ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #184 : ความไร้ยางอายของผู้เฒ่าตระกูลเฉิง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.83K
      763
      12 ก.พ. 63

    การต่อสู้ระหว่างคุณชายจากตระกูลเฉิงที่ยิ่งใหญ่กับชายหนุ่มปริศนาที่มีพลังเพียงก่อตั้งวิญญาณขั้น2ทำให้เหล่าศิษย์ที่กำลังเข้ามารับชมอยู่ข้างเวทีต่างพากันตื่นเต้นจนเดือดพล่าน ในตอนแรกไม่มีใครกล้าคิดเลยว่าศิษย์ภายนอกธรรมดาคนหนึ่งจะคว้าชัยจากเฉีงอี้หานที่ถูกเลี้ยงดูฟูมฟักจากตระกูลเฉิงมาอย่างดีได้

     

    ไม่ต้องพูดถึงผู้ชมที่เป็นศิษย์ตัวน้อยที่ฝึกตนมาไม่ถึงร้อยปีเลย แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสขั้นแก่นทองที่กำลังยืนอยู่รอบนอกยังแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มผู้ที่เป็นทั้งผู้ใช้และผู้จารึกอักขระพุ่งเข้าปะทะกับกระบี่บินในตำนาน หากในครั้งแรกที่เขาใช้เลือดตัวเองเซ่นสังเวยเพื่อควบคุมและหยุดการทำงานของระฆังคุ้มกายนั้นยังคงอยู่ความเข้าใจของพวกเขา แต่การยึดเอากระบี่มาเป็นของตนนั้นเกินขอบเขตความเข้าใจของเหล่าผู้เฒ่าขั้นแก่นทองไปอย่างสิ้นเชิง

     

    หลังจากการต่อสู้นี้จบลงชื่อฉินหลิงคงถูกพูดถึงในฐานะอัจฉริยะหน้าใหม่อย่างแน่นอน ด้วยความสามารถราวกับอสูรกายที่อาศัยเพียงพลังก่อตั้งวิญญาณขั้ร2แต่กลับโค่นศิษย์ภายนอกลำดับ10 พูดไปแล้วใครจะเชื่อ หากไม่ได้เห็นกับตามีหรือพวกเขาจะเข้าใจได้ถึงความน่ากลัวของผู้ฝึกตนสายอักขระวิถี

     

    “เฮๆๆๆๆ ฆ่ามัน!!!

     

    “สุดๆไปเลย ต่อจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าลูกพี่ ลูกพี่ฉิน”

     

    “เชือดมัน เอาเลือดมันมาสังเวยยยยย!

     

    เหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่โดยรอบตะโกนเสียงดังเพื่อกระตุ้นให้ฉินหลิงปลิดชีพเฉิงอี้หาน ต้องรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้สร้างแรงกระตุ้นแก่เหล่าศิษย์สำนักขจีไพรสันอย่างมากมาย พวกเขาที่เห็นการปะทะเดือดทำให้เกิดความรู้สึกฮึกเหิมราวกับตัวเองอยู่บนเวทีเสียเอง

     

    ฉินหลิงดึงกระบี่ที่ปักอยู่คาอกออกมาจากร่างของเฉิงอี้หานก่อนจะสะบัดคราบเลือดที่เกาะติดอยู่บนกระบี่ไม้ออกไป และจ้องมองไปยังกระบี่ในมือด้วยสีหน้าซับซ้อนยากจะเข้าใจ

     

    นับตั้งแต่เขาได้รับตัวอ่อนกระบี่มาจากเจ้าสำนักปีศาจทมิฬรุ่นที่10 เจ้าแดนกระบี่เดียวดาย เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวอ่อนกระบี่ที่ฝังตัวอยู่ในตันเถียนได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองปีที่ผ่านมายามที่เขาฝึกฝนศาสตร์แห่งอักขระสุดชีวิต เขาก็ไม่รู้สึกถึงตัวอ่อนกระบี่ในร่างราวกับมันหายไปจากตัวเขาไปเลย

     

    อย่างไรก็ตามในเวลานี้ตัวอ่อนกระบี่ที่ไร้รูปไร้ลักษณ์ตื่นจากการจำศีลที่ยาวนาน กระบี่ไม้ในมือขวาของฉินหลิงคือกระบี่เล่มแรกที่เขาใช้หลังจากบรรลุเป็นผู้ฝึกตน ต้องรู้ว่าเมื่อเต๋าแห่งกระบี่ถูกทำลายลง ทั้งเคล็ดวิชาและอาวุธอย่างกระบี่ก็ไร้ค่าไปทันที เมื่อเวลาไหลผ่านไปนานนับหมื่นปีจึงทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องการผู้ฝึกตนสายกระบี่ค่อยๆถูกกลบเลือนไปพร้อมกับกาลเวลา

     

    แน่นอนว่าฉินหลิงเองก็เคยรบกวนให้ตาเฒ่าหม่าช่วยตามหาสิ่งที่เกี่ยวกับผู้ฝึกตนสายกระบี่ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือเศษซากอาวุธ แต่อย่างไรความหวังของเขาก็ไม่เคยสำเร็จเลย

     

    แต่คาดไม่ถึงเลยว่าในการประลองเป็นตายกับศัตรูที่หึงหวงและคิดไปเองว่าตัวเขามีความสัมพันธ์กับถางเฉินซีที่ชอบเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์พี่จะได้พบอาวุธที่เขาตามหามาแสนนาน

     

    เส้นผมสีดำที่ผูกมัดอย่างหยาบๆพลิ้วไหวไปตามสายลม สายตาแน่วแน่ดั่งภูผาที่ตั้งมั่นราวอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล รวมกับมือขวาที่กุมกระบี่แน่นทำให้ภาพลักษณ์ของฉินหลิงในเวลานี้ดูราวกับเซียนกระบี่ที่หลุดมาจากยุคโบราณ

     

    กลิ่นอายที่ไหลออกมาจากร่างของฉินหลิงในเวลานี้ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกต่ำต้อยราวกับอีกฝ่ายเป็นจักรพรรดิในขณะที่ตัวพวกเขาเป็นเพียงสามัญชน

     

    ทันใดนั้นเองก็มีแสงพุ่งออกมาจากด้านนอกเวทีมายังตำแหน่งของเฉิงอี้หาน

     

    ฉินหลิงที่เห็นลำแสงสีเขียวพุ่งเข้ามาก็รีบถอยอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าด้วยพลังในตอนนี้ไม่อาจต้านชายชราที่พุ่งเข้ามาได้เลย

     

    “หานเอ๋อร์! เจ้าต้องไม่เป็นไร ปู่รองจะไม่มีทางให้เจ้าตายเด็ดขาด” เฉิงซือหยางรีบคว้าเอาเม็ดยาสีเขียวที่มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายใส่ปากของเฉิงอี้หานที่กำลังบาดเจ็บหนัก

     

    หากเป็นมนุษย์ธรรมดาถูกกระบี่แทงเข้ากลางอกคงไม่อาจยื้อชีวิตได้นานเพียงนี้อย่างแน่นอน แต่ร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นมีไอวิญญาณหล่อเลี้ยงอยู่จึงทำให้พวกเขาแข็งแกร่งและมีพลังชีวิตมากกว่ามนุษย์จะคาดคิด โดยเฉพาะเฉิงอี้หานที่ใกล้สำเร็จเป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐาน ดังนั้นหากไม่ได้ตัดหัวหรือทำลายอวัยวะภายในก็ยากที่จะฆ่าเขาได้

     

    “แค๊กๆ” เฉิงอี้หานที่ได้รับเม็ดยาจากผู้อาวุโสในตระกูลก็กระอักเลือดดำออกมา สีหน้าซีดเซียวในคราแรกเริ่มมีเส้นเลือดฝาด อาการบาดเจ็บเริ่มดีขึ้นทันตาแต่สายตาที่จ้องมองไปยังฉินหลิงยังคงแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว หากไม่เพราะมีผู้อาวุโสในตระกูลมีหรือเขาจะรอดชีวิตกลับมาได้

     

    ชายชุดดำที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการก็ส่ายหน้าเบาๆ เขาไม่ได้เข้าไปห้ามการกระทำของเฉิงซือหยางเพราะเขาต้องการปล่อยให้ชายชราช่วยชีวิตทายาทตระกูลเฉิง เขาคิดว่าอัจฉริยะอย่างชายหนุ่มที่ชื่อฉินหลิงยังมีอนาคตอีกไกลและไม่สมควรไปผิดใจกับคนตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฉิง เขาเชื่อว่าตราบใดที่ยังมีเวลาในอนาคตตระกูลเฉิงอาจจะเป็นเพียงหินรองเท้าให้ชายหนุ่มผู้ใช้อักขระ

     

    ทันใดนั้นเองเฉิงซือหยาง ชายชราจากตระกูลเฉิงหันมามองทางฉินหลิงอย่างโหดเหี้ยม “เป็นศิษย์สำนักเดียวกันแท้ๆทำไมถึงโหดเหี้ยมได้เช่นนี้ สำนักขจีไพรสันของเราไม่ใช่สำนักมารที่จะเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมไร้ปราณีเช่นนี้ นอกจากแย่งชิงยุทธภัณฑ์จากหลานข้า เจ้ายังถือดีที่ว่าเป็นผู้ฝึกตนอักขระแล้วมารังแกผู้อื่น ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักข้าขอลงทัณฑ์เจ้าเพื่อไม่ให้ศิษย์คนอื่นๆเอาเจ้าเป็นแบบอย่าง”

     

    เหล่าศิษย์โดยรอบต่างพากันอ้าปากค้างกับความหน้าหนาไร้ยางอายของผู้เฒ่าตระกูลเฉิง ต่อให้ใช้เท้าคิดพวกเขาก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของชายชราผู้นี้ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย พวกเขาท้าประลองเป็นตายแล้วเจ้าอ้างว่าโหดเหี้ยม? ตาเฒ่าหน้าท่านทำมาจากหินรึไง ทำไมถึงด้านได้ขนาดนี้!

     

    แน่นอนว่าเฉิงซือหยางเข้าใจดีว่าการกระทำของตัวเขาไม่ถูกต้องและผิดกฎของสำนัก แต่เพื่อช่วยเมล็ดพันธุ์ที่ดีอย่างเฉิงอี้หาน เขายอมถูกประณามดีกว่าต้องมาเห็นทายาทในตระกูลตายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้

     

    “ไปตายซ่ะ!!!” คลื่นพลังสีเขียวหมุนวนในฝ่ามือของเฉิงซือหยางปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วและพุ่งไปทางชายหนุ่มผู้เป็นศัตรูกับหลานชาย

     

    เฉิงซือหยางมองดูคลื่นพลังวายุพุ่งไปทางฉินหลิงด้วยสายตาเยือกเย็น เขารู้ดีว่าเขาต้องได้รับโทษสถานหนักอย่างแน่นอน ด้วยการฆ่าศิษย์อัจฉริยะไปเช่นนี้เบื้องบนของสำนักคงไม่ปล่อยผ่าน และด้วยพยานจำนวนมากขนากนี้ยังไงเขาก็หนีไม่รอด แต่เขาเชื่อว่าตราบใดที่ชายหนุ่มผู้นี้ตายไปเขาก็สามารถหาหนทางรอดได้ ด้วยอำนาจของตระกูลเฉิงที่มีผู้อาวุโส12คอยกำกับอยู่โทษตายคงเป็นไปไม่ได้แต่อาจถูกจำคุกหลายสิบปีแทน

     

    ถึงแม้การฆ่าอัจฉริยะจะมีความผิดร้ายแรง แต่อัจฉริยะที่ตายไปแล้วจะนับว่าเป็นอัจฉริยะได้อีกหรือ?

     

    ฉินหลิงเองที่กำลังสำรวจกระบี่ในมือก็รู้สึกตัวถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาทันที

     

    ทันใดนั้นเองตัวอ่อนกระบี่ในร่างราวกับถูกกระตุ้น ปราณวิญญาณที่ถูกกักเก็บอยู่ในตัวอ่อนกระบี่ถูกปล่อยออกมาราวกับคลื่นน้ำโหมกระหน่ำอีกครั้ง กระบี่ไม้ในมือขยับไปเองตามสัญชาตญาณ

     

    เพียงพริบตาคลื่นกระบี่สีขาวพุ่งออกมาจากกระบี่ไม้ในมือของฉินหลิงเข้าปะทะกับคลื่นวายุลมหมุนสีเขียวที่ถูกปล่อยออกมาจากชายชราตระกูลเฉิง

     

    ตู๊ม!!!!!

     

    การปะทะระหว่างคลื่นกระบี่และพลังสายลมก่อให้เกิดระเบิดขนาดใหญ่ สายลมกรรโชกรุนแรงพุ่งออกไปด้านข้างจนพัดพาศิษย์รับใช้ที่มีพลังอ่อนด้อยปลิวไปหลายจ้าง แม้กระทั้งกระอักเลือดก็มีบ้าง

     

    สายตาของเหล่าตาเฒ่าขั้นแก่นทองและศิษย์ที่เหลือยืนดูอยู่ต่างเบิกกว้าง หัวใจของพวกเขากระหน่ำรัวราวกับสามารถหลุดออกจากหน้าอกได้ทุกเมื่อ หากการปะทะก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่สุดยอดแล้วล่ะก็... การปะทะครั้งนี้คงเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้แห่งปาฏิหาริย์

     

    ผู้ฝึกตนชนชั้นก่อตั้งวิญญาณสามารถรับการโจมตีและโต้ตอบชนชั้นแก่นทองได้ ถึงจะอาศัยอาวุธวิเศษอย่างกระบี่บินในตำนานก็เถอะ คงยากจะพูดได้ว่าเขาเป็นคนธรรมดา

     

    ชายชราจากตระกูลเฉิงเองก็แทบไม่เชื่อสัมผัสตัวเองเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะสามารถต้านทานพลังโจมตีของเขาได้ ถึงแม้เขาจะปล่อยพลังไปแค่สามส่วน แต่ส่วนต่างระหว่างขั้นก่อตั้งวิญญาณและแก่นทองห่างกันราวโลกกับสวรรค์ เป็นไปไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะสามารถป้องกันไว้ได้แม้จะมีอาวุธวิเศษคุ้มกัน

     

    ฝุ่นควันค่อยๆจางลง ศิษย์ที่กำลังชมการต่อสู้ก็มองเห็นร่างชายหนุ่มถือกระบี่ไม้ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวกำลังทรุดเข่าอยู่ข้างหนึ่ง

     

    อย่างไรก็ตามสายตาของเขาแดงกล่ำราวกับโลหิตจดจ้องไปทางคนของตระกูลเฉิงด้วยจิตสังหาร กลิ่นอายโลหิตจากเคล็ดวิชามารถูกปล่อยออกมาจากตัวของเขา

     

    “ผู้อาวุโสตระกูลเฉิงหยุดน่ะ นี้คือสนามประลองเป็นตายของเหล่าศิษย์ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านเข้ามายุ่งเกี่ยวได้” ชายชุดดำที่ลืมตัวไปชั่วขณะก็รีบหันไปเตือนเฉิงซือหยางที่กำลังขมวดคิ้วแน่น

     

    “เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักมารที่ลอบแฝงตัวเข้ามาสิน่ะ วันนี้ข้าจะขจัดภัยคุกคามให้แก่สำนัก” ชายชราเอ่ยข้ออ้างของเขาก่อนจะพุ่งเข้ามาทางชายหนุ่มที่กำลังบาดเจ็บ

     

    “ไม่น่ะ!!” ชายชุดดำที่เป็นคนรับผิดชอบสนามประลองรีบพุ่งเข้าไปหยุดการโจมตีของชายชราจากตระกูลเฉิง

     

    แน่นอนว่ามันสายไปแล้ว ด้วยพลังขั้นแก่นทองขั้น1มีหรือจะตามความเร็วของตาเฒ่าที่มีพลังแก่นทองขั้น5ได้ แววตาของชายชุดดำเผยความเสียใจออกมาเมื่อเห็นว่ากำปั้นของชายชรากำลังเข้าปะทะกับใบหน้าของฉินหลิง

     

    อย่างไรก็ตามในขณะที่กำปั้นของเฉิงอี้หานกำลังเข้าถึงฉินหลิง ป้ายตราสีแดงที่อยู่ในแขนเสื้อของชายหนุ่มพุ่งออกมาขวางกั้นการโจมตี

     

    แสงสว่างสีแดงทอประกายเป็นกลีบดอกไม้สวยงามขวางกั้นป้องกันไม่ให้ผู้เฒ่าจากตระกูลเฉิงทำร้ายฉินหลิง

     

    แกร๊กๆๆๆ

     

    คลื่นพลังที่ออกมาจากแผ่นป้ายค่อยๆแตกร้าวเพราะการโจมตีของเฉิงซือหยางก่อนจะกระแทกร่างชายชราจนกระเด็นกลับออกไป

     

    แผ่นป้ายตัวแทนของผู้อาวุโส2ล่วงหล่นด้านหน้าฉินหลิง ราวกับการฝืนรับการโจมตีเมื่อครู่ทำให้พลังงานของมันหมดลงไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×