ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #29 : คุยการค้า (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.88K
      1.53K
      21 มิ.ย. 62

     

    ฉินเจินที่มองหลานชายเดินจากไปจนลับสายตาก็ล้มลงบนเก้าอี้อย่างแรง ก่อนจะหลับตาแล้วผ่อนลมหายใจออกมา “พ่อบ้าน รบกวนเจ้าไปบอกให้หัวหน้าครูฝึก แอบคุ้มครองเจ้าเด็กสารเลวนั้นลับๆด้วย”

     

    พ่อบ้านผมขาวก้มหัวเล็กน้อยตอบรับก่อนจะเอ่ย “ท่านแม่ทัพ ท่านจะปล่อยนายน้อยไปเช่นนี้จะดีรึขอรับ”

     

    แม่ทัพเฒ่าก็เอามือมานวดขมับก่อนจะเอ่ย  “ปล่อยให้เจ้าเด็กนั้นมันรู้จักเรียนรู้ชีวิตซะบ้าง ถึงแม้มันจะทำตัวดีขึ้นมากหลังจากรอดตายครานั้น แต่เจ้าเด็กน้อยนั้นที่รู้จักใช้แต่อำนาจของตระกูล คนที่ไม่เคยหาเงินเองจะทำอะไรได้”

     

    “แล้วถ้านายน้อยสามารถหาเงินได้จริงละขอรับ  นายท่านจะปล่อยให้นายน้อยแต่งกับหญิงชาวบ้านผู้นั้นรึ”

     

    เมื่อได้ยินคำถามของพ่อบ้านก็ทำให้ฉินเจินขมวดคิ้วแน่นแล้วยิ้มออกมาอย่างข่มขื่น  “ข้าเองก็เติบโตมาจากชาวบ้านธรรมดาและสร้างชื่อเสียงจากสงครามนับครั้งไม่ถ้วน เสียสละหยาดเหงื่อเลือดเนื้อมากเท่าไหร่กว่าจะมีวันนี้ได้  ถ้าหากเจ้าเด็กสารเลวนั้นสามารถทำได้ ข้าก็ไม่ขอขัดขวางความรักของมันอีก แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เงินหมื่นกว่าตำลึง ใช่ว่าจะหาง่ายๆซะที่ไหน”

     

    เมื่อได้ยินที่ผู้เป็นนายเอ่ยก็ทำให้พ่อบ้านชรายิ้มออกมาเพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นคนดูแลฉินหลิงตั้งแต่เด็กทำให้เขาเองก็รักเอ็นดูฉินหลิงเหมือนดั่งบุตรหลานของตัวเอง “แล้วเรื่ององค์หญิงหลิงเหมย ท่านจะจัดการเช่นไรขอรับ”

     

    ฉินเจินถอนหายใจออกมา “ข้าได้นัดหมายให้เจ้าเด็กสารเลวนั้นไปเจอกับองค์หญิงเดือนหน้า แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนั้นหนีออกจากบ้านไป แล้วเช่นนี้จะให้ข้าแบกหน้ากลับไปทูลฝ่าบาทอย่างไรดีละ”

     

    แม่ทัพใหญ่แห่งต้าเหยียนที่ยามนี้สับสนอย่างยิ่งว่าตนเองควรจะไปทูลฮ่องเต้ว่าอย่างไรดี เพราะตนเองเป็นคนไปขอพระราชทานสมรสให้หลานชาย แต่ตอนนี้ผู้เป็นหลานชายกลับไปชอบหญิงชาวบ้านและต้องการแต่งกับนาง เช่นนั้นมันจะไม่เป็นการต่อว่าองค์หญิงทางอ้อมหรอกรึที่องค์หญิงแคว้นเหยียนไม่มีเสน่ห์พอเทียบได้กับหญิงชาวบ้านได้ หากเรื่องราวบานปลายออกไปอาจจะมีความหมายถึงการดูหมิ่นราชวงศ์ก็เป็นได้

     

    .................

     

    ฉินหลิงที่ยามนี้กำลังเดินหลงอยู่ในเมือง นับตั้งแต่ที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้เขายังไม่เคยเดินสำรวจภายในเมืองแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งเมื่อเขาต้องการจะออกไปไหนก็จะมีลู่ชิง บ่าวตัวน้อยคอยขับรถม้านำทางให้ตลอด แต่ตอนนี้เขาที่เดินออกจากจวนมาตัวคนเดียวทำให้เขาหลงทางและเดินวนอยู่ภายในเมืองใหญ่ที่ยามนี้ประดับไปด้วยโคมไฟส่องสว่างทำให้ทั่วทั้งเมืองดูวิจิตรตระการตา

     

    หลังจากเดินไปชั่วครู่เขาก็บังเอิญไปเหลือบเห็นร้านค้าสองชั้นขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีป้ายอันใหญ่โตสีแดงติดอยู่ด้านบนที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนซึ่งสลักคำว่า หอการค้าตะวันฉาย

     

    อวี้หยวน เจ้าเด็กอ้วนที่เคยโดนองครักษ์หมิงกระทืบจนหน้าบวมเป่ง แต่ยามนี้ใบหน้ากลับมาเป็นปกติเหลือเพียงรอยเขียวช้ำรอบขอบตาเล็กน้อย ในเวลานี้กำลังทำหน้าที่เรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน ซึ่งในฐานะบุตรชายเจ้าของหอการค้าคงไม่มีใครมาทำงานเช่นนี้เป็นแน่ แต่เขาต้องทำงานเช่นนี้เพราะโดนบิดาลงโทษเนื่องจากตนเองได้ไปหาเรื่องนายน้อยฉินผู้เป็นหลานชายของเจ้าเมืองแห่งนี้ และเมื่อนึกย้อนไปเขาเองก็เมาจนจำไม่ได้ว่าเขาไปหาเรื่องนายน้อยผู้นั้นเช่นไรกัน เขาเพียงรู้สึกตัวว่าโดนทุบตีจนหน้ากลายเป็นหมูแล้ว   ในขณะที่เขากำลังเรียกลูกค้าเข้าร้าน เขาก็หันไปเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงผอมที่ดูหน้าตาซีดเซียวเล็กน้อยกำลังหันมองมาทางตน  ทำให้เขานึกได้ทันทีว่าเบื้องหน้าตนคือบุคคลที่ทำให้เขาต้องโดนลงโทษอยู่เช่นนี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาเบิกตากว้างขึ้นและการถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินมาทางเขา

     

     “นายน้อยฉิน  ข้าผิดไปแล้วอย่าทำร้ายข้าเลย ทีหลังข้าไม่กล้าหาเรื่องท่านแล้ว” เสียงของเจ้าอ้วนอวี้หยวนที่คุกเข่ากับพื้นแล้วร้องออกมาดังลั่นทำให้ผู้คนที่เดินไปมาต่างหันมามองบุคคลที่ถูกกล่าวว่าเป็นนายน้อยฉินก่อนจะถอยหนีอย่างรวดเร็ว

     

    ใบหน้าของฉินหลิงดำหล้ำทันทีเมื่อเห็นเหล่าผู้คนต่างจ้องมองตนราวกับดูสัตว์ประหลาด เขาจึงทนไม่ไหวก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าอ้วนตัวปัญหาที่ยามนี้กำลังตัวสั่นเทา ทำให้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อเจ้าอ้วนก่อนจะลากเข้าไปภายในร้านอย่างรวดเร็ว

     

    ชาวบ้านโดยรอบที่เห็นเจ้าอ้วนอวี้หยวนโดนลากเข้าไปในร้านก็ทำให้ผู้คนต่างตกใจ

     

    “อ่า...ช่างน่าสงสารเจ้าเด็กคนนั้นนัก ดันไปหาเรื่องนายน้อยฉินซะได้”

     

    “เจ้าอันธพาลนั้นคงไปหาเรื่องทุบตีเจ้าเด็กอ้วนนั้นเป็นแน่”

     

    “ข้าว่าแล้วชายหนุ่มผู้นั้นดูท่าทางชั่วร้ายนัก คิดไม่ถึงเป็นเจ้าอันธพาลนั้น”

     

    “เจ้าเด็กนั้น ทำไมช่างแตกต่างกับผู้เป็นปู่นักนะ”

     

    “ใครว่าบิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัขไง ที่ข้าเห็นมันยิ่งกว่าสุนัขซะอีก”

     

    “หากวันไหนข้าหายไป โปรดรู้ไว้ด้วยข้าคงโดนนายน้อยฉินซ้อมจนตายแล้วเอาไปให้หมากินเป็นแน่”

     

    ฉินหลิงที่แสดงสีหน้าออกอย่างขมขื่นกับคำที่เหล่าชาวบ้านกล่าวออกมา เพราะไปเจอเจ้าอ้วนบัดซบนี้ที่โวยวายออกเสียงดังจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งที่เขาเพียงต้องการเดินมาถามทางเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้เขาเจอคำว่าร้ายของชาวบ้าน

     

    “นายน้อย ท่านอย่าได้ทำอะไรข้าเลยนะขอรับ ข้าเป็นลูกคนเดียว แถมยังไม่มีทายาทอีก หากนายน้อยทำอะไรข้า ตระกูลอวี้ของเราได้สูญสิ้นแน่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด”

     

    ยามนี้ฉินหลิงที่ทนคำพูดไร้สาระของเจ้าอ้วนไม่ไหวก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “บัดซบ หากเจ้ายังไม่เงียบ ข้าจะเอาเจ้าไปทำไส้ซาลาเปา”

     

    อวี้หยวนที่ได้ยินคำกล่าวของบุรุษตรงหน้าก็ตกใจก่อนจะเอามือสองข้างมาปิดปากอย่างเร็วก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะมีน้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก

     

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบได้ก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ย “พาข้าไปหาบิดาของเจ้าสิ”

     

    อวี้หยวนพยักหน้าแรงๆก่อนจะเดินนำทางพานายน้อยฉินไปห้องของบิดาตน

     

     ระหว่างทางเดินที่เข้าไปภายในร้านค้าของตระกูลเจ้าอ้วน เขาก็พบว่าด้านในร้านค้ามีสิ่งของมากมาย มีทั้งที่เขารู้จักและบางอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน และเขาหันไปเหลือบเห็นก้อนผลึกเม็ดเล็กสีออกเหลืองอ่อนๆที่ดูคุ้นตาได้ตั้งวางขายอยู่ด้านในร้าน ทำให้เขาอดสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอามือไปหยิบมาเล็กน้อยแล้วชิมดู

     

    ยามเมื่อเขานำผลึกเล็กๆนั้นเข้าปากความรู้เค็มที่แฝงไปด้วยความขมนิดหน่อยทำให้เขารู้ชัดเจนเลยว่า สิ่งนี้มันคือ ผลึกเกลือ และไม่ใช่เกลือทะเลที่เขาเคยกินมา แต่มันคือเกลือสินเธาว์ที่ได้พบบนบกที่ซึ่งนำน้ำที่มีเกลือไปต้มจนผลึกเกลือออกมา แต่หากจัดการไม่ดีจะทำให้เกลือมีสีที่ได้ไม่ใช่สีขาวแบบเกลือทะเล

     

    “ร้านเจ้าขายแต่เกลือชนิดนี้รึ ไม่มีเกลือทะเลรึ” ฉินหลิงที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย

     

    อวี้หยวนที่ยามนี้มองชายตรงหน้าด้วยความงุนงงไม่น้อยก่อนจะส่ายหน้าทั้งที่มือสองข้างยังปิดปากอยู่

     

    ฉินหลิงที่ทนกับความบื้อของอีกฝ่ายไม่ได้ก็ตะคอกออกมา “บัดซบ ข้าบอกให้เจ้าพูดเจ้าก็พูดออกมาซิ”

     

    “ขอรับๆ ที่ร้านเรามีเกลือชนิดนี้ชนิดเดียว ข้าไม่รู้จักเกลือทะเลอะไรที่ท่านกล่าวเลย หากท่านอยากรู้ต้องลองถามท่านพ่อข้าดูบางทีท่านอาจจะรู้จักขอรับ”

     

    “แล้วเกลือนี้ขายยังไงรึ”

     

    “ช่วงนี้เราขายเกลือ1ชั่งเป็นเงิน4ตำลึงเงินขอรับ หากบางช่วงขาดแคลนราคาอาจจะพุ่งสูงถึง6ตำลึงเงินก็มีขอรับ” (1ชั่ง เท่ากับ 600 กรัม)

     

    ฉินหลิงที่ได้ยินคำพูดของเจ้าอ้วนก็ทำให้ดวงตาเขาเปร่งประกายขึ้นมาอย่างสดใส ราวกับค้นหาสัจธรรมในชีวิตของเขาได้แล้ว

     

    “แล้วราคามันสูงขนาดนี้ แล้วชาวบ้านจะมีเงินซื้อรึ”

     

    อวี้หยวนที่ได้ยินคำถามของคนเบื้องหน้าก็แสดงสีหน้าอิจฉาอย่างอดไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรนายน้อยฉินคงได้กินอาหารที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบเป็นประจำอยู่ แล้วคิดว่าเหล่าคนธรรมดาทั่วไปจะได้กินอาหารดีๆแบบเจ้ากันหมดรึไงกัน

     

    เจ้าอ้วนก็พยักหน้าเบาๆ “ชาวบ้านทั่วไปนานๆจะซื้อซักครั้ง แต่ลูกค้าประจำจะเป็นตระกูลขุนนางที่ร่ำรวย หรือไม่ก็เหล่าทหารรับจ้างที่ต้องเดินทางเข้าป่าบ่อยๆขอรับ เพราะเกลือมันช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารของพวกเขาได้ ดังนั้นโดยปกติจึงทำให้เกลือมักขาดแคลน โชคดีนะขอรับที่เราพึ่งได้สินค้าชุดใหม่มา ไม่เช่นนั้นก็ต้องรอไปอีกเป็นเดือนกว่าเกลือชุดใหม่จะมา”

     

    ฉินหลิงที่เดินตามเจ้าอ้วนอวี้หยวนขึ้นบนชั้นสอง และหยุดลงที่ประตูบานใหญ่ “ท่านพ่อ นายน้อยฉินมาขอพบขอรับ”

     

    เสียดังจากในห้องตอบรับ “เชิญนายน้อยเข้ามาได้เลย”

     

    เมื่อเข้าไปถึงในห้องเขาก็พบชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนทวมไม่ต่างจากผู้เป็นบุตรชายเท่าไหร่นักกำลังตรวจดูเอกสารกองโต “สายัณห์สวัสดิ์ขอรับนายน้อยฉิน ดึกดื่นป่านนี้แล้วท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้ ความจริงท่านให้คนมาตามข้าไปพบไม่ต้องลำบากมาเองก็ได้ขอรับ”

     

    ฉินหลิงที่มองไปยังชาวตรงหน้าพร้อมคิดว่าเขาจะให้เจ้าของหอการค้าไปพบได้เช่นไร ตอนนี้ที่ซุกหัวนอนยังไม่มีเลย แล้วเรื่องที่เขาโดนปู่ไล่ออกมาอีก  “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ตอนแรกข้าจะมาถามทางเฉยๆ แต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องคุยกับเจ้าแล้วแหละ”

     

    อวี้ฟานซือที่ได้ยินว่านายน้อยฉินจะมาถามทางก็ทำสีหน้างงเล็กน้อย “เชิญท่านนั่งก่อนขอรับ ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับรึ?

     

    “ท่านมีวิธีหาเงินหมื่นสองพันตำลึงทองในสองปีได้ไหม?

     

    เมื่อได้ยินคำถามจากนายน้อยฉินก็ทำให้เขาสำลักน้ำที่กำลังจะดื่มทันที “แค๊กๆ  ท่านว่าอะไรนะขอรับ หมื่นสองพันตำลึงทอง  ท่านกำลังล้อข้าเล่นแล้ว”

     

    ฉินหลิงจ้องไปยังชายรูปร่างอ้วนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีอาการล้อเล่นแต่อย่างไร

     

    หัวหน้าหอการค้าตะวันฉายได้เห็นเช่นนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มแห้งๆออกมา “นายน้อยฉิน ข้าขอกล่าวสัตย์จริงกับท่าน หอการค้าของข้ายังทำเงินได้เพียงสามพันตำลึงทองต่อปีเท่านั้น เงินเป็นหมื่นตำลึงทองนั้นมีเพียงหอการค้าใหญ่ๆจากเมืองหลวงเท่านั้นที่พอจะหามาได้ กับหอการค้าเล็กๆของพวกเราคงไม่สามารถหามาได้ ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×