้าอ้วนไม่ไหวก็ตะโกนออกมาเสียงดัง
“บัดซบ หากเจ้ายังไม่เงียบ ข้าจะเอาเจ้าไปทำไส้ซาลาเปา”
อวี้หยวนที่ได้ยินคำกล่าวของบุรุษตรงหน้าก็ตกใจก่อนจะเอามือสองข้างมาปิดปากอย่างเร็วก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะมีน้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบได้ก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ย
“พาข้าไปหาบิดาของเจ้าสิ”
อวี้หยวนพยักหน้าแรงๆก่อนจะเดินนำทางพานายน้อยฉินไปห้องของบิดาตน
ระหว่างทางเดินที่เข้าไปภายในร้านค้าของตระกูลเจ้าอ้วน
เขาก็พบว่าด้านในร้านค้ามีสิ่งของมากมาย
มีทั้งที่เขารู้จักและบางอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน และเขาหันไปเหลือบเห็นก้อนผลึกเม็ดเล็กสีออกเหลืองอ่อนๆที่ดูคุ้นตาได้ตั้งวางขายอยู่ด้านในร้าน
ทำให้เขาอดสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอามือไปหยิบมาเล็กน้อยแล้วชิมดู
ยามเมื่อเขานำผลึกเล็กๆนั้นเข้าปากความรู้เค็มที่แฝงไปด้วยความขมนิดหน่อยทำให้เขารู้ชัดเจนเลยว่า
สิ่งนี้มันคือ ‘ผลึกเกลือ’ และไม่ใช่เกลือทะเลที่เขาเคยกินมา แต่มันคือเกลือสินเธาว์ที่ได้พบบนบกที่ซึ่งนำน้ำที่มีเกลือไปต้มจนผลึกเกลือออกมา
แต่หากจัดการไม่ดีจะทำให้เกลือมีสีที่ได้ไม่ใช่สีขาวแบบเกลือทะเล
“ร้านเจ้าขายแต่เกลือชนิดนี้รึ
ไม่มีเกลือทะเลรึ” ฉินหลิงที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
อวี้หยวนที่ยามนี้มองชายตรงหน้าด้วยความงุนงงไม่น้อยก่อนจะส่ายหน้าทั้งที่มือสองข้างยังปิดปากอยู่
ฉินหลิงที่ทนกับความบื้อของอีกฝ่ายไม่ได้ก็ตะคอกออกมา
“บัดซบ ข้าบอกให้เจ้าพูดเจ้าก็พูดออกมาซิ”
“ขอรับๆ ที่ร้านเรามีเกลือชนิดนี้ชนิดเดียว
ข้าไม่รู้จักเกลือทะเลอะไรที่ท่านกล่าวเลย หากท่านอยากรู้ต้องลองถามท่านพ่อข้าดูบางทีท่านอาจจะรู้จักขอรับ”
“แล้วเกลือนี้ขายยังไงรึ”
“ช่วงนี้เราขายเกลือ1ชั่งเป็นเงิน4ตำลึงเงินขอรับ
หากบางช่วงขาดแคลนราคาอาจจะพุ่งสูงถึง6ตำลึงเงินก็มีขอรับ” (1ชั่ง เท่ากับ 600
กรัม)
ฉินหลิงที่ได้ยินคำพูดของเจ้าอ้วนก็ทำให้ดวงตาเขาเปร่งประกายขึ้นมาอย่างสดใส
ราวกับค้นหาสัจธรรมในชีวิตของเขาได้แล้ว
“แล้วราคามันสูงขนาดนี้
แล้วชาวบ้านจะมีเงินซื้อรึ”
อวี้หยวนที่ได้ยินคำถามของคนเบื้องหน้าก็แสดงสีหน้าอิจฉาอย่างอดไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรนายน้อยฉินคงได้กินอาหารที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบเป็นประจำอยู่ แล้วคิดว่าเหล่าคนธรรมดาทั่วไปจะได้กินอาหารดีๆแบบเจ้ากันหมดรึไงกัน
เจ้าอ้วนก็พยักหน้าเบาๆ “ชาวบ้านทั่วไปนานๆจะซื้อซักครั้ง
แต่ลูกค้าประจำจะเป็นตระกูลขุนนางที่ร่ำรวย
หรือไม่ก็เหล่าทหารรับจ้างที่ต้องเดินทางเข้าป่าบ่อยๆขอรับ
เพราะเกลือมันช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารของพวกเขาได้ ดังนั้นโดยปกติจึงทำให้เกลือมักขาดแคลน
โชคดีนะขอรับที่เราพึ่งได้สินค้าชุดใหม่มา ไม่เช่นนั้นก็ต้องรอไปอีกเป็นเดือนกว่าเกลือชุดใหม่จะมา”
ฉินหลิงที่เดินตามเจ้าอ้วนอวี้หยวนขึ้นบนชั้นสอง
และหยุดลงที่ประตูบานใหญ่ “ท่านพ่อ นายน้อยฉินมาขอพบขอรับ”
เสียดังจากในห้องตอบรับ “เชิญนายน้อยเข้ามาได้เลย”
เมื่อเข้าไปถึงในห้องเขาก็พบชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนทวมไม่ต่างจากผู้เป็นบุตรชายเท่าไหร่นักกำลังตรวจดูเอกสารกองโต
“สายัณห์สวัสดิ์ขอรับนายน้อยฉิน ดึกดื่นป่านนี้แล้วท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้
ความจริงท่านให้คนมาตามข้าไปพบไม่ต้องลำบากมาเองก็ได้ขอรับ”
ฉินหลิงที่มองไปยังชาวตรงหน้าพร้อมคิดว่าเขาจะให้เจ้าของหอการค้าไปพบได้เช่นไร
ตอนนี้ที่ซุกหัวนอนยังไม่มีเลย แล้วเรื่องที่เขาโดนปู่ไล่ออกมาอีก “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ตอนแรกข้าจะมาถามทางเฉยๆ แต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องคุยกับเจ้าแล้วแหละ”
อวี้ฟานซือที่ได้ยินว่านายน้อยฉินจะมาถามทางก็ทำสีหน้างงเล็กน้อย
“เชิญท่านนั่งก่อนขอรับ ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับรึ? ”
“ท่านมีวิธีหาเงินหมื่นสองพันตำลึงทองในสองปีได้ไหม?”
เมื่อได้ยินคำถามจากนายน้อยฉินก็ทำให้เขาสำลักน้ำที่กำลังจะดื่มทันที
“แค๊กๆ ท่านว่าอะไรนะขอรับ
หมื่นสองพันตำลึงทอง ท่านกำลังล้อข้าเล่นแล้ว”
ฉินหลิงจ้องไปยังชายรูปร่างอ้วนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีอาการล้อเล่นแต่อย่างไร
หัวหน้าหอการค้าตะวันฉายได้เห็นเช่นนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มแห้งๆออกมา
“นายน้อยฉิน ข้าขอกล่าวสัตย์จริงกับท่าน หอการค้าของข้ายังทำเงินได้เพียงสามพันตำลึงทองต่อปีเท่านั้น
เงินเป็นหมื่นตำลึงทองนั้นมีเพียงหอการค้าใหญ่ๆจากเมืองหลวงเท่านั้นที่พอจะหามาได้
กับหอการค้าเล็กๆของพวกเราคงไม่สามารถหามาได้ ”
ความคิดเห็น