ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #157 : คุณหนูใหญ่ช่วยข้าด้วย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.89K
      873
      12 ก.พ. 63

    ห่างออกไปไม่ไกลนัก ระหว่างการต่อสู้ของฉินหลิงและหวังเสี่ยวชุนผู้เป็นศิษย์ภายนอกแห่งสำนักขจีไพรสัน หญิงสาวที่สวมชุดชาวบ้านเองก็กำลังเบิกตาค้างกับการที่ชายหนุ่มเปลี่ยนโลหิตของตัวเองให้เป็นกระบี่... แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าฉินหลิงนั้นพึ่งเข้าสู่หนทางการฝึกตนได้ไม่นานบางทีเขาอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

     

    ชิงชิงที่ได้ข้อสรุปภายในใจตัวเองก็ครุ่นคิดหาหนทางที่จะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของวิถีกระบี่ให้ชายหนุ่มฟังในอนาคต

     

    การสันนิษฐานของชิงชิงเกี่ยวกับรากฐานของการใช้กระบี่ที่ฉินหลิงแสดงออกมานั้นถูกต้องแม่นยำ เพียงแต่นางคงคิดไม่ถึงว่าตัวอ่อนกระบี่ที่สมควรไม่มีอยู่ในยุคสมัยนี้อีกแล้วนั้นกลับมีอยู่ในตัวของชายหนุ่มชุดดำที่กำลังพุ่งเข้าใส่ศิษย์สำนักขจีไพรสันที่ทำหน้าที่ดูแลหุบเขาแห่งนี้

     

    ฉินหลิงเข้าประชิดตัวศัตรูตรงหน้าได้ก็กวาดกระบี่โลหิตในมือเข้าใส่ชายวัยกลางคนเต็มแรง ตัวอ่อนกระบี่ในตันเถียนสั่นไปมาอย่างระริกระรี้ราวกับมัจฉาที่ได้ว่ายอยู่ในธารธารา

     

    กระบี่ที่เกิดจากหยาดโลหิตของฉินหลิงมีแสงสว่างขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น อาจจะเพราะกลิ่นอายที่ดูชั่วร้ายจากเคล็ดวิชาโลหิตจึงทำให้ลำแสงสีขาวที่ปะปนอยู่ในกระบี่โลหิตไม่เป็นที่สนใจ แต่แสงสีขาวนี้เองคือพลังที่ออกมาจากตัวอ่อนกระบี่ซึ่งทำให้คมกระบี่ของฉินหลิงก่อเกิดเป็นกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม

     

    เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกระบี่โลหิตที่แตกต่างไปจากเดิม เสี่ยวหวังชุนที่เตรียมต้านรับการโจมตีด้วยเคล็ดวิชาคุ้มกายก็ขนลุกซู่ขึ้นทันที 

     

    ควับ~~~~~~~!!!

     

    เสียงกระบี่ของฉินหลิงดังขึ้นพร้อมกับเสียงของต้นไม้ด้านหลังที่หักล้มลงไปเป็นแถวยาว

     

    ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะปะทะกับกระบี่โลหิตของฉินหลิงนั้นเสี่ยวหวังชุนตัดสินใจเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองและเบี่ยงตัวหลบออกมา ไม่เข้าไปปะทะกับชายหนุ่มชุดดำโดยตรง

     

    “แค๊กๆ” ชายวัยกลางคนกระอักเลือดออกมาจนเผยให้เห็นสีหน้าซีดขาว หน้าอกของเขาเกิดเป็นแผลยาวพร้อมกับเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นออกจากกัน สายตาของเขาจับจ้องไปยังกระบี่โลหิตในมือของชายหนุ่มชุดดำ เขามั่นใจว่าตัวเองหลบคมกระบี่นั้นพ้นอย่างแน่นอน แต่อาการที่บาดเจ็บที่แสดงออกมานั้นทำให้เขารับรู้ได้ว่ากระบี่โลหิตในมือของฉินหลิงนั้นไม่ธรรมดา

     

    ขณะเดียวกัน จอมยุทธนับสิบที่ได้ยินเสียงดังลั่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพลิงไหม้ก็พุ่งลงมาจากเนินเขาเพื่อตรวจดูสถานการณ์ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นคือท่านเซียนที่พวกเขาเคารพนับถือกำลังบาดเจ็บ หน้าอกของท่านเซียนแห่งหุบเขาถูกฟันจนเป็นเเผลยาวเเละเต็มไปด้วยหยาดโลหิตที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด

     

    “ศัตรูของท่านเซียน ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กใหม่ของกลุ่มเจ้าหัวล้านหู่หรอกรึ” หนึ่งในจอมยุทธชี้ไปทางชายหนุ่มชุดสีดำที่กำลังถือกระบี่สีแดงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

     

    เหล่าจอมยุทธคนอื่นต่างก็หันไปมองชายหนุ่มชุดสีดำ ความรู้สึกต่างๆผุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

     

    “หรือว่าเขาก็เป็นเซียนเช่นกัน”

     

    “ทำไมเขาถึงปลอมตัวเป็นจอมยุทธล่ะ”

     

    “เจ้าโง่! ไม่เห็นรึไงเขาเป็นศัตรูกับท่านเซียนแห่งหุบเขา ดังนั้นเขาจึงแฝงตัวแล้วลอบทำร้ายท่านเซียนยังไงล่ะ”

     

    “แล้วเราควรทำยังไงดีล่ะ  ไปช่วยท่านเซียนดีรึไม่”

     

    “ไปช่วยป้าเจ้าสิ!!! ไม่เห็นรึขนาดท่านเซียนยังบาดเจ็บสาหัสเลย พวกเราไปก็รนหาที่ตายสิว่ะ ถอยก่อนเร็ว!”

     

    “ใช่ๆหนีก่อน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์อย่างเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้”

     

    เพียงไม่นานกลุ่มจอมยุทธต่างวิ่งหนีออกจากหุบเขาแห่งนี้ด้วยทิศทางต่างกัน ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้ย่อมอยู่ในสายตาของฉินหลิง แต่เขาเองก็ไม่สนใจในตัวจอมยุทธพวกนี้อยู่แล้ว

     

    เสี่ยวหวังชุนเหลือบมองไปยังเหล่าจอมยุทธที่วิ่งหนีอย่างไม่สนใจและรีบฟื้นฟูปราณวิญญาณที่กำลังปั่นป่วนจากอาการบาดเจ็บ

     

    หากเป็นก่อนหน้านี้เขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าชายตรงหน้าที่มีพลังเพียงก่อตั้งวิญญาณขั้นสองย่อมไม่อาจทำให้เขาบาดเจ็บได้ หลังจากแสดงละครต่อสู้เสร็จเขาก็จะแกล้งแพ้และหลบหนีออกไป สุดท้ายเรื่องราวก็เป็นไปตามความต้องการคุณหนูใหญ่แถมเขาอาจจะได้รางวัลเพิ่มอีก

     

    อย่างไรก็ตามหลังจากชายหนุ่มตรงหน้าแสดงเคล็ดกระบี่โลหิตนี้ออกมา เสี่ยวหวังชุนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเขายังจะชนะได้อีกรึเปล่า นี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดกลัวผู้ฝึกตนที่พลังน้อยกว่าตนเอง

     

    รอยบาดแผลบนหน้าอกของเสี่ยวหวังชุนเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต  เคล็ดวิชาคุ้มกันไม่อาจต้านทานคมกระบี่ได้เลย หากไม่เพราะก่อนหน้านี้ตัวเขาได้กินโอสถฟื้นฟูปราณวิญญาณไปยามนี้เขาคงนอนจมกองเลือดไปแล้วก็เป็นได้

     

    “เจ้าเป็นใครกันแน่?” เสี่ยวหวังชุนเอ่ยออกมาเพื่อถ่วงเวลาและคิดหาทางหลบหนี ด้วยความสามารถของชายหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนอสูรกาย เขาย่อมไม่อยากเสี่ยงชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ แผนการของคุณหนูใหญ่ก็น่าจะเห็นผลแล้ว แถมตัวเขายังได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นการถอยตั้งแต่ตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าเกียจ

     

    แต่อย่างไรก็ตามชายหนุ่มตรงหน้าของเขาไม่เคยเดินตามเกมส์อยู่แล้ว ริ้วแสงจากกระบี่พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน

     

    “บ้าเอ๊ย!!!” เสี่ยวหวังชุนบ่นออกมาพร้อมกับกระโดดถอยหลังเพื่อหลบกระบี่ตรงหน้า พรางนึกสาปแช่งชายตรงหน้าที่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย

     

    การรุกเข้ามาเรื่อยๆของฉินหลิง ทำให้เขาไม่มีทางเลือกและกัดฟันหยิบเศษหญ้าเล็กๆที่ซ่อนในแขนเสื้อขึ้นมาเกือบสิบก้านก่อนจะรีบเป่าออกไป “เถาวัลย์พันธนาการ”

     

    เส้นเถาวัลย์นับสิบขยายตัวจากเศษหญ้าที่เสี่ยวหวังชุนเป่าออกมาพุ่งเข้าเผชิญหน้ากับฉินหลิงที่กำลังไล่ต้อนอย่างรวดเร็ว

     

    ฉินหลิงที่เห็นเถาวัลย์ตรงหน้าก็ก็เผยสีหน้าเยือกเย็น ดวงตากลายเป็นสีเขียวแวบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นดั่งเดิม ในขณะที่เถาวัลย์ใกล้มาถึง กระบี่ภายในมือของฉินหลิงก็สั่นไหวและพุ่งไปตามจุดต่างๆอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงแสงสีแดง

     

    ฟิ๊วๆ~~~~~ !!!!

     

    เพียงพริบตาเถาวัลย์ไม้ก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างรวดเร็ว

     

    เสี่ยวหวังชุนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง หากก่อนหน้านี้การทำลายเถาวัลย์ไปหนึ่งเส้นอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่การที่ทำลายพร้อมกับเกือบสิบสายย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ยิ่งเห็นความเก่งกาจของชายหนุ่มตรงหน้าราวกับได้เห็นเซียนกระบี่ในยุคอดีต เขายิ่งอยากสาปแช่งคุณหนูใหญ่นักที่ให้เขามาเผชิญหน้ากับชายผู้นี้

     

    “เดี๋ยวก่อน สหายใจเย็นๆก่อน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน” เสี่ยวหวังชุนพยายามเอ่ยออกมาเพื่อถ่วงเวลา อาวุธที่มีก็ถูกทำลายจนเกือบหมดแล้ว หากฝืนสู้ต่อไปคงก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากเป็นแน่ แถมพลังวิญญาณของเขายังแทบหมดอีก หากไม่เพราะเม็ดยาฟื้นฟูที่กินไว้ก่อนหน้าเขาคงหมดลมหายใจตั้งแต่กระบี่แรกแล้ว

     

    เมื่อเห็นท่าทางของฝ่ายตรงข้าม ฉินหลิงเองก็มั่นใจว่าชายตรงหน้าบาดเจ็บไม่น้อย ใบหน้าซีดเซียวของฉินหลิงเองก็แสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้าจากทั้งร่างกายและพลังวิญญาณ แต่เขาไม่อาจแสดงท่าทางให้เห็นถึงความอ่อนแอได้

     

    ไอวิญญาณในร่างของฉินหลิงนั้นหมดลงไปตั้งแต่เขาใช้เพลิงผลาญโลหิตแล้ว แต่ด้วยพลังวิญญาณที่ถูกตัวอ่อนกระบี่ปล่อยออกมาจึงทำให้เขายังคงสามารถสู้ต่อได้ถึงแม้จะใช้ได้เพียงกระบี่โลหิตก็ตาม

     

    ก่อนหน้านี้ฉินหลิงเองก็ไม่ต้องการที่จะเสี่ยงต่อสู้เช่นกัน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากเขาปล่อยชายผู้นี้ไปอนาคตเขาอาจจะเดือดร้อนก็เป็นได้ จากประสบการณ์ในอดีตที่เขาเคยปล่อยพระสนมของฮ่องเต้ที่คบชู้กับขันทีปลอมไปเพราะไม่ต้องการล่วงเกินฮ่องเต้ต้าเหยียนจึงทำให้ท่านปู่ของเขาต้องเกือบตาย ตั้งแต่นั้นเขาจึงไม่มีความคิดปล่อยศัตรูให้รอดกลับไป

     

    หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ กลิ่นอายโลหิตที่ดูชั่วร้ายทำให้เสี่ยวหวังชุนรู้สึกเสียวสันหลัง ในฐานะที่เป็นเพียงศิษย์สายนอกเขาเองก็ได้ศึกษาเคล็ดวิชามาเพียงไม่กี่วิชา แถมประสบการณ์ต่อสู้ก็มีน้อยมากจนเรียกได้ว่าเเทบไม่มี การต้องมาเจอชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยจิตสังหารซึ่งผ่านการเข่นฆ่ามามากมายทำให้เขารู้สึกกลัวจริงๆ ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่มีพลังต่ำกว่าเขา2ขั้นถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้

     

    ฉินหลิงเองก็ไม่รอให้อีกฝ่ายถ่วงเวลาใดๆอีก เขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตัวอ่อนกระบี่ในร่างสั่นไหวไปมาอย่างหนักราวกับต้องการลิ้มรสชาติโลหิตของศัตรู

     

    “กำแพงพฤกษา” เสี่ยวหวังชุนใช้พลังที่เหลือเรียกกำแพงไม้ขึ้นมาขวางกั้นชายหนุ่มตรงหน้าไม่ให้เข้ามาประชิดพร้อมกับหันหลังหนีอย่างสุดชีวิต ในยามนี้เขาไม่ได้คิดถึงคำสั่งของคุณหนูใหญ่อีกแล้ว เขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับชายหนุ่มที่น่ากลัวผู้นี้อย่าเเท้จริง

     

    ตู๊มม!!!

     

    กำแพงไม้ถูกฟันขาดออกไปสองซีก กระบี่ที่เกิดจากโลหิตของฉินหลิงสั่นไหวเล็กน้อย

     

    เสี่ยวหวังชุนเองก็หันกลับไปมอง เมื่อเห็นกำแพงที่ตัวเองต้องการเอาไว้ถ่วงเวลาพังลงอย่างรวดเร็วก็รู้สึกใจเต้นระส่ำระส่าย

     

    อย่างไรก็ตามหัวใจของเขาก็แทบจะระเบิดเมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของกระบี่โลหิตพุ่งเข้ามาเกือบจะถึงเขาแล้ว

     

    สายตาของเขาจ้องไปเห็นกระบี่ภายในมือที่ถูกง้างขึ้นเพื่อเตรียมปลิดชีพชีวิตของเขา  เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายโดยมีมัจจุราชถือดาบสีชาดเป็นอาวุธ เสี่ยวหวังชุนจึงตัดสินใจเสี่ยงโชคครั้งสุดท้ายและตะโกนออกมา “คุณหนูใหญ่ช่วยข้าด้วยยยย!!!!

     

    ดวงตาของฉินหลิงแข็งค้างก่อนจะดึงกระบี่กลับและกระโดดถอยหลังกลับมาทันที การต่อสู้เมื่อครู่สมควรจบลงด้วยชีวิตของชายตรงหน้า แต่หากอีกฝ่ายมีพวกมาเพิ่มแล้วพบว่าเขาเป็นคนฆ่าชายผู้นี้ บางทีเขาอาจจะไม่มีหนทางรอดเลย ถึงแม้เขาจะไม่แน่ใจว่าคุณหนูใหญ่ของชายผู้นี้คือใคร แต่เขามั่นใจว่าชายตรงหน้าไม่ได้โกหก เพราะคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นตายย่อมไม่มีเวลาคิดเรื่องโกหกอย่างแน่นอน

     

    เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาดังขึ้นจากทิศทางด้านหลังของฉินหลิง เสี่ยวหวังชุนเผยรอยยิ้มทื่อๆออกมาเมื่อเห็นสตรีในชุดชาวบ้านเดินตรงมาทางเขา

     

    ฉินหลิงเองก็หันไปมองร่างของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเช่นกัน เงาจากแมกไม้ที่อยู่โดยรอบนั้นทำให้เขาไม่อาจสังเกตเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคุณหนูใหญ่ที่ชายวัยกลางคนเอ่ยเรียก แต่ด้วยรูปร่างและชุดหญิงชาวบ้านที่ดูยับเยินนั้นทำให้ฉินหลิงรับรู้ได้ทันทีว่านางคือสตรีที่เขาแบกหนีออกมาจากหุบเขาแห่งนี้

     

    “เจ้าคือชิงชิงสิน่ะ” เสียงของฉินหลิงดูอ่อนล้าเล็กน้อย

     

    “เจ้าค่ะ คือข้าเอง” เสียงอ่อนหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของชิงชิงดังขึ้น มวลเมฆที่ปิดปังดวงจันทร์ค่อยๆเคลื่อนตัวออก แสงจากจันทราสาดส่องมายังร่างของนาง ใบหน้าที่หยาบกร้านค่อยๆแตกตัวกลายเป็นเม็ดทรายล่วงหล่นลงไปยังพื้นปฐพีก่อนจะแสดงให้เห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริง

     

    ด้วยมันสมองของฉินหลิงไหนเลยจะคิดไม่ได้ว่าสตรีตรงหน้าไม่ธรรมดาและทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าเขาโดนนางหลอกตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ถึงแม้จะตกใจเกี่ยวกับความงดงามของนางแต่ก็ไม่ได้สร้างผลกระทบใดๆแก่เขา

     

    “ฮาๆๆๆ ดี ดีจริงๆ” ฉินหลิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กระบี่โลหิตในมือค่อยๆเปลี่ยนเป็นของเหลวและทิ้งตัวลงกับพื้นจนเป็นแอ่งเลือดเล็กๆ

     

    ชิงชิงที่เห็นท่าทางของชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “ฉินหลิงฟังข้าก่อน”

     

    อย่างไรก็ตามสายตาของชายหนุ่มที่หันมาทำให้นางรู้สึกเจ็บแสบในจิตวิญญาณอย่างบอกไม่ถูก

     

    “หากต้องการชีวิตก็จงเอาไป หากไม่ก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับข้าอีก” เอ่ยจบฉินหลิงก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหยดเลือดที่ไหลออกมาจากข้อมือที่กำลังฟื้นฟูตัวเอง

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×