ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #173 : ความตื่นตะลึงของเหล่าศิษย์ภายนอก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.16K
      964
      12 ก.พ. 63

    ผ่านไปไม่นานฝุ่นควันที่เกิดจากเปลวเพลิงลูกใหญ่จากการผสานยันต์ทั้งสามก็ค่อยๆเลือนหายไป

     

    ผลลัพธ์ตรงหน้าคือ กัวสุ๋ยห้าว ผู้นำกลุ่มศิษย์ภายนอกที่มีพลังก่อตั้งวิญญาณระดับ8 นอนไม่ได้สติอยู่ตรงกลางพื้นดินที่ถูกขุดเป็นหลุมลึกจากเปลวไฟที่มาจากยันต์ของฉินหลิงด้วยสภาพสาหัส รอยไหม้จากความร้อนทำให้ผิวหนังเกือบทั้งตัวถูกเผาจนแดงเห็นเลือดซึมออกมาได้ทั่วร่าง เส้นผมบนหัวหยิกหยอยไม่เป็นทรงหากไม่เพราะก่อนหน้าเขาได้ใช้พลังวิญญาณคลุมร่างกายไว้ล่ะก็บางทีอาจจะถูกเพลิงของฉินหลิงเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านก็เป็นได้

     

    ศิษย์ภายนอกที่รับภารกิจสั่งสอนศิษย์รับใช้รุ่นใหม่จากในสำนักอีกห้าคนที่เหลือเห็นสภาพของชายร่างใหญ่ที่นอนบาดเจ็บก็ฝืนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

     

    บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันใด

     

    ต้องรู้ว่าผ่านมาเป็นเวลานานเท่าใดแล้วที่ศิษย์รับใช้ต้องถูกข่มขู่และรังแกโดยศิษย์ภายนอกเหมือนดั่งกฎเกณฑ์ของโลก แต่ในเวลานี้ดูเหมือนตำนานศิษย์รับใช้ที่เคยเกิดในอดีตที่เล่าขานกันของเหล่าศิษย์รับใช้กำลังจะเกิดขึ้นที่นี้อีกครั้ง

     

    อย่างไรก็ตามคำว่า ผู้ใช้อักขระ ก็เป็นสิ่งที่เขายังคงหวาดกลัว ไม่สิ! ต้องบอกว่าเหล่าผู้ฝึกตนต่างหวาดกลัวผู้ฝึกตนสายอักขระทั้งสิ้น ต้องรู้ว่าความสามารถของผู้ใช้อักขระนั้นสามารถอาศัยพลังจากอักขระเพื่อเพิ่มพลังทำลายล้างได้ ด้วยพลังทำลายที่เกินขอบเขตการฝึกตนหากมีการเตรียมตัวที่ดีพอ จึงทำให้ผู้ฝึกตนต่างหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูกับเหล่าผู้ฝึกตนสายอักขระ เพราะพวกเขาจะไม่รู้ได้เลยว่าหากตัวเองไม่อาจสังหารผู้ใช้อักขระลงได้จะต้องเจอภัยพิบัติใดตอบกลับในอนาคต

     

    เหล่าศิษย์รับใช้ชุดใหม่ที่ยังอยู่ในช่วงอายุสิบกว่าขวบปีซึ่งพึ่งผ่านการตัดกรรมและเข้าสู่วิถีฝึกตนต่างหันมามองศิษย์รับใช้รุ่นพี่ด้วยสีหน้าเลื่อมใส ต้องรู้ว่าเมื่อครู่พวกเขาต่างถูกข่มขู่และโดนทำร้ายจนเกือบทำให้แกนวิญญาณในร่างพังทลาย จึงทำให้พวกเขาโกรธแค้นชายร่างยักษ์ในชุดสีน้ำเงินอย่างยิ่ง แต่การได้เห็นชายผู้นั้นถูกศิษย์รับใช้เหมือนพวกเขาทำร้ายจนสาหัสจึงสร้างความยินดีให้แก่กลุ่มศิษย์ใหม่อย่างยิ่ง

     

    “จะ...เจ้าบังอาจทำร้ายศิษย์พี่กัวได้อย่างไร?” ศิษย์ภายนอกอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือ

     

    “เจ้าบังอาจทำร้ายคนในสำนักของตัวเอง เบื้องบนต้องลงโทษเจ้าอย่างแน่นอน”

     

    “พวกเราต้องลงโทษมันผู้นี้!!” ศิษย์ภายนอกอีกคนที่มีพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น7เอ่ยขึ้นมาเพื่อต้องการแก้แค้นฉินหลิง เขารู้ว่าตัวเองและพวกได้ล่วงเกินผู้ใช้อักขระไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องรีบกำจัดชายหนุ่มผู้นี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้ศิษย์รับใช้เติบโตต่อไปเช่นนี้จะเป็นพวกเขาที่ต้องถูกแก้แค้นในอนาคตอย่างแน่นอน

     

    อย่างไรก็ตามสหายอีก4คนก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆตามคำพูดของชายผู้นั้น ต้องอย่าลืมว่าอภินิหารที่ฉินหลิงแสดงไปเมื่อครู่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของพวกเขา  ขนาดศิษย์พี่กัวสุ๋ยห้าวที่มีพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น8ยังบาดเจ็บสาหัสเพราะการโจมตีเลย แล้วพวกเขาที่มีพลังฝึกตนน้อยกว่าจะสามารถต้านทานได้รึ?

     

    “พวกเจ้ายังจะรอให้มันมาแก้แค้นในอนาคตรึยังไง!! ถึงมันจะเป็นผู้ใช้อักขระแต่มันจะรับมือพวกเราทีละหลายคนได้พร้อมกันเชียวหรือ?” ชายคนเดิมรีบเอ่ยออกมาเพื่อชักจูงเหล่าสหายอีก4คนให้รีบสังหารศิษย์รับใช้ตรงหน้า

     

    “หวังลู่เฉิน หยุดเถิด อย่าได้ก่อเรื่องไปมากกว่านี้เลย” ถางเฉินซี สตรีคนเดียวในกลุ่มรีบเอ่ยห้ามไม่ให้ชายหนุ่มที่มีพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น7ลงมืออีก

     

    ดูเหมือนว่าศิษย์ภายนอกอีก3คนต่างมีความคิดเหมือนหวังลู่เฉินที่ต้องการสังหารชีวิตของฉินหลิงเพราะกลัวการแก้แค้นในอนาคตที่เป็นผู้ใช้อักขระ

     

    เพียงพริบตา ศิษย์ภายนอกที่สวมชุดสีน้ำเงิน4คนต่างหันมาจ้องชายหนุ่มที่เป็นเพียงศิษย์รับใช้ด้วยสายตาเยือกเย็นและแฝงไปด้วยจิตสังหาร

     

    ตอนนี้กลุ่มศิษย์ภายนอกไม่มีใครกล้าดูถูกชายหนุ่มตรงหน้าที่มีพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น2อีกแล้ว ต้องอย่าลืมว่าการต่อสู้กับผู้ใช้อักขระไม่สามารถใช้พลังฝึกตนมาเป็นตัววัดได้ หากอีกฝ่ายมีการเตรียมพร้อมที่ดีพอ ต่อให้ศัตรูแข็งแกร่งและมีจำนวนมากก็ต้องมีจุดจบที่น่าสิ้นหวัง ขนาดสำนักขจีไพรสันที่เต็มไปด้วยนักปรุงยาชั้นยอดยังต้องนอบน้อมต่อผู้ฝึกตนสายอักขระเลย

     

    “หากพวกเจ้าถอยไปตอนนี้ข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นและจะไม่เข้าไปรบกวนพวกเจ้าในอนาคตอีก” ฉินหลิงเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเดิม ต้องรู้ว่าตัวเขาไม่ได้ต้องการเป็นจุดเด่นและเข้าสู่วังวนการแก่งแย่งของชนชั้นสูงในสำนัก จากเรื่องราวของเฒ่าหม่าทำให้ฉินหลิงคาดการได้เลยว่ายังมีหลายกลุ่มอำนาจที่มีความขัดแย้งกัน หากเขาเผลอไปเตะตาของเหล่าผู้อาวุโสภายในเข้า บางทีชีวิตสบสุขอาจจะต้องจบลงก็เป็นได้

     

    อย่างไรก็ตามดูเหมือนคำพูดของฉินหลิงจะทำให้เหล่าศิษย์ภายนอกคิดไปอีกแบบหนึ่ง “ฮาๆๆ การที่เจ้าพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าหมดมุขแล้วสิน่ะ”

     

    ศิษย์ภายนอกอีก3คนเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาเช่นกัน

     

    “ลงมือ!!” ชายผู้มีพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น7เอ่ยออกมาพร้อมกับประกบมือเข้าหากัน “เคล็ดวิชา พฤกษากระหน่ำแทง”

     

    ทั่วร่างของชายผู้นั้นปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียว เพียงพริบตารากไม้แหลมคมก็พุ่งทะลวงพื้นดินขึ้นมาด้านหน้าของศิษย์ภายนอกผู้นั้นอย่างรวดเร็วและมีทิศทางไปยังชายหนุ่มในชุดสีเขียวราวกับว่าต้องการทิ่มแทงร่างกายเพื่อปลิดชีพในคราเดียว

     

    ไม่เพียงแต่ศิษย์ภายนอกผู้นั้นที่แสดงอิทธิฤทธิ์ออกมา อีกสามคนก็รีบปล่อยเคล็ดวิชาของตัวเองออกมา

     

    “ไม่น่ะ!!!” สตรีผู้เป็นศิษย์ภายนอกเพียงคนเดียวตะโกนเสียงเมื่อเห็นการโจมตีทั้งสี่สายพุ่งเข้าโจมตีศิษย์รับใช้ผู้นั้น นางไม่คิดเลยว่าสหายทั้งสี่คนที่รับภารกิจง่ายๆอยากสั่งสอนศิษย์รับใช้กลุ่มจะสร้างเรื่องโดยการสังหารศิษย์ในสำนักเดียวกันอย่างไร้ปราณีเช่นนี้

     

    อภินิหารที่แสดงออกมาทำให้เหล่าศิษย์รับใช้ชุดใหม่ที่หลบออกไปตั้งแต่แรกต่างตกตะลึง เมื่อเห็นพลังทำลายล้างที่น่าหวาดกลัวจาดเคล็ดวิชาทั้งสี่สาย พวกเขาต่างคิดว่าศิษย์พี่ที่พึ่งช่วยเขาแก้แค้นย่อมไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน

     

    “พี่ฉินนนน!!!!” เจ้าอ้วนเหอกรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นรากไม้แหลมคมที่พวยพุ่งขึ้นมาจากดินกำลังเข้าโจมตีพี่ชายคนสนิทของตัวเอง

     

    สีหน้าของฉินหลิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที หากไม่ใช่ว่ายามจำเป็นเขาก็ไม่อยากแสดงความแข็งแกร่งออกมา ต้องอย่าลืมว่าตัวเขามีความลับมากมายในร่างทั้งสายเลือดพฤกษาและตัวอ่อนกระบี่ จึงทำให้เขาไม่ต้องการเป็นจุดเด่นให้ผู้คนสนใจ แต่ดูเหมือนเรื่องราวมันจะเกินแก้ไขไปแล้ว

     

    “ชิ.. พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง!!!” ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับจิตสังหารที่รุนแรงจนทำให้เหล่าศิษย์ภายนอกพากันเปลี่ยนสีหน้า

     

    อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นชายหนุ่มดึงยันต์ออกมาจากอกเสื้อปึกหนึ่ง สีหน้าของศิษย์ภายนอกทั้งสี่คนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาที่เห็นชายผู้นั้นต้องการเลิกราจึงเผลอคิดไปว่าอีกฝ่ายไม่มีไม้ตายใดๆอีกจึงต้องการหนีจากการต่อสู้เพื่อจะมาแก้แค้นพวกเขาในอนาคต

     

    ด้านฉินหลิงเองก็โมโหกับความไร้เหตุผลของกลุ่มคนตรงหน้ามาก เขาที่ตั้งใจไม่เอาความกับการหาเรื่องตายต้องมาถูกโจมตีอย่างไร้เหตุผล

     

    “ยันต์ป้องกัน 4 ทิศ” ฉินหลิงขวางยันต์สีฟ้าไปสีทิศรอบตัวอย่างรวดเร็ว

     

    เพียงพริบตายันต์ทั้งสี่ของฉินหลิงก็สลายตัวก่อเกิดเป็นม่านพลังรูปสี่เหลี่ยมครอบคลุมร่างของเขาราวกับป้อมปราการไร้พ่ายที่พร้อมรับการโจมตีทุกรูปแบบ

     

    ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ยันต์ป้องกันไป4ไป ฉินหลิงยังคงปล่อยยันต์ในมือไปอีกหลายใบลงบนพื้นดิน “ยันต์คุ้มกัน ทำงาน!

     

    ยันต์สองชนิดก่อตัวร่วมกันเกิดเป็นม่านพลังงานขนาดใหญ่หลายชั้นอย่างรวดเร็ว

     

    รากไม้ที่พุ่งขึ้นมาจากดิน คมหอกที่ก่อตัวเป็นหอกไม้และเคล็ดวิชาอีก2อย่างพุ่งเข้าปะทะกับม่านพลังที่คุ้มกันร่างของฉินหลิงอย่างรวดเร็ว

     

    ตู๊มมม!!!!!

     

    แน่นอนว่าเคล็ดวิชาของศิษย์ภายนอกที่ร่วมมือกันสี่คนย่อมไม่ธรรมดา แต่พวกเขาโชคร้ายเกินไปที่ศัตรูของพวกเขาคือฉินหลิง ยันต์คุ้มกันอีกสิบใบที่เสริมพลังป้องกันของยันต์ป้องกัน4ทิศทำให้เคล็ดวิชาของชายทั้งสี่ไม่อาจทะลวงเข้ามาทำร้ายฉินหลิงได้แม้แต่ปลายเล็บ

     

    “บ้าน่า!!!

     

    “เป็นไปไม่ได้ ทำไมมันไม่เป็นอะไรเลย”

     

    “ทำไมมันถึงได้มียันต์มากมายขนาดนั้น”

     

    ศิษย์ภายนอกทั้ง4 ที่โจมตีออกไปพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ด้วยเคล็ดวิชาของพวกเขาสี่คนผสานกันต่อให้เป็นศิษย์ภายในที่ก้าวสู่ขั้นสร้างฐานก็จำเป็นต้องใช้พลังเต็มที่เพื่อหยุดยั้ง แต่เมื่อมาเจอยันต์นับไม่ถ้วนของศิษย์รับใช้ผู้หนึ่งกลับทำให้เคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึกฝนมาแทบตายไม่ต่างจากการแสดงปาหี่เลย

     

    จู่ๆก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวของศิษย์ภายนอกที่กำลังเผชิญหน้ากับฉินหลิง

     

    “อย่าบอกน่ะว่าชายผู้นั้นยังเป็นผู้จารึกอักขระอีกด้วย” ถางเฉินซีที่มองเหตุการณ์อยู่ตลอดเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง

     

    สำหรับผู้ฝึกตนในสายอักขระนั้นถูกแบ่งเป็น2เส้นทางคือ ผู้ใช้อักขระที่จะวาดอักขระลงร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง แม้กระทั้งวาดอักขระท่ามกลางอากาศเหมือนตอนที่ฉินหลิงวาดอักขระผสานพลังยันต์ไฟสามใบพร้อมกันเพื่อเพิ่มพลังโจมตีซึ่งผู้ฝึกตนสายนี้มักจะเชี่ยวชาญในการต่อสู้

     

    แน่นอนว่าผู้ฝึกตนสายอักขระอีกสายหนึ่งก็คือผู้จารึกอักขระที่จะทำหน้าที่ในการสลักอักขระลงบนแผ่นยันต์หรืออาวุธ จนกระทั้งค่ายกล

     

    ถึงแม้ว่าสองเส้นทางจะถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนสายอักขระเหมือนกันแต่หากอีกฝ่ายเป็นผู้จารึกอักขระ เรื่องราวจะต่างออกไปทันที ต้องรู้ว่าผู้ใช้อักขระจะเพิ่มความสามารถของตัวเองในการต่อสู้เท่านั้น ในขณะที่ผู้จารึกอักขระที่สามารถสร้างสิ่งวิเศษที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างยันต์หรืออาวุธวิเศษได้อย่างมากมายจึงทำให้คุณค่าของผู้จารึกอักขระเรียกได้ว่าเทียมฟ้าเลยทีเดียว

     

    ถางเฉินซีรับรู้ได้ถึงคุณค่าของศิษย์รับใช้ผู้ที่นางคิดว่าเขาโชคร้ายที่บังเอิญมาเจอกับกลุ่มศิษย์ภายนอกทันที หากชนชั้นสูงภายในสำนักรับรู้ว่าพวกเขาไปทำร้ายผู้จารึกอักขระอัจฉริยะที่สามารถฝึกฝนได้ทั้งสองเส้นทางเข้าล่ะก็.....

     

    ไม่เพียงแต่ถางเฉินซีเท่านั้นที่กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ศิษย์ภายนอกอีก4คนก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

     

    แน่นอนว่าฉินหลิงไม่รับรู้ความกังวลของพวกเขา เมื่อเห็นเคล็ดวิชาของศิษย์ภายนอกสลายไปเขาจึงแกล้งทำเป็นลวงยันต์ในแขนเสื้อในขณะที่เขาดึงยันต์ชุดใหม่ออกมาจากแหวนมิติ

     

    ยันต์ชุดใหม่อีกนับสิบใบปรากฏอยู่ในมือของฉินหลิงอีกครั้ง

     

    สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ศิษย์ภายนอกแน่ใจแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นผู้จารึกอักขระอย่างแน่นอน พวกเขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและพากันกล่าวโทษกัวสุ๋ยห้าวชายร่างยักษ์ที่ไปหาเรื่องผู้อื่นโดยไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดี

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×