คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #142 : ผู้ฝึกตนฉินหลิง
ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักปีศาจทมิฬรุ่น2พยักหน้าเบาๆก่อนเอ่ย “หลังจากมนุษย์ปุถุชนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนสิ้นชีพลงไป จิตวิญญาณของพวกเขาจะถูกส่งไปยังอีกภพหนึ่ง ซึ่งเหล่าผู้ฝึกตนเรียกขานกันว่าโลกหยิน อาจจะเป็นเพราะภายในสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยพลังหยิน จึงทำให้ภายในโลกหยินนั้นมีภูติผี ปีศาจมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเหล่าจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นจะมีโอกาสเบิกปัญญาได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น เมื่อพวกมันเบิกปัญญาได้ พวกมันจะถูกจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกหยินและมีโอกาสฝึกตนดั่งเช่นพวกเรา สำหรับจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ไม่อาจเบิกปัญญาและใช้พลังหยินมาฝึกฝนได้ พวกเขาจะถูกส่งเข้าไปภายในสังสารวัฏเพื่อรอการเกิดใหม่ ซึ่งดวงวิญญาณที่รอการเข้าวัฏจักรตายเกิดเช่นนี้เป็นเวลา500ปีเท่านั้น ดังนั้นหากภายใน500ปี เจ้ายังไม่สามารถบำเพ็ญเซียนจนถึงระดับเจ้าแดนได้ เจ้าก็ไม่สามารถต่อต้านสังสารวัฏเพื่อนำดวงวิญญาณภรรยาของเจ้ากลับมายังโลกนี้ได้อีก”
เมื่อรับรู้ถึงความหวังที่จะนำตัวถานอวี้จี้กลับมาได้
ฉินหลิงก็กำหมัดแน่นพร้อมสีหน้ามุ่งมั่น
“เจ้าดีใจตอนนี้ยังเร็วเกินไป” เหยาหมิงส่ายหน้าเบาๆเมื่อเห็นท่าทีดีใจของฉินหลิงก่อนจะเอ่ยเตือน “การจะบรรลุระดับเจ้าแดนได้ภายใน500ปีแทบเป็นไปไม่ได้...ไม่ใช่ว่าข้าจะดูถูกเจ้าหรอกน่ะ
แต่เรื่องนี้มันยากเกินไปต่างหาก”
“ทำไมรึขอรับ!” เมื่อได้ยินคำเตือนของเจ้าสำนักรุ่นที่12
ฉินหลิงก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ระดับเจ้าแดนนั้นคือระดับที่สูงสุดแล้วในการบำเพ็ญตนของมนุษย์ผู้หนึ่งก่อนจะสำเร็จเป็นเซียนที่แท้จริง
แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราใช้เวลากี่พันกี่หมื่นปีละถึงก้าวมาถึงจุดนี้ได้” หญิงสาวรูปงามผู้มีใบหน้าเยือกเย็นราวกับฤดูเหมันต์เอ่ยออกมาเพื่อย้ำเตือนให้ฉินหลิงรับรู้ความจริง
“ในหมู่พวกเราก็มีเพียงรุ่นที่12ที่ใช้เวลาน้อยสุดซึ่งก็คือ3พันปีในการบรรลุเเละกลายเป็นเจ้าแดนหยินหยาง
ซึ่งเคล็ดวิชาที่เจ้าเด็กสารเลวใช้บ่มเพาะพลังนั้นเป็นเคล็ดวิชาดูดกลืนพลังหยิน อย่างวิชาบ่มเพาะคู่ที่ใช้พลังหยินมาเสริมพลังหยาง ซึ่งพลังที่ได้มาจากเหล่าสตรีมากมายนั้นเองก็ทำให้เขาสามารถเป็นเจ้าแดนที่อายุน้อยที่สุดได้
สุดท้ายผลของการกระทำเช่นนั้นก็ทำให้มันก็ตายลงเพราะไปล่วงเกินคนจำนวนมาก เจ้าคิดจริงๆรึว่าเวลาเพียงห้าร้อยปีเจ้าจะสามารถบรรลุเป็นเจ้าแดนได้” ชายในชุดคลุมสีดำผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่11และเป็นอาจารย์ของเหยาหมิงเอ่ยออกมาเพื่อเตือนฉินหลิงให้รับรู้ถึงหนทางอันยากลำบากของการที่จะเป็นเจ้าแดน
หลังจากได้รับรู้ความจริงอันโหดร้าย ภายในใจของฉินหลิงก็รู้สึกหนักอึ้ง
แม้แต่ผู้อาวุโสที่เก่งกาจเหล่านี้ยังใช้เวลาหลายพันปีเพื่อบรรลุเป็นเจ้าแดน
แล้วตัวเขาที่มีเส้นตายอยู่ที่ห้าร้อยจะทำได้รึ?
“เอาละ... พวกเราก็แค่คนที่ตายไปแล้ว
ดังนั้นพวกข้าก็ไม่มีสิทธิที่จะไปตัดสินใจแทนคนเป็นอย่างเจ้าได้
จุดหมายของการฝึกตนของเจ้าคืออะไร จงคิดให้ดี
แต่อย่าได้ลืมว่าความหมายที่แท้จริงแล้วของการบำเพ็ญตน นั้นก็คือการที่เจ้าจะสามารถทำตามใจตนเพื่อตอบสนองความปรารถนาของตัวเอง”
เจ้าสำนักรุ่นที่2 หันไปมองเหล่าอดีตเจ้าสำนักรุ่นต่างๆเพื่อให้หยุดพูด ก่อนจะหันไปมองฉินหลิงและเอ่ยเตือนถึงสิ่งสำคัญของสำนักปีศาจทมิฬ
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว
ข้าจะขอกล่าวถึงเคล็ดวิชาของสำนักปีศาจทมิฬ เคล็ดวิชาของสำนักเรานั้นถูกเรียกขานว่าเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ
ซึ่งการฝึกฝนของผู้ฝึกตนนั้นมีด้วยการ3ชนิด คือการฝึกฝนเพิ่มพูนพลังปราณวิญญาณ การฝึกกายา
และสุดท้ายก็คือการฝึกจิตวิญญาณ
โดยทั่วไปการฝึกจิตวิญญาณนั้นจะเป็นเรื่องลึกลับและไม่มีใครรับรู้เพราะเคล็ดวิชาเกี่ยวกับจิตวิญญาณนั้นแทบไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ดังนั้นนอกจากการฝึกจิตวิญญาณที่เจ้าต้องฝึกฝนตามเคล็ดวิชาในมือเจ้า
เคล็ดวิชาอื่นๆเจ้าก็สามารถใช้ได้ตามสะดวก
แต่ทางทีดีจงอย่าแยกวิญญาณออกจากร่างโดยที่ไม่มีเหตุจำเป็น
เพราะหากเจ้าถูกผู้ฝึกตนที่มีพลังขั้นตัดวิญญาณขึ้นไปจับได้แล้วละก็... เจ้าคงตายศพไม่สวยอย่างแน่นอน” เอ่ยจบเจ้าสำนักรุ่นที่2ก็หันไปมองเหล่าเจ้าสำนักรุ่นต่างๆก่อนจะได้รับคำยืนยันบางอย่างโดยที่ฉินหลิงไม่เข้าใจ
“พวกเราตกลงกันว่าจะให้เจ้าเลือกแนวทางการฝึกจากพวกเราคนใดคนหนึ่ง
เพราะเจ้าเองก็ไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญตนมาก่อน
ดังนั้นเจ้าก็ควรเดินตามแนวของพวกเรา ก่อนที่จะเลือกวิถีของตัวเอง เมื่อเจ้าเลือกหนึ่งในเคล็ดวิชาจากพวกเราเสร็จและเริ่มฝึกฝน
ในตอนนั้นเจ้าจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง!!” ชายร่างยักษ์เจ้าของใบหน้าอสูรเอ่ยออกมา
“มีเวลาไม่มากแล้วก่อนที่จิตวิญญาณของพวกเราจะหลับไหลไปอีกครั้ง
เจ้าจงเลือกหนึ่งในพวกข้าเพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชาเริ่มต้น” ชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างกายที่ค่อยๆเรือนราง
ฉินหลิงที่ได้ยินคำพูดของเจ้าสำนักรุ่นที่11ก็ลังเลอยู่ไม่น้อย
เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญตนที่เก่งกาจทั้งสิ้น
แล้วเขาควรจะเลือกใครเพื่อเป็นแนวทางเริ่มต้นของตัวเองดี
ในขณะที่ฉินหลิงกำลังลังเล
เขาก็เหลือบไปเห็นชายผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าตาธรรมดาแต่ภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
ซึ่งเขาก็คือต้นเเบบของรูปปั้นหนึ่งที่ทำให้ฉินหลิงเอาชนะบททดสอบของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬได้
“ข้าเลือกท่าน” ฉินหลิงเดินไปหาชายผู้ที่มีกระบี่สะพายอยู่ด้านหลังพร้อมกับเอ่ยออกมา
ตั้งแต่การปรากฏตัวของเหล่าเจ้าสำนักรุ่นต่างๆ
ชายผู้นี้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
แต่การที่ฉินหลิงเลือกตัวเขาก็ทำให้เขารู้สึกตกใจอยู่บ้าง ก่อนจะหันมามองเพื่อพิจารณาฉินหลิงอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยแนะนำ
“วิถีกระบี่ของเจ้ายังคงอ่อนด้อยยิ่งนัก
แต่หากเทียบกับมนุษย์ทั่วไปแล้วก็ถือว่าไม่เลว หากเจ้าปรารถนาจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริง
เคล็ดวิชานั้นย่อมไม่จำเป็น”
เหล่าสำนักคนอื่นๆต่างพากันมองดูฉินหลิงด้วยสายตาซับซ้อน
การเลือกของฉินหลิงครั้งนี้ทำให้เจ้าสำนักรุ่นก่อนๆอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เจ้าสำนักที่ดูเรียบง่ายและไม่พูดจาดั่งเช่นเจ้าสำนักรุ่นที่10นั้นคือคนบ้าของจริง
การที่ฉินหลิงตัดสินใจสืบทอดเจตนารมณ์ในวิถีกระบี่ทำให้เหล่าเจ้าสำนักต่างพากันพูดไม่ออก
ตัวเลือกอีกสิบคนที่เหลือต่างรู้สึกเห็นใจฉินหลิงอย่างมาก
พวกเขารับรู้ได้เลยว่าในอนาคตชายเจ้าสำนักรุ่นที่13จะต้องประสบปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกันฉินหลิงก็เผยสีหน้างุนงงออกมาทันที
เพราะชายตรงหน้าบอกว่าเคล็ดวิชาไม่จำเป็น แล้วเขาจะเริ่มฝึกตนได้ยังไง
ก่อนที่ฉินหลิงจะได้เอ่ยอะไรออกมา
ผู้อาวุโสตรงหน้าก็ปล่อยหมอกบางๆเข้ามายังกลางหน้าผากของฉินหลิงอย่างไม่บอกกล่าว
“อ๊าคคค” เพียงพริบตาความเจ็บปวดจนแทบทำให้เขาบ้าก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฉินหลิงรู้สึกราวกับถูกของแหลมแทงทั่วทั้งร่างกาย
ความเจ็บปวดจนแทบทำให้วิญญาณแหลกสลายนั้นทำให้ฉินหลิงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ร่างโปร่งแสงกลับเข้าไปภายในกายหยาบของเขาอีกครั้ง แรงกดดันโดยรอบหายไปจนหมดแล้ว
แต่ร่างกายของเขากระตุกไปมาเพราะความเจ็บปวดจากจิตวิญญาณแทน
เหล่าผู้อาวุโสที่กำลังเลือนหายไปอดไม่ได้ที่สงสาร
เจ้าสำนักรุ่นอื่นๆมีเคล็ดวิชามากมายให้เลือก
ทำไมเขาถึงเลือกชายผู้บ้าในวิถีกระบี่เช่นนี้ เมื่อเห็นฉินหลิงกำลังขดตัวพร้อมกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เหล่าเจ้าสำนักก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาอย่างเวทนา
“ท่านคิดดีแล้วรึที่ให้ตัวอ่อนกระบี่แก่เจ้าเด็กนั้นไป หากคนจากโลกกระบี่รับรู้เข้า
ข้าว่ามันจะสร้างภาระให้แก่เขามากกว่าน่ะ” ชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยถาม
“เฉพาะผู้มีความเพียรแรงกล้าเท่านั้นถึงจะเป็นยอดคนได้”
ชายผู้ให้ตัวอ่อนกระบี่เอ่ยออกมาก่อนจะมองใบหน้าทุกข์ทรมานของฉินหลิงครู่หนึ่ง ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมมปาก
เมื่อเจ้าสำนักรุ่นที่10หายไป
เหล่าเจ้าสำนักรุ่นอื่นๆก็ค่อยๆกลายเป็นแสงและพุ่งเข้าไปยังรูปปั้นของตนเอง ทิ้งฉินหลิงที่กำลังนอนร้องอย่างเจ็บปวดไว้เพียงลำพัง
ฉินหลิงกัดฟันแน่นเพื่ออดทนไม่ให้ความเจ็บปวดทำให้เขาหมดสติ
แต่ความรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่มแทงร่างกายทุกส่วนทำให้เขาแทบเป็นบ้า
หากว่าแรงกดดันของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬที่ทำให้แยกวิญญาณออกจากร่างได้ทำให้เขาทรมานจนแทบอยากตายแล้ว
การถูกทิ่มแทงจิตวิญญาณโดยตัวอ่อนกระบี่นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนแรงกดดันของเคล็ดวิชาประจำสำนักนับสิบเท่า
เวลาค่อยๆไหลผ่านไป ฉินหลิงค่อยปรับตัวได้
หลังจากตัวอ่อนกระบี่ได้อาละวาดจนมันพอใจ มันก็ฝังตัวอยู่ในจุดตันเถียน(บบริเวณล่างสะดื้อ)อย่างเรียบร้อยราวกับการถูกทิ่มแทงเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน
ฉินหลิงมองไปยังหน้าท้องของตัวเอง
เขาสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ พลังนี้แตกต่างจากพลังปราณ
คลื่นพลังที่สะสมอยู่ภายในตันเถียนก่อเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดออกมา
เขารู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขาสามารถทำอะไรก็ได้
สายตาเขาคมชัดยิ่งกว่าเดิม
ประสาทสัมผัสทั้งห้าสามารถตอบสนองสิ่งต่างๆได้ดียิ่งกว่าในอดีตหลายเท่า
ความอัศจรรย์หลังจากเขาได้เริ่มเป็นผู้ฝึกตนทำให้ฉินหลิงรู้สึกว่าเขาสามารถสังหารจอมยุทธได้เพียงปลายนิ้ว
นอกจากพลังที่อยู่ในจุดตันเถียน
ฉินหลิงยังสัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับอีกอย่างที่อยู่บนหน้าผาก
พลังลี้ลับนี้ย่อมเป็นพลังของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ
ในเวลานี้ฉินหลิงได้เริ่มบ่มเพาะสองสายแล้ว เขาได้บ่มเพาะทั้งพลังปราณวิญญาณและพลังจิตวิญญาณ
แต่เขาไม่สามารถแสดงพลังจิตวิญญาณให้ใครรับรู้ ดังคำที่ว่า คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว
หลังจากตรวจสอบพลังใหม่เสร็จ
ฉินหลิงก็เบิกตากว้างอย่างแทบไม่เชื่อสายตา
ผิวหนังที่เคยเหี่ยวย่นจากวัยชรากลับมานุ่มนวลเหมือนสมัยอดีตอีกครั้ง
ฉินหลิงหันมามองแขนขาตัวเองอีกครั้ง เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าเขาจะย้อนกลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง
รูปร่างในปัจจุบันของฉินหลิงเหมือนเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ฉินหลิงรู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
ในขณะที่ฉินหลิงรู้สึกตกใจกับการเปลี่ยนแปลง
ภายในจิตวิญญาณก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะถูกขับไล่ออกจากสถานที่แห่งนี้
ฉินหลิงจึงเหลือบมองไปยังเหล่ารูปปั้นตรงเบื้องหน้าอีกครั้งอย่างตั้งใจ
เจ้าสำนักรุ่นที่12
เจ้าแดนหยินหยาง
เจ้าสำนักรุ่นที่11
เจ้าแดนซากศพเทวะ
เจ้าสำนักรุ่นที่10
เจ้าแดนกระบี่เดียวดาย
เจ้าสำนักรุ่นที่9 เจ้าแดนจักพรรษพิษ
เจ้าสำนักรุ่นที่8 เจ้าแดนอักขระหมื่นวิถี
เจ้าสำนักรุ่นที่7 เจ้าแดนเหมันต์โชติช่วง
เจ้าสำนักรุ่นที่6 เจ้าแดนเบญจธาติ
เจ้าสำนักรุ่นที่5 เจ้าแดนโอสถสวรรค์
เจ้าสำนักรุ่นที่4 เจ้าแดนพันธนาการสี่วิถี
เจ้าสำนักรุ่นที่3 เจ้าแดนอสุรา
เจ้าสำนักรุ่นที่2
เจ้าแดนทำนายสวรรค์
บรรพชนเจ้าสำนักรุ่นที่1 เจ้าแดนยุทธภัณฑ์
หลังจากจดจำชื่อเสียงของเหล่าเจ้าสำนักเสร็จ
ฉินหลิงก็คุกเข่าคำนับเหล่าเจ้าสำนักอีกครั้งอย่างตั้งใจ ถึงแม้ผู้อาวุโสเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้เขาสืบทอดสำนักต่อไป
แต่บุญคุณของเหล่าเจ้าสำนักที่แนะแนวทางการฝึกตนแก่เขาก็เป็นเรื่องจริง
และถือได้ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณสำนักปีศาจทมิฬ
เมื่อฉินหลิงคำนับรูปปั้นตรงเบื้องหน้าเสร็จ ร่างกายของเขาก็จางหายไปพร้อมกับหมอกควันอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น