คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #152 : เบื้องหลังของชิงชิง
บนยอดเขาของสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นที่บำเพ็ญตนของท่านเซียนมีเหล่าจอมยุทธจำนวนมากรวมตัวกันเพื่อรับใช้โดยหวังอยู่ในใจว่าจะมีโอกาสเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนและสามารถเหาะเหินเดินกลางอากาศไปบ้าง
และบนยอดเขานั้นมีบ้านไม้หลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล
บ้านไม้หลังเล็กนี้คือที่พักอาศัยของผู้ที่ถูกปุถุชนคนธรรมดาเรียกขานว่า ท่านเซียน
อย่างไรก็ตามท่านเซียนที่ทุกคนต่างพากันนับถือและเคารพในเวลานี้กำลังนั่งก้มหน้าคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าสตรีนางหนึ่งซึ่งกำลังนั่งไกว่ขาไปมาอยู่บนเตียงไม้ด้วยสีหน้าเย็นชา สตรีผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น นางคือชิงชิง
มารดาของอาไป๋ที่ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่บังเอิญเจอกับฉินหลิงในตอนที่กำลังต่อแถวเข้าเมือง
หากเหล่าจอมยุทธที่อยู่ด้านนอกเข้ามาเห็นภาพท่านเซียนคุกเข่าต่อหน้าชิงชิงคงสร้างความตื่นตกใจแก่กลุ่มจอมยุทธที่ทำงานรับใช้เขาเป็นอย่างมากแน่นอน
“คุณหนู ข้าผิดไปแล้ว
ข้าไม่คิดว่าคนที่เจ้าขุนนางสารเลวผู้นี้ต้องการคือท่าน
ต่อให้ข้าอาจหาญกว่านี้ก็ไม่มีทางลักพาตัวท่านมาหรอกขอรับ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ชายวัยกลางคนก้มหัวขอร้องหญิงตรงหน้าพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความหวาดกลัว
รูปร่างหน้าตาของชิงชิงเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับก่อนหน้า
ความงดงามของนางเปล่งประกายอย่างไม่มีใครเทียบได้
ใบหน้าที่เคยหยาบกร้านแปรเปลี่ยนเป็นผิวที่อ่อนนุ่มน่าทะนุถนอม
โครงหน้าเปลี่ยนแปลงไปทำให้นางดูเหมือนเซียนสาวผู้งดงามและแฝงไว้ด้วยความยิ่งใหญ่
“เจ้ารู้รึไม่ว่าเจ้าได้ทำลายแผนการของข้าจนพังย่อยยับ”
เสียงใสที่แสนอ่อนหวานของหญิงสาวที่เหมือนเครื่องดนตรีจากสวรรค์เอ่ยขึ้นช่างน่าฟังแต่กลับยิ่งทำให้ชายวัยกลางคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ขนลุกซู่
เมื่อตอนที่เขาได้รับคำขอร้องจากขุนนางผู้หนึ่งที่เป็นหนึ่งในคนของแคว้นแห่งนี้
เขาจึงใช้ข้อแลกเปลี่ยนเพื่อที่จะใช้วิญญาณของขุนนางผู้นี้ในการฝึกเคล็ดวิชาบางอย่าง
ซึ่งวิชานี้จำเป็นต้องให้วิญญาณของมนุษย์ยินยอมด้วยตัวเองซึ่งการแลกเปลี่ยนนี้ก็ดูเหมือนจะคุ้มค่าสำหรับเขาที่เป็นเพียงศิษย์ภายนอกของสำนักขจีไพรสัน
ชายผู้ถูกเรียกว่าท่านเซียนนั้นแท้จริงแล้วคือหนึ่งในศิษย์ภายนอกจำนวนมากของสำนักฝึกตนที่ถูกส่งมาดูแลสวนพืชสมุนไพร
แต่เรื่องราวกับไม่เป็นไปดั่งที่เขาคาดหวังไว้เมื่อเขาพบว่าหนึ่งในหญิงสาวที่จอมยุทธที่รับใช้เขาจับมาเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับความยินยอมของขุนนางคนหนึ่งที่จะให้จิตวิญญาณแก่เขาเพื่อสร้างเป็นหุ่นเชิดมนุษย์หญ้ากลับเป็นคุณหนูใหญ่ของสำนักที่เขาสังกัดอยู่
หากไม่เป็นเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นคุณหนูใหญ่ผู้นี้อยู่กับเจ้าสำนักมาก่อนเขาคงคิดล่วงเกินนางไปแล้ว พูดไปแล้วเขาอยากจะจับเจ้าขุนนางชั่วผู้นั้นแยกวิญญาณออกแล้วค่อยทรมานจริงๆ
ชายวัยกลางคนก้มหัวขอร้องอย่างไม่มีศักดิ์ศรีเพื่อหวังว่าหญิงสาวจะอภัยให้แก่เขา
“เอาเถอะ..เห็นแก่เจ้าที่เป็นคนสำนักขจีไพรสัน ข้าจะไม่ถือความ
แต่ต่อจากนี้จะมีคนผู้หนึ่งมาช่วยข้า เจ้าก็จงทำเหมือนข้าเป็นตัวประกัน
แต่จงจำไว้ว่าอย่าได้ทำร้ายเขาโดยเด็ดขาด หากเขาบาดเจ็บขึ้นมา ข้าเอาเจ้าตายแน่!!!”
ชิงชิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะของนางก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองผ่านหน้าต่างบานเล็กไปยังที่พักของเหล่าจอมยุทธที่อยู่ตรงไหล่เขาพร้อมรอยยิ้มงดงาม
ตั้งแต่แรกหญิงสาวผู้นี้ก็รับรู้อยู่แล้วว่าฉินหลิงนั้นเป็นผู้ฝึกตน
ด้วยขั้นพลังที่แตกต่างกันมากเกินไปจึงไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะมองออกว่าฉินหลิงพึ่งก้าวเข้าสู่หนทางการฝึกตน
แต่สิ่งที่นางถูกใจในตัวชายหนุ่มไม่ใช่เพราะหน้าตาหรือกริยาท่าทางของเขา
แต่เป็นพลังธาตุไม้ที่บริสุทธิ์ซึ่งแฝงอยู่ในร่างกายของฉินหลิง
สำนักขจีไพรสันคือสำนักที่มีผู้ฝึกตนธาตุไม้รวมตัวกันเป็นจำนวนมากและเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ที่ดูแลพื้นที่โดยรอบซึ่งครอบคลุมแคว้นแห่งนี้ด้วย
และนางในฐานะที่เป็นบุตรสาวคนโตของเจ้าสำนักจึงทำให้นางได้ศึกษาและฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุไม้อย่างละเอียดยิบจนพลังวิญญาณธาตุไม้ในร่างของนางเรียกได้ว่าบริสุทธิ์ที่สุดในรุ่น
อย่างไรก็ตาม
ในระหว่างที่นางแฝงตัวอยู่ในโลกปุถุชนคนทั่วไปนางบังเอิญพบชายหนุ่มที่พึ่งเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนกลับมีพลังไม้บริสุทธิ์ยิ่งกว่านาง
การที่นางบังเอิญไปเจอกับฉินหลิงนั้นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาแต่เป็นความตั้งใจของหญิงสาวผู้งดงามคนนี้จริงๆ
และเมื่อชายหนุ่มที่นางสนใจได้เข้ามาพักยังโรงเตี๊ยมที่นางทำงานอยู่จึงทำให้นางพบความประหลาดใจหลายอย่างมาก
ชายหนุ่มที่มีพลังธาตุไม้สุดบริสุทธิ์กลับฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับโลหิต
ความสอดคล้องของวิชาสองสายนั้นไม่เข้ากันเลยจึงทำให้นางยิ่งสงสัยในตัวฉินหลิง
อย่างไรก็ตามเรื่องตกใจที่นางได้รับมาจากชายหนุ่มที่มีพลังธาตุไม้บริสุทธิ์ที่นางยังรู้สึกอิจฉากลับไม่จบสิ้นเมื่อนางรับรู้ได้ถึงการที่ฉินหลิงต้องการฝ่าระดับพลังขึ้นไปเป็นก่อตั้งวิญญาณขั้นสอง
ด้วยความผันผวนของพลังวิญญาณที่อยู่ในร่างของฉินหลิงจึงทำให้นางรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้พึ่งเข้าสู่หนทางการฝึกตนได้ไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ พลังวิญญาณในร่างที่ยังไม่เสถียรดีแต่เขากลับคิดเลื่อนระดับพลัง
ความบ้าของฉินหลิงนั้นทำให้ชิงชิงอยากจะผ่าสมองของชายหนุ่มนักว่าเขาคิดบ้าอะไรอยู่
ไม่เพียงฝึกฝนวิชาที่ไม่เข้ากับธาตุของตัวเอง เขายังคิดฝ่าขั้นพลังทั้งที่ไอวิญญาณในร่างยังไม่สามารถควบคุมได้
แต่เมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่เสี่ยงชีวิตขึ้นมาบนหุบเขาแห่งนี้เพื่อช่วยเหลือนางก็ทำให้ใจนางเต้นแรงอย่างแปลกประหลาด
...........................
ขณะเดียวกันข่าวที่ท่านเซียนออกจากการบำเพ็ญตนก็แพร่กระจายออกไป
เหล่าจอมยุทธที่รออยู่ในบ้านพักก็แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น
เมื่อครั้งใดที่ท่านเซียนออกจากการฝึกตน
เขามักจะแจกจ่ายภารกิจใหม่ทุกครั้ง
เมื่อมีภารกิจใหม่นั้นก็หมายถึงแต้มคะแนนที่จะได้ใช้แลกเปลี่ยนกับเม็ดยาวิเศษที่ล้ำค่า
เหล่าจอมยุทธเกือบสามสิบคนเข้าแถวเรียงยาวอย่างเป็นระเบียบด้านหน้าบ้านหลังใหญ่รวมทั้งฉินหลิงเองด้วยที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากกลุ่มของพวกเขาโดยมีชายหัวล้านยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผ่านไปไม่นาน
ร่างของชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตให้ความรู้สึกดั่งเช่นผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างช้านานก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน
ความเร็วของผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเซียนนั้นเกินกว่าสายตาของจอมยุทธจะจับได้
แต่สำหรับฉินหลิงที่เข้าสู่หนทางฝึกตนและมีไอวิญญาณอยู่ในร่างย่อมจับสัมผัสได้ชัดเจน
“คารวะท่านเซียน!!”
จอมยุทธทั้งหมดเอ่ยออกมาเสียงดังพร้อมกับคุกเข่าลงคำนับอย่างนอบน้อม
เพราะอย่างไรในสายตาของจอมยุทธ
ชายวัยกลางคนตรงหน้าคือเทพเซียนของจริงที่มีอิทธิฤทธิ์มากมาย
ฉินหลิงที่แฝงตัวในกลุ่มจอมยุทธก็ทำตามเหล่าจอมยุทธโดยไม่มีติดขัด
เขาไม่ใช่คนที่ยึดถือศักดิ์ศรีอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นการคุกเข่าต่อหน้าชายวัยกลางคนไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ ถึงแม้เข่าของบุรุษมีค่าเท่าดั่งทองคำ
แต่สำหรับผู้ฝึกตนไหนเลยจะให้ค่าสิ่งที่เรียกว่าทองคำ
การรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์คือสิ่งที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดมากกว่าจะยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรี
ด้วยประสบการณ์ชีวิตในช่วงที่เขาเมามายอยู่กับสุราและเดินทางไปทั่วทั้งแคว้น
เขาได้พบเจอผู้คนมากมายหลายรูปแบบตั้งแต่คหบดีที่ร่ำรวยไปจนถึงขอทานที่ยากจน
สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้คือคนทุกชนชั้นล้วนมีหนทางของตัวเอง
ยามนี้ไม่ใช่ดั่งเช่นในอดีตอีกแล้วที่เขาเคยมีผู้เป็นปู่คอยคุ้มครองและเป็นโล่กำบัง
ในโลกแห่งการบำเพ็ญตนที่ฉินหลิงก้าวเข้ามานั้นเหมือนดั่งโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
หากเขาทำตัวโดดเด่นเกินไปย่อมเป็นเหยื่อแก่ผู้แข็งแกร่ง
ดังนั้นคำว่าศักดิ์ศรีนั้นฉินหลิงทิ้งออกไปตั้งแต่เขาไม่อาจรักษาชีวิตของถานอวี้จี้ไว้ได้แล้ว
“ลุกขึ้นเถิด” ท่านเซียนของเหล่าจอมยุทธพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆแต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังกลุ่มจอมยุทธ
เขารับรู้มาว่าจะมีคนมาช่วยคุณหนูใหญ่ที่แกล้งทำตัวเป็นตัวประกันอยู่ในตอนนี้
แต่เขาไม่มั่นใจว่าคนที่จะเข้ามาช่วยคุณหนูใหญ่นั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มจอมยุทธพวกนี้รึไม่
เพราะอย่างไรหน้าตาของจอมยุทธเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่ในหัวของชายผู้เป็นศิษย์ภายนอกของสำนักขจีไพรสันอยู่แล้ว
หลังจากพูดคุยกับเหล่าจอมยุทธและมอบภารกิจอยู่หลายประโยค
เขาก็ไม่สามารถจับสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่อยู่ในกลุ่มจอมยุทธ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคนที่จะมาช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ไม่ใช่กลุ่มจอมยุทธเหล่านี้
ในขณะเดียวกันฉินหลิงก็เหลือบไปมองยังชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกขานว่าท่านเซียนโดยเหล่าจอมยุทธ
เขาก็พบว่าพลังของชายวัยกลางคนอยู่ที่ระดับก่อตั้งวิญญาณขั้น4 ซึ่งสูงกว่าฉินหลิงถึงสองระดับแถมระดับพลังของฉินหลิงยังไม่เสถียรดีอีกด้วย
ดังนั้นการต่อสู้กับชายตรงหน้าย่อมไม่ใช่ทางเลืกที่ดีเลย
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตเห็น ฉินหลิงจึงค่อยๆก้มหน้าและเดินไปด้านหลังจอมยุทธอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ผู้ฝึกตนที่เป็นเจ้าของหุบเขาตรงหน้าสังเกตเห็น
ผ่านไปไม่นาน ท่านเซียนก็กลับไปบนยอดเขาเช่นเดิม
เหล่าจอมยุทธต่างพูดคุยเรื่องภารกิจที่ได้รับกัน
“ฮาๆๆ
เจ้าหัวล้านหู่ได้ภารกิจรดน้ำสมุนไพรอีกแล้วรึ นอกจากเฝ้ายามและรดน้ำต้นไม้
กลุ่มของเองทำอะไรได้บ้างวะ”
ชายชราผู้หนึ่งเอ่ยเยาะเย้ยชายหัวล้านผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของฉินหลิง
ชายหัวล้านกำหมัดแน่น “ตาแก่เหลียงอย่าให้มากเกินไปนัก
แค่ท่านเซียนให้ภารกิจตามล่าหาดอกไม้วิเศษนั้นกับแกแล้วคิดว่าตัวเองสำคัญนักรึไง”
ทั้งสองกลุ่มเริ่มโต้เถียงกันจนเกือบลงไม้ลงมือกัน
แต่โดนลูกน้องของแต่ล่ะฝ่ายห้ามเอาไว้
ฉินหลิงเองก็มองดูเรื่องราวการทะเลาะกันของทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“บัดซบเอ๊ย!!! ทำไมเจ้าแก่นั้นถึงได้ภารกิจสำคัญอย่างนั้นไปและพวกเราถึงได้หน้าที่อย่างรดน้ำต้นไม้ล่ะเนี่ย”
พี่หู่พูดออกมาด้วยความไม่พอใจเมื่อกลุ่มของพวกเขามาถึงห้องพัก
นอกจากฉินหลิง จอมยุทธคนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วย ไม่ใช่ว่าพวกเรารังเกียจการรดน้ำต้นไม้สมุนไพรบนหุบเขา
แต่แต้มภารกิจที่ได้รับจากการทำงานนี้มันน้อยเกินไปต่างหาก
ในระหว่างที่ทั้งกลุ่มกำลังตึงเครียด
เสียงของน้องใหม่ของกลุ่มก็ดังขึ้น “เช่นนั้นเรื่องรดน้ำสมุนไพรก็ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
จอมยุทธทั้งหมดหันมามองฉินหลิงด้วยใบหน้าที่แทบไม่เชื่อ
ความแข็งแกร่งของฉินหลิงนั้นเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งของกลุ่มชายหัวล้าน
แต่เขากลับเสนอตัวทำงานที่เหมือนกับคนสวนได้ยังไง
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัย
ฉินหลิงจึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ในตอนที่ข้ายังเด็ก ข้ามีงานอดิเรกที่ชอบรดน้ำต้นไม้น่ะ
การดูต้นไม้ทำให้จิตใจข้าสงบและปลอดโปร่ง
ดังนั้นหากไม่ว่าอะไรงานรดน้ำนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
เหล่าจอมยุทธที่เหลือต่างเผยสีหน้าลังเล
แต่เมื่อได้ยินคำพูดเกลี้ยกล่อมของฉินหลิงเข้าไป
สุดท้ายพวกเขาก็ยกหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ให้ฉินหลิงไปจัดการ
ความคิดเห็น