ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #163 : เส้นทางเเห่งอักขระวิถี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.45K
      613
      12 ก.พ. 63

    “จะ..เจ้าพูดจริงอย่างนั้นรึ?” ชายชราแซ่หม่าที่ตัดใจจากเม็ดยาของฉินหลิงเอ่ยออกมาโดยแทบที่จะไม่เชื่อหูตัวเอง เขาเริ่มไม่เข้าใจในเจตนาของเด็กหนุ่มที่คุณหนูใหญ่พามาจริงๆ

     

    “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ชายแก่ผู้นี้มันเชื่อถือไม่ได้ ข้าว่าท่านควรเอาโอสถนี้ไปขายและแลกเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาเองดีกว่า” เจ้าอ้วนเหอรีบเอ่ยห้ามอีกครั้งไม่ให้พี่ชายรูปหล่อตรงหน้าทำเรื่องไร้สาระ

     

    ฉินหลิงเองก็เข้าใจความหวังดีของเด็กหนุ่มร่างอ้วนดี แต่เขาเองก็ผ่านโลกมาไม่น้อยและพบเห็นความโลภและริษยามาหลายรูปแบบ ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าผู้อาวุโสแซ่หม่าจะเก็บเรื่องเม็ดยาของเขาไว้เป็นความลับ ตั้งแต่เขาล้วงเขาโอสถระดับสามออกมาเขาก็ตั้งใจที่ส่งมอบให้ชายแก่ผู้นี้แล้ว

     

    ดังภาษิตที่ว่า คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว การที่เขาครอบครองโอสถล้ำค่าไว้กับตัวย่อมไม่อาจปกป้องมันได้อย่างแน่นอน ดังนั้นทางที่ดีเขาควรสร้างสัมพันธ์ที่ดีชายชราแซ่หม่าเอาไว้ นอกจากนี้หลังจากสังเกตสภาพความเป็นอยู่รวมทั้งความโลภในตัวโอสถระดับ3ที่เก็บไม่อยู่ของตาเฒ่าหม่าก็ยิ่งทำให้ฉินหลิงมั่นใจว่าตาเฒ่าผู้นี้คงถูกเบื้องบนของสำนักกลั่นแกล้งไม่น้อย มิเช่นนั้นจะเป็นไปได้รึที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักที่โด่งดังในเรื่องสมุนไพรและการปรุงตาจะตาร้อนผ่าวทันทีเมื่อเห็นเม็ดยา

     

    ตาเฒ่าหม่าเองก็เผยสีหน้าซับซ้อนออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าคิดอะไรถึงกับแลกโอสถล้ำค่ากับเคล็ดวิชาที่เขาเอ่ยอ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของฉินหลิง ตาเฒ่าหม่าจึงรู้สึกผิดและเอ่ยสารภาพออกไป “เคล็ดวิชาที่ปกปิดกลิ่นอายจริงๆน่ะมีอยู่มากมาย แต่หากเทียบกับวิชาที่เต็มไปกลิ่นคาวเลือดของเจ้าก็ถือว่ายังด้อยกว่าหลายส่วน”

     

    ฉินหลิงเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ การปกปิดสายเลือดพฤกษาในกายทำไม่ได้ง่ายจริงๆด้วย หากไม่เช่นนั้นลู่ชิงคงช่วยเขาไปแล้ว

     

    ตาเฒ่าหม่าที่มองชายหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง”

     

    ดวงตาของฉินหลิงเบิกกว้างขึ้นทันที่เมื่อได้ยินคำพูดของตาเฒ่าหม่า สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือความลับว่าในร่างของเขามีโลหิตของเผ่าพันธุ์พฤกษาอยู่หากไม่เป็นเพราะกลิ่นอายจากเคล็ดวิชาระเบิดโลหิตที่ปกปิดพลังพฤกษาในสายเลือดคงทำให้เขาถูกผู้ฝึกตนล้อมจับตัวเป็นแน่

     

    “ข้าต้องทำอะไรรึขอรับ ได้โปรดบอกข้าด้วย” ฉินหลิงเอ่ยออกมาอย่างร้อนรนจนเสียท่าทางที่ดูสุขุมมาโดยตลอดอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ตาเฒ่าหม่ารู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อยแต่เมื่อนึกว่ามันเป็นความลับของชายหนุ่มเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามมากความ

     

    “เจ้ารู้จักการสลักอักขระรึไม่?” เฒ่าหม่าเอ่ยถาม

     

    ฉินหลิงเผยสีหน้าสับสนในขณะที่เจ้าอ้วนเหอตะโกนเสียงดัง “ข้ารู้ๆ มันคืออักขระวิเศษที่สลักลงในยันต์วิเศษ พอปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปมันจะแสดงพลังออกมา ข้าเองก็มียันต์เพิ่มความเร็วเช่นกัน”

     

    เจ้าอ้วนเหอพูดออกมาพร้อมกับคว้ายันต์สีเหลืองที่มีอักษรแปลกๆขึ้นมาโม้ด้วยท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่กำลังโชว์ของเล่นให้สหายอิจฉา

     

    “บิดามันเถอะ..แค่ยันต์กระจ้อยร่อยอย่างยันต์เพิ่มความเร็วยังกล้าเอามาโม้ ตาเฒ่าช่างปวดหัวกับเจ้าจริงๆ ยันต์วิเศษจริงๆแล้วต้องเป็นยันต์ที่สามารถใช้พลังของฟ้าดินได้อย่างเช่นยันต์ระเบิดพสุธาหรือไม่ก็ยันต์ระดับหนึ่งขึ้นไปถึงจะเรียกได้ว่ายันต์ที่แท้จริง ไม่ใช่ยันต์เพิ่มความเร็วไร้สาระที่ผู้สลักอักขระขั้นฝึกหัดเอามาหลอกขายพวกโง่อย่างเจ้า” เฒ่าหม่าเอ่ยออกมาพร้อมกับท่าทีเอือมระอากับความโง่ของเจ้าเด็กอ้วน

     

    ฉินหลิงเองที่ได้ยินคำว่า ผู้สลักอักขระขั้นฝึกหัด ก็นึกถึงชื่อของเจ้าสำนักปีศาจรุ่นที่8 เจ้าแดนอักขระหมื่นวิถี เขาเชื่อว่าเจ้าสำนักรุ่นที่8ย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีแห่งอักขระอย่างแน่นอน

     

    หลังจากด่าทอจนเจ้าอ้วนเหอหุบปากลงได้ ตาเฒ่าหม่าก็หันมามองฉินหลิงอีกครั้ง “เจ้าคงสงสัยสิน่ะว่าทำไมข้าถึงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้... ในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้นให้ความสำคัญแก่นักปรุงยาอย่างยิ่งจนเรียกได้ว่าไม่มีใครกล้าล่วงเกินก็ว่าได้ แต่ยังมีอีกหนึ่งวิถีฝึกตนที่ผู้ฝึกตนต่างพากันหลีกเลี่ยงการเป็นปรปักษ์ยิ่งกว่านักปรุงโอสถ นั้นก็คือเหล่าผู้ฝึกฝนในวิถีแห่งอักขระ”

     

    “แล้วเหล่าผู้ฝึกฝนอักขระทำเพียงสลักยันต์เท่านั้นรึขอรับ?” ฉินหลิงเอ่ยอย่างสงสัย นอกจากชื่อเจ้าสำนักรุ่นที่8 เขาเองก็ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับวิถีฝึกตนเกี่ยวกับอักขระเลย

     

    ตาเฒ่าหม่าส่ายหัวเล็กน้อย “ผู้ฝึกในวิถีอักขระนั้นน่ากลัวกว่าที่เจ้าคิดนัก นอกจากสลักยันต์ที่ทรงพลังแล้วพวกเขายังสามารถสร้างค่ายกลหรือแม้กระทั้งสร้างสิ่งวิเศษที่ไร้เทียมทานได้อีกด้วย  ใครคิดจะมีเรื่องกับผู้สลักอักขระที่เก่งกาจเข้าหากไม่มั่นใจว่าสามารถสังหารเขาได้อย่างเด็ดขาด จงอย่าได้เป็นศัตรูกับคนผู้นั้นเสียดีกว่า หากพวกเขาพิโรธขึ้นมาข้าเกรงว่าแม้แต่ท้องฟ้ายังถูกย้อมไปด้วยโลหิต..”

     

    “หากว่าผู้ฝึกอักขระแข็งแกร่งขนาดนั้นแล้วทำไมผู้คนถึงไม่ไปฝึกเป็นผู้สลักอักขระกันล่ะ” เจ้าอ้วนเหอเองที่ไม่ค่อยรู้เรื่องของผู้สลักอักขระก็เอ่ยถามอย่างสงสัย

     

    เฒ่าหม่าอดไม่ได้ที่จะกรอกตาไปทางเจ้าอ้วน “เจ้าโง่! เจ้าคิดว่ามันง่ายนักรึไงที่จะเป็นผู้ฝึกฝนในวิถีอักขระ นับเพียงทรัพยากรที่ใช้ฝึกฝนก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมากกว่าเป็นร้อยเท่าแล้ว.. ยังไม่รวมความสามารถทางจิตที่ต้องเข้มแข็งอีกด้วย หากเทียบจริงๆในหมื่นคนมีผู้สลักอักขระได้ซักคนก็เรียกว่าโชคดีแล้ว”

     

    ฉินหลิงครุ่นคิดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “วิถีสลักอักขระมันก็ฟังดูสุดยอดก็จริง แต่มันเกี่ยวอะไรกับการปกปิดกลิ่นอายของข้าด้วยล่ะขอรับ?

     

    เฒ่าหม่ายิ้มออกมา “เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าผู้สลักอักขระนั้นนอกจากสลักยันต์หรืออุปกรณ์วิเศษ พวกเขายังต้องสลักอักขระเข้าร่างกายของตัวเองอีกด้วย ซึ่งการจะสลักอักขระเข้าไปในร่างกายนั้นถือเป็นความลับของเหล่าผู้ฝึกฝนในวิถีแห่งอักขระ ดังนั้นหากเจ้ากลายเป็นผู้สลักอักขระ เจ้าจะสามารถสลักอักขระลงในร่างกายของตัวเองได้และจะไม่มีใครสามารถตรวจจับกลิ่นอายในร่างเจ้าได้ แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสที่เข็งแกร่งก็ตาม”

     

    ดวงตาของฉินหลิงเปล่งประกายขึ้นมาเมื่อเห็นหนทางรอด “แล้วข้าต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นผู้สลักอักขระได้?

     

    เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม ตาเฒ่าหม่าก็หัวเราะ “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่รึว่าการเป็นผู้สลักอักขระมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแถมยังต้องมีพรสวรรค์สูงส่งอีกด้วย เจ้าคิดว่ามีผู้คนมากเท่าไหร่ที่ต้องเสียเวลากับความฝันที่ไม่เป็นจริงอย่างการเป็นผู้ฝึกตนสายอักขระ?

     

    สีหน้าของฉินหลิงจริงจังขึ้นมาหลายส่วน ตัวเขาไม่ได้ต้องการฝึกฝนเป็นนักสลักอักขระ แต่เพราะร่างกายที่เต็มไปด้วยความลับจึงทำให้เขาไม่มีหนทางอื่น ต่อให้รู้ว่ายากลำบากเพียงใด ฉินหลิงก็ทำได้เพียงเผชิญหน้าอย่างไม่ย่อท้อเท่านั้น

     

    “ขอผู้อาวุโสโปรดแนะนำด้วย” เอ่ยจบฉินหลิงก็ยื่นขวดที่มีโอสถปราณเพิ่มพูนให้ตาเฒ่าหม่าโดยไม่มีท่าทีเสียดาย

     

    ตาเฒ่าหม่าเองก็รู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ในตอนแรกเขาตั้งใจหลอกเอาเม็ดยาล้ำค่าจากชายหนุ่มผู้นี้จริงๆ แต่เมื่อได้พูดคุยก็สัมผัสได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนจริงใจคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงลังเลอยู่ในใจว่าสิ่งที่แนะนำไปจะเป็นการทำร้ายชายหนุ่มผู้นี้รึไม่

     

    แต่เมื่อนึกถึงความลำบากที่ตัวเองเผชิญอยู่ ตาเฒ่าหม่าจึงยื่นมือไปรับโอสถระดับ3ก่อนจะมีหนังสือเล่มหนึ่งพร้อมกับพู่กันและหมึกสีแดงปรากฏขึ้นในมือ “ในเมื่อผู้เฒ่าเช่นข้าเอาของๆเจ้ามาย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน นี้คือคัมภีร์ฝึกสลักอักขระพื้นฐาน ส่วนนั้นคือพู่กันที่ทำมาจากหางกระรอกวายุกับต้นหินผาอายุ200ปีและหมึกนี้คือหมึกที่ได้มาจากโลหิตพยัคฆ์ลายเมฆาซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับสาม ของพวกนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติสำคัญของข้าเลยก็ว่าได้!

     

    หลังจากส่งหนังสือ หมึกและพู่กันที่ทำมาจากสัตว์อสูร เฒ่าหม่าก็ถอนหายใจออกมา “ในอดีตข้าเองก็เคยคิดไขว่คว้าหนทางแห่งอักขระวิถีเช่นกัน  แต่หลังจากได้ทดลองผิดถูกหลายสิบปีเข้า ข้าจึงพบว่าตัวเองไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนี้ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ข้าขอมอบมันให้แก่เจ้า ถึงแม้มันจะไม่ได้มีคุณค่าเท่าโอสถเม็ดนี้แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสวงหาอุปกรณ์ไว้ฝึกฝนวิถีทางอักขระ ”

     

    ฉินหลิงรีบรับของจากตาเฒ่าหม่าก่อนจะก้มหัวขอบคุณพร้อมทั้งรีบเอาคัมภีร์และพู่กันเก็บอย่างรวดเร็ว

     

    การที่ได้รับรู้ว่าตัวเองยังมีหนทางรอดจากสถาการณ์อึดอัดที่ต้องคอยปกปิดสายเลือดตัวเองอยู่ตลอดเวลาทำให้ฉินหลิงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาและมุ่งหวังที่จะเป็นผู้สลักอักขระให้จงได้

     

    หลังจากการแลกเปลี่ยนของวิเศษกับตาเฒ่าหม่าเสร็จสิ้น เจ้าอ้วนเหอก็เข้าไปด่าทอชายชราว่าไร้ยางอายและเข้าไปพูดคุยเรื่องภารกิจที่เขาได้รับมา

     

    ภารกิจของเจ้าอ้วนเหอนั้นคือการปลูกหญ้าวิเศษชนิดหนึ่งซึ่งใช้เวลาเพียงไม่ถึงเดือนและสามารถแลกกับหินวิญญาณได้10 ก้อน หลังจากพูดคุยและตกลงกันเสร็จเจ้าอ้วนก็แลกธูปหอมหนึ่งดอกด้วยหินวิญญาณ7ก้อนกับตาเฒ่าหม่าก่อนที่จะเดินมาทางฉินหลิง “พี่ชาย พวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวข้าพาท่านไปยังบ้านพักเอง ส่วนภารกิจค่อยกลับมารับภายหลังก็ได้ วันนี้ท่านต้องเจอกับตาแก่ไร้ยางอายผู้นี้คงเหนื่อยมากพอแล้ว”

     

    ตาเฒ่าหม่าเองก็ได้ยินคำนินทาของเจ้าอ้วนเหอ แต่ด้วยเพราะตัวเขาที่ได้รับผลประโยชน์ขนาดใหญ่มาจึงทำให้เขาไม่ได้ด่ากลับแต่อย่างได้และกำลังอมยิ้มในขณะที่กำลังจ้องมองโอสถในขวดแก้ว

     

    อย่างไรก็ตามในขณะที่ฉินหลิงและเจ้าอ้วนเหอกำลังเดินออกจากบ้านไม้หลังเล็กที่ไว้สำหรับรับภารกิจของศิษย์รับใช้... เสียงของตาเฒ่าเจ้าของเรือนไม้หลังเล็กแห่งนี้ก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน!!!

     

    ฉินหลิงเองก็หันกลับไปด้วยความสงสัยในขณะที่เจ้าอ้วนเหอตะโกนเสียงดังกลับไป “เจ้าแก่ไร้ยางอาย  เจ้าได้โอสถวิเศษไปแล้วยังจะเอาอะไรจากพวกเราศิษย์รับใช้อีก หากเจ้ายังกล้าปล้นพี่ใหญ่ท่านนี้อีกข้าจะไปตะโกนความเลวร้ายของท่านที่คอยหลอกศิษย์รับใช้ของเราให้คนทั้งสำนักรู้”

     

    ใบหน้าของตาเฒ่าหม่าบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างชัดเจนก่อนจะหันไปทางฉินหลิงโดยที่ไม่สนใจเจ้าอ้วนเหอเลย “เจ้าหนู ข้ามีเรื่องสงสัย!

     

    ฉินหลิงเองก็เผยสีหน้าอยากรู้เช่นกันก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายถามมาได้เลย

     

    เฒ่าหม่าชูขวดโอสถที่เขาพึ่งให้ไป “ขวดใส่โอสถสีใสนี้เจ้าได้มาจากไหนรึ หรือมันมาอยู่กับเม็ดยาปราณเพิ่มพูนตั้งแต่แรกแล้ว ปกติขวดใส่โอสถมักจะทำมาจากดินวิเศษแต่ข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอวิญญาณจากขวดใสนี้เลย แต่มันก็น่าแปลกที่ขวดนี้สามารถเก็บกลิ่นอายของโอสถนี้ได้ ช่างเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นจริงๆ”

     



    .............................................................................



    คำถามที่ผู้อ่านสงสัย ไรต์จะขออธิบายในนี้เลยน่ะขอรับ


    Q : มีคำถามมาว่าพระเอกมีด้านไหนที่สุดบ้าง เห็นมีเป็นอัจฉริยะด้านการฝึก ตอนแรกๆ ผ่านมาหน่อยเป็นหัวการค้า มาการเมือง แล้วพอเป็นผู้ฝึกตน ความอัจฉริยะต่างๆมันหายไปหมดเลย 

    A : อย่างเเรกขอตอบเลยว่าที่พระเอกมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธตอนที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนเพราะอาศัยพลังจากสายเลือดเผ่าพฤกษาจึงทำให้พลังเพิ่มขึ้นไวเว่อ ส่วนความสามารถในการค้านั้นก็เป็นเพราะพระเอกเคยเป็นพนักงานขายมาก่อน ส่วนด้านการเมืองหรือทางทหารนั้นจะเห็นได้ว่าไรต์ไม่ได้เขียนให้พระเอกเทพจัดเเต่จะออกเเนวพึ่งสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกใบนี้เเละความคิดเเปลกใหม่จึงทำให้พระเอกดูเเตกต่างเเละเก่งกาจกว่าคนทั่วไป... เเต่พอมาเป็นผู้ฝึกตนทำไมพระเอกถึงดรอปลงจนดูอ่อนมาก นั้นเป็นเพราะความเเข็งเเกร่งของผู้ฝึกตนนั้นมากกว่าปุถุชนจนไม่อาจเอาเเนวคิดอะไรมาวัดได้ เเละฉินหลิงเองก็ฝึกฝนด้วยตัวเองโดยไม่มีอาจารย์เเนะนำจึงทำให้มันดูมั่วสั่ว ส่วนพระเอกจะเทพเมื่อไหร่ก็ขอให้ติดตามกันต่อไป


    Q : เหมือนชีวิตที่ผ่านมาไร้ค่าไปเลย... ไม่รู้ก็ต้องศึกษาสิ.. มัวหวังหาแต่ประสบการณ์​อย่างเดียวเหมือนตัวเอกเกิดใหม่​ ไม่รู้เรื่องราวอะไรในโลกเลย​

    A : ชีวิตที่ผ่านมาของฉินหลิงนั้นเป็นพนักงานขาย เขาย่อมไม่อาจนำมาใช้ในโลกที่ต้องใช้ความเเข็งเเกร่งเข้ามาวัดได้มากนัก ส่วนเรื่องที่พระเอกไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งใดเลยนั้นเป็นเพราะเขาไม่มีใครคอยเเนะเเนวทางจึงทำให้เขาต้องคลำหาเส้นทางด้วยตัวเองจึงต้องใช้เวลาในการปรับตัวบ้างเพราะอย่างไรในชีวิตที่ผ่านมาก็ไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับโลกการฝึกตนเลย


    Q : เซ็งกับ ผญ. เรื่องนี้จริง ๆ....คือ วิธีการหาผัวของพวกนางแต่ละคน ทำเอา ผญ.อย่างเรารับไม่ได้เลย......อยากบอกว่า อย่ามอง ผญ. เป็นแบบนั้น 

    A : ที่ผู้อ่านเซ็งน่าจะเป็นเพราะสิ่งที่องค์หญิงหลี่หลิงเหมยกับชิงชิงทำลงไป สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อนอกจากวิถีเเสดงความรักที่สุดโต่งของพวกนางคือวิถีที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง จะเห็นได้ว่าหญิงสาวทั้งสองนั้นมีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่โดดเด่นหมือนในตอนที่พระเอกได้รับคำแนะนำจากเหล่าอดีตเจ้าสำนักปีศาจทมิฬที่บอกให้เขาฝึกโดยทำตามใจ ดังนั้นอยากให้มองว่าพวกนางต้องการให้ฉินหลิงรักมากกว่าที่จะยึดในจารีตประเพณีจึงทำให้นางใช้วิธีที่ค่อนข้างไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อ่าน เหมือนบางครั้งความรักก็ทำให้ดวงตามืดบอดเเละทำอะไรอย่างไม่คิดจนดูโง่เขลาในสายตาผู้อื่นเเต่สำหรับพวกนางการที่ทำให้คนที่พวกนางหลงรักหันมามองนางได้ก็ถือว่าคุ้มเเล้ว


    สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้่น่ะขอรับ สำหรับความคิดเห็นทั้งหมดไรต์ได้อ่านทุกวันเพียงเเต่ไม่ได้ตอบกลับเพราะกลัวเผลอสปอยออกไป555+  สำหรับโครงเรื่องในภาคนี้จะเกี่ยวกับการพัฒนาเเละปรับตัวเข้ากับโลกเเห่งการฝีกตนของฉินหลิง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×