คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #157 : คุณหนูใหญ่ช่วยข้าด้วย
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ระหว่างการต่อสู้ของฉินหลิงและหวังเสี่ยวชุนผู้เป็นศิษย์ภายนอกแห่งสำนักขจีไพรสัน
หญิงสาวที่สวมชุดชาวบ้านเองก็กำลังเบิกตาค้างกับการที่ชายหนุ่มเปลี่ยนโลหิตของตัวเองให้เป็นกระบี่...
แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าฉินหลิงนั้นพึ่งเข้าสู่หนทางการฝึกตนได้ไม่นานบางทีเขาอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
ชิงชิงที่ได้ข้อสรุปภายในใจตัวเองก็ครุ่นคิดหาหนทางที่จะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของวิถีกระบี่ให้ชายหนุ่มฟังในอนาคต
การสันนิษฐานของชิงชิงเกี่ยวกับรากฐานของการใช้กระบี่ที่ฉินหลิงแสดงออกมานั้นถูกต้องแม่นยำ เพียงแต่นางคงคิดไม่ถึงว่าตัวอ่อนกระบี่ที่สมควรไม่มีอยู่ในยุคสมัยนี้อีกแล้วนั้นกลับมีอยู่ในตัวของชายหนุ่มชุดดำที่กำลังพุ่งเข้าใส่ศิษย์สำนักขจีไพรสันที่ทำหน้าที่ดูแลหุบเขาแห่งนี้
ฉินหลิงเข้าประชิดตัวศัตรูตรงหน้าได้ก็กวาดกระบี่โลหิตในมือเข้าใส่ชายวัยกลางคนเต็มแรง
ตัวอ่อนกระบี่ในตันเถียนสั่นไปมาอย่างระริกระรี้ราวกับมัจฉาที่ได้ว่ายอยู่ในธารธารา
กระบี่ที่เกิดจากหยาดโลหิตของฉินหลิงมีแสงสว่างขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น
อาจจะเพราะกลิ่นอายที่ดูชั่วร้ายจากเคล็ดวิชาโลหิตจึงทำให้ลำแสงสีขาวที่ปะปนอยู่ในกระบี่โลหิตไม่เป็นที่สนใจ
แต่แสงสีขาวนี้เองคือพลังที่ออกมาจากตัวอ่อนกระบี่ซึ่งทำให้คมกระบี่ของฉินหลิงก่อเกิดเป็นกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกระบี่โลหิตที่แตกต่างไปจากเดิม เสี่ยวหวังชุนที่เตรียมต้านรับการโจมตีด้วยเคล็ดวิชาคุ้มกายก็ขนลุกซู่ขึ้นทันที
ควับ~~~~~~~!!!
เสียงกระบี่ของฉินหลิงดังขึ้นพร้อมกับเสียงของต้นไม้ด้านหลังที่หักล้มลงไปเป็นแถวยาว
ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะปะทะกับกระบี่โลหิตของฉินหลิงนั้นเสี่ยวหวังชุนตัดสินใจเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองและเบี่ยงตัวหลบออกมา
ไม่เข้าไปปะทะกับชายหนุ่มชุดดำโดยตรง
“แค๊กๆ” ชายวัยกลางคนกระอักเลือดออกมาจนเผยให้เห็นสีหน้าซีดขาว
หน้าอกของเขาเกิดเป็นแผลยาวพร้อมกับเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นออกจากกัน สายตาของเขาจับจ้องไปยังกระบี่โลหิตในมือของชายหนุ่มชุดดำ
เขามั่นใจว่าตัวเองหลบคมกระบี่นั้นพ้นอย่างแน่นอน
แต่อาการที่บาดเจ็บที่แสดงออกมานั้นทำให้เขารับรู้ได้ว่ากระบี่โลหิตในมือของฉินหลิงนั้นไม่ธรรมดา
ขณะเดียวกัน จอมยุทธนับสิบที่ได้ยินเสียงดังลั่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพลิงไหม้ก็พุ่งลงมาจากเนินเขาเพื่อตรวจดูสถานการณ์
แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นคือท่านเซียนที่พวกเขาเคารพนับถือกำลังบาดเจ็บ หน้าอกของท่านเซียนแห่งหุบเขาถูกฟันจนเป็นเเผลยาวเเละเต็มไปด้วยหยาดโลหิตที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด
“ศัตรูของท่านเซียน ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กใหม่ของกลุ่มเจ้าหัวล้านหู่หรอกรึ”
หนึ่งในจอมยุทธชี้ไปทางชายหนุ่มชุดสีดำที่กำลังถือกระบี่สีแดงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
เหล่าจอมยุทธคนอื่นต่างก็หันไปมองชายหนุ่มชุดสีดำ
ความรู้สึกต่างๆผุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“หรือว่าเขาก็เป็นเซียนเช่นกัน”
“ทำไมเขาถึงปลอมตัวเป็นจอมยุทธล่ะ”
“เจ้าโง่! ไม่เห็นรึไงเขาเป็นศัตรูกับท่านเซียนแห่งหุบเขา
ดังนั้นเขาจึงแฝงตัวแล้วลอบทำร้ายท่านเซียนยังไงล่ะ”
“แล้วเราควรทำยังไงดีล่ะ ไปช่วยท่านเซียนดีรึไม่”
“ไปช่วยป้าเจ้าสิ!!! ไม่เห็นรึขนาดท่านเซียนยังบาดเจ็บสาหัสเลย
พวกเราไปก็รนหาที่ตายสิว่ะ ถอยก่อนเร็ว!”
“ใช่ๆหนีก่อน
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์อย่างเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้”
เพียงไม่นานกลุ่มจอมยุทธต่างวิ่งหนีออกจากหุบเขาแห่งนี้ด้วยทิศทางต่างกัน
ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้ย่อมอยู่ในสายตาของฉินหลิง แต่เขาเองก็ไม่สนใจในตัวจอมยุทธพวกนี้อยู่แล้ว
เสี่ยวหวังชุนเหลือบมองไปยังเหล่าจอมยุทธที่วิ่งหนีอย่างไม่สนใจและรีบฟื้นฟูปราณวิญญาณที่กำลังปั่นป่วนจากอาการบาดเจ็บ
หากเป็นก่อนหน้านี้เขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าชายตรงหน้าที่มีพลังเพียงก่อตั้งวิญญาณขั้นสองย่อมไม่อาจทำให้เขาบาดเจ็บได้
หลังจากแสดงละครต่อสู้เสร็จเขาก็จะแกล้งแพ้และหลบหนีออกไป สุดท้ายเรื่องราวก็เป็นไปตามความต้องการคุณหนูใหญ่แถมเขาอาจจะได้รางวัลเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตามหลังจากชายหนุ่มตรงหน้าแสดงเคล็ดกระบี่โลหิตนี้ออกมา
เสี่ยวหวังชุนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเขายังจะชนะได้อีกรึเปล่า
นี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดกลัวผู้ฝึกตนที่พลังน้อยกว่าตนเอง
รอยบาดแผลบนหน้าอกของเสี่ยวหวังชุนเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต เคล็ดวิชาคุ้มกันไม่อาจต้านทานคมกระบี่ได้เลย
หากไม่เพราะก่อนหน้านี้ตัวเขาได้กินโอสถฟื้นฟูปราณวิญญาณไปยามนี้เขาคงนอนจมกองเลือดไปแล้วก็เป็นได้
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เสี่ยวหวังชุนเอ่ยออกมาเพื่อถ่วงเวลาและคิดหาทางหลบหนี
ด้วยความสามารถของชายหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนอสูรกาย เขาย่อมไม่อยากเสี่ยงชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์
แผนการของคุณหนูใหญ่ก็น่าจะเห็นผลแล้ว แถมตัวเขายังได้รับบาดเจ็บ
ดังนั้นการถอยตั้งแต่ตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าเกียจ
แต่อย่างไรก็ตามชายหนุ่มตรงหน้าของเขาไม่เคยเดินตามเกมส์อยู่แล้ว
ริ้วแสงจากกระบี่พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน
“บ้าเอ๊ย!!!”
เสี่ยวหวังชุนบ่นออกมาพร้อมกับกระโดดถอยหลังเพื่อหลบกระบี่ตรงหน้า
พรางนึกสาปแช่งชายตรงหน้าที่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
การรุกเข้ามาเรื่อยๆของฉินหลิง ทำให้เขาไม่มีทางเลือกและกัดฟันหยิบเศษหญ้าเล็กๆที่ซ่อนในแขนเสื้อขึ้นมาเกือบสิบก้านก่อนจะรีบเป่าออกไป
“เถาวัลย์พันธนาการ”
เส้นเถาวัลย์นับสิบขยายตัวจากเศษหญ้าที่เสี่ยวหวังชุนเป่าออกมาพุ่งเข้าเผชิญหน้ากับฉินหลิงที่กำลังไล่ต้อนอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิงที่เห็นเถาวัลย์ตรงหน้าก็ก็เผยสีหน้าเยือกเย็น
ดวงตากลายเป็นสีเขียวแวบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นดั่งเดิม ในขณะที่เถาวัลย์ใกล้มาถึง
กระบี่ภายในมือของฉินหลิงก็สั่นไหวและพุ่งไปตามจุดต่างๆอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงแสงสีแดง
ฟิ๊วๆ~~~~~ !!!!
เพียงพริบตาเถาวัลย์ไม้ก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหวังชุนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
หากก่อนหน้านี้การทำลายเถาวัลย์ไปหนึ่งเส้นอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่การที่ทำลายพร้อมกับเกือบสิบสายย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ยิ่งเห็นความเก่งกาจของชายหนุ่มตรงหน้าราวกับได้เห็นเซียนกระบี่ในยุคอดีต เขายิ่งอยากสาปแช่งคุณหนูใหญ่นักที่ให้เขามาเผชิญหน้ากับชายผู้นี้
“เดี๋ยวก่อน สหายใจเย็นๆก่อน
มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน” เสี่ยวหวังชุนพยายามเอ่ยออกมาเพื่อถ่วงเวลา
อาวุธที่มีก็ถูกทำลายจนเกือบหมดแล้ว หากฝืนสู้ต่อไปคงก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากเป็นแน่
แถมพลังวิญญาณของเขายังแทบหมดอีก หากไม่เพราะเม็ดยาฟื้นฟูที่กินไว้ก่อนหน้าเขาคงหมดลมหายใจตั้งแต่กระบี่แรกแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางของฝ่ายตรงข้าม ฉินหลิงเองก็มั่นใจว่าชายตรงหน้าบาดเจ็บไม่น้อย
ใบหน้าซีดเซียวของฉินหลิงเองก็แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้าจากทั้งร่างกายและพลังวิญญาณ แต่เขาไม่อาจแสดงท่าทางให้เห็นถึงความอ่อนแอได้
ไอวิญญาณในร่างของฉินหลิงนั้นหมดลงไปตั้งแต่เขาใช้เพลิงผลาญโลหิตแล้ว
แต่ด้วยพลังวิญญาณที่ถูกตัวอ่อนกระบี่ปล่อยออกมาจึงทำให้เขายังคงสามารถสู้ต่อได้ถึงแม้จะใช้ได้เพียงกระบี่โลหิตก็ตาม
ก่อนหน้านี้ฉินหลิงเองก็ไม่ต้องการที่จะเสี่ยงต่อสู้เช่นกัน
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากเขาปล่อยชายผู้นี้ไปอนาคตเขาอาจจะเดือดร้อนก็เป็นได้ จากประสบการณ์ในอดีตที่เขาเคยปล่อยพระสนมของฮ่องเต้ที่คบชู้กับขันทีปลอมไปเพราะไม่ต้องการล่วงเกินฮ่องเต้ต้าเหยียนจึงทำให้ท่านปู่ของเขาต้องเกือบตาย
ตั้งแต่นั้นเขาจึงไม่มีความคิดปล่อยศัตรูให้รอดกลับไป
หนึ่งคนหนึ่งกระบี่
กลิ่นอายโลหิตที่ดูชั่วร้ายทำให้เสี่ยวหวังชุนรู้สึกเสียวสันหลัง ในฐานะที่เป็นเพียงศิษย์สายนอกเขาเองก็ได้ศึกษาเคล็ดวิชามาเพียงไม่กี่วิชา แถมประสบการณ์ต่อสู้ก็มีน้อยมากจนเรียกได้ว่าเเทบไม่มี การต้องมาเจอชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยจิตสังหารซึ่งผ่านการเข่นฆ่ามามากมายทำให้เขารู้สึกกลัวจริงๆ
ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่มีพลังต่ำกว่าเขา2ขั้นถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
ฉินหลิงเองก็ไม่รอให้อีกฝ่ายถ่วงเวลาใดๆอีก
เขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตัวอ่อนกระบี่ในร่างสั่นไหวไปมาอย่างหนักราวกับต้องการลิ้มรสชาติโลหิตของศัตรู
“กำแพงพฤกษา”
เสี่ยวหวังชุนใช้พลังที่เหลือเรียกกำแพงไม้ขึ้นมาขวางกั้นชายหนุ่มตรงหน้าไม่ให้เข้ามาประชิดพร้อมกับหันหลังหนีอย่างสุดชีวิต
ในยามนี้เขาไม่ได้คิดถึงคำสั่งของคุณหนูใหญ่อีกแล้ว
เขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับชายหนุ่มที่น่ากลัวผู้นี้อย่าเเท้จริง
ตู๊มม!!!
กำแพงไม้ถูกฟันขาดออกไปสองซีก
กระบี่ที่เกิดจากโลหิตของฉินหลิงสั่นไหวเล็กน้อย
เสี่ยวหวังชุนเองก็หันกลับไปมอง
เมื่อเห็นกำแพงที่ตัวเองต้องการเอาไว้ถ่วงเวลาพังลงอย่างรวดเร็วก็รู้สึกใจเต้นระส่ำระส่าย
อย่างไรก็ตามหัวใจของเขาก็แทบจะระเบิดเมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของกระบี่โลหิตพุ่งเข้ามาเกือบจะถึงเขาแล้ว
สายตาของเขาจ้องไปเห็นกระบี่ภายในมือที่ถูกง้างขึ้นเพื่อเตรียมปลิดชีพชีวิตของเขา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายโดยมีมัจจุราชถือดาบสีชาดเป็นอาวุธ เสี่ยวหวังชุนจึงตัดสินใจเสี่ยงโชคครั้งสุดท้ายและตะโกนออกมา
“คุณหนูใหญ่ช่วยข้าด้วยยยย!!!!”
ดวงตาของฉินหลิงแข็งค้างก่อนจะดึงกระบี่กลับและกระโดดถอยหลังกลับมาทันที การต่อสู้เมื่อครู่สมควรจบลงด้วยชีวิตของชายตรงหน้า แต่หากอีกฝ่ายมีพวกมาเพิ่มแล้วพบว่าเขาเป็นคนฆ่าชายผู้นี้
บางทีเขาอาจจะไม่มีหนทางรอดเลย ถึงแม้เขาจะไม่แน่ใจว่าคุณหนูใหญ่ของชายผู้นี้คือใคร แต่เขามั่นใจว่าชายตรงหน้าไม่ได้โกหก เพราะคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นตายย่อมไม่มีเวลาคิดเรื่องโกหกอย่างแน่นอน
เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาดังขึ้นจากทิศทางด้านหลังของฉินหลิง
เสี่ยวหวังชุนเผยรอยยิ้มทื่อๆออกมาเมื่อเห็นสตรีในชุดชาวบ้านเดินตรงมาทางเขา
ฉินหลิงเองก็หันไปมองร่างของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเช่นกัน
เงาจากแมกไม้ที่อยู่โดยรอบนั้นทำให้เขาไม่อาจสังเกตเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคุณหนูใหญ่ที่ชายวัยกลางคนเอ่ยเรียก
แต่ด้วยรูปร่างและชุดหญิงชาวบ้านที่ดูยับเยินนั้นทำให้ฉินหลิงรับรู้ได้ทันทีว่านางคือสตรีที่เขาแบกหนีออกมาจากหุบเขาแห่งนี้
“เจ้าคือชิงชิงสิน่ะ”
เสียงของฉินหลิงดูอ่อนล้าเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ คือข้าเอง”
เสียงอ่อนหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของชิงชิงดังขึ้น มวลเมฆที่ปิดปังดวงจันทร์ค่อยๆเคลื่อนตัวออก แสงจากจันทราสาดส่องมายังร่างของนาง
ใบหน้าที่หยาบกร้านค่อยๆแตกตัวกลายเป็นเม็ดทรายล่วงหล่นลงไปยังพื้นปฐพีก่อนจะแสดงให้เห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริง
ด้วยมันสมองของฉินหลิงไหนเลยจะคิดไม่ได้ว่าสตรีตรงหน้าไม่ธรรมดาและทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าเขาโดนนางหลอกตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว
ถึงแม้จะตกใจเกี่ยวกับความงดงามของนางแต่ก็ไม่ได้สร้างผลกระทบใดๆแก่เขา
“ฮาๆๆๆ ดี ดีจริงๆ” ฉินหลิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
กระบี่โลหิตในมือค่อยๆเปลี่ยนเป็นของเหลวและทิ้งตัวลงกับพื้นจนเป็นแอ่งเลือดเล็กๆ
ชิงชิงที่เห็นท่าทางของชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยขึ้นมา
“ฉินหลิงฟังข้าก่อน”
อย่างไรก็ตามสายตาของชายหนุ่มที่หันมาทำให้นางรู้สึกเจ็บแสบในจิตวิญญาณอย่างบอกไม่ถูก
“หากต้องการชีวิตก็จงเอาไป หากไม่ก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับข้าอีก”
เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหยดเลือดที่ไหลออกมาจากข้อมือที่กำลังฟื้นฟูตัวเอง
ความคิดเห็น