ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #268 : เดินทาง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.24K
      616
      20 ก.พ. 63


    “เอานี้ไป.. ท่านพ่อฝากให้ข้าเอาสิ่งนี้มาคืนเจ้า” เซี่ยหรูรั่วยื่นกระบี่ไม้ที่มีรอยไหม้สีดำให้ฉินหลิง สายตาที่มองไปทางชายหนุ่มตรงหน้านั้นแฝงไว้ด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพ่อถึงได้ย้ำหลายคราว่าต้องนำไม้ผุๆชิ้นนี้มาให้เขา

    ฉินหลิงพุ่งเข้าไปคว้ากระบี่ไม้เข้ามาดูทันที หลังจากลอบสังหารเจ้าสำนักเซี่ยไม่สำเร็จ เขาก็ไม่ได้เห็นกระบี่ไม้เล่มนี้อีกเลย ไม่คิดเลยว่าเซี่ยชิงหมินจะเป็นคนเก็บมันเอาไว้ให้ เมื่อได้อาวุธคู่กายกลับคืนมา จิตใจที่หนักอึ้งมาตลอดราวกับถูกปล่อยวาง

    เซี่ยรั่วหรูเผยหน้าแดงระเรื่อในขณะที่เห็นชายหนุ่มยิ้มออกมา เกิดอะไรขึ้น? ทำไมข้าถึงใจสั่นเช่นนี้ด้วย! 

    “หือ.... เจ้าเป็นอะไร?” ฉินหลิงเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย เขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากสีหน้าของนาง

    “มะ...ไม่มีอะไร ท่านพ่อได้ฝากคำเตือนมาให้เจ้าด้วย เขาบอกว่าเจ้าควรเลือกอาวุธคู่กายใหม่ จงให้ใจเป็นนาย อย่าได้ตกเป็นทาสของอาวุธ มิฉะนั้นหนทางในอนาคตจะไม่มั่นคง” เซี่ยรั่วหรูก้มหน้าลงขณะพูด ถึงแม้ว่าไม่รู้ทำไม แต่นางไม่ต้องการให้ชายหนุ่มเห็นใบหน้าแดงก่ำของนางในยามนี้

    ฉินหลิงพยักหน้าอย่างเล็กน้อย เซี่ยชิงหมินย่อมต้องรู้จักว่าสิ่งที่ฉินหลิงใช้คือกระบี่ ไม่แปลกที่เขาต้องการเตือนฉินหลิง เพราะอย่างไรกระบี่ก็นับว่าเป็นอาวุธที่ไม่มีอนาคตในโลกฝึกฝน เขาคงคิดว่าพลังทำลายที่ฉินหลิงสร้างบาดแผลแก่เขาคงมาจากกระบี่ไม้เล่มนี้

    อย่างไรก็ตามเขาคงนึกไม่ถึงว่าฉินหลิงมีตัวอ่อนกระบี่ที่เป็นเจตจำนงสุดท้ายของวิถีแห่งราชันศาสตราวุธ

    ............................................

    หลังเดินทางออกจากสำนักทะยานฟ้าครึ่งค่อนวัน ฉินหลิงก็ยังไม่เห็นอาจารย์ตัวน้อยนำของวิเศษเหาะเหินออกมา ราวกับว่านางไม่ได้มีเจตนาที่จะกลับสำนักขจีไพรสัน

    ก่อนที่ฉินหลิงจะได้เอ่ยถามอะไร เสียงของถางอีเหวินดังขึ้น “ออกมาได้แล้ว”

    ฟุบ!

    ทันใดนั้นเอง ร่างชายหนุ่มพลันปรากฏตัวด้านหน้าขวางกลุ่มของฉินหลิง

     “คารวะท่านบรรพชน” ชายหนุ่มในชุดสีดำยกมือคำนับพร้อมรอยยิ้ม

    ท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าช่างดูคุ้นเคย แต่หน้าตาของเขากลับไม่ใช่คนที่ฉินหลิงเคยพบเห็นมาก่อน เขาเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายลอบตามมาทั้งที่รู้ว่ามีถางอีเหวินเป็นผู้นำมีจุดประสงค์อะไร? แต่จากท่าทางและคำพูด ชายผู้นี้น่าจะเป็นคนของสำนักขจีไพรสัน

    “ชิงชิงเป็นคนส่งเจ้ามารึ?”

    “ขอรับ  เป็นท่านเจ้าสำนักกังวลว่าจะเกิดอะไรกับ... ไม่สิ คงไม่เป็นอะไรแล้ว” ชายหนุ่มตรงหน้าหันมามองทางฉินหลิงพร้อมกับพยักหน้าให้อย่างเป็นกันเอง

    “เจ้ากลับไปบอกนางว่าเจ้าเด็กสารเลวผู้นี้ไม่เป็นอะไร ส่วนข้าและเขายังไม่กลับสำนักไปอีกซักพัก.. แล้วก็ฝากบอกนางด้วยว่าข้ารับบุตรสาวของเจ้าสำนักทะยานฟ้าเป็นศิษย์ ให้นางเตรียมพิธีคารวะให้เรียบร้อย”

    สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดแต่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาก้าวถอยหลังและหายวับไปราวกับไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก

    ไม่เพียงแต่ฉินหลิงเท่านั้นที่ตกตะลึงกับการหายไปโดยไร้ร่องลอยของชายหนุ่ม แม้แต่เซี่ยรั่วหรูยังเบิกตากว้าง นางเองเป็นถึงผู้ฝึกตนแก่นทองคำ แต่นางกลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มเมื่อครู่เลย

    ถางอีเหวินยิ้มออกมาขณะที่มองไปยังท่าทางตกตะลึงของศิษย์ทั้งสอง

    “ท่านอาจารย์ เขาเป็นใครกัน?” ฉินหลิงเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนก่อนหน้าในสำนักมาก่อน หลังจากได้ทำหน้าที่กุนซือของสำนักขจีไพรสัน ทำให้เขาได้รู้ข้อมูลต่างๆมากมาย แต่ไม่มีสิ่งใดที่เขารู้เกี่ยวข้องกับชายหนุ่มเมื่อครู่เลย

    “เจ้าเองก็รู้จักเขาดี”

    หลังจากได้คำตอบจากถางอีเหวิน ฉินหลิงุนงงงยิ่งกว่าเดิม คิ้วขมวดจนเป็นแทบพันเป็นปม เขาพยายามนึกว่าเคยเจอกับชายหนุ่มที่ไหน... แต่ดูเหมือนพวกเขาเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

    “ชายผู้นั้นคือผู้อาวุโส4ที่เจ้าได้เห็นประจำเมื่อหารือปรึกษาปัญหาภายในสำนักยังไงล่ะ เขาเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการแปลงกายและพรางตัว เขาสามารถลอบแฝงตัวไปในเงามืดได้ทุกที่ ต่อให้ชนชั้นหลอมรวมทั่วไปก็ไม่มีทางที่จะรับรู้การคงอยู่ของเขาได้ ข่าวสารสำคัญต่างก็เป็นเขานี้แหละที่รับหน้าที่รวบรวมมา เพื่อสะดวกในการเคลื่อนไหวเขาจึงมีหลายตัวตน และที่เจ้าเห็นก่อนหน้าคือหนึ่งในตัวตนที่เขาแสดงออกมา” ถางอีเหวินบอกถึงตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มเมื่อครู่

    เมื่อรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มเมื่อครู่ ฉินหลิงจึงมั่นใจทันทีว่าสำนักขจีไพรสันยังมีไพ่ตายอีกมากที่เขาไม่รู้ แต่ก็เป็นธรรมดา สำนักใหญ่ที่คงอยู่มานานหลายร้อยปี มีหรือที่จะธรรมดา?

    “เขาเป็นผู้อาวุโสในสำนักเจ้ารึ?” เซี่ยรั่วหรูเอ่ยถามกับชายหนุ่ม ถึงแม้ว่านางจะไม่ชอบหน้าฉินหลิงเท่าไหร่ที่เคยหลอกนาง แต่ความรู้สึกผูกพันในใจที่เกิดจากสายเลือดเดียวกันทำให้นางรู้สึกเป็นกันเองกับฉินหลิงอย่างไม่รู้ตัว

    ฉินหลิงพยักหน้าเล็กน้อย ผู้อาวุโส4ผู้นี้คือคนที่ชอบปลอมตัวเป็นศิษย์ในสำนัก คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังมีตัวตนอีกมากมาย 

    ตลอดทางฉินหลิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาราวกับครุ่นคิดอะไรบ้างอย่าง

    “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่รึ?” ถางอีเหวินหันกลับไปถามชายหนุ่มที่กำลังตามหลังมา

    “ท่านอาจารย์ ที่ท่านบอกว่าผู้อาวุโส4เชี่ยวชาญด้านการปลอมกายและแฝงตัวได้ทุกที่นั้น ย่อมรวมถึงสำนักขจีไพรสันด้วยสิน่ะ หากว่าเขาคิดวางแผนร้ายต่อสำนักเรา มันจะไม่แย่เอารึ?” ฉินหลิงเผยความกังวลออกมา เขามองสำนักขจีไพรสันเป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเห็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านหลังนี้จึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

    ถางอีเหวินยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้าคิดจริงๆรึว่าสำนักใหญ่จะยินยอมให้ผู้อาวุโสในสำนักทรยศหักหลังได้ ก่อนที่จะกลายเป็นผู้อาวุโส พวกเขาต้องยินยอมให้เหล่าบรรพชนดึงเสี้ยวพลังวิญญาณออกมาเก็บในสำนักและใช้การประทับตราวิญญาณ”

    “ประทับตราวิญญาณ?” 

    “ใช่.. การประทับตราวิญญาณ อธิบายง่ายๆก็เหมือนกับการติดตราประจำตัวเพื่อระบุว่าพวกเขาใช่คนจากสำนักเรารึไม่? ต่อให้เกิดการทรยศขึ้นมา เหล่าเจ้าสำนักก็สามารถใช้อาคมเฉพาะในการตามล่าหาผู้ทรยศได้ อย่างเหตุการณ์เมื่อ10ปีก่อนที่เกิดกับเจ้าคนตระกูลเฉิง พวกเราสามารถตามล่าเขาได้ในชั่วพริบตาเพราะอย่างไรเขาก็ได้ประทับตราวิญญาณเก็บไว้ในสำนักแล้วยังไงล่ะ” ถางอีเหวินเอ่ยออกมาเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มกังวล

    แน่นอนว่าการทำเช่นนั้นคงทำให้เหล่าผู้อาวุโสไม่กล้าคิดทรยศ... แต่หากพวกเขาเตรียมใจตายไว้แล้วล่ะ? เรื่องราวคงจะยุ่งเหยิงจนยากจะแก้ไขหากว่าเหล่าผู้อาวุโสต้องการลากสำนักให้ตายไปพร้อมกับตัวเอง และยังไม่รวมหากผู้อาวุโสที่ทรยศไปเข้าร่วมกับสำนักที่มีพลังในระดับเดียวกัน…

    ผ่านไปอีก2วัน ตลอดทางถางอีเหวินเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนเกือบเท่าความเร็วของผู้ฝึกตนขั้นแก่นทองคำแล้ว

    ความเร็วระดับนี้สำหรับเซี่ยรั่วหรูที่อยู่ในขั้นแก่นทองคำอยู่แล้วไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก แต่สำหรับฉินหลิงที่ยังมีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นสร้างฐานนับได้ว่ายากลำบาก เขาต้องฝืนร่างกายตัวเองอย่างหนักเพื่อตามความเร็วผู้เป็นอาจารย์ให้ทัน

    ตลอดทางเซี่ยรั่วหรูหันมามองฉินหลิงอยู่เรื่อยๆ เดิมทีนางคิดว่าเขาน่าจะหมดแรงตั้งแต่ครึ่งวันแรก นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงสามารถฝืนเดินทางด้วยความเร็วระดับนี้ได้ตั้ง2วัน 

    “ใกล้ถึงแล้ว รีบตามข้าให้ทัน” และนี้คือคำพูดแรกที่ถางอีเหวินเอ่ยออกมาหลังจากผ่านไป2วัน ตลอดทางนางคอยเพิ่มความเร็วโดยที่ไม่ได้บอกจุดประสงค์อะไรแก่ลูกศิษย์ทั้งสองเลย

    ทันใดนั้นเองถางอีเหวินก็เร่งความเร็วขึ้นอีก ความเร็วตอนนี้ของนางเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนแก่นทองคำขั้นกลางเลยทีเดียว เพียงพริบตานางก็ทิ้งห่างศิษย์ทั้งสองไปไกล

    “เจ้ายังไหวไหม?” เซี่ยรั่วหรูหันไปเอ่ยถามฉินหลิงที่กำลังหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยด้วยความกังวล 

    ฉินหลิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอนนี้ร่างกายเขาแทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้ทำยังไงก็ไม่อาจฝืนเร่งความเร็วได้อีก 

    ทว่าเขาคือผู้ใช้อักขระที่สามารถสลักรูนอักขระในร่างได้ถึง11ตัว สายตาของฉินหลิงจดจ้องไปยังร่างหญิงสาวตัวเล็กที่พุ่งไปจนแทบมองไม่เห็น

    ตูม!!

    ร่างกายของฉินหลิงเปล่งแสงออกมา ภายในร่างกายมองเห็นแสงสว่างอยู่11ตำแหน่งตามที่เขาเคยสลักอักขระเข้าในร่าง

    เซี่ยรั่วหรูเบิกตาอย่างตกตะลึง นางคาดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนถึงขีดจำกัดแล้วจะระเบิดพลังออกมาได้ถึงขนาดนี้ ทว่าก่อนที่นางจะได้กล่าวอะไรออกไป เขาก็เร่งความเร็วจนแซงหน้านางไปแล้ว

    การเห็นฉินหลิงนำหน้าไปแล้วทำให้เซี่ยรั่วหรูรู้สึกหงุดหงิด นางอุส่ากังวลว่าเขาจะวิ่งต่อไม่ไหว แต่ที่ไหนได้เขากลับระเบิดพลังอักขระในร่างและใช้ความเร็วเกินระดับขั้นบำเพ็ญนำหน้านางไปไกล

    “เจ้าคนบ้า! ทำไมไม่ยอมบอกว่าเป็นผู้ใช้อักขระ ทำให้ข้าต้องเป็นห่วง” เซี่ยรั่วหรูระเบิดพลังวิญญาณในร่างและวิ่งตามด้วยความเร็วสูง ในฐานะบุตรสาวของเจ้าสำนักใหญ่ นางได้ศึกษาเคล็ดวิชาเคลื่อนที่มากมาย การเคลื่อนไหวของนางไม่เพียงแต่รวดเร็วแต่ยังพลิ้วไหวและงดงาม

    เพียงพริบตาเซี่ยรั่วหรูก็ตามฉินหลิงทัน นางพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาไปทางชายหนุ่มก่อนจะรีบทะยานไปข้างหน้า

    ฉินหลิงไม่ได้ให้ความสนใจกับท่าทีไม่พอใจของหญิงสาวแม้แต่น้อย สายตาของเขาจดจ้องไปเพียงด้านหน้าด้วยความมุ่งมั่นเท่านั้น

    หลังจากวิ่งด้วยความเร็วสูงเกือบครึ่งวัน ฉินหลิงก็มาถึงจุดหมาย

    แน่นอนว่าถางอีเหวินยืนรออยู่พร้อมกับเซี่ยรั่วหรูก่อนแล้ว

    ฉินหลิงมาถึงตรงหน้าอาจารย์ตัวน้อยก็ล้มตัวนอนไปกับพื้น แสงสว่างจากรูนอักขระในร่างเหลือเพียงตำแหน่งเดียว ปราณวิญญาณในร่างแทบเกลี้ยง หากว่าต้องวิ่งไกลกว่านี้เขาคงหมดสติไประหว่างทางเป็นแน่ 

    ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า โดยเฉพาะการต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมากเช่นนี้

    “แฮ่กๆๆ ท่านอาจารย์.. ท่านพาข้ามาที่ไหนกัน” ฉินหลิงเอ่ยถามทั้งที่ยังนอนหายใจหอบ  ดูเหมือนจุดหมายปลายทางของอาจารย์ตัวน้อยคือป่าทึบด้านหน้า 

    ถางอีเหวินเพียงแค่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มของอาจารย์ตัวน้อยชวนให้ใจสั่นอย่างยิ่ง

    สีหน้าของเซี่ยรั่วหรูซีดขาวราวกับหวาดกลัวบางอย่าง เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้อยู่ไม่ห่างจากสำนักทะยานฟ้ามากนัก นางจึงรู้จักเป็นอย่างดีและยังรู้ว่าป่าตรงหน้าไม่ใช่สถานที่ธรรมดา

    “เจ้ารู้รึว่านี้คือที่ใด?” ฉินหลิงเอ่ยถามขณะที่ในมือกำหินวิญญาณเพื่อรีบฟื้นฟูปราณวิญญาณที่สูญเสียไป

    เซี่ยรั่วหรูพยักหน้าก่อนจะพูดเสียงเบา “นี้คืออาณาเขตมู่หลงที่ยังไม่ได้ผ่านการบุกเบิกเส้นทาง”

    ทันใดนั้นเองฉินหลิงรีบหันไปทางอาจารย์ตัวน้อย “ท่านคงไม่คิดให้พวกข้าเข้าไปข้างในจริงๆหรอกน่ะ”

    “สมกับเป็นศิษย์รักของข้า เจ้าช่างรู้ใจข้าจริงๆ” ถางอีเหวินเอ่ยออกมาโดยไม่สนใจสีหน้าบิดเบี้ยวของศิษย์ทั้งสองคนแม้แต่น้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×