ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #192 : บรรพชนชราเเห่งสำนักขจีไพรสัน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.3K
      824
      12 ก.พ. 63

    ชายชราผู้ถูกเรียกขานว่าท่านบรรพชนเหม่อมองไปบนฟ้าอย่างเจ็บใจ เคล็ดวิชาของเขาไม่อาจต้านทานหรือถ่วงเวลาได้แม้แต่น้อย  แค่เพียงแขนข้างเดียวยังขนาดนี้แล้วความแข็งแกร่งของเจ้าแดนร่างยักษ์ที่อยู่อีกฝั่งของมิติจะน่ากลัวขนาดไหนกัน ชนชั้นประสานวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ในทวีปหนานหวู่เปรียบเสมือนมดตัวจ้อยในสายตาชนชั้นเจ้าเเดน

     

    แรงระเบิดก่อนหน้านี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายที่ถูกกดจมลงพื้นดินด้วยกลิ่นอายของผู้ฝึกตนชนชนชั้นเจ้าแดนโดยไม่อาจเคลื่อนไหวได้ก็ถูกกระแทกจนลอยไปไกล

     

    ชายชราหันกลับไปเหลือบมองเจ้าสำนักแซ่หลานที่ทรุดเข่าด้านหลังอย่างชิงชัง ในอดีตเขาได้ยุติปัญหาของถางอีเหวินและทายาทตระกูลหลานผู้นี้แล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าทายาทในตระกูลของเขาที่เป็นถึงเจ้าสำนักจะชั่วร้ายถึงขนาดบีบคั้นสาวน้อยผู้น่าสงสารคนนั้นจนนางต้องใช้วิธีสิ้นคิดเช่นนี้

     

    เพียงแค่เหลือบมองสภาพของผู้อาวุโส2 ชายชราผู้เป็นบรรพชนของสำนักขจีไพรสันก็รู้ได้เลยว่านางโดนเจ้าสำนักลอบทำร้าย เดิมทีเขาเคยหวังไว้ว่าจะให้ผู้อาวุโส2สืบทอดตำแหน่งบรรพชนต่อจากตน ต้องรู้ว่าอายุขัยของเขาใกล้จะจบสิ้นลงเต็มทีแล้ว ดังนั้นที่พึ่งสุดท้ายของสำนักขจีไพรสันจึงตกไปอยู่ในมือของถางอีเหวิน

     

    ในขณะที่สำนักยังไม่มียอดฝีมือขั้นประสานวิญญาณคนใหม่เกิดขึ้นมา ตัวเขาก็ได้เพียงถ่วงเวลาเรื่อยมาเพื่อหวังว่าถางอีเหวินที่มีพรสวรรค์สูงสุดในกลุ่มผู้อาวุโสทั้งหมดจะสำเร็จขั้นประสานวิญญาณโดยไวและเข้ามาดูแลสำนักแทนก่อนที่ตนจะสิ้นอายุขัยลงไป  หากสำนักขจีไพรสันไม่มีชนชั้นประสานวิญญาณดูแลสำนักแห่งนี้ก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อให้อีก5สำนักแย่งชิงอย่างเเน่นอน

     

    เจ้าสำนักแซ่หลานที่เห็นสีหน้าของผู้เป็นบรรพชนก็รีบก้มหน้าลงทันที เหงื่อไหลหลั่งท่วมหน้าจนหยดลงสู่พื้น เขารับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวที่เขาก่อขึ้นมันใหญ่โตเกินที่จะให้อภัย

     

    “ถางอีเหวินเอ๋ย... ข้าขอร้องเจ้าในฐานะบรรพชนแห่งสำนักขจีไพรสันและขอโทษแทนเจ้าเด็กชั่วผู้นี้ด้วย แต่ได้โปรดถอนอาคมอัญเชิญโดยเร็วเถิด เหล่าศิษย์สำนักมากมายต่างเป็นคนบริสุทธิ์ เจ้าอย่าได้เอาความเคียดแค้นมาลงที่พวกเขาเลย” บรรพชนชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง การที่เคล็ดวิชาเมื่อครู่ถูกทำลายมันได้สะท้อนมายังร่างของเขา ด้วยอายุที่หลงเหลือไม่มากจึงทำให้บาดเจ็บอย่างหนัก

     

    “ขะ...ข้า” ถางอีเหวินเกิดอาการลังเลในใจขึ้นมาทันที คำขอร้องของชายชราตรงหน้าทำให้นางเริ่มใจอ่อน ในอดีตบรรพชนท่านนี้ได้ออกมาจากการเก็บตัวเพื่อห้ามการต่อสู้ของนางและเจ้าสำนัก เขาไม่ใช้ความเป็นคนตระกูลหลานใส่ร้ายนางแต่กลับให้ความเป็นธรรมแก่นางและยังแต่งตั้งนางให้มีศักดิ์เทียบเท่าเจ้าสำนัก หากจะกล่าวจริงๆผู้ที่น่ายกย่องที่สุดในชีวิตของนางย่อมหนีไม่พ้นบรรพชนท่านนี้

     

    ระหว่าง200ปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่เขาออกจากการเก็บตัวเพื่อมาชี้แนะนางให้เข้าสู่ระดับ ค้นหาเต๋า  แน่นอนว่านางเข้าใจจุดประสงค์ของชายชราผู้นี้ดี เขาหวังให้นางดูแลสำนักขจีไพรสันต่อจากเขา

     

    อย่างไรก็ตาม เจ้าสำนักแซ่หลานผู้นั้นยังคงหาเรื่องนางไม่เลิกรา  เขากระทั้งกล้ากล่าวว่าร้ายนางว่าเป็นกบฏของสำนักทั้งที่ตัวนางทำตามกฎกติกาทุกอย่าง การลงโทษชายชราจากตระกูลเฉิงที่ลงมือทำร้ายกับศิษย์คนใหม่ของนางเองก็อยู่ในระเบียบของสำนัก แต่เจ้าสำนักแซ่หลานผู้นั้นกลับวางแผนลอบทำร้ายนาง

     

    ในขณะที่ถางอีเหวินกำลังลังเลใจอยู่นั้นเอง

     

    “ในเมื่อเจ้าไม่เอ่ยความต้องการออกมา เช่นนั้นข้าก็จะทำลายพื้นที่โดยรอบให้หมดสิ้นก็แล้วกัน” ราวกับรับรู้ความในใจของถางอีเหวินที่กำลังหวั่นไหว แขนยักษ์สีดำค่อยๆปล่อยแรงกดดันออกมายิ่งกว่าเดิม คลื่นลมสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรงราวกับเกิดพายุยักษ์

     

    “ไม่ได้การแล้ว!!” บรรพชนที่เห็นความต้องการของแขนยักษ์ก็หน้าซีดก่อนจะกัดฟันแน่นราวกับกำลังตัดสินใจจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่

     

    “ถางอีเหวิน หากข้าตายไป ข้าขอให้เจ้าดูแลสำนักแห่งนี้แทนข้าด้วย”ชายชราหันมาเอ่ยกับถางอีเหวินด้วยสีหน้าอ่อนโยนและยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะเงยหน้ามองแขนยักษ์สีดำทมิฬบนฟ้าอย่างจริงจัง

     

    บรรพชนแห่งสำนักขจีไพรสันดึงใบไม้ที่มีขนาดใหญ่กว่าร่างของเขาออกมาจากแหวนมิติ  ทันใดนั้นเองพลังชีวิตมหาศาลแพร่กระจายออกมาจากใบไม้ยักษ์ที่ลอยอยู่เบื้องหน้าของชายชรา เหล่าผู้ฝึกตนสายพฤกษาที่อยู่โดยรอบต่างได้รับการฟื้นฟูจากกลิ่นอายของใบไม้ที่บรรพชนเอาออกมา

     

    “หวังว่าการเสียสละครั้งนี้จะคุ้มค่า” เอ่ยจบชายชราก็พ่นโลหิตสีทองออกมาจากร่างเข้าไปในใบไม้ที่ลอยตรงหน้าพร้อมกับประสานอิน

     

    ใบไม้ยักษ์ที่กระจายพลังชีวิตไปทั่วสั่นไหวเบาๆหลังจากได้รับโลหิตสีทองของชายชรา

     

    “ท่านบรรพชน!!

     

    “นั้นมันแก่นแท้โลหิตมิใช่รึ?

     

    “ท่านบรรพชนถึงกับสละแก่นโลหิตของตัวเองเพื่อหยุดหายนะครั้งนี้เลยรึ”

     

    “บ้าเอ๊ย!! หากรู้เช่นนี้ ข้าไม่มีทางฟังคำของเจ้าคนแซ่หลานผู้นั้นเป็นแน่... สุดท้ายก็เป็นมันที่นำพาหายนะมาสู่สำนัก”

     

    “หากข้ายังไม่ตาย เจ้าผู้แซ่หลาน ต่อให้ต้องตายข้าจะจัดการเจ้าให้รู้จักนรก!!

     

    เหล่าผู้อาวุโสที่ฟื้นกำลังจากคลื่นพลังชีวิตที่ใบไม้ยักษ์แพร่ออกมาก็สบถอย่างไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นชายชราพ่นโลหิตสีทองออกมา  ต้องรู้ว่าโลหิตสีทองนั้นคือแก่นแท้ของโลหิตที่ในชีวิตของผู้ฝึกตนจะมีเพียงไม่กี่หยดเท่านั้นและโลหิตสีทองนั้นเองคือแหล่งพลังสำคัญของเหล่าผู้ฝึกตนที่ก้าวผ่านขั้นแก่นทองคำไปแล้ว

     

    การเสียสละพลังฝึกตนแทบทั้งชีวิตของชายชราผู้เป็นบรรพชราทำให้เหล่าผู้อาวุโสหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเศร้าเสียใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาที่เป็นผู้อาวุโสหลักต่างเคยพบท่านบรรพชนเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น จึงพูดได้ยากว่านิสัยของชายชราเป็นเช่นไร

     

    แต่เมื่อได้เห็นการเสียสละเช่นนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสต่างสั่นสะท้าน  ด้วยพลังขั้นประสานวิญญาณ เขาสามารถหนีจากแขนยักษ์ที่ถูกอัญเชิญออกมาไม่ยากเย็น แต่เขากลับออกมาเผชิญหน้าเพื่อปกป้องเหล่าศิษย์ของสำนักอย่างไม่กลัวตาย

     

    เทียบกับทายาทตระกูลหลานที่เป็นถึงเจ้าสำนักแล้ว ความแตกต่างของทั้งสองราวกับมิใช่คนตระกูลเดียวกัน

     

    ใบไม้ยักษ์ที่ถูกกระตุ้นด้วยแก่นแท้โลหิตก็ลอยขึ้นบนฟ้า เส้นใยบนใบไม้ค่อยๆหลุดลอกออกมาราวกับตาข่ายก่อนจะพุ่งเข้าไปรัดแขนที่ออกมาจากอีกมิติอย่างรวดเร็ว แรงกดดันที่ออกมาจากแขนสีดำสนิทบนฟากฟ้าค่อยๆถูกผนึกลง

     

    ขณะเดียวกันชายชราที่กำลังเร่งรีบประสานอินเพื่อควบคุมใบไม้ยักษ์บนท้องฟ้าก็หลั่งเหงื่อออกมาท่วมหน้า สีหน้าของผู้บรรพชนแสดงให้เห็นเลยว่าตัวเองเจ็บปวดขนาดไหน ในขณะที่กำลังร่ายคาถาเขาก็กระอักเลือดออกมาเป็นระยะๆ การฝืนใช้เคล็ดวิชาเพื่อควบคุมใบไม้ยักษ์ในขณะที่ร่างไม่มีแก่นแท้โลหิตสร้างภาระแก่ร่างกายอย่างมาก

     

    แต่ด้วยฐานะบรรพชนของสำนักขจีไพรสัน เขาจะไม่ยอมให้สำนักต้องมาจบสิ้นในรุ่นของตน ต่อให้ต้องใช้ชีวิตแลกก็ตาม

     

    “หืม.... นี่มันหรือว่าจะเป็นใบของต้นไม้แห่งโลก ” น้ำเสียงแปลกใจของเจ้าแดนแห่งโลกมารดังขึ้นมาหลังจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชีวิตของใบไม้ยักษ์ที่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นตาข่ายพันธนาการแขนของเขา “ไม่คิดเลยว่าผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วยังมีใบของต้นไม้แห่งโลกหลงเหลืออยู่อีก หากพวกเผ่าพฤกษารู้เข้าคงทำทุกอย่างเพื่อเจ้าเศษใบไม้นี้เป็นแน่ แต่ก็ช่างน่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถหลอมมันเป็นของวิเศษได้ มิเช่นนั้นคงอาจจะต้านทานและรั้งข้าไปอีกซักพัก สำหรับมดปลวกอย่างเจ้าก็ถือว่าทำได้ไม่เลว เอาเถอะข้าจะส่งเจ้าไปปรภพอย่างรวดเร็วเอง!!

     

    ผู้คนโดยรอบที่ได้ยินว่าใบไม้ยักษ์นั้นคือใบของต้นไม้โลกต่างก็พากันตกตะลึง ต้องรู้ว่าในอดีตต้นไม้โลกคือแหล่งพลังไร้ขีดจำกัดของเผ่าพฤกษา หากไม่เพราะพวกมันไปล่วงเกินเจ้าแดนกระบี่เดียวดายเข้า บางทีเผ่าพันธุ์พฤกษาอาจจะเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ใหญ่ไปแล้วก็เป็นได้

     

    ทันใดนั้นเองเสียง ตู๊มก็ดังขึ้นอีกครั้ง ตาข่ายสีเขียวที่เกิดจากการเปลี่ยนใบของต้นไม้โลกเป็นตาข่ายพันธนาการถูกระเบิดกลายเป็นแสงสีเขียวและถูกพัดไปตามสายลม

     

    ชายชราที่กำลังร่ายอาคมควบคุมอยู่ก็กระอักเลือดสีดำคำโตและทรุดลงไปกับพื้น คลื่นพลังชีวิตในร่างสั่นไหวราวกับเปลวไฟจากเทียนไขที่สามารถดับได้ทุกเมื่อ สายตาของเขาจ้องมองไปยังรอยแยกมิติบนฟ้าด้วยความเสียใจ แม้แต่อาวุธสุดท้ายอย่างใบไม้ของต้นไม้โลกยังไม่อาจหยุดยั้งแขนข้างเดียวของผู้ฝึกตนของเจ้าแดนได้เลย

     

    ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของระดับเจ้าแดนเกินความเข้าใจของผู้ฝึกตนในทวีปหนานหวู่ไปไกล

     

    แทบจะในเวลาเดียวกัน ละอองสีเขียวที่พลิ้วไหวไปตามสายลมก็ถูกพัดพามายังตำแหน่งของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังนั่งทรุดเข่าข้างหนึ่ง ราวกับเป็นปณิธานสุดท้ายที่ใบของต้นไม้แห่งโลกต้องการ  คลื่นพลังชีวิตจากแสงสีเขียวหมุนวนเข้าร่างของฉินหลิงอย่างรวดเร็ว

     

    ผู้อาวุโส4ที่ทำหน้าที่คุ้มกันฉินหลิงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น  แสงสีเขียวที่ถูกเจ้าแขนยักษ์ทำลายลงไปกลับถูกเด็กหนุ่มที่เป็นศิษย์ของผู้อาวุโส2ดูดกลืนเข้าไปทั้งอย่างนั้นเลยรึ?

     

    แม้แต่ฉินหลิงเองก็ยังไม่เชื่อเลยว่าคลื่นพลังสุดท้ายของต้นไม้โลกจะตัดสินใจเข้ามาเป็นพลังงานให้แก่เขา  ตัวอ่อนกระบี่ที่อ่อนแรงจากการฝืนใช้พลังรับการโจมตีของชายชราตระกูลเฉิงก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง พลังชีวิตสีเขียวที่ไหลหลั่งเข้ามาในร่างของฉินหลิงถูกตัวอ่อนกระบี่กัดกินเพิ่มเป็นแหล่งพลังอย่างรวดเร็ว

     

    อย่างไรก็ตามพลังชีวิตของใบไม้ยักษ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากต้นไม้โลกก็มีพลังเกินกว่าผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณจะทนไหว ถึงแม้จะมีตัวอ่อนกระบี่ช่วยดูดซับพลังงานชีวิตไปบางส่วนแต่คลื่นพลังในร่างของเขายังมากเกินไปอยู่ดี

     

    สีหน้าของฉินหลิงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนกับถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง  เขาครางออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับร่างกายกำลังระเบิด พลังฝึกตนทะลวงเข้าสู่ก่อตั้งวิญญาณระดับ3และผ่านไปสู่ระดับ4อย่างรวดเร็ว

     

    การทะลวงอย่างรวดเร็วเกิดจากพลังวิญญาณที่เอ่อล้นออกมาจนเขาไม่อาจควบคุมไหวและทำได้เพียงฝืนทะลวงขั้นพลังเพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บไอวิญญาณในตันเถียนเพราะหวังว่าจะรองรับพลังชีวิตมหาศาลจากละอองสีเขียวที่เข้ามาในร่างได้

     

    อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าร่างกายของผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณจะไม่สามารถรองรับพลังชีวิตมหาศาลได้อีกต่อไป เนื้อตัวของฉินหลิงบวมเป่งขึ้นราวกับถูกฉีดน้ำเข้าไปในร่าง

     

    ผู้อาวุโส4ที่เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบส่งพลังเข้าไปในร่างของชายหนุ่มตรงหน้าและผนึกคลื่นพลังชีวิตของละอองสีเขียวเพื่อหวังช่วยชีวิตของฉินหลิง

     

    ผ่านไปไม่นานพลังชีวิตที่ออกมาจากละอองสีเขียวก็ค่อยๆถูกผลึก ในขณะที่ผู้อาวุโส4หอบหายใจออกมาพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาท่วมหน้า  เพียงแค่ละอองสีเขียวที่ถูกแขนยักษ์ทำลายไปแล้วยังทรงพลังขนาดนี้ แล้วใบไม้ยักษ์ที่บรรพชนเอาออกมาคราแรกนั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ในที่สุดเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านบรรพชนถึงต้องเสียสละใช้แก่นแท้โลหิตในการควบคุมใบของต้นไม้โลก

     

    แต่พอแหงนมองบนฟ้าแล้ว เขาก็ทราบได้ทันทีว่าขนาดใบไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตขนาดนั้นยังถูกทำลายด้วยกระบวนท่าเดียว ผู้ฝึกตนขั้นเจ้าแดนเกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาไปไกลแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×