คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #162 : ความล้ำค่าของโอสถระดับ3
หลังจากให้เสื้อผ้าและตราไม้ที่มีไว้สำหรับยืนยันตัวเสร็จ ผู้เฒ่าหม่าก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้เอนที่ตั้งอยู่กลางห้องด้วยท่าทางขี้เกียจเช่นเคย
จนทำให้ฉินหลิงที่หวังรอคำอธิบายเพิ่มเติ่มเกี่ยวกับเรื่องราวภายในสำนักถึงกับกุมขมับแน่นกับความไร้ผิดชอบของชายแก่ผู้นี้
“เอ่อ...ผู้เฒ่าหม่า ข้ายังไม่รู้เลยว่าที่พักของข้าอยู่ที่ไหน”
ฉินหลิงเดินเข้าไปพร้อมกับพยายามเอ่ยอย่างสุภาพ
“อะไรเนี่ย ทำไมเจ้ามันน่ารำคาญจังเลย”ชายชราบ่นอุบอิบออกมาด้วยสีหน้าเกียจคร้านทั้งที่มันเป็นความผิดของเขาที่ลืมบอกกล่าวแก่ฉินหลิง
ในขณะที่ชายแก่กำลังลุกขึ้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของฉินหลิง
“ตาแก่ขี้เกียจ ข้ามาส่งภารกิจแล้ว คราวนี้เจ้าห้ามหลอกเอาหินวิญญาณของข้าไปอีกน่ะ
ไม่เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งเบื้องบนว่าเจ้าหลอกเอาหินวิญญาณไปจากพวกข้า”
“ชิ.. เบื่อพวกรู้มากเสียจริง
เอาล่ะเจ้ามาก็ดีแล้ว เจ้าอ้วนเหอ เจ้าจงพาศิษย์รับใช้คนใหม่ไปหาที่พักและแนะนำเรื่องต่างๆด้วย
เสื้อผ้ากับตราประทับข้ามอบให้มันไปแล้ว” เฒ่าหม่าที่เห็นชายอ้วนในชุดสีเขียวเข้ามายังในบ้านก็รีบส่งภาระการดูแลฉินหลิงให้แก่เขาทันที
เด็กหนุ่มรูปร่างอ้วนที่ถูกชายแก่เรียกว่า เจ้าอ้วนเหอ
ก็ชี้หน้าไปทางเฒ่าหม่า “บัดซบ ตาแก่ เจ้าจะหาเรื่องข้ามากเกินไปแล้ว
หน้าที่แนะนำศิษย์ใหม่มันเป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ใช่รึ ทำไมถึงโยนขี้มาให้ข้าล่ะ
แล้วไม่ใช่ว่าศิษย์รับใช้ชุดใหม่พึ่งรับไปเมื่อต้นปีมิใช่รึ?”
การรับศิษย์รับใช้ของสำนักแห่งนี้จะรับทุกๆสองปีและต้องผ่านการทดสอบที่เข้มงวด
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครแทรกแซงเข้ามาได้โดยเฉพาะสำนักใหญ่อย่างสำนักขจีไพรสัน
ดังนั้นเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าจึงทำให้เจ้าอ้วนอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
เฒ่าหม่าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ก็ไอเจ้าหนูนี้มันโชคดีที่ไปเตะตาคุณหนูใหญ่เข้าน่ะสิ”
เจ้าอ้วนที่ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ก็เบิกตากว้าง “ใช่คุณหนูใหญ่ที่พูดกันว่าร้ายกาจยิ่งกว่านางมารผู้นั้นหรือ?”
“มารดามันเถอะ..ไอเด็กสารเลว เจ้าหาเรื่องตายก็เรื่องของเจ้า
อย่าพาข้าลงโลงไปกับเจ้าสิว่ะ หากว่าคุณหนูใหญ่ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ที่เรือนของข้า
พวกเราไม่พากันซวยไปหมดรึ!!” เฒ่าหม่าลุกพรวดพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังเจ้าเด็กอ้วน
เจ้าอ้วนเหอที่นึกได้ว่าตัวเองนินทาผู้สูงศักดิ์เข้าก็รีบเอามือปิดปากแน่นก่อนจะมองไปทางชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าน่าสงสาร
“พี่ชายท่านนี้ ท่านคงไม่เอาเรื่องไร้สาระของข้าไปบอกใครหรอกน่ะ”
ฉินหลิงที่ยืนดูการโต้เถียงของชายชราและเด็กร่างอ้วน
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้สนิทอะไรกับคุณหนูท่านนั้นเลย”
เฒ่าหม่าที่เห็นท่าทางและกลิ่นอายของชายหนุ่มก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้างและเอ่ยถามออกไป
“เจ้าหนุ่ม เจ้าฝึกวิชาสายมารอย่างนั้นรึ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายแก่ เจ้าอ้วนเหอที่กำลังเดินเข้ามาสนทนากับฉินหลิงกระโดดถอยหลังพร้อมกับก้อนไขมันที่ส่ายไปมาอย่างน่าขัน
“พะ..พี่ชายเป็นพวกผู้ฝึกตนชั่วร้ายรึ?”
ฉินหลิงขมวดคิ้วลงก่อนจะพยักหน้ายืนยันก่อนจะเอ่ยถาม
“ผู้ฝึกวิชาสายมารเป็นที่รังเกียจของผู้คนรึ?”
เฒ่าหม่าที่ได้ยินคำถามของชายหนุ่มตรงหน้าก็ยิ้มออกมา
“ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าคือวิชามาร
ดังนั้นผู้ฝึกตนสายมารก็ย่อมไม่ใช่ตัวตนที่ดีอะไร ดูท่าแล้วเจ้าคงเป็นปุถุชนธรรมดาที่ประสบโชคเข้าสิน่ะถึงกลายเป็นผู้ฝึกตนสิน่ะ ถือว่าเจ้าโชคยังดีอยู่ไม่น้อยที่เจ้าบังเอิญได้พบคุณหนูใหญ่ก่อน
หากเจ้าไปบังเอิญเจอเข้ากับพวกสำนักพรรคฝ่ายธรรมะเข้าเจ้าคงกลายเป็นศพไม่รู้ตัวไปแล้ว”
“ทำไมรึขอรับ?” ฉินหลิงเอ่ยอย่างสงสัย
“ธรรมะและอธรรมย่อมเป็นขั้วตรงกันข้ามที่ไม่อาจเข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เหล่าสำนักฝ่ายตรงข้ามจะลงมือกับผู้ฝึกตนหน้าใหม่อย่างพวกเจ้าเพื่อไม่ให้เติบโตจนแข็งแกร่ง
ถึงแม้ทวีปของเราจะถูกควบคุมด้วย3ธรรมะและ2อธรรมแต่ทุกสิ่งล้วนมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ใช่ว่าอธรรมจะชั่วช้าทุกคนและก็มิใช่ฝ่ายธรรมะจะดีทุกคน เหมือนดั่งเหรียญที่มีสองด้าน ผู้ฝึกตนก็มีมุมมืดของตัวเองเช่นกัน
สำนักขจีไพรสันของเราเองก็ไม่เว้น เพราะการที่พวกเราตั้งตัวเป็นกลางก็เพื่อต้องการผลประโยชน์จากทั้งธรรมะและอธรรม”
ชายชราเอ่ยอธิบายออกมาอย่างจริงจังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่มที่ดูไม่เหมือนคนชั่วร้าย
ฉินหลิงก็พยักหน้าเบาๆ
แต่การที่เขาฝึกฝนวิชาโลหิตนั้นเป็นเพราะต้องการกลิ่นอายชั่วร้ายในการปกปิดสายเลือดพฤกษาของตัวเองไม่ใช่เพราะต้องการใช้วิชาที่ชั่วร้ายไปทำร้ายใคร ซึ่งคงไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขา ดังนั้นฉินหลิงจึงตัดสินใจถามชายชราตรงหน้า
“ผู้เฒ่าหม่า หากข้าต้องการซ่อนกลิ่นอายตัวเอง
นอกจากใช้กลิ่นอายโลหิตยังมีเคล็ดวิชาอื่นใดอีกรึไม่ขอรับ”
“หืม...”
เฒ่าหม่าจ้องมองฉินหลิงอย่างจริงจังก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “นั้นสิน่ะตัวเจ้าคงมีความลับบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้
หากข้าได้หินวิญญาณซักร้อยก้อนบางทีอาจจะนึกขึ้นได้ว่ามีเคล็ดวิชาใดที่สามารถช่วยลบกลิ่นอายในร่างกายก็เป็นได้น่ะ”
ใบหน้าของฉินหลิงบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ความไร้ยางอายของชายชราตรงหน้าทำให้เขาพูดไม่ออกจริงๆ ปกติแล้วเหล่าผู้อาวุโสในสำนักต้องเป็นคนที่ช่วยเหลือเหล่าศิษย์ในสำนักมิใช่รึ
แล้วทำไมตาแก่แซ่หม่าผู้นี้ถึงหน้าด้านมาไถ่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆอย่างเขาได้เล่า
ฉินหลิงที่ไม่มีหนทางจึงกัดฟันแน่นและควักขวดสีใสที่มีเม็ดยาสีแดงอยู่หนึ่งเม็ดออกมา
ซึ่งโอสถนี้คือเม็ดยาระดับ3ที่ลู่ชิงได้ทิ้งไว้และเขาแยกใส่ขวดแก้วเอาไว้ “ตัวข้าไม่มีหินวิญญาณหรอกน่ะ
เพียงแต่ข้ามีโอสถนี้หนึ่งเม็ดหวังว่าท่านจะช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ใช้ลบกลิ่นอายในร่างให้แก่ข้าด้วย”
ตาเฒ่าหม่าที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากก็อ้าปากค้างจนเสียท่าทีของผู้อาวุโสก่อนจะพึมพำ
“บ้าน่า...โอสถระดับ3 เม็ดยาปราณเพิ่มพูน”
เพียงพริบตาชายแก่พุ่งเข้ามาพร้อมกับมือที่กำลังจะคว้าไปยังขวดโอสถสีใสในมือของฉินหลิงด้วยท่าทีจริงจัง
อย่างไรก็ตามร่างใหญ่ยักษ์ของเจ้าอ้วนเหอก็เข้ามาขวางกั้นมือของเฒ่าหม่าอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“เจ้าแก่สารเลว กล้าดียังไงถึงหลอกลวงเอาเม็ดยาวิเศษจากศิษย์สำนักไป
พี่ใหญ่ท่านนี้ไม่ต้องกังวลข้าไม่ยอมให้เจ้าแก่ไร้ยางอายได้เม็ดยาระดับ3ของท่านไปได้เด็ดขาด
ต่อให้แลกด้วยชีวิตข้าก็ขอขัดขวางชายไร้ยางอายผู้นี้ให้จงได้!!”
เฒ่าหม่าที่เห็นเจ้าอ้วนเหอมาขวางก็บ่นออกมาอย่างไม่พอใจ
“เจ้าอ้วนเนรคุณ ข้ากับน้องชายผู้นี้กำลังแลกเปลี่ยนกันอย่างเที่ยงธรรมแต่เจ้ากลับกล้ามาขัดขวาง
การกระทำของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก อ่า..ความยุติธรรมในโลกหล้ายังมีอีกไหม?”
ใบหน้าของเจ้าอ้วนกระตุกก่อนจะชี้ไปทางชายแก่ตรงหน้า
“เจ้าแก่ไร้ยางอาย
เจ้ากล้าแลกข้อมูลไร้สาระของเจ้ากับเม็ดยาระดับสามที่มีค่านับหมื่นหินวิญญาณได้ยังไง
ใบหน้าของเจ้าจะหนาไปถึงไหน?”
ฉินหลิงที่ยืนฟังอยู่ก็ตกใจเช่นกัน ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าหินวิญญาณนับหมื่นก้อนมีคุณค่าเท่าใด
แต่จากที่เขาสังเกตเห็นป้ายประกาศด้านหน้าที่กระจายภารกิจของศิษย์รับใช้นั้นทำให้เขารับรู้ว่าภารกิจของศิษย์รับใช้จะได้หินวิญญาณตอบแทนเพียงไม่กี่สิบก้อนต่อภารกิจเท่านั้น
ดังนั้นหินวิญญาณนับหมื่นก้อนก็น่าจะเรียกได้ว่ามหาศาลเลย
เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าเม็ดยาที่ลู่ชิงทิ้งไว้ให้จะมีคุณค่ามากมายถึงเพียงนี้
นอกจากนี้เขายังเหลืออีกแปดเม็ดและยังมีเม็ดยาระดับ4อีก
ด้วยความล้ำค่าของโอสถเหล่านี้ทำให้ฉินหลิงอดที่จะสงสัยตัวตนที่แท้จริงของลู่ชิงไม่ได้
ถึงแม้ในอดีตเขาจะแค้นเคืองที่ลู่ชิงไม่ได้ช่วยเหลือถานอวี้จี้ แต่พอกาลเวลาผ่านไป
ฉินหลิงเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าอดีตบ่าวตัวน้อยคงมีเหตุผลของเขาเช่นกันและการที่ผู้ฝึกตนระดับสูงอยู่ดูแลเขานานหลายสิบปีก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
แค่บุญคุณที่ลู่ชิงช่วยเขาก็เรียกได้ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณเด็กน้อยผู้นี้นั้นอย่างยิ่งเเล้ว
ผ่านไปพักใหญ่
การทะเลาะระหว่างชายชรากับเจ้าอ้วนเหอก็ยังไม่หยุดจนฉินหลิงต้องเอ่ยห้าม
“เจ้าหนู
หากเจ้าต้องการรู้เคล็ดวิชาที่ใช้สำหรับปกปิดกลิ่นอายของตัวเองก็จงเอาเม็ดยาระดับสามมาแลกเปลี่ยน!”
“พี่ใหญ่อย่าไปหลงกลตาแก่ชั่วร้ายผู้นี้เด็ดขาด
เขาจะต้องเอาเคล็ดวิชาไร้สาระมาหลอกลวงท่านอย่างแน่นอน เก็บเม็ดยาของท่านไปขายแล้วเอาหินวิญญาณไปแลกเคล็ดวิชาเองจะมีโอกาสเสียมากกว่าเชื่อตาเฒ่าผู้นี้อีกน่ะ”
“บัดซบ..เจ้าเด็กสารเลว
เจ้ากล้าดียังไงถึงมากล่าวหาข้าเช่นนี้ หากไม่สั่งสอนซักหน่อยคงไม่รู้สำนึกสิน่ะ”
“บิดาท่านเถอะ... หากท่านจะทำร้ายข้า
ข้าจะวิ่งไปฟ้องคนทั่วสำนักเลย
อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านไปล่วงเกินคนระดับสูงเข้าจนถูกส่งมาดูแลศิษย์รับใช้อย่างพวกเรา”
เจ้าอ้วนเหอพูดออกมาพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น
ตาเฒ่าเหอที่ได้ยินคำพูดของเจ้าอ้วนก็เผยสีหน้าซับซ้อนออกมาและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
ฉินหลิงเองก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
ปัญหาภายในของสำนักแห่งนี้คงมีไม่น้อย
หลังจากสังเกตท่าทางของตาเฒ่าหม่าเขาก็รับรู้ว่าแท้จริงแล้วชายชราผู้นี้ไม่ใช่คนที่ชั่วร้ายเลย
ถึงแม้เขาจะดูบ้าบอไปบ้างแต่เขาก็เป็นคนที่ไม่มีความคิดร้ายใดๆแฝงอยู่
ไม่เช่นนั้นจะมีหรือที่เขาซึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงจนฉินหลิงมองไม่เห็นพลังฝึกตนจะปล่อยโอสถระดับ3ไปง่ายๆโดยไม่ได้ลงมือ
“เจ้าอ้วนพอก่อน” ฉินหลิงเอ่ยห้ามเด็กหนุ่มร่างอ้วนและเดินไปทางชายราแซ่หม่าพร้อมกับยื่นเม็ดยาให้อย่างง่ายดาย
ตาเฒ่าหม่าเองก็เผยสีหน้างุนงงเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ายื่นโอสถล้ำค่ามาให้ด้วยท่าทางไม่เสียดาย
“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าต้องการแลกเปลี่ยนโอสถเม็ดนี้กับเคล็ดวิชา”
ฉินหลิงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง
ไม่เพียงชายชราแซ่หม่าที่เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
เจ้าอ้วนแซ่เหอยังรู้สึกว่าพี่ชายตรงหน้าเป็นบ้าไปแล้ว
เขาไม่รู้รึไงว่าหินวิญญาณนับหมื่นก้อนมีค่าขนาดไหน
พี่ชาย หากท่านร่ำรวยจริงๆท่านก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้!
ความคิดเห็น