ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #141 : พูดคุยกับเหล่าอดีตเจ้าสำนัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11K
      921
      12 ก.พ. 63

    “จงทำตามใจตน!!!

     

    คำพูดของเหล่าอดีตเจ้าสำนักปีศาจทมิฬทำให้ฉินหลิงรู้สึกสั่นสะท้าน สีหน้าของเเต่ล่ะคนเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ตรงเบื้องหน้าทำให้ฉินหลิงอดรู้สึกนับถือไม่ได้

     

    เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของฉินหลิง เจ้าสำนักรุ่นที่สองก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เอาละ... เรื่องเกี่ยวกับสำนักเราพอไว้ก่อน หากเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่เจ้าย่อมต้องได้ยินเรื่องราววีรกรรมที่พสกเราเคยก่อขึ้นมาบ้างอย่างแน่นอน  แต่สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จงจดจำขึ้นหัวไว้ให้ดี” เอ่ยจบชายชราผู้ถูกเรียกขานว่าเจ้าแดนทำนายสวรรค์ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม กลิ่นอายที่กระจายออกมาลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง

     

    ครั้นเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของผู้อาวุโสตรงหน้า ฉินหลิงก็พยักหน้าตอบรับ

     

    “เจ้าคงรับรู้ได้แล้วสินะว่าจิตวิญญาณของเจ้านั้นแยกออกจากกายหยาบเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว ซึ่งการที่ผู้ฝึกตนจะตัดเเละแยกวิญญาณออกจากกายหยาบได้นั้นจำเป็นต้องมีพลังอย่างน้อยขั้นตัดวิญญาณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะสามารถแยกวิญญาณออกจากร่างได้ก่อนจะมีพลังฝึกตนถึงขั้นตัดวิญญาณ อย่างไรก็ตามสำนักปีศาจทมิฬของเรามีเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันต่อมา นั้นก็คือเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ... วิชาที่เหล่าเจ้าสำนักปีศาจทมิฬทุกรุ่นจะต้องฝึกฝน”

     

    ฉินหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าเขาไปฝึกเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬอะไรนั้นตอนไหน

     

    ชายชราในชุดนักพรตยิ้มออกมาเล็น้อยเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฉินหลิง “เจ้าไม่ต้องสงสัยไปหรอกว่าทำไมเจ้าถึงแยกวิญญาณออกมาจากร่างกายได้  เจ้ายังคงไม่ลืมสินะว่าก่อนหน้านี้ทำไมถึงมีแรงกดดันจนแทบทำให้เจ้าอยากจะตาย... ใช่แล้ว! นั้นแหละคือบททดสอบของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ หากในช่วงเวลานั้นเจ้าขาดความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ แรงกดดันที่ออกจากคัมภีร์ในมือเจ้าจะบดขยี้ร่างกายและดวงวิญญาณจนแหลกสลาย”

     

    หลังจากได้ยินคำพูดของอดีตเจ้าสำนัก ฉินหลิงก็เหลือบไปมองคัมภีร์ไม้ไผ่ในมืออย่างช่วยไม่ได้ ที่แท้แล้วแรงกดดันจนทำให้เขาแทบตายนั้นมาจากเจ้าคัมภีร์บัดซบนี้เอง ความรู้สึกทรมานจนเเทบอยากจะตายทำให้ฉินหลิงขนลุกซู่เเม้ว่าจะไม่มีกายหยาบก็ตาม

     

    ฉินหลิงใช้เวลาสงบใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม  “แล้วข้าจะเริ่มฝึกตนเพื่อเป็นเซียนยังไงขอรับ”

     

    เหล่าอดีตเจ้าสำนักต่างหันมามองฉินหลิงด้วยสีหน้าตกตะลึงกับคำกล่าวเมื่อครู่

     

    “ฮาๆ เจ้าสารเลวนี้พึ่งเข้าสู่หนทางฝึกตนก็ถามหาถึงการเป็นเซียนแล้ว” เจ้าแดนหยินหยางเอ่ยออกมาอย่างขบขัน

     

    “ดี ดี บิดาชอบนักกับคนที่กล้าพูดอะไรบ้าๆเช่นนี้” ชายผู้มีหน้าตาเหมือนอสูรพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เบิกกว้างจนทำให้เห็นถึงเขี้ยวในปากที่ดูน่าหวาดกลัว

     

     “ดูแล้ว เจ้าสำนักคนใหม่ของเราคงได้ก่อความวุ่นวายแก่โลกบำเพ็ญเพียรไม่น้อย” ชายวัยกลางคนผู้ที่สวมเสื้อผ้าหรูหราเอ่ยออกมาพร้อมกับพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี

     

    ฉินหลิงก้มหน้าด้วยความอับอายเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาทำให้เหล่าเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆหัวเราะเยาะ

     

     “พอก่อน!!!” เมื่อเห็นเหล่าเจ้าสำนักพากันพูดคุยออกนอกเรื่อง ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่น2ก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองยังร่างกายของฉินหลิง “ข้าเคยบอกไปแล้วสินะว่าหากจะเริ่มการบำเพ็ญเพียรเป็นผู้ฝึกตนนั้นเจ้าจะต้องตัดกรรมออกไปก่อน...  จงฟังให้ดีๆ กรรมนั้นก็คือผลของการกระทำ เมื่อเจ้ายังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่ เจ้าย่อมต้องใช้ชีวิตโดยมีกรรมเป็นตัวกำหนด ไม่ว่าเจ้าทำอะไรก็จะเกิดกรรมขึ้นกับตัวเจ้า การเดิน การกิน การวิ่ง การพูดจา การเข่นฆ่า หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าแสดงออกนั้นย่อมเป็นกรรม แต่เมื่อเจ้าเริ่มบ่มเพาะพลัง เจ้าจะตัดขาดจากวงจรกรรมเหล่านั้น ต่อแต่นี้เจ้าจะเข้าสู่เวทีแห่งการแย่งชิง การบำเพ็ญเพียรคือวิถีแห่งการฝืนโชคชะตา ชีวิตของเจ้าจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรมอีกต่อไป แต่มันจะขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง นี้แหละที่เรียกว่าการฝึกตน”

     

    ฉินหลิงหลับตาลงเพื่อย่อยข้อมูลที่ได้รับฟังมาจากท่านผู้อาวุโสตรงหน้า

     

    ผ่านไปไม่นาน ดวงตาที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจัง “หากข้าตัดกรรมแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปกับร่างกายของข้ารึไม่”

     

    “เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน” ชายในชุดคลุมสีดำที่มีใบหน้าซีดเซียวราวกับไม่ได้อาบแสงตะวันมาเป็นเวลานานเอ่ยขึ้นเพื่อตอบคำถามของฉินหลิงด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง 


    “ที่จริงการจะเริ่มฝึกตนนั้นควรเริ่มตัดกรรมตั้งแต่อายุน้อยๆ นั้นเป็นเพราะว่ากรรมของเด็กนั้นมีน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก ซึ่งทำให้เหล่าเด็กน้อยที่เข้าสู่หนทางฝึกตนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยเเละเอกลักษณ์ไปมากนัก แต่ก็ใช่ว่าเมื่อเจ้าเป็นแก่ชราแล้วจะไม่มีโอกาสเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน ในอดีตข้าก็เริ่มฝึกตนเมื่อตอนที่อายุไม่น้อยกว่าเจ้า แต่สิ่งที่ข้าสูญเสียไปจากการตัดกรรมในครั้งนั้นก็คืออารมณ์ทั้งสี่ สุข เศร้า โกรธ กลัว ”

     

    หลังจากได้ฟังคำพูดของอดีตเจ้าสำนักผู้หนึ่ง ฉินหลิงก็กำหมัดแน่น หากเขาสูญเสียอารมณ์ไปแล้วในเวลานั้นเขายังจะนับได้ว่าเป็นตัวเขาเองได้อยู่อีกหรือ!

     

    “เมื่อเจ้าคิดจะฝึกตนเพื่อเป็นเซียน เจ้าจะต้องรับรู้ไว้ก่อนว่าในโลกนี้ไม่เคยมีความยุติธรรมอยู่จริง ในเส้นทางการฝึกตน หากเจ้าต้องการความแข็งแกร่งเจ้าจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกัน ในโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ก็มีแต่เพียงกำปั้นของตัวเองเท่านั้นที่ยังคงเชื่อถือได้” ชายผู้มีใบหน้าเป็นอสูรเอ่ยเตือนออกมาให้ฉินหลิงรับรู้ถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้

     

    ฉินหลิงในร่างโปร่งแสงยืนมองเหล่าผู้อาวุโสด้วยท่าทางที่แตกต่างจากเดิม “เช่นนั้นข้าขอถามพวกท่านซักอย่างหนึ่งได้รึไม่?

     

    เหล่าผู้อาวุโสพยักหน้า เพราะอย่างไรฉินหลิงพึ่งเข้าสู่หนทางการเป็นเซียน จึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมต้องมีข้อสงสัยบ้าง

     

    เมื่อได้รับคำยืนยันของเหล่าผู้อาวุโส ฉินหลิงจึงเอ่ยออกมา “ตัวข้าไม่เคยคิดเป็นผู้ฝึกตนแม้แต่น้อย ในชีวิตนี้ข้าคิดหวังเพียงแต่ใช้ชีวิตกับสตรีที่ข้ารักจนวาระสุดท้ายเท่านั้น แต่ทุกสิ่งมันกับพังทลายลงไปเมื่อมีผู้ฝึกตนมาสังเวยร่างกายของภรรยาข้าเพื่อใช้เป็นแกนกลางอาวุธของมัน ข้าขอถามพวกท่านว่าข้าสามารถคืนชีพนางได้รึไม่”

     

    ชายในชุดคลุมสีดำขมวดคิ้ว “เจ้าช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับสตรีของเจ้าให้ข้าฟังเพิ่มเติมหน่อย”

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของอดีตเจ้าสำนักผู้หนึ่ง ฉินหลิงก็พยักหน้ายืนยัน ก่อนจะเล่าเรื่องราวความตายของถานอวี้จี้ให้เหล่าผู้อาวุโสฟังเพื่อหวังว่าพวกเขาจะมีหนทางนำสตรีอันเป็นที่รักของเขากลับคืนมา

     

    “เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เหยาหมิงอธิบายคงดีกว่า” ชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยออกมาพร้อมกับมองไปยังชายรูปหล่อผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่12

     

    “ขอรับท่านอาจารย์” ผู้อาวุโสเจ้าสำนักรุ่นที่12 ยกมือคำนับให้ชายในชุดคลุมดำอย่างมีมารยาท ทำให้ฉินหลิงรับรู้ได้ว่าเจ้าสำนักรุ่นที่11นั้นเป็นอาจารย์ของเจ้าสำนักรุ่นที่12 บางทีการสืบทอดเจ้าสำนักปีศาจทมิฬก็อาจจะมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่เขาไม่รู้ก็เป็นได้

     

    “เอาละ... จากเรื่องราวของเจ้านั้นทำให้ข้ารู้ว่าชายผู้ที่สังเวยร่างกายของภรรยาเจ้านั้นน่าจะเป็นหนึ่งในพวกพรรคมารที่ชอบใช้อาคมธาตุหยินเป็นหลัก และภรรยาของเจ้าก็เกิดมาพร้อมกับพลังธาตุหยินที่มากเกินไปจนทำให้พวกมารเหล่านั้นสัมผัสได้ ถึงแม้นางจะตายเพราะถูกสังเวยจนร่างกายถูกทำลายเป็นชิ้นๆแต่หากนางยังมีชีวิตอยู่ต่อโดยที่ไม่ได้เกิดเหตุร้ายใดๆขึ้น นางก็คงอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น” เจ้าสำนักรุ่นที่12เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

     

    “ทำไมรึขอรับ!! หากนางไม่ได้ถูกชายชั่วนั้นสังหาร ข้ามั่นใจว่านางต้องมีอายุยืนยาวอย่างแน่นอน” ฉินหลิงรับไม่ได้กับคำพูดที่เจ้าสำนักคนก่อนหน้าเขาเอ่ยออกมา

     

    เหยาหมิงหัวเราะออกมา “หึหึ... เจ้าลองนึกดีๆ หลังจากนางแต่งงานกับเจ้าแล้ว สุขภาพของนางค่อยๆทรุดลงใช่รึไม่”

     

    ฉินหลิงนึกกลับไปยังภาพในอดีตอีกครั้ง หลังจากเขาได้แต่งงานกับนาง ร่างกายของถานอวี้จี้แย่ลงจริงๆ แต่เนื่องจากนางบอกเองว่าตัวนางไม่ค่อยได้ออกกำลังดั่งเช่นเมื่อก่อน ร่างกายจึงไม่ได้กระฉับกระเฉงดั่งเช่นในอดีต ในยามที่นางเป็นเพียงหญิงสาวบ้านนอก และด้วยฐานะที่ฉินหลิงมีในเวลานั้น เขาจึงไม่ได้ให้นางตกระกำลำบากอีก แต่เขายังจำได้ว่าร่างกายของนางอ่อนแอลงจริงๆ แถมยังมีบางครั้งที่นางไอออกมาพร้อมสีหน้าเจ็บปวดอีกด้วย หากไม่ได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสแซ่เหยา บางทีเขาคงลืมนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเลย

     

    เมื่อเห็นสีหน้าของฉินหลิง เจ้าสำนักรูปหล่อก็เอ่ยออกมา “เจ้าคงนึกขึ้นได้แล้วสินะว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง นับตั้งแต่อดีตกาลมา สตรีที่เกิดในวันหยินและเดือนหยินนั้นย่อมไม่มีทางรอดชีวิตได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั้นเป็นกรณีของมนุษย์ทั่วไป ดังนั้นพ่อตาหรือแม่ยายของเจ้าย่อมต้องเป็นผู้ฝึกตน มิเช่นนั้นแม่หนูคนนั้นย่อมไม่อาจเติบโตจนเป็นฮูหยินน้อยแก่เจ้าได้อย่างแน่นอน”

     

    หลังจากได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเหยาหมิง ภาพถานฮูหยินก็ปรากฏขึ้นบนภายในหัวอีกครั้ง ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสตรีนางหนึ่งที่เป็นเพียงหญิงบ้านนอกถึงมีท่าทางที่ดูน่าเกรงขามขนาดนั้น ที่แท้นางต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลของผู้ฝึกเซียนอย่างแน่นอน

     

    “แล้วมีหนทางช่วยภรรยาข้ารึไม่ขอรับ” ฉินหลิงเอ่ยอย่างคาดหวัง

     

    “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ชำนาญนัก ตาแก่รุ่นที่2นู้น เขาน่าจะพอมีหนทางอะไรบ้าง” เหยาหมิงเบ้ปากทางชายชราในชุดเต๋าผู้มีฉายาว่าเจ้าแดนทำนายสวรรค์

     

    ชายชราในชุดเต๋าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลยทีเดียว เเต่เส้นทางนี้อาจจะยากลำบากยิ่งกว่าปีนป่ายสู่สรวงสวรรค์เสียอีก”

     

    “ข้าต้องทำเช่นไร ได้โปรด! ท่านผู้อาวุโสช่วยแนะนำข้าด้วยเถิด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตข้าจะต้องนำนางกลับมาให้จงได้” ฉินหลิงเอ่ยออกมาพร้อมกับท่าทีร้อนรน  เขาเห็นความหวังแล้ว ความหวังในการช่วยอวี้จี้กลับมา ต่อให้ยากลำบากเพียงใดเขาก็ต้องทำให้ได้

     

    เมื่อเห็นสีหน้าคาดหวังของฉินหลิง ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักรุ่นที่2ก็เอ่ยขึ้น “เอาล่ะ.. เจ้าเด็กน้อย เจ้าจงใจเย็นลงก่อน หนทางที่จะนำวิญญาณมนุษย์กลับคืนมานั้นมีกำหนกว่าภายใน500ปีหลังจากนางตาย เจ้าจำเป็นจะต้องไปยังโลกหยิน”

     

    “เป็นไปไม่ได้!!

     

    “เจ้าหนูข้าว่าเจ้าจงตัดใจเสียเถิด”

     

    “500ปี น้อยเกินไป เจ้าพึ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรเท่านั้น เวลาเพียงเท่านี้เจ้าย่อมไม่อาจบรรลุถึงขั้นเดินทางไปโลกหยินได้”

     

    เหล่าเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆเอ่ยออกมาเพื่อให้ฉินหลิงตัดใจ เพราะการที่จะต้องไปโลกหยินนั้นต้องมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นเวลาเพียง500ปี สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนจึงไม่นับว่าเป็นอะไรมากและเป็นไปไม่ได้ที่ฉินหลิงจะบรรลุถึงระดับที่สามารถเข้าออกโลกหยินได้

     

    ฉินหลิงยังคงจ้องมองไปยังชายชราเพราะเขาต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม ต่อให้มันจะยากลำบากกว่านี้เขาก็จะยอมเสี่ยงทุกหนทาง “มิใช่ว่าการฝึกตนคือหนทางแห่งการฝืนลิขิตฟ้ารึยังไง หากใจข้าปรารถนาที่จะไปโลกหยินยังไม่ได้แล้วข้าจะฝึกตนไปทำไมกัน!!!!

     

     

    เจ้าสำนักรุ่นที่2เบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะออกมา “ดี ดีจริงๆ ความบ้าบิ่นเช่นนี้หลังจากอาจารย์ขึ้นไปยังโลกใบใหญ่ ข้าก็ไม่เคยเห็นใครเช่นนี้มาก่อน เช่นนั้นเจ้าก็จงฟังให้ดี”

     

    “ขอรับ” ฉินหลิงพยักหน้าพร้อมกับเตรียมรับฟังอย่างจริงจัง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×