ลำดับตอนที่ #17
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ท่านเป็นใครกันแน่
หลังจากผ่านไปราวสามชั่วยาม เสียงม้าดังขึ้นที่บริเวณลานหน้าบ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวแถวเชิงเขาท้ายหมู่บ้านโคเขียว
เมื่อเสียงฝีเท้าม้าดังลอยออกมา ฉินหลิงก็รีบเดินออกมาก่อนจะเห็นองครักษ์หมิงที่กำลังควบอาชาตัวใหญ่สีดำสนิท ลมหายใจมันพ่นออกมาปรากฏเป็นไอหมอก ประกอบกับความมืดทำให้ดวงตาของอาชาตัวนั้นสะท้อนแสงไฟที่จุดอยู่ในบ้าน ทำให้ประกายเเสงที่ฉายออกมาดูเหมือนอาชาปีศาจก็ไม่ปาน ซึ่งม้าชนิดนี้มีชื่อว่าม้าหมอกทมิฬ ซึ่งเชื่อกันว่าภายในม้าสายพันธุ์นี้มีสายเลือดของมังกรผสมอยู่ จึงทำให้มันมีลำตัวใหญ่โต,มีความแข็งแกร่งและทนทาน สามารถวิ่งได้รวดเร็วและไกลกว่าม้าทั่วไปถึงห้าเท่า แต่ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมของม้าหมอกทมิฬ ทำให้มันเหมาะยิ่งนักสำหรับทหารที่ใช้ในการออกรบ แต่ด้วยข้อเสียที่ความสามารถในการสืบพันธุ์ของม้าทมิฬต่ำ ทำให้ม้าชนิดนี้เหลือน้อยมาก ขนาดในจวนเจ้าเมืองของเขายังมีไม่ถึงสิบตัว จึงทำให้มีเหล่าผู้คนต้องการครอบครองม้าหมอกทมิฬมากมาย แต่มีเพียงน้อยคนนักที่สามารถหาม้าชนิดนี้มาครอบครองได้
ด้วยป้ายประจำตระกูลของฉินหลิง ทำให้องครักษ์หมิงสามารถเบิกเอาม้าตัวนี้ออกมาขี่ได้ ซึ่งในช่วงเวลาปกติม้าหมอกทมิฬจะถูกปกป้องดูแลเป็นอย่างดีภายในจวน ทำให้แม้ว่าเขาอยากจะลองขี่ก็ไม่มีสิทธิ์ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งของนายน้อยให้รีบเดินทาง เขาจึงนึกถึงม้าหมอกทมิฬขึ้นมาและทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสม้าหมอกทมิฬ ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้ควบม้าที่มีแต่เหล่าแม่ทัพผู้ทรงอำนาจเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขี่ม้าชนิดนี้
ฉินหลิงที่มองไปที่ม้าตัวใหญ่ก็อดเบิกตากว้างไม่น้อย เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าองครักษ์หมิงผู้นี้จะเอาม้าชนิดออกมาได้ เพราะถึงอย่างไรม้าชนิดนี้จะมีความว่องไวสูงแต่ก็มีความพยศไม่น้อยเลยทีเดียว จึงทำให้ไม่ใช่ใครก็สามารถควบคุมมันได้ ซึ่งส่วนมากเเล้วมักจะเป็นจอมยุทธที่สามารถกำราบม้าหมอกทมิฬได้ ดังนั้นเขาจึงต้องประเมินองครักษ์ผู้นี้ใหม่อีกครั้ง
หมิงฮ่าวรีบกระโดดลงจากม้า ก่อนจะรีบเดินมาหาผู้เป็นนายน้อยตนทันที แล้วคารวะก่อนจะเอ่ย “ โชคดียิ่งนักขอรับนายน้อย ข้าหามาได้แล้ว ตอนแรกข้าตามหาตามร้านยาทั่วทั้งเมืองก็ไม่พบเลยแม้แต่น้อย แต่โชคดีนักที่ท่านอวี้ฟานซือได้ทราบข่าว พวกเขาจึงใช้อำนาจของหอการค้าตะวันฉายในสมาคมการค้าช่วยตามหา ทำให้พวกเราสามารถรวบรวมมาได้ ”
“ ขอบใจเจ้ามาก เดี่ยวข้าไปขอบคุณนายท่านอวี้เป็นการส่วนตัวเองทีหลัง ส่วนเจ้ากลับไปพักได้แล้ว แล้วก็ฝากบอกให้คนนำรถม้ามารับข้าด้วย ” ฉินหลิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะรับสมุนไพรที่ห่ออยู่ แล้วจึงรีบเดินเข้าไปในบ้าน
ถานอวี้จี้ที่เห็นฉินหลิงเดินถือสมุนไพรเข้ามาก็น้ำตาไหลออกมา แล้วจึงเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ ขอบคุณท่านมากจริงๆเจ้าคะ บุญคุณของท่านพวกเราสองแม่ลูกไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรเเล้ว ”
ฉินหลิงที่เห็นแม่นางถานผู้งดงามร้องไห้ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะลูบหัวนางเบาๆแล้วเอ่ย “ ไม่เป็นไรหรอก ข้ารับปากกับเจ้าแล้วจะช่วยมารดาเจ้าให้ได้ ดังนั้นไม่ต้องคิดมากไปหรอก ”
“ เอาละนี้คือสมุนไพรชิงเฮา รบกวนท่านหมอแล้ว ” ฉินหลิงยื่นสมุนไพรไปให้หมอเฉาเป็นคนจัดการต่อ
“ ข้าจะรีบไปเตรียมยาให้ฮูหยินท่านนี้โดยด่วน ” หมอเฉาที่ยื่นมืออกไปรับสมุนไพรชนิดนี้ ก็สูดดมกลิ่นเล็กน้อย ก่อนหันมามองนายน้อยฉินผู้นี้ เพราะจากที่เขารู้มาสมุนไพรชนิดนี้ค่อนข้างหายาก และในช่วงเวลาย่างเข้าหน้าหนาวเช่นนี้ ก็จะยิ่งทำให้สมุนหายากขึ้นไปอีก แต่บุรุษหนุ่มผู้นี้ใช้เวลาเพียงสามชั่วยามเท่านั้นในการตามหาสมุนไพรนี้ อดทำให้เขาตื่นตะลึงไม่น้อย
หลังจากหมอชราเดินไปในหลังบ้านเพื่อจะเตรียมต้มยา ถานอวี้จี้ก็เดินไปกุมมือมารดานางที่กำลังหายใจอย่างแผ่วเบา “ ท่านแม่ ท่านต้องอดทนเอาไว้นะเจ้าคะ ”
“ ไม่ต้องห่วง มารดาของเจ้าจะต้องหายดีเป็นแน่ อย่ารบกวนมารดาของเจ้านักเลย ให้ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ” ฉินหลิงพูดขึ้นเพื่อให้กำลังใจนางก่อนจะเดินออกนอกห้อง
“ เช่นนั้นให้ข้าเตรียมน้ำชาให้เถอะเจ้าคะ เกิดเรื่องวุ่นๆจึงไม่อาจต้อนรับท่านได้ โปรดอภัยด้วย ” เสียงอ่อนหวานของถานอวี้จี้ดังขึ้นเพื่อเชิญชวนฉินหลิงให้มาดื่มชา
ฉินหลิงพยักหน้าเบาๆกับคำพูดของหญิงสาว “ ถ้าเช่นนั้นก็ขอรบกวนเจ้าเเล้ว ”
หลังจากนั้นไม่นาน ถานอวี้จี้สาวงามได้ถือกาน้ำชาและถ้วยน้ำชาใบเล็กที่ดูค่อนข้างเก่ามาตั้งบนโต๊ะก่อนริมน้ำชาด้วยท่าทีอันอ่อนช้อย ด้วยที่นางเคยทำงานที่โรงเตี๊ยมทำให้นางมีชำนาญชงชาเพราะนางมีหน้าที่ในการดูแลต้อนรับลูกค้า ครั้นเมื่อนางหันกลับมาก็สัมผัสได้ว่าบุรุษหนุ่มเบื้องหน้ากำลังเหม่อมองนางอยู่ ก็ทำให้ใบหน้าแดงขึ้นมาก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา “ เชิญเจ้าคะ ”
ถานอวี้จี้หันมาจ้องมองบุรุษที่สวมหน้ากากอย่างตั้งใจ ราวกับสนใจว่าชายหนุ่มผู้นี้จะดื่มชาเข้าไปอย่างไร เขาจะต้องถอดหน้ากากออกเป็นแน่ ถึงตัวเขาจะมีใบหน้าที่น่าเกลียดดุจดังอสูรกายเหมือนที่เขาเอ่ยอ้าง แต่นางก็จะไม่สนใจเพราะอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคนดีอย่างยิ่งเเละช่วยมารดาของนางโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน คนเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกนับถือจากใจจริง
‘สาวน้อยเจ้าจ้องข้าขนาดนั้น ข้าจะไปดื่มลงได้อย่างไร’ ฉินหลิงครุ่นคิด
ฉินหลิงหันมาจ้องถานอวี้จี้กลับแล้วจึงเอ่ย “ เจ้าสนใจใบหน้าภายใต้หน้ากากขนาดนี้เลยรึ? ”
เมื่อสาวงามได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าก่อนจะส่ายหัวไปมาอย่างแรงแล้วรีบเอ่ย “ ไม่ใช่นะเจ้าคะ เอ่อ...คือว่าข้าไม่ได้รังเกียจอะไรกับใบหน้าท่านแม้แต่น้อย ถึงท่านจะอัปลักษณ์มากเพียงใด ข้าก็รับได้ เพราะข้าถือว่าท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นข้าไม่ได้สนใจหน้าตาท่าน ข้าไม่รังเกียจแน่นอนเจ้าคะ ”
“ ฮาๆ งั้นรึ งั้นก็ดูให้ดี ” ฉินหลิงหัวเราะออกมาก่อนจับหน้ากากเลื่อนขึ้นช้าๆจนด้านล่างของหน้ากากพ้นริมฝีปากของเขาแล้วจึงหยิบกาน้ำชามาดื่มเข้าไปอึกใหญ่แล้วจึงปิดหน้ากากกับเช่นเดิม
ถานอวี้จี้ขมวดคิ้วอย่างหนักและส่ายหัวไปมาอย่างไม่พอใจหลังจากโดนชายหนุ่มหลอกก่อนจะเอ่ย “ ท่านหลอกข้า ทำไมท่านไม่เปิดให้หมดละเจ้าคะ ”
“ ข้าเพียงบอกว่าจะเปิดให้ดู แต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะเปิดให้หมดนิ ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าคิดไปเอง ” ฉินหลิงที่กำลังพูดคุยกับสาวงามโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเขารู้สึกมีความสุขนักที่ได้มองหน้า เเละได้สนทนาหยอกล้อกับสาวงามผู้นี้ และคงจะดีไม่น้อยหากว่าเขาไม่ได้มาอยู่ในร่างของนายน้อยเสเพลได้เคยทำผิดต่อสาวงามผู้นี้ไม่น้อย
“ คุณชาย~ ข้ามารับท่านกลับแล้ว ” เสียงใสแจ่วที่ดังลั่นออกมาของลู่ชิงเจ้าบ่าวตัวน้อยของเขาดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน ขัดจังหวะการสนทนาของหนุ่มสาวที่กำลังหยอกล้อกัน
“ คิคิ ผู้ช่วยของท่านมารับกลับบ้านแล้วเจ้าค่ะ” ถานอวี้จี้หัวเราะอย่างสดใสก่อนจะเอ่ยหยอกล้อบุรุษหนุ่มผู้นั่งอยู่ด้านข้างกลับคืน
ฉินหลิงหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนหัวเราะแห้งกลบเกลื่อน พร้อมทั้งจดบัญชีไว้เตรียมจัดการเจ้าบ่าวตัวน้อยเป็นแน่ที่กล้ามาขัดจังหวะสำคัญของเขา
ลู่ชิงเมื่อเดินเข้ามาในห้องก็เห็นชายหญิงกำลังนั่งดื่มชาสนทนา ก็อดที่รู้สึกอยากจะหยอกล้อขึ้นมาไม่ได้แล้วจึงเอ่ย “ โอ๊ะๆ.. นี้ข้าเข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่าขอรับ เช่นนั้นพวกท่านเช่นจีบ เอ่อ..เชิญสนทนากันต่อเลย ข้าไปรอที่รถม้าก่อนก็ได้ ”
“ ไม่ต้องแล้ว ท่านหมอคงเตรียมยาเสร็จแล้ว เจ้าไปเรียกท่านหมอให้กลับพร้อมกันเลย ” ฉินหลิงเอ่ยสั่งบ่าวตัวน้อยก่อนลุกขึ้นเตรียมตัวกลับไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพักผ่อน
เมื่อเห็นฉินหลิงลุกขึ้นถานอวี้จี้ก็เอ่ยออกมา “ เช่นนั้นให้ข้าเดินไปส่งนะเจ้าคะ ”
ฉินหลิงพยักหน้าเบาๆก่อนเอ่ย “ อืม ขอบใจเจ้ามาก ”
“ ไม่เป็นไรเจ้าคะ ต้องเป็นข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณ รบกวนท่านมากขนาดนี้ ”
ชายหญิงสองคนที่เดินเคียงคู่ราวกับเป็นคู่นกยวนยางที่ผูกพันกันมาอย่างยาวนาน เมื่อทั้งสองเดินมาถึงลานหน้าบ้าน ตอนที่เขากำลังเดินขึ้นบนรถม้า เสียงอ่อนหวานก็ลอยดังขึ้นมา “ท่านเป็นใครกันแน่เจ้าคะ ”
ฉินหลิงสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะหันมามองหน้านางอย่างจริงจัง ก่อนที่ฉินหลิงจะได้เอ่ยอะไรออกมา ถานอวี้จี้ก็เอ่ยถามอีกครา “ตอนที่ข้าอยู่กับท่าน ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับตัวตนท่านอย่างยิ่ง ราวกับพวกเราเคยพบกันมาก่อน ท่านบอกกับข้าได้รึไม่ว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนรึไม่ ทำไมท่านถึงต้องดิ้นร้นช่วยเหลือข้ามากมายขนาดนี้เเถมท่านยังกระทำโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนอีก ข้าไม่เข้าใจท่านจริงๆ ”
ถานอวี้จี้ตัดสินใจเอ่ยถามออกมาเพราะด้วยความคิดที่ตีกันไปมาภายในหัวของนางตอนนี้จึงทำให้นางก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าในยุคเช่นนี้ยังจะมีบุรุษที่ไหนมาช่วยเหลือผู้อื่นขนาดนี้โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ทั้งที่นางเสนอร่างกายให้เขา แต่เขาก็ไม่ได้ตอบรับ ประกอบความรู้สึกคุ้นเคยที่เกิดขึ้น ทำให้นางอดใจไม่ไหวที่ถามออกไป
ฉินหลิงเมื่อได้ยินคำถามนางเขาก็เดินลงจากรถม้าก่อนจะหันมามองหน้านาง ด้วยสายตาที่จริงจังก็ทำให้สาวงามหน้าแดงกล่ำก่อนนางจะได้ทำอะไร บุรุษผู้สวมหน้ากากขาวก็เข้ามาประชิดนางก่อนจะเอาใบหน้าที่สวมหน้ากากมาประชิดใบหน้านาง ทำให้ในใจนางตกใจและวุ่นวายอย่างนักจนตัวแข็งทื่อจากสัมผัสระหว่างใบหน้าทั้งสองที่กั้นกลางไว้ด้วยหน้ากากสีขาว สัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันเเละกัน ก่อนที่นางจากจะได้ทำอะไรเขาก็เลื่อนหน้าไปข้างหูนางก่อนจะกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “ ข้าเป็นหนี้เจ้า ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตของข้า ก็ไม่อาจจะชดใช้หมด ”
หลังจากเขากล่าวจบ ฉินหลิงเดินขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้สาวงามยืนแข็งทื่ออยู่ใต้ต้นเหมยอย่างโดดเดี่ยว
หลังจากรถม้าแล่นหายออกไป หญิงสาวที่พึ่งได้สติก็หน้าแดงก่อนจะวิ่งหลบเข้าไปภายในบ้านอย่างรวดเร็ว
...........................................................
ภายในรถม้า ฉินหลิงที่ถอดหน้ากากออกมาก็ปรากฏใบหน้าของนายน้อยฉินที่แดงกล่ำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้สัมผัสใกล้ชิดหญิงสาวถึงเพียงนี้
ลู่ชิงบ่าวตัวน้อยมองนายน้อยตัวเองหน้าแดงก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ นายน้อย ท่านจะไม่บอกนางไปตรงๆจริงรึขอรับ คงไม่ใช่ว่า.....ท่านคงไม่คิดจะแต่งนางเข้าจวนจริงๆนะขอรับ ข้าว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ท่านแม่ทัพคงไม่ยอมเป็นแน่ ”
“ ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าจะทำเช่นไรต่อไปดี ” ฉินหลิงบ่นออกมาเบาๆพร้อมส่ายหัวไปมาอย่างสับสน
ลู่ชิงเมื่อเห็นท่าทางนายน้อยของตนเป็นเช่นก็เบิกตากว้างก่อนเอ่ยออกมา “ หรือว่า...ท่านจะตกหลุมรัก แม่สาวงามคนนั้นจริงๆ ? ”
เมื่อเห็นฉินหลิงเงียบไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกมา ก็ทำให้บ่าวตัวน้อยพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ เจ้าเด็กสารเลวนี้ รู้จักความรักแล้วรึ ? ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น