คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #141 : พูดคุยกับเหล่าอดีตเจ้าสำนัก
“จงทำตามใจตน!!!”
คำพูดของเหล่าอดีตเจ้าสำนักปีศาจทมิฬทำให้ฉินหลิงรู้สึกสั่นสะท้าน สีหน้าของเเต่ล่ะคนเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ตรงเบื้องหน้าทำให้ฉินหลิงอดรู้สึกนับถือไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของฉินหลิง
เจ้าสำนักรุ่นที่สองก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เอาละ...
เรื่องเกี่ยวกับสำนักเราพอไว้ก่อน
หากเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่เจ้าย่อมต้องได้ยินเรื่องราววีรกรรมที่พสกเราเคยก่อขึ้นมาบ้างอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จงจดจำขึ้นหัวไว้ให้ดี”
เอ่ยจบชายชราผู้ถูกเรียกขานว่าเจ้าแดนทำนายสวรรค์ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม กลิ่นอายที่กระจายออกมาลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง
ครั้นเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของผู้อาวุโสตรงหน้า
ฉินหลิงก็พยักหน้าตอบรับ
“เจ้าคงรับรู้ได้แล้วสินะว่าจิตวิญญาณของเจ้านั้นแยกออกจากกายหยาบเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว ซึ่งการที่ผู้ฝึกตนจะตัดเเละแยกวิญญาณออกจากกายหยาบได้นั้นจำเป็นต้องมีพลังอย่างน้อยขั้นตัดวิญญาณ
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะสามารถแยกวิญญาณออกจากร่างได้ก่อนจะมีพลังฝึกตนถึงขั้นตัดวิญญาณ อย่างไรก็ตามสำนักปีศาจทมิฬของเรามีเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันต่อมา นั้นก็คือเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ... วิชาที่เหล่าเจ้าสำนักปีศาจทมิฬทุกรุ่นจะต้องฝึกฝน”
ฉินหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่เข้าใจว่าเขาไปฝึกเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬอะไรนั้นตอนไหน
ชายชราในชุดนักพรตยิ้มออกมาเล็น้อยเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฉินหลิง
“เจ้าไม่ต้องสงสัยไปหรอกว่าทำไมเจ้าถึงแยกวิญญาณออกมาจากร่างกายได้ เจ้ายังคงไม่ลืมสินะว่าก่อนหน้านี้ทำไมถึงมีแรงกดดันจนแทบทำให้เจ้าอยากจะตาย...
ใช่แล้ว! นั้นแหละคือบททดสอบของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ
หากในช่วงเวลานั้นเจ้าขาดความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ แรงกดดันที่ออกจากคัมภีร์ในมือเจ้าจะบดขยี้ร่างกายและดวงวิญญาณจนแหลกสลาย”
หลังจากได้ยินคำพูดของอดีตเจ้าสำนัก
ฉินหลิงก็เหลือบไปมองคัมภีร์ไม้ไผ่ในมืออย่างช่วยไม่ได้ ที่แท้แล้วแรงกดดันจนทำให้เขาแทบตายนั้นมาจากเจ้าคัมภีร์บัดซบนี้เอง ความรู้สึกทรมานจนเเทบอยากจะตายทำให้ฉินหลิงขนลุกซู่เเม้ว่าจะไม่มีกายหยาบก็ตาม
ฉินหลิงใช้เวลาสงบใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วข้าจะเริ่มฝึกตนเพื่อเป็นเซียนยังไงขอรับ”
เหล่าอดีตเจ้าสำนักต่างหันมามองฉินหลิงด้วยสีหน้าตกตะลึงกับคำกล่าวเมื่อครู่
“ฮาๆ
เจ้าสารเลวนี้พึ่งเข้าสู่หนทางฝึกตนก็ถามหาถึงการเป็นเซียนแล้ว”
เจ้าแดนหยินหยางเอ่ยออกมาอย่างขบขัน
“ดี ดี
บิดาชอบนักกับคนที่กล้าพูดอะไรบ้าๆเช่นนี้”
ชายผู้มีหน้าตาเหมือนอสูรพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เบิกกว้างจนทำให้เห็นถึงเขี้ยวในปากที่ดูน่าหวาดกลัว
“ดูแล้ว
เจ้าสำนักคนใหม่ของเราคงได้ก่อความวุ่นวายแก่โลกบำเพ็ญเพียรไม่น้อย”
ชายวัยกลางคนผู้ที่สวมเสื้อผ้าหรูหราเอ่ยออกมาพร้อมกับพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี
ฉินหลิงก้มหน้าด้วยความอับอายเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาทำให้เหล่าเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆหัวเราะเยาะ
“พอก่อน!!!” เมื่อเห็นเหล่าเจ้าสำนักพากันพูดคุยออกนอกเรื่อง
ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่น2ก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองยังร่างกายของฉินหลิง
“ข้าเคยบอกไปแล้วสินะว่าหากจะเริ่มการบำเพ็ญเพียรเป็นผู้ฝึกตนนั้นเจ้าจะต้องตัดกรรมออกไปก่อน... จงฟังให้ดีๆ กรรมนั้นก็คือผลของการกระทำ เมื่อเจ้ายังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่ เจ้าย่อมต้องใช้ชีวิตโดยมีกรรมเป็นตัวกำหนด
ไม่ว่าเจ้าทำอะไรก็จะเกิดกรรมขึ้นกับตัวเจ้า การเดิน การกิน การวิ่ง การพูดจา
การเข่นฆ่า หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าแสดงออกนั้นย่อมเป็นกรรม
แต่เมื่อเจ้าเริ่มบ่มเพาะพลัง เจ้าจะตัดขาดจากวงจรกรรมเหล่านั้น ต่อแต่นี้เจ้าจะเข้าสู่เวทีแห่งการแย่งชิง
การบำเพ็ญเพียรคือวิถีแห่งการฝืนโชคชะตา
ชีวิตของเจ้าจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรมอีกต่อไป แต่มันจะขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง
นี้แหละที่เรียกว่าการฝึกตน”
ฉินหลิงหลับตาลงเพื่อย่อยข้อมูลที่ได้รับฟังมาจากท่านผู้อาวุโสตรงหน้า
ผ่านไปไม่นาน
ดวงตาที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจัง “หากข้าตัดกรรมแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปกับร่างกายของข้ารึไม่”
“เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน” ชายในชุดคลุมสีดำที่มีใบหน้าซีดเซียวราวกับไม่ได้อาบแสงตะวันมาเป็นเวลานานเอ่ยขึ้นเพื่อตอบคำถามของฉินหลิงด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ที่จริงการจะเริ่มฝึกตนนั้นควรเริ่มตัดกรรมตั้งแต่อายุน้อยๆ นั้นเป็นเพราะว่ากรรมของเด็กนั้นมีน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก ซึ่งทำให้เหล่าเด็กน้อยที่เข้าสู่หนทางฝึกตนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยเเละเอกลักษณ์ไปมากนัก
แต่ก็ใช่ว่าเมื่อเจ้าเป็นแก่ชราแล้วจะไม่มีโอกาสเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน
ในอดีตข้าก็เริ่มฝึกตนเมื่อตอนที่อายุไม่น้อยกว่าเจ้า
แต่สิ่งที่ข้าสูญเสียไปจากการตัดกรรมในครั้งนั้นก็คืออารมณ์ทั้งสี่ สุข เศร้า โกรธ
กลัว ”
หลังจากได้ฟังคำพูดของอดีตเจ้าสำนักผู้หนึ่ง
ฉินหลิงก็กำหมัดแน่น หากเขาสูญเสียอารมณ์ไปแล้วในเวลานั้นเขายังจะนับได้ว่าเป็นตัวเขาเองได้อยู่อีกหรือ!
“เมื่อเจ้าคิดจะฝึกตนเพื่อเป็นเซียน
เจ้าจะต้องรับรู้ไว้ก่อนว่าในโลกนี้ไม่เคยมีความยุติธรรมอยู่จริง ในเส้นทางการฝึกตน
หากเจ้าต้องการความแข็งแกร่งเจ้าจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกัน
ในโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ก็มีแต่เพียงกำปั้นของตัวเองเท่านั้นที่ยังคงเชื่อถือได้”
ชายผู้มีใบหน้าเป็นอสูรเอ่ยเตือนออกมาให้ฉินหลิงรับรู้ถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้
ฉินหลิงในร่างโปร่งแสงยืนมองเหล่าผู้อาวุโสด้วยท่าทางที่แตกต่างจากเดิม
“เช่นนั้นข้าขอถามพวกท่านซักอย่างหนึ่งได้รึไม่?”
เหล่าผู้อาวุโสพยักหน้า
เพราะอย่างไรฉินหลิงพึ่งเข้าสู่หนทางการเป็นเซียน
จึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมต้องมีข้อสงสัยบ้าง
เมื่อได้รับคำยืนยันของเหล่าผู้อาวุโส
ฉินหลิงจึงเอ่ยออกมา “ตัวข้าไม่เคยคิดเป็นผู้ฝึกตนแม้แต่น้อย ในชีวิตนี้ข้าคิดหวังเพียงแต่ใช้ชีวิตกับสตรีที่ข้ารักจนวาระสุดท้ายเท่านั้น
แต่ทุกสิ่งมันกับพังทลายลงไปเมื่อมีผู้ฝึกตนมาสังเวยร่างกายของภรรยาข้าเพื่อใช้เป็นแกนกลางอาวุธของมัน
ข้าขอถามพวกท่านว่าข้าสามารถคืนชีพนางได้รึไม่”
ชายในชุดคลุมสีดำขมวดคิ้ว “เจ้าช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับสตรีของเจ้าให้ข้าฟังเพิ่มเติมหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดของอดีตเจ้าสำนักผู้หนึ่ง
ฉินหลิงก็พยักหน้ายืนยัน
ก่อนจะเล่าเรื่องราวความตายของถานอวี้จี้ให้เหล่าผู้อาวุโสฟังเพื่อหวังว่าพวกเขาจะมีหนทางนำสตรีอันเป็นที่รักของเขากลับคืนมา
“เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เหยาหมิงอธิบายคงดีกว่า”
ชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยออกมาพร้อมกับมองไปยังชายรูปหล่อผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่12
“ขอรับท่านอาจารย์” ผู้อาวุโสเจ้าสำนักรุ่นที่12
ยกมือคำนับให้ชายในชุดคลุมดำอย่างมีมารยาท
ทำให้ฉินหลิงรับรู้ได้ว่าเจ้าสำนักรุ่นที่11นั้นเป็นอาจารย์ของเจ้าสำนักรุ่นที่12
บางทีการสืบทอดเจ้าสำนักปีศาจทมิฬก็อาจจะมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่เขาไม่รู้ก็เป็นได้
“เอาละ... จากเรื่องราวของเจ้านั้นทำให้ข้ารู้ว่าชายผู้ที่สังเวยร่างกายของภรรยาเจ้านั้นน่าจะเป็นหนึ่งในพวกพรรคมารที่ชอบใช้อาคมธาตุหยินเป็นหลัก
และภรรยาของเจ้าก็เกิดมาพร้อมกับพลังธาตุหยินที่มากเกินไปจนทำให้พวกมารเหล่านั้นสัมผัสได้
ถึงแม้นางจะตายเพราะถูกสังเวยจนร่างกายถูกทำลายเป็นชิ้นๆแต่หากนางยังมีชีวิตอยู่ต่อโดยที่ไม่ได้เกิดเหตุร้ายใดๆขึ้น
นางก็คงอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น” เจ้าสำนักรุ่นที่12เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ทำไมรึขอรับ!! หากนางไม่ได้ถูกชายชั่วนั้นสังหาร
ข้ามั่นใจว่านางต้องมีอายุยืนยาวอย่างแน่นอน”
ฉินหลิงรับไม่ได้กับคำพูดที่เจ้าสำนักคนก่อนหน้าเขาเอ่ยออกมา
เหยาหมิงหัวเราะออกมา “หึหึ... เจ้าลองนึกดีๆ
หลังจากนางแต่งงานกับเจ้าแล้ว สุขภาพของนางค่อยๆทรุดลงใช่รึไม่”
ฉินหลิงนึกกลับไปยังภาพในอดีตอีกครั้ง
หลังจากเขาได้แต่งงานกับนาง ร่างกายของถานอวี้จี้แย่ลงจริงๆ
แต่เนื่องจากนางบอกเองว่าตัวนางไม่ค่อยได้ออกกำลังดั่งเช่นเมื่อก่อน ร่างกายจึงไม่ได้กระฉับกระเฉงดั่งเช่นในอดีต ในยามที่นางเป็นเพียงหญิงสาวบ้านนอก
และด้วยฐานะที่ฉินหลิงมีในเวลานั้น เขาจึงไม่ได้ให้นางตกระกำลำบากอีก
แต่เขายังจำได้ว่าร่างกายของนางอ่อนแอลงจริงๆ แถมยังมีบางครั้งที่นางไอออกมาพร้อมสีหน้าเจ็บปวดอีกด้วย
หากไม่ได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสแซ่เหยา บางทีเขาคงลืมนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเลย
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินหลิง
เจ้าสำนักรูปหล่อก็เอ่ยออกมา “เจ้าคงนึกขึ้นได้แล้วสินะว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง
นับตั้งแต่อดีตกาลมา
สตรีที่เกิดในวันหยินและเดือนหยินนั้นย่อมไม่มีทางรอดชีวิตได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั้นเป็นกรณีของมนุษย์ทั่วไป
ดังนั้นพ่อตาหรือแม่ยายของเจ้าย่อมต้องเป็นผู้ฝึกตน มิเช่นนั้นแม่หนูคนนั้นย่อมไม่อาจเติบโตจนเป็นฮูหยินน้อยแก่เจ้าได้อย่างแน่นอน”
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเหยาหมิง
ภาพถานฮูหยินก็ปรากฏขึ้นบนภายในหัวอีกครั้ง ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสตรีนางหนึ่งที่เป็นเพียงหญิงบ้านนอกถึงมีท่าทางที่ดูน่าเกรงขามขนาดนั้น
ที่แท้นางต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลของผู้ฝึกเซียนอย่างแน่นอน
“แล้วมีหนทางช่วยภรรยาข้ารึไม่ขอรับ”
ฉินหลิงเอ่ยอย่างคาดหวัง
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ชำนาญนัก ตาแก่รุ่นที่2นู้น เขาน่าจะพอมีหนทางอะไรบ้าง”
เหยาหมิงเบ้ปากทางชายชราในชุดเต๋าผู้มีฉายาว่าเจ้าแดนทำนายสวรรค์
ชายชราในชุดเต๋าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลยทีเดียว เเต่เส้นทางนี้อาจจะยากลำบากยิ่งกว่าปีนป่ายสู่สรวงสวรรค์เสียอีก”
“ข้าต้องทำเช่นไร ได้โปรด! ท่านผู้อาวุโสช่วยแนะนำข้าด้วยเถิด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าจะต้องนำนางกลับมาให้จงได้”
ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับท่าทีร้อนรน
เขาเห็นความหวังแล้ว ความหวังในการช่วยอวี้จี้กลับมา ต่อให้ยากลำบากเพียงใดเขาก็ต้องทำให้ได้
เมื่อเห็นสีหน้าคาดหวังของฉินหลิง
ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่2ก็เอ่ยขึ้น “เอาล่ะ.. เจ้าเด็กน้อย
เจ้าจงใจเย็นลงก่อน หนทางที่จะนำวิญญาณมนุษย์กลับคืนมานั้นมีกำหนกว่าภายใน500ปีหลังจากนางตาย เจ้าจำเป็นจะต้องไปยังโลกหยิน”
“เป็นไปไม่ได้!!”
“เจ้าหนูข้าว่าเจ้าจงตัดใจเสียเถิด”
“500ปี น้อยเกินไป
เจ้าพึ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรเท่านั้น
เวลาเพียงเท่านี้เจ้าย่อมไม่อาจบรรลุถึงขั้นเดินทางไปโลกหยินได้”
เหล่าเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆเอ่ยออกมาเพื่อให้ฉินหลิงตัดใจ
เพราะการที่จะต้องไปโลกหยินนั้นต้องมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา
ดังนั้นเวลาเพียง500ปี
สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนจึงไม่นับว่าเป็นอะไรมากและเป็นไปไม่ได้ที่ฉินหลิงจะบรรลุถึงระดับที่สามารถเข้าออกโลกหยินได้
ฉินหลิงยังคงจ้องมองไปยังชายชราเพราะเขาต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม
ต่อให้มันจะยากลำบากกว่านี้เขาก็จะยอมเสี่ยงทุกหนทาง
“มิใช่ว่าการฝึกตนคือหนทางแห่งการฝืนลิขิตฟ้ารึยังไง
หากใจข้าปรารถนาที่จะไปโลกหยินยังไม่ได้แล้วข้าจะฝึกตนไปทำไมกัน!!!!”
เจ้าสำนักรุ่นที่2เบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะออกมา
“ดี ดีจริงๆ ความบ้าบิ่นเช่นนี้หลังจากอาจารย์ขึ้นไปยังโลกใบใหญ่
ข้าก็ไม่เคยเห็นใครเช่นนี้มาก่อน เช่นนั้นเจ้าก็จงฟังให้ดี”
“ขอรับ”
ฉินหลิงพยักหน้าพร้อมกับเตรียมรับฟังอย่างจริงจัง
ความคิดเห็น