ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #158 : ชิงชิงตกตะลึง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.92K
      826
      12 ก.พ. 63

    ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งกำลังผันผวนจากการต่อสู้ของผู้ฝึกตนสองคน ชายหนุ่มในชุดดำที่เป็นผู้ได้รับชัยชนะเดินจากไปทิ้งไว้เพียงบรรยากาศที่อึมครึม

     

    สายตาของหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามราวกับเซียนสาวจดจ้องไปยังแผ่นหลังที่ค่อยๆเรือนหายไปกับความมืดด้วยความสับสน ทำไม! ทำไมชายผู้นั้นถึงได้เย็นชานัก แล้วสายตาที่จ้องมองมายังนางนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน?

     

    หลานชิงชิง นางคือคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันอันยิ่งใหญ่ที่เป็นเจ้าของพื้นที่โดยรอบนี้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยหน้าตาและพรสวรรค์ที่เรียกได้ว่าฟ้ายังอิจฉาทำให้ทุกสิ่งที่นางปรารถนาไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจหามาได้ แต่สิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้กลับทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดเกินความเข้าใจ ในคราแรกนางมั่นใจว่าเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นได้เห็นใบหน้าที่งดงามของนางเขาย่อมต้องหลงใหลในตัวนางอย่างแน่นอน

     

    อย่างไรก็ตามเรื่องราวกับ พังทลายลงตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม เมื่อชายหนุ่มที่นางกำลังสนใจกลับมองนางราวกับเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจกับคำพูดที่ทิ้งไว้ราวกับยอมตายเสียดีกว่าต้องมาเห็นหน้านาง และนี้เป็นครั้งแรกที่นางโดนปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใยเช่นนี้

     

    เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งของนางกับชายผู้นั้นแล้ว นางสามารถสังหารเขาให้ตายได้อย่างง่ายดาย แต่ทำไมกัน? ทำไมเขาถึงกล้าพูดเช่นนี้กับนาง? นางถึงทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกปั่นป่วนในใจทำให้นางสับสนเกินเข้าใจ

     

    “เอ่อ..คุณหนูใหญ่ขอรับ” เสียงของเสี่ยวหวังชุนดังขึ้นปลุกหญิงสาวผู้งดงามให้ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง

     

    สีหน้าของชิงชิงเต็มไปด้วยความเย็นชาก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปยังชายผู้ที่ทำให้แผนของนางพังลงด้วยความหงุดหงิด  “มีอะไร?

     

    เมื่อเห็นท่าทางของคุณหนูใหญ่ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกอึดอัดพรางบ่นในใจว่าการที่ท่านถูกเขาเกลียดก็เป็นเพราะแผนการของท่านเองไม่ใช่รึ แต่ในฐานะที่เขาเป็นเพียงศิษย์ตัวเล็กๆจึงไม่มีสิทธิพูดอะไรมาก “หากไม่มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้แล้ว...ข้าน้อยขอตัวเลยน่ะขอรับ”

     

    ชิงชิงหันมาจ้องยังชายวัยหลางคนด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาจนทำให้เสี่ยวหวังชุนหวาดกลัวจนขาสั่นจนเเทบล้มพับไปกับพื้น 

     

    “ขออภัยด้วยขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย” เสี่ยวหวังชุนคุกเข่าร้องขอชีวิตต่อหน้าหญิงสาวอย่างไม่อับอาย จนกระทั้งเวลาผ่านไปเขายังคงสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตจึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมองตำแหน่งของคุณหนูใหญ่

     

    เมื่อเห็นเพียงความว่างเปล่าอยู่เบื้องหน้า เสี่ยวหวังชุนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ในโลกการบำเพ็ญเพียรที่วัดความอาวุโสด้วยความแข็งแกร่งนั้น...การที่เขาไปทำให้คุณหนูใหญ่ที่มีพลังมากกว่าเขาขุ่นเคืองย่อมทำให้เขามีจุดจบที่น่าหวาดกลัว เเต่ก็ถือว่าครั้งนี้โชคดีมากเเล้วที่หญิงสาวผู้นั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายตัวเขา  เมื่อนึกถึงความสูญเสียในหุบเขาที่ต้องใช้เวลานับสิบปีเพื่อฟื้นฟูก็พลันทำให้เสี่ยวหวังชุนรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที

     

    หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาและเรื่องราวไม่คาดฝัน  ฉินหลิงจึงรีบเดินทางกลับมายังโรงเตี๊ยมที่ยังมีสัมภาระอยู่อย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับรู้ว่าชิงชิงเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งจนแม้แต่เขายังสัมผัสไม่ได้ถึงพลังวิญญาณในร่าง เขาจึงต้องการหลบหนีออกจากพื้นที่นี้อย่างรวดเร็ว

     

    ฉินหลิงไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นมีจุดประสงค์อะไรถึงแกล้งปลอมตัวเพื่อมาทำตัวสนิทสนมกับเขา แต่ในร่างกายของเขายังมีความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ได้... ไม่เพียงแต่สายเลือดแห่งเผ่าพันธุ์พฤกษาที่ล้ำค่า เขายังมีตัวอ่อนกระบี่ที่สมควรไม่มีอยู่แล้วในตัวอีกด้วย หากความลับเหล่านี้ถูกเปิดออกมา เขามั่นใจเลยว่าชีวิตของเขาจะถูกทำลายลงไปชั่วพริบตา

     

    เมื่อเห็นโรงเตี๊ยมอยู่ตรงหน้า เขาจึงรีบเดินเข้าไปและเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว

     

    ครั้นเสียงจากประตูดังขึ้น เด็กน้อยทั้งสามที่นอนพิงกันอยู่ด้านล่างก็เปิดตาพร้อมกับขยี้ตาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มในชุดดำที่กำลังเดินเข้ามา  พวกเขาจึงรีบพุ่งเข้ามาหาฉินหลิงทันที

     

    “ท่านลุง ท่านพาแม่ข้ากลับมาได้รึไม่?

     

    “ท่านแม่ของพวกข้าอยู่ไหน ทำไมข้าไม่เห็นเลย มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”

     

    “ท่านลุงบอกข้าที เกิดอะไรขึ้น...ทำไมท่านแม่ไม่มาพร้อมกับท่าน”

     

    เด็กน้อยทั้งสามรุมล้อมฉินหลิงพร้อมกับส่งคำถามออกมาจนทำให้ฉินหลิงรู้สึกอึดอัด เมื่อนึกถึงความสามารถของชิงชิงมีหรือจะถูกชายวัยกลางคนที่อยู่ในหุบเขาแห่งนั้นจับตัวได้

     

    แต่เมื่อเห็นท่าทางอันบริสุทธิ์ของเหล่าเด็กน้อย ฉินหลิงจึงฝืนยิ้มออกมา “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกน่ะ มารดาของพวกเจ้าปลอดภัยดี อีกไม่นานพวกนางก็กลับมาแล้ว”

     

    “จริงรึขอรับ?

     

    “ท่านลุงไม่ได้หลอกให้พวกข้าดีใจเล่นหรอกน่ะ”

     

    “แล้วทำไมพวกท่านแม่ถึงไม่กลับมาพร้อมท่านล่ะ”

     

    เมื่อได้ยินคำถามของเหล่าเด็กน้อยอีกครั้ง ฉินหลิงก็อธิบายว่าเขาไปช่วยเหลือพวกนางแล้วแต่เขากลับมาก่อนเพราะบาดเจ็บและต้องการพักฟื้น อีกไม่นานมารดาของพวกเขาจึงเดินทางมาถึง

     

    หลังจากเด็กน้อยทั้งสามได้ยินว่าท่านลุงบาดเจ็บเพราะไปช่วยเหลือมารดาของพวกเขาจึงเผยสีหน้าตกใจโดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็นเลือดติดอยู่ตามเสื้อผ้า จนทำให้ทั้งสามร้องไห้งอแงเสียงดังและต้องให้ฉินหลิงปลอมอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบลงได้

     

    หลังจากเด็กน้อยทั้งสามร้องไห้จนหมดแรงและหลับลง  ฉินหลิงก็ถอนหายใจออกมาและรีบเดินขึ้นบนห้องพักตัวเองอย่างรวดเร็ว

     

    เมื่อเข้ามาในห้องพักที่อยู่บนชั้นสาม ฉินหลิงกัดฟันแน่นข่มอาการบาดเจ็บและรีบเก็บเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโดดจากหน้าต่างเพื่อเตรียมตัวหลีกหนี เหตุที่เขาไม่เดินลงไปยังชั้นล่างเพราะเขาไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเหล่าเด็กน้อยทั้งสามอีกแล้ว การต้องปลอบให้เด็กน้อยทั้งสามคนเงียบก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยกว่าต้องไปสู้กับผู้ฝึกตนผู้นั้นเสียอีก

     

    หลังจากก้าวออกมาจากโรงเตี๊ยมฉินหลิงก็หันกลับไปมองยังโรงเตี๊ยมด้านหลังเล็กน้อย การเดินทางครั้งแรกของเขาดันได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างไม่รู้ตัว หากไม่เพราะโชคดีที่หญิงสาวผู้นั้นไม่ได้คิดช่วงชิงชีวิตเขา..บางทียามนี้เขาคงกลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว

     

    ฉินหลิงรับรู้ว่าตัวเขาประมาทไป เขาไม่คิดว่าการแฝงตัวในเมืองมนุษย์ยังคงถูกผู้ฝึกตนจับจ้องอยู่... แต่อย่างไรเขาก็ถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตในฐานะผู้ฝึกตน ทั้งการต่อสู้และประสบการณ์ต่างๆทำให้เขาได้เรียนรู้ครั้งใหญ่

     

    ห่างออกจากเมืองที่ฉินหลิงพึ่งจากมาเกือบร้อยลี้(~50กม.)  เขาวิ่งจนสุดกำลังหลังจากออกนอกเมืองก็หยุดพักลงภายในป่าแห่งหนึ่ง ด้วยความต้องการหลบซ่อนจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ฉินหลิงจึงรีบเคลื่อนไหวออกจากเมืองแห่งนั้นอย่างรวดเร็วเพราะเขาไม่มั่นใจว่านอกจากชิงชิงยังมีผู้ฝึกตนคนอื่นอีกรึไม่?

     

    อย่างไรก็ตามการฝืนเดินทางเป็นร้อยลี้สร้างภาระให้แก่ร่างกายของเขามากเกินไป

     

     “แค๊กๆ” เลือดสีดำถูกกระอักออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ไอวิญญาณในร่างของเขาเริ่มไม่มั่นคงเพราะเขาขาดแคลนพลังวิญญาณเข้าไปเติมเต็ม เพราะสูญเสียเลือดมากเกินไปผิวหนังแห้งขึ้นจนเริ่มเหี่ยวย่นเหมือนคนชรา  ชีพจรในร่างกายหมุนเวียนช้าลงเพื่อรักษาสภาพร่างกายให้มีชีวิตรอด ใบหน้าดูขาวซีดราวกับซากศพทำให้เขาดูไม่เหมือนคนปกติเลย

     

    การต่อสู้กับชายวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของหุบเขาแห่งนั้นทำให้ไอวิญญาณในร่างกายเหือดแห้ง ในขณะที่พลังวิญญาณไม่เพียงพอ ฉินหลิงยังฝืนร่างกายเคลื่อนไหวหลบหนีเป็นร้อยลี้อีก การที่เขาไม่ล้มลงระหว่างทางก็เรียกได้ว่ามีจิตใจที่ไม่ธรรมดาแล้ว

     

    อย่างไรก็ตามเมื่อฉินหลิงกระอักเลือดเสียออกไป ภาพตรงหน้าของเขาก็เบลอจนเห็นไม่ชัดและเริ่มไม่รู้สึกตัว อาการหน้ามืดเริ่มรุนแรงก่อนจะทรงตัวไม่อยู่และล้มลง

     

    ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังล้มลงไปบนพื้น นิ้วมือเรียวยาวก็คว้าร่างของฉินหลิงอย่างรวดเร็วก่อนจะช่วยพยุงร่างอันซีดเซียวอย่างง่ายดาย  ในขณะที่มืออีกข้างมีขวดโอสถปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า

     

    ชิงชิงที่พุ่งตัวเข้ามาช่วยฉินหลิงก็ใช้มือเปิดขวดโอสถและเทเม็ดยาสีเขียวที่มีกลิ่นหอมฟุ้งออกมาและรีบป้อนให้ชายหนุ่มในอ้อมแขนด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยอ่อนโยน

     

    ฉินหลิงเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนทำได้เพียงกลืนเม็ดยาที่เข้าไปในปากอย่างยากลำบาก

     

    โอสถที่เข้าไปในปากของฉินหลิงก็ละลายอย่างรวดเร็วและกลายเป็นพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์และยังมีอีกส่วนหนึ่งเข้าไปกระตุ้นการทำงานของไขสันหลังเพื่อเพิ่มพูนเลือดที่เสียไป

     

    ฉินหลิงที่เห็นไอวิญญาณมากมายในร่างก็ผละร่างออกจากแขนขาวนวลของหญิงสาวและนั่งเข้าฌานอย่างไม่รอช้า

     

    ไอวิญญาณจากโอสถที่ชิงชิงป้อนหมุนเวียนอยู่ในร่างของฉินหลิงอย่างรวดเร็ว ตัวอ่อนกระบี่ในตันเถียนดูดซึมคลื่นวิญญาณอย่างไม่เกรงใจก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังตำแหน่งต่างๆของร่างกายเหมือนในครั้งที่เขาเคยกินโอสถระดับ3ที่ได้มาจากลู่ชิง

     

    ระหว่างการเข้าฌาน ชิงชิงเองที่คอยตามฉินหลิงมาตลอดทางก็จ้องมองไปยังชายหนุ่มอย่างหลงใหลและเอื้อมมือล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่ทำมาจากผ้าเนื้อดีมาเช็ดมุมปากของชายหนุ่มที่เปื้อนหยาดโลหิตด้วยท่าทีไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไปที่กำลังอยู่ห้วงแห่งความรัก

     

    แน่นอนการกระทำของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักขจีไพรสันย่อมไม่อยู่ในสายตาของฉินหลิงเพราะเขากำลังรีบฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจนตัดขาดสัมผัสทั้งห้า

     

    อย่างไรก็ตามสายตาของชิงชิงกลับต้องเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อนางไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอวิญญาณที่ไหลออกมาจากร่างของฉินหลิงแม้แต่น้อย

     

    หลังจากกลืนโอสถเม็ดสีเขียวเข้าไปชายหนุ่มตรงหน้านางยังไม่ได้ปลดปล่อยไอวิญญาณส่วนเกินออกมาเลยซักนิดเดียว... ชิงชิงที่เป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสามย่อมสับสนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉินหลิง เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งจะสามารถหลอมรวมไอวิญญาณหรือคุณสมบัติแฝงที่อยู่ในเม็ดยาโอสถได้ครบทั้งสิบส่วน ดังนั้นจึงต้องมีไอวิญญาณไหลออกมาจากร่างของผู้ฝึกตนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

     

    ด้วยคุณสมบัติของโอสถชนิดต่างๆนั้นทำให้ผู้ฝึกตนต่างไขว่คว้ามาครอบครองจนทำให้ตัวนักปรุงโอสถเป็นที่ต้องการของเหล่าพรรคและสำนักต่างๆ อย่างไรก็ตามตัวเม็ดยาโอสถเองก็ใช่ว่าจะส่งผลต่อทุกคนเท่าเทียมกันเพราะบางคนอาจดูดซับได้มากในขณะที่อีกคนสามารถดูดซับได้เพียงน้อยนิด ดังนั้นการดูดซับพลังจากเม็ดยาจึงเป็นการบ่งบอกถึงพรสวรรค์อย่างหนึ่ง

     

    ตั้งแต่เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรมา... ชิงชิงเองก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถดูดซับพลังของโอสถจนไม่หลงเหลือไอวิญญาณใดๆออกมาเลยซักครั้งเดียว

     

    การได้พบเจอกับฉินหลิงทำให้นางต้องแปลกใจครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มที่พึ่งเข้าสู่วิถีหนทางฝึกตนทำไมถึงเต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ เขาฝ่าระดับก่อตั้งวิญญาณขั้น2ทั้งที่รากฐานไม่มั่นคง ต่อสู้กับผู้ฝึกตนที่มีพลังมากกว่าถึงสองขั้นโดยไม่พ่ายแพ้ และยังมีพลังธาตุไม้อันบริสุทธิ์จนนางต้องอิจฉา สิ่งต่างๆที่หมุนเวียนรอบชายหนุ่มผู้นี้มีแต่สิ่งแปลกประหลาด

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×