ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #142 : ผู้ฝึกตนฉินหลิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.45K
      1.09K
      12 ก.พ. 63

    ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักปีศาจทมิฬรุ่น2พยักหน้าเบาๆก่อนเอ่ย หลังจากมนุษย์ปุถุชนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนสิ้นชีพลงไป จิตวิญญาณของพวกเขาจะถูกส่งไปยังอีกภพหนึ่ง ซึ่งเหล่าผู้ฝึกตนเรียกขานกันว่าโลกหยิน  อาจจะเป็นเพราะภายในสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยพลังหยิน จึงทำให้ภายในโลกหยินนั้นมีภูติผี ปีศาจมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเหล่าจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นจะมีโอกาสเบิกปัญญาได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วนเท่านั้น เมื่อพวกมันเบิกปัญญาได้ พวกมันจะถูกจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกหยินและมีโอกาสฝึกตนดั่งเช่นพวกเรา สำหรับจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ไม่อาจเบิกปัญญาและใช้พลังหยินมาฝึกฝนได้ พวกเขาจะถูกส่งเข้าไปภายในสังสารวัฏเพื่อรอการเกิดใหม่ ซึ่งดวงวิญญาณที่รอการเข้าวัฏจักรตายเกิดเช่นนี้เป็นเวลา500ปีเท่านั้น ดังนั้นหากภายใน500ปี เจ้ายังไม่สามารถบำเพ็ญเซียนจนถึงระดับเจ้าแดนได้ เจ้าก็ไม่สามารถต่อต้านสังสารวัฏเพื่อนำดวงวิญญาณภรรยาของเจ้ากลับมายังโลกนี้ได้อีก

     

    เมื่อรับรู้ถึงความหวังที่จะนำตัวถานอวี้จี้กลับมาได้ ฉินหลิงก็กำหมัดแน่นพร้อมสีหน้ามุ่งมั่น

     

    เจ้าดีใจตอนนี้ยังเร็วเกินไปเหยาหมิงส่ายหน้าเบาๆเมื่อเห็นท่าทีดีใจของฉินหลิงก่อนจะเอ่ยเตือน การจะบรรลุระดับเจ้าแดนได้ภายใน500ปีแทบเป็นไปไม่ได้...ไม่ใช่ว่าข้าจะดูถูกเจ้าหรอกน่ะ แต่เรื่องนี้มันยากเกินไปต่างหาก

     

    ทำไมรึขอรับ!” เมื่อได้ยินคำเตือนของเจ้าสำนักรุ่นที่12 ฉินหลิงก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

     

    ระดับเจ้าแดนนั้นคือระดับที่สูงสุดแล้วในการบำเพ็ญตนของมนุษย์ผู้หนึ่งก่อนจะสำเร็จเป็นเซียนที่แท้จริง แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราใช้เวลากี่พันกี่หมื่นปีละถึงก้าวมาถึงจุดนี้ได้หญิงสาวรูปงามผู้มีใบหน้าเยือกเย็นราวกับฤดูเหมันต์เอ่ยออกมาเพื่อย้ำเตือนให้ฉินหลิงรับรู้ความจริง

     

    ในหมู่พวกเราก็มีเพียงรุ่นที่12ที่ใช้เวลาน้อยสุดซึ่งก็คือ3พันปีในการบรรลุเเละกลายเป็นเจ้าแดนหยินหยาง ซึ่งเคล็ดวิชาที่เจ้าเด็กสารเลวใช้บ่มเพาะพลังนั้นเป็นเคล็ดวิชาดูดกลืนพลังหยิน อย่างวิชาบ่มเพาะคู่ที่ใช้พลังหยินมาเสริมพลังหยาง ซึ่งพลังที่ได้มาจากเหล่าสตรีมากมายนั้นเองก็ทำให้เขาสามารถเป็นเจ้าแดนที่อายุน้อยที่สุดได้  สุดท้ายผลของการกระทำเช่นนั้นก็ทำให้มันก็ตายลงเพราะไปล่วงเกินคนจำนวนมาก เจ้าคิดจริงๆรึว่าเวลาเพียงห้าร้อยปีเจ้าจะสามารถบรรลุเป็นเจ้าแดนได้ชายในชุดคลุมสีดำผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่11และเป็นอาจารย์ของเหยาหมิงเอ่ยออกมาเพื่อเตือนฉินหลิงให้รับรู้ถึงหนทางอันยากลำบากของการที่จะเป็นเจ้าแดน

     

    หลังจากได้รับรู้ความจริงอันโหดร้าย ภายในใจของฉินหลิงก็รู้สึกหนักอึ้ง แม้แต่ผู้อาวุโสที่เก่งกาจเหล่านี้ยังใช้เวลาหลายพันปีเพื่อบรรลุเป็นเจ้าแดน แล้วตัวเขาที่มีเส้นตายอยู่ที่ห้าร้อยจะทำได้รึ?

     

    เอาละ... พวกเราก็แค่คนที่ตายไปแล้ว ดังนั้นพวกข้าก็ไม่มีสิทธิที่จะไปตัดสินใจแทนคนเป็นอย่างเจ้าได้ จุดหมายของการฝึกตนของเจ้าคืออะไร จงคิดให้ดี แต่อย่าได้ลืมว่าความหมายที่แท้จริงแล้วของการบำเพ็ญตน นั้นก็คือการที่เจ้าจะสามารถทำตามใจตนเพื่อตอบสนองความปรารถนาของตัวเองเจ้าสำนักรุ่นที่2 หันไปมองเหล่าอดีตเจ้าสำนักรุ่นต่างๆเพื่อให้หยุดพูด ก่อนจะหันไปมองฉินหลิงและเอ่ยเตือนถึงสิ่งสำคัญของสำนักปีศาจทมิฬ

     

    เหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้าจะขอกล่าวถึงเคล็ดวิชาของสำนักปีศาจทมิฬ  เคล็ดวิชาของสำนักเรานั้นถูกเรียกขานว่าเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ ซึ่งการฝึกฝนของผู้ฝึกตนนั้นมีด้วยการ3ชนิด คือการฝึกฝนเพิ่มพูนพลังปราณวิญญาณ การฝึกกายา และสุดท้ายก็คือการฝึกจิตวิญญาณ โดยทั่วไปการฝึกจิตวิญญาณนั้นจะเป็นเรื่องลึกลับและไม่มีใครรับรู้เพราะเคล็ดวิชาเกี่ยวกับจิตวิญญาณนั้นแทบไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ดังนั้นนอกจากการฝึกจิตวิญญาณที่เจ้าต้องฝึกฝนตามเคล็ดวิชาในมือเจ้า เคล็ดวิชาอื่นๆเจ้าก็สามารถใช้ได้ตามสะดวก แต่ทางทีดีจงอย่าแยกวิญญาณออกจากร่างโดยที่ไม่มีเหตุจำเป็น เพราะหากเจ้าถูกผู้ฝึกตนที่มีพลังขั้นตัดวิญญาณขึ้นไปจับได้แล้วละก็... เจ้าคงตายศพไม่สวยอย่างแน่นอน เอ่ยจบเจ้าสำนักรุ่นที่2ก็หันไปมองเหล่าเจ้าสำนักรุ่นต่างๆก่อนจะได้รับคำยืนยันบางอย่างโดยที่ฉินหลิงไม่เข้าใจ

     

    พวกเราตกลงกันว่าจะให้เจ้าเลือกแนวทางการฝึกจากพวกเราคนใดคนหนึ่ง เพราะเจ้าเองก็ไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญตนมาก่อน ดังนั้นเจ้าก็ควรเดินตามแนวของพวกเรา ก่อนที่จะเลือกวิถีของตัวเอง เมื่อเจ้าเลือกหนึ่งในเคล็ดวิชาจากพวกเราเสร็จและเริ่มฝึกฝน ในตอนนั้นเจ้าจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง!!” ชายร่างยักษ์เจ้าของใบหน้าอสูรเอ่ยออกมา

     

    มีเวลาไม่มากแล้วก่อนที่จิตวิญญาณของพวกเราจะหลับไหลไปอีกครั้ง เจ้าจงเลือกหนึ่งในพวกข้าเพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชาเริ่มต้นชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างกายที่ค่อยๆเรือนราง

     

    ฉินหลิงที่ได้ยินคำพูดของเจ้าสำนักรุ่นที่11ก็ลังเลอยู่ไม่น้อย เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญตนที่เก่งกาจทั้งสิ้น แล้วเขาควรจะเลือกใครเพื่อเป็นแนวทางเริ่มต้นของตัวเองดี

     

    ในขณะที่ฉินหลิงกำลังลังเล เขาก็เหลือบไปเห็นชายผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าตาธรรมดาแต่ภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ ซึ่งเขาก็คือต้นเเบบของรูปปั้นหนึ่งที่ทำให้ฉินหลิงเอาชนะบททดสอบของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬได้

     

    ข้าเลือกท่านฉินหลิงเดินไปหาชายผู้ที่มีกระบี่สะพายอยู่ด้านหลังพร้อมกับเอ่ยออกมา

     

    ตั้งแต่การปรากฏตัวของเหล่าเจ้าสำนักรุ่นต่างๆ ชายผู้นี้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว แต่การที่ฉินหลิงเลือกตัวเขาก็ทำให้เขารู้สึกตกใจอยู่บ้าง ก่อนจะหันมามองเพื่อพิจารณาฉินหลิงอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยแนะนำ วิถีกระบี่ของเจ้ายังคงอ่อนด้อยยิ่งนัก แต่หากเทียบกับมนุษย์ทั่วไปแล้วก็ถือว่าไม่เลว หากเจ้าปรารถนาจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริง เคล็ดวิชานั้นย่อมไม่จำเป็น

     

    เหล่าสำนักคนอื่นๆต่างพากันมองดูฉินหลิงด้วยสายตาซับซ้อน การเลือกของฉินหลิงครั้งนี้ทำให้เจ้าสำนักรุ่นก่อนๆอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เจ้าสำนักที่ดูเรียบง่ายและไม่พูดจาดั่งเช่นเจ้าสำนักรุ่นที่10นั้นคือคนบ้าของจริง การที่ฉินหลิงตัดสินใจสืบทอดเจตนารมณ์ในวิถีกระบี่ทำให้เหล่าเจ้าสำนักต่างพากันพูดไม่ออก

     

    ตัวเลือกอีกสิบคนที่เหลือต่างรู้สึกเห็นใจฉินหลิงอย่างมาก พวกเขารับรู้ได้เลยว่าในอนาคตชายเจ้าสำนักรุ่นที่13จะต้องประสบปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน

     

    ในขณะเดียวกันฉินหลิงก็เผยสีหน้างุนงงออกมาทันที เพราะชายตรงหน้าบอกว่าเคล็ดวิชาไม่จำเป็น แล้วเขาจะเริ่มฝึกตนได้ยังไง

     

    ก่อนที่ฉินหลิงจะได้เอ่ยอะไรออกมา ผู้อาวุโสตรงหน้าก็ปล่อยหมอกบางๆเข้ามายังกลางหน้าผากของฉินหลิงอย่างไม่บอกกล่าว

     

    อ๊าคคคเพียงพริบตาความเจ็บปวดจนแทบทำให้เขาบ้าก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉินหลิงรู้สึกราวกับถูกของแหลมแทงทั่วทั้งร่างกาย ความเจ็บปวดจนแทบทำให้วิญญาณแหลกสลายนั้นทำให้ฉินหลิงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างโปร่งแสงกลับเข้าไปภายในกายหยาบของเขาอีกครั้ง แรงกดดันโดยรอบหายไปจนหมดแล้ว แต่ร่างกายของเขากระตุกไปมาเพราะความเจ็บปวดจากจิตวิญญาณแทน

     

    เหล่าผู้อาวุโสที่กำลังเลือนหายไปอดไม่ได้ที่สงสาร เจ้าสำนักรุ่นอื่นๆมีเคล็ดวิชามากมายให้เลือก ทำไมเขาถึงเลือกชายผู้บ้าในวิถีกระบี่เช่นนี้ เมื่อเห็นฉินหลิงกำลังขดตัวพร้อมกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เหล่าเจ้าสำนักก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาอย่างเวทนา

     

    ท่านคิดดีแล้วรึที่ให้ตัวอ่อนกระบี่แก่เจ้าเด็กนั้นไป  หากคนจากโลกกระบี่รับรู้เข้า ข้าว่ามันจะสร้างภาระให้แก่เขามากกว่าน่ะชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยถาม

     

    เฉพาะผู้มีความเพียรแรงกล้าเท่านั้นถึงจะเป็นยอดคนได้ชายผู้ให้ตัวอ่อนกระบี่เอ่ยออกมาก่อนจะมองใบหน้าทุกข์ทรมานของฉินหลิงครู่หนึ่ง ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมมปาก

     

    เมื่อเจ้าสำนักรุ่นที่10หายไป เหล่าเจ้าสำนักรุ่นอื่นๆก็ค่อยๆกลายเป็นแสงและพุ่งเข้าไปยังรูปปั้นของตนเอง ทิ้งฉินหลิงที่กำลังนอนร้องอย่างเจ็บปวดไว้เพียงลำพัง

     

    ฉินหลิงกัดฟันแน่นเพื่ออดทนไม่ให้ความเจ็บปวดทำให้เขาหมดสติ แต่ความรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่มแทงร่างกายทุกส่วนทำให้เขาแทบเป็นบ้า หากว่าแรงกดดันของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬที่ทำให้แยกวิญญาณออกจากร่างได้ทำให้เขาทรมานจนแทบอยากตายแล้ว การถูกทิ่มแทงจิตวิญญาณโดยตัวอ่อนกระบี่นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนแรงกดดันของเคล็ดวิชาประจำสำนักนับสิบเท่า

     

    เวลาค่อยๆไหลผ่านไป ฉินหลิงค่อยปรับตัวได้ หลังจากตัวอ่อนกระบี่ได้อาละวาดจนมันพอใจ มันก็ฝังตัวอยู่ในจุดตันเถียน(บบริเวณล่างสะดื้อ)อย่างเรียบร้อยราวกับการถูกทิ่มแทงเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน

     

    ฉินหลิงมองไปยังหน้าท้องของตัวเอง เขาสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ พลังนี้แตกต่างจากพลังปราณ คลื่นพลังที่สะสมอยู่ภายในตันเถียนก่อเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดออกมา เขารู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขาสามารถทำอะไรก็ได้  สายตาเขาคมชัดยิ่งกว่าเดิม ประสาทสัมผัสทั้งห้าสามารถตอบสนองสิ่งต่างๆได้ดียิ่งกว่าในอดีตหลายเท่า

     

    ความอัศจรรย์หลังจากเขาได้เริ่มเป็นผู้ฝึกตนทำให้ฉินหลิงรู้สึกว่าเขาสามารถสังหารจอมยุทธได้เพียงปลายนิ้ว

     

    นอกจากพลังที่อยู่ในจุดตันเถียน ฉินหลิงยังสัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับอีกอย่างที่อยู่บนหน้าผาก พลังลี้ลับนี้ย่อมเป็นพลังของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ ในเวลานี้ฉินหลิงได้เริ่มบ่มเพาะสองสายแล้ว เขาได้บ่มเพาะทั้งพลังปราณวิญญาณและพลังจิตวิญญาณ แต่เขาไม่สามารถแสดงพลังจิตวิญญาณให้ใครรับรู้ ดังคำที่ว่า คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกติดตัว

     

    หลังจากตรวจสอบพลังใหม่เสร็จ ฉินหลิงก็เบิกตากว้างอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ผิวหนังที่เคยเหี่ยวย่นจากวัยชรากลับมานุ่มนวลเหมือนสมัยอดีตอีกครั้ง ฉินหลิงหันมามองแขนขาตัวเองอีกครั้ง เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าเขาจะย้อนกลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง รูปร่างในปัจจุบันของฉินหลิงเหมือนเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเท่านั้น

     

    การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ฉินหลิงรู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

     

    ในขณะที่ฉินหลิงรู้สึกตกใจกับการเปลี่ยนแปลง ภายในจิตวิญญาณก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะถูกขับไล่ออกจากสถานที่แห่งนี้ ฉินหลิงจึงเหลือบมองไปยังเหล่ารูปปั้นตรงเบื้องหน้าอีกครั้งอย่างตั้งใจ

     

    เจ้าสำนักรุ่นที่12 เจ้าแดนหยินหยาง

    เจ้าสำนักรุ่นที่11 เจ้าแดนซากศพเทวะ

    เจ้าสำนักรุ่นที่10 เจ้าแดนกระบี่เดียวดาย

    เจ้าสำนักรุ่นที่9  เจ้าแดนจักพรรษพิษ

    เจ้าสำนักรุ่นที่8  เจ้าแดนอักขระหมื่นวิถี

    เจ้าสำนักรุ่นที่7  เจ้าแดนเหมันต์โชติช่วง

    เจ้าสำนักรุ่นที่6  เจ้าแดนเบญจธาติ

    เจ้าสำนักรุ่นที่5  เจ้าแดนโอสถสวรรค์

    เจ้าสำนักรุ่นที่4  เจ้าแดนพันธนาการสี่วิถี

    เจ้าสำนักรุ่นที่3  เจ้าแดนอสุรา

    เจ้าสำนักรุ่นที่2 เจ้าแดนทำนายสวรรค์

    บรรพชนเจ้าสำนักรุ่นที่1  เจ้าแดนยุทธภัณฑ์

     

     

    หลังจากจดจำชื่อเสียงของเหล่าเจ้าสำนักเสร็จ ฉินหลิงก็คุกเข่าคำนับเหล่าเจ้าสำนักอีกครั้งอย่างตั้งใจ ถึงแม้ผู้อาวุโสเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้เขาสืบทอดสำนักต่อไป แต่บุญคุณของเหล่าเจ้าสำนักที่แนะแนวทางการฝึกตนแก่เขาก็เป็นเรื่องจริง และถือได้ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณสำนักปีศาจทมิฬ

     

    เมื่อฉินหลิงคำนับรูปปั้นตรงเบื้องหน้าเสร็จ ร่างกายของเขาก็จางหายไปพร้อมกับหมอกควันอย่างรวดเร็ว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×