ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #152 : เบื้องหลังของชิงชิง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.68K
      837
      12 ก.พ. 63

    บนยอดเขาของสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นที่บำเพ็ญตนของท่านเซียนมีเหล่าจอมยุทธจำนวนมากรวมตัวกันเพื่อรับใช้โดยหวังอยู่ในใจว่าจะมีโอกาสเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนและสามารถเหาะเหินเดินกลางอากาศไปบ้าง

     

    และบนยอดเขานั้นมีบ้านไม้หลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล

     

    บ้านไม้หลังเล็กนี้คือที่พักอาศัยของผู้ที่ถูกปุถุชนคนธรรมดาเรียกขานว่า ท่านเซียน

     

    อย่างไรก็ตามท่านเซียนที่ทุกคนต่างพากันนับถือและเคารพในเวลานี้กำลังนั่งก้มหน้าคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าสตรีนางหนึ่งซึ่งกำลังนั่งไกว่ขาไปมาอยู่บนเตียงไม้ด้วยสีหน้าเย็นชา  สตรีผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น นางคือชิงชิง มารดาของอาไป๋ที่ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่บังเอิญเจอกับฉินหลิงในตอนที่กำลังต่อแถวเข้าเมือง

     

    หากเหล่าจอมยุทธที่อยู่ด้านนอกเข้ามาเห็นภาพท่านเซียนคุกเข่าต่อหน้าชิงชิงคงสร้างความตื่นตกใจแก่กลุ่มจอมยุทธที่ทำงานรับใช้เขาเป็นอย่างมากแน่นอน

     

    “คุณหนู ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่คิดว่าคนที่เจ้าขุนนางสารเลวผู้นี้ต้องการคือท่าน ต่อให้ข้าอาจหาญกว่านี้ก็ไม่มีทางลักพาตัวท่านมาหรอกขอรับ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย” ชายวัยกลางคนก้มหัวขอร้องหญิงตรงหน้าพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความหวาดกลัว

     

    รูปร่างหน้าตาของชิงชิงเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับก่อนหน้า ความงดงามของนางเปล่งประกายอย่างไม่มีใครเทียบได้ ใบหน้าที่เคยหยาบกร้านแปรเปลี่ยนเป็นผิวที่อ่อนนุ่มน่าทะนุถนอม โครงหน้าเปลี่ยนแปลงไปทำให้นางดูเหมือนเซียนสาวผู้งดงามและแฝงไว้ด้วยความยิ่งใหญ่

     

    “เจ้ารู้รึไม่ว่าเจ้าได้ทำลายแผนการของข้าจนพังย่อยยับ”  เสียงใสที่แสนอ่อนหวานของหญิงสาวที่เหมือนเครื่องดนตรีจากสวรรค์เอ่ยขึ้นช่างน่าฟังแต่กลับยิ่งทำให้ชายวัยกลางคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ขนลุกซู่

     

    เมื่อตอนที่เขาได้รับคำขอร้องจากขุนนางผู้หนึ่งที่เป็นหนึ่งในคนของแคว้นแห่งนี้ เขาจึงใช้ข้อแลกเปลี่ยนเพื่อที่จะใช้วิญญาณของขุนนางผู้นี้ในการฝึกเคล็ดวิชาบางอย่าง ซึ่งวิชานี้จำเป็นต้องให้วิญญาณของมนุษย์ยินยอมด้วยตัวเองซึ่งการแลกเปลี่ยนนี้ก็ดูเหมือนจะคุ้มค่าสำหรับเขาที่เป็นเพียงศิษย์ภายนอกของสำนักขจีไพรสัน

     

    ชายผู้ถูกเรียกว่าท่านเซียนนั้นแท้จริงแล้วคือหนึ่งในศิษย์ภายนอกจำนวนมากของสำนักฝึกตนที่ถูกส่งมาดูแลสวนพืชสมุนไพร

     

    แต่เรื่องราวกับไม่เป็นไปดั่งที่เขาคาดหวังไว้เมื่อเขาพบว่าหนึ่งในหญิงสาวที่จอมยุทธที่รับใช้เขาจับมาเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับความยินยอมของขุนนางคนหนึ่งที่จะให้จิตวิญญาณแก่เขาเพื่อสร้างเป็นหุ่นเชิดมนุษย์หญ้ากลับเป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักที่เขาสังกัดอยู่

     

    หากไม่เป็นเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นคุณหนูใหญ่ผู้นี้อยู่กับเจ้าสำนักมาก่อนเขาคงคิดล่วงเกินนางไปแล้ว  พูดไปแล้วเขาอยากจะจับเจ้าขุนนางชั่วผู้นั้นแยกวิญญาณออกแล้วค่อยทรมานจริงๆ

     

    ชายวัยกลางคนก้มหัวขอร้องอย่างไม่มีศักดิ์ศรีเพื่อหวังว่าหญิงสาวจะอภัยให้แก่เขา

     

    “เอาเถอะ..เห็นแก่เจ้าที่เป็นคนสำนักขจีไพรสัน ข้าจะไม่ถือความ แต่ต่อจากนี้จะมีคนผู้หนึ่งมาช่วยข้า เจ้าก็จงทำเหมือนข้าเป็นตัวประกัน แต่จงจำไว้ว่าอย่าได้ทำร้ายเขาโดยเด็ดขาด หากเขาบาดเจ็บขึ้นมา ข้าเอาเจ้าตายแน่!!!” ชิงชิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะของนางก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองผ่านหน้าต่างบานเล็กไปยังที่พักของเหล่าจอมยุทธที่อยู่ตรงไหล่เขาพร้อมรอยยิ้มงดงาม

     

    ตั้งแต่แรกหญิงสาวผู้นี้ก็รับรู้อยู่แล้วว่าฉินหลิงนั้นเป็นผู้ฝึกตน ด้วยขั้นพลังที่แตกต่างกันมากเกินไปจึงไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะมองออกว่าฉินหลิงพึ่งก้าวเข้าสู่หนทางการฝึกตน

     

    แต่สิ่งที่นางถูกใจในตัวชายหนุ่มไม่ใช่เพราะหน้าตาหรือกริยาท่าทางของเขา แต่เป็นพลังธาตุไม้ที่บริสุทธิ์ซึ่งแฝงอยู่ในร่างกายของฉินหลิง

     

    สำนักขจีไพรสันคือสำนักที่มีผู้ฝึกตนธาตุไม้รวมตัวกันเป็นจำนวนมากและเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ที่ดูแลพื้นที่โดยรอบซึ่งครอบคลุมแคว้นแห่งนี้ด้วย และนางในฐานะที่เป็นบุตรสาวคนโตของเจ้าสำนักจึงทำให้นางได้ศึกษาและฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุไม้อย่างละเอียดยิบจนพลังวิญญาณธาตุไม้ในร่างของนางเรียกได้ว่าบริสุทธิ์ที่สุดในรุ่น

     

    อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่นางแฝงตัวอยู่ในโลกปุถุชนคนทั่วไปนางบังเอิญพบชายหนุ่มที่พึ่งเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนกลับมีพลังไม้บริสุทธิ์ยิ่งกว่านาง

     

    การที่นางบังเอิญไปเจอกับฉินหลิงนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาแต่เป็นความตั้งใจของหญิงสาวผู้งดงามคนนี้จริงๆ

     

    และเมื่อชายหนุ่มที่นางสนใจได้เข้ามาพักยังโรงเตี๊ยมที่นางทำงานอยู่จึงทำให้นางพบความประหลาดใจหลายอย่างมาก ชายหนุ่มที่มีพลังธาตุไม้สุดบริสุทธิ์กลับฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับโลหิต ความสอดคล้องของวิชาสองสายนั้นไม่เข้ากันเลยจึงทำให้นางยิ่งสงสัยในตัวฉินหลิง

     

    อย่างไรก็ตามเรื่องตกใจที่นางได้รับมาจากชายหนุ่มที่มีพลังธาตุไม้บริสุทธิ์ที่นางยังรู้สึกอิจฉากลับไม่จบสิ้นเมื่อนางรับรู้ได้ถึงการที่ฉินหลิงต้องการฝ่าระดับพลังขึ้นไปเป็นก่อตั้งวิญญาณขั้นสอง ด้วยความผันผวนของพลังวิญญาณที่อยู่ในร่างของฉินหลิงจึงทำให้นางรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้พึ่งเข้าสู่หนทางการฝึกตนได้ไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ พลังวิญญาณในร่างที่ยังไม่เสถียรดีแต่เขากลับคิดเลื่อนระดับพลัง

     

    ความบ้าของฉินหลิงนั้นทำให้ชิงชิงอยากจะผ่าสมองของชายหนุ่มนักว่าเขาคิดบ้าอะไรอยู่ ไม่เพียงฝึกฝนวิชาที่ไม่เข้ากับธาตุของตัวเอง เขายังคิดฝ่าขั้นพลังทั้งที่ไอวิญญาณในร่างยังไม่สามารถควบคุมได้

     

    แต่เมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่เสี่ยงชีวิตขึ้นมาบนหุบเขาแห่งนี้เพื่อช่วยเหลือนางก็ทำให้ใจนางเต้นแรงอย่างแปลกประหลาด

     

    ...........................

     

    ขณะเดียวกันข่าวที่ท่านเซียนออกจากการบำเพ็ญตนก็แพร่กระจายออกไป เหล่าจอมยุทธที่รออยู่ในบ้านพักก็แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น

     

    เมื่อครั้งใดที่ท่านเซียนออกจากการฝึกตน เขามักจะแจกจ่ายภารกิจใหม่ทุกครั้ง เมื่อมีภารกิจใหม่นั้นก็หมายถึงแต้มคะแนนที่จะได้ใช้แลกเปลี่ยนกับเม็ดยาวิเศษที่ล้ำค่า

     

    เหล่าจอมยุทธเกือบสามสิบคนเข้าแถวเรียงยาวอย่างเป็นระเบียบด้านหน้าบ้านหลังใหญ่รวมทั้งฉินหลิงเองด้วยที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากกลุ่มของพวกเขาโดยมีชายหัวล้านยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

     

    ผ่านไปไม่นาน ร่างของชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตให้ความรู้สึกดั่งเช่นผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างช้านานก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ความเร็วของผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเซียนนั้นเกินกว่าสายตาของจอมยุทธจะจับได้ แต่สำหรับฉินหลิงที่เข้าสู่หนทางฝึกตนและมีไอวิญญาณอยู่ในร่างย่อมจับสัมผัสได้ชัดเจน

     

    “คารวะท่านเซียน!!” จอมยุทธทั้งหมดเอ่ยออกมาเสียงดังพร้อมกับคุกเข่าลงคำนับอย่างนอบน้อม เพราะอย่างไรในสายตาของจอมยุทธ ชายวัยกลางคนตรงหน้าคือเทพเซียนของจริงที่มีอิทธิฤทธิ์มากมาย

     

    ฉินหลิงที่แฝงตัวในกลุ่มจอมยุทธก็ทำตามเหล่าจอมยุทธโดยไม่มีติดขัด เขาไม่ใช่คนที่ยึดถือศักดิ์ศรีอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นการคุกเข่าต่อหน้าชายวัยกลางคนไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้  ถึงแม้เข่าของบุรุษมีค่าเท่าดั่งทองคำ แต่สำหรับผู้ฝึกตนไหนเลยจะให้ค่าสิ่งที่เรียกว่าทองคำ การรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์คือสิ่งที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดมากกว่าจะยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรี

     

    ด้วยประสบการณ์ชีวิตในช่วงที่เขาเมามายอยู่กับสุราและเดินทางไปทั่วทั้งแคว้น เขาได้พบเจอผู้คนมากมายหลายรูปแบบตั้งแต่คหบดีที่ร่ำรวยไปจนถึงขอทานที่ยากจน สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้คือคนทุกชนชั้นล้วนมีหนทางของตัวเอง

     

    ยามนี้ไม่ใช่ดั่งเช่นในอดีตอีกแล้วที่เขาเคยมีผู้เป็นปู่คอยคุ้มครองและเป็นโล่กำบัง  ในโลกแห่งการบำเพ็ญตนที่ฉินหลิงก้าวเข้ามานั้นเหมือนดั่งโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หากเขาทำตัวโดดเด่นเกินไปย่อมเป็นเหยื่อแก่ผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นคำว่าศักดิ์ศรีนั้นฉินหลิงทิ้งออกไปตั้งแต่เขาไม่อาจรักษาชีวิตของถานอวี้จี้ไว้ได้แล้ว

     

    “ลุกขึ้นเถิด” ท่านเซียนของเหล่าจอมยุทธพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆแต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังกลุ่มจอมยุทธ เขารับรู้มาว่าจะมีคนมาช่วยคุณหนูใหญ่ที่แกล้งทำตัวเป็นตัวประกันอยู่ในตอนนี้ แต่เขาไม่มั่นใจว่าคนที่จะเข้ามาช่วยคุณหนูใหญ่นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มจอมยุทธพวกนี้รึไม่ เพราะอย่างไรหน้าตาของจอมยุทธเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่ในหัวของชายผู้เป็นศิษย์ภายนอกของสำนักขจีไพรสันอยู่แล้ว

     

    หลังจากพูดคุยกับเหล่าจอมยุทธและมอบภารกิจอยู่หลายประโยค เขาก็ไม่สามารถจับสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่อยู่ในกลุ่มจอมยุทธ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคนที่จะมาช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ไม่ใช่กลุ่มจอมยุทธเหล่านี้

     

    ในขณะเดียวกันฉินหลิงก็เหลือบไปมองยังชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกขานว่าท่านเซียนโดยเหล่าจอมยุทธ เขาก็พบว่าพลังของชายวัยกลางคนอยู่ที่ระดับก่อตั้งวิญญาณขั้น4  ซึ่งสูงกว่าฉินหลิงถึงสองระดับแถมระดับพลังของฉินหลิงยังไม่เสถียรดีอีกด้วย ดังนั้นการต่อสู้กับชายตรงหน้าย่อมไม่ใช่ทางเลืกที่ดีเลย

     

    เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตเห็น ฉินหลิงจึงค่อยๆก้มหน้าและเดินไปด้านหลังจอมยุทธอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ผู้ฝึกตนที่เป็นเจ้าของหุบเขาตรงหน้าสังเกตเห็น

     

    ผ่านไปไม่นาน ท่านเซียนก็กลับไปบนยอดเขาเช่นเดิม เหล่าจอมยุทธต่างพูดคุยเรื่องภารกิจที่ได้รับกัน

     

    “ฮาๆๆ เจ้าหัวล้านหู่ได้ภารกิจรดน้ำสมุนไพรอีกแล้วรึ นอกจากเฝ้ายามและรดน้ำต้นไม้ กลุ่มของเองทำอะไรได้บ้างวะ” ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยเยาะเย้ยชายหัวล้านผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของฉินหลิง

     

    ชายหัวล้านกำหมัดแน่น “ตาแก่เหลียงอย่าให้มากเกินไปนัก แค่ท่านเซียนให้ภารกิจตามล่าหาดอกไม้วิเศษนั้นกับแกแล้วคิดว่าตัวเองสำคัญนักรึไง”

     

    ทั้งสองกลุ่มเริ่มโต้เถียงกันจนเกือบลงไม้ลงมือกัน แต่โดนลูกน้องของแต่ล่ะฝ่ายห้ามเอาไว้

     

    ฉินหลิงเองก็มองดูเรื่องราวการทะเลาะกันของทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

     

    “บัดซบเอ๊ย!!! ทำไมเจ้าแก่นั้นถึงได้ภารกิจสำคัญอย่างนั้นไปและพวกเราถึงได้หน้าที่อย่างรดน้ำต้นไม้ล่ะเนี่ย” พี่หู่พูดออกมาด้วยความไม่พอใจเมื่อกลุ่มของพวกเขามาถึงห้องพัก

     

    นอกจากฉินหลิง จอมยุทธคนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วย ไม่ใช่ว่าพวกเรารังเกียจการรดน้ำต้นไม้สมุนไพรบนหุบเขา แต่แต้มภารกิจที่ได้รับจากการทำงานนี้มันน้อยเกินไปต่างหาก

     

    ในระหว่างที่ทั้งกลุ่มกำลังตึงเครียด เสียงของน้องใหม่ของกลุ่มก็ดังขึ้น “เช่นนั้นเรื่องรดน้ำสมุนไพรก็ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

     

    จอมยุทธทั้งหมดหันมามองฉินหลิงด้วยใบหน้าที่แทบไม่เชื่อ ความแข็งแกร่งของฉินหลิงนั้นเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งของกลุ่มชายหัวล้าน แต่เขากลับเสนอตัวทำงานที่เหมือนกับคนสวนได้ยังไง

     

    เมื่อเห็นสีหน้าสงสัย ฉินหลิงจึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ในตอนที่ข้ายังเด็ก ข้ามีงานอดิเรกที่ชอบรดน้ำต้นไม้น่ะ การดูต้นไม้ทำให้จิตใจข้าสงบและปลอดโปร่ง ดังนั้นหากไม่ว่าอะไรงานรดน้ำนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

     

    เหล่าจอมยุทธที่เหลือต่างเผยสีหน้าลังเล แต่เมื่อได้ยินคำพูดเกลี้ยกล่อมของฉินหลิงเข้าไป สุดท้ายพวกเขาก็ยกหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ให้ฉินหลิงไปจัดการ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×