หนึ่งใจสองดวง ( twine heart ) - นิยาย หนึ่งใจสองดวง ( twine heart ) : Dek-D.com - Writer
×

    หนึ่งใจสองดวง ( twine heart )

    เรื่องราวความรัก ของหนึ่งหนุ่ม สองสาว ที่อีกคนคือรักแท้ที่เกิดขึ้นในต่างแดน แต่อีกคนคือเพื่อนรักที่แสนดีที่เขาต้องมาแต่งงานด้วยเพราะความจำเป็น เรื่องราวความรักของเขาและเธอทั้งสามคนจะเป็นเช่นไร...

    ผู้เข้าชมรวม

    412

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    412

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  0 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:57 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ตอนที่ 1

                ริกะกำลังเก็บข้าวของเสื้อผ้าด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว  และเป็นกังวล  เธอฉวยโอกาสตอนที่  พงศธรไม่อยู่หนีออกจากคอนโด  เพราะทนความเจ้าชู้และการกดขี่ข่มเหงไม่ไหว  ทั้งยังหลอกเอาเงินและทรัพย์สมบัติของริกะไปหมด  ในเวลาเพียง  3  เดือนที่เธออยู่กับเขา แต่เธอไม่รู้จะไปที่ไหน  อีกทั้งยังมีเงินติดตัวแค่สองพันกว่าบาท  ริกะคิดเพียงว่าอยากกลับญี่ปุ่น  แต่คงเป็นไปไม่ได้  ญาติบ้านพ่อที่มีก็คงไม่ต้อนรับ  ริกะจึงตัดสินใจไปหาชิน  แต่เธอคงลืมไปว่าเคยทำให้เขาเจ็บช้ำ  และตอนนี้ชินก็แต่งงานกับรสสุคนแล้ว 

    เมื่อรู้ตัวอีกทีรถแท็กซี่ก็พาเธอมาถึงหน้าร้านอุ่นเรือน  ซึ่งเป็นร้านขายเบอร์เกอรี่ที่กำลังมีลูกค้าอยู่สองสามคน  ร้านนี้ตั้งชื่อร้านตามชื่อผู้เป็นเจ้าของร้าน  คุณอุ่นเรือนเป็นมารดาของชินณมัย  หรือชิน  ที่ซึ่งเคยเป็นแฟนกับริกะ  คุณอุ่นเรือนเป็นคนใจดี  และมีเหตุผล  ทั้งยังทำขนมและอาหารเก่ง  จึงได้เปิดขายเบอร์เกอรี่เพื่อเลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง  หลังจากสามีได้จากไปในขณะปฏิบัติหน้าที่รับราชการตำรวจ  ตั้งแต่ลูกๆ ยังเรียนอยู่มัธยมต้น

                    "ถึงแล้วครับ  ใช่ที่นี่รึเปล่าครับ"  คนขับแท็กซี่ถามทวนอีกที  เพราะผู้โดยสารที่นั่งรถมาท่าทางไม่สนใจ  ว่าเขาขับรถมาถึงจุดหมายแล้ว  ริกะหันไปมองร้านอุ่นเรือนด้วยท่าทางและแววตาที่ลังเล  ก่อนจะพูดกับคนขับแท็กซี่

    "เท่าไหร่คะ"  ริกะถามคนขับแท็กซี่

    "หนึ่งร้อยยี่สิบ ครับ"  คนขับแท็กซี่ตอบ  แล้วเธอก็ยื่นเงินให้กับเขา  และลงจากรถมายืนอยู่หน้าร้านด้วยสีหน้าที่เม่อลอย  ริกะยืนเม่อลอยคิดอะไรบางอย่างอยู่นาน  จนน้ำหวานเห็นเข้าจึงร้องเรียกริกะ  ด้วยท่าทางแปลกใจ

    น้ำหวานเป็นคนงานในร้านอุ่นเรือนอายุราวยี่สิบกว่ายังเป็นโสดอยู่  และทำงานอยู่ที่นี่มาแล้วหลายปี  เป็นคนนิสัยดี  ชั่งพูด  และชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น  แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร  ซึ่งก็ชอบพอริกะมากกว่ารสสุคนด้วย  แต่ก็เคืองริกะอยู่ไม่น้อยที่ทิ้งลูกชายที่แสนดีของเจ้านายเธอไป

    "เอ๊ะ....คุณริกะนี่...คุณริกะคะ"  น้ำหวานร้องเรียกริกะ  แต่ริกะทำท่าจะเดินหนี  จึงวิ่งเข้าไปหา  และชวนให้เข้าไปในร้าน

    "คุณริกะ  มาทำอะไรแถวนี้คะ  เอ๊ะ!...แล้วทำไมมีกระเป๋าเดินทางด้วย  จะไปไหนคะ  หรือว่าจะมาลาคุณอุ่นกับคุณชิน งั้นเข้ามาในร้านก่อนสิคะ"  พอพูดจบน้ำหวานก็คว้ามือริกะพาเข้าไปในร้าน  ริกะทำหน้างงๆ ไม่ได้ตอบอะไรสักคำกับคำถามที่ยืดยาวของน้ำหวาน

    "คุณอุ่น กันคุณชิน ก็อยู่นะคะ  แต่ว่าตอนนี้อยู่ข้างใน"  ริกะถึงกับชะงัก  หยุดเดินตามน้ำหวาน  เมื่อได้ยินคำพูดนี้ด้วยที่สีหน้าที่ลังเลไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อรึถอยหลังดี  ทำให้น้ำหวานต้องถามด้วยความแปลกใจ

    "อ้าวคุณริกะเป็นอะไรไปค่ะ  อยู่ดีๆ ก็หยุดเดิน  มีอะไรรึเปล่า"

    "เปล่า"

    "อืม  งั้นก็เข้าไปในร้านเถอะคะ" 

    พอดีกับช่วงนั้นไม่มีลูกค้าจึงทำให้น้ำหวานต้อนรับริกะได้อย่างสะดวก

    "คุณริกะ  นั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ  เดี๋ยวน้ำหวานจะไปตามคุณอุ่น  กับคุณชินมาพบ  อ้อ...ฝากดูหน้าร้านด้วยนะคะ"  น้ำหวานพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  ปนตลกแล้วเดินจากไป

    "ค่ะ"  ริกะพูดพร้อมกับพยักหน้ารับคำ 

    ริกะมองดูรอบๆ  ร้านที่ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยคุ้นเคย   และนึกถึงภาพในอดีตที่เธอเคยช่วยน้ำหวานขายขนม  ช่วยคุณอุ่นทำขนม  และโต๊ะประจำที่เธอและชินนั่งทานขนมและคุยกันเมื่อเธอมาหาเขา  ด้วยใบหน้าอมยิ้มอย่างมีความสุข  แต่แล้วจู่น้ำตาก็ไหลปริ่มออกมาอาบสองพวงแก้มขาวใส  จากใบหน้าที่ซีดเซียวกลับกลายเป็นสีแดง  เพราะในตอนนี้ในใจของริกะนั้นสับสนละคนกัน  ทั้งปราบปลื้มใจที่ได้นึกถึงภาพในอดีต  และความละอายใจที่มี  ที่เธอเคยได้ทำไว้ต่อครอบครัวนี้

                    ขณะที่อุ่นเรือนกำลังทำขนมเค้ก อยู่กับผู้ช่วยอีกคนหนึ่งชื่อ นิ่ม  น้ำหวานก็เข้ามาในห้องทำขนมด้วยสีหน้าตื่นเต้น

                "คุณอุ่น  ป้านิ่ม  รู้ไหมคะว่าใครมา"

                    "จะบ้ารึไงใครจะไปรู้  ก็แกอยู่หน้าร้านไม่ใช่รึ  แล้วมาถามอะไรกับคนอยู่ในครัว" ป้านิ่มสวนกับคำถามของน้ำหวาน

                    "นั่นสิ  ใครมาก็รีบบอกมาสิ  ปล่อยให้เขารออยู่นานได้ไง  มัวมาเล่นอยู่นั่นแหละ  แนะ...ยังยืนทำหน้าเหลิกลักอยู่อีก รีบบอกมาสิ"  อุ่นเรือนพูดเสริมขึ้น  พร้อมกับเอ็ดน้ำหวานไปด้วยที่ชอบทำอะไรทีเล่นทีจริง

                    "โฮว....เป็นชุดเลยนะ  ทั้งคุณอุ่นและป้านิ่มเลย  คุณริกะมาจ้า"  น้ำหวานตอบด้วยสีหน้าและท่าทางกระเง้ากระงอด  ขณะที่ทั้งอุ่นเรือนและนิ่มต่างอึ้งไปกับคำตอบของน้ำหวานว่าใครมาหา  และรู้เหมือนหูอื้อได้ยินไม่ถนัดว่าคนที่มาชื่ออะไร

                    "แกว่าใครมานะ  นังน้ำหวานเมื่อกี้"  ป้านิ่มผู้ซึ่งเป็นป้าแท้ๆ  ถามทวนคำตอบของหลานสาวอีกครั้งเพราะไม่ใคร่แน่ใจในคำตอบที่ได้ยินมานัก

                    "คุณ-ริ-กะ"  น้ำหวานตอบด้วยเสียงเน้นๆ และชัดเจนอีกครั้ง

                    ทั้งอุ่นเรือนและนิ่มต่างอึ้งไปตามกัน พร้อมกับหันหน้ามาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย 

                    "มาทำไม"  อุ่นเรือนปรารภกับตนเอง  อย่าไม่ใคร่ต้องการคำตอบนัก  ด้วยสีหน้าเป็นกังวลและสงสัย

                    "นั่นสิค่ะ  ยังจะกล้ามาที่นี่อีก  ไม่มีความละอายแก่ใจเลยรึไงนะ"  ป้านิ่มพูดสมทบ

                    "อันนี้น้ำหวานก็ไม่รู้เหมือนกันนะ  ว่าคุณริกะเธอมาทำไม  แต่เห็นเธอเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย  คงจะกลับญี่ปุ่นละมั่ง  แล้วก็เลยจะมาลาคุณอุ่น  กับคุณชิน"

                    "จะบ้าหรอแกเขาจะมาลาทำไม  ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้วนี่"  ป้านิ่มเปรยขึ้นอย่างตัดพ้อ

                    "นิ่ม"  อุ่นเรือนทำเสียงเอ็ดนิ่ม  พร้อมกับทำตาดุใส่  แล้วก็บอกให้น้ำหวานหาน้ำไปให้แขก  และตนเองก็ออกไปพบแขกที่มาเยือน  ซึ่งกำลังรออยู่หน้าร้าน

                    อุ่นเรือนเดินออกมาพบริกะที่นั่งรออยู่  ทั้งสบตากันเมื่อแรกเจอด้วยสีหน้า  แววตาเป็นกังวลและแคลงใจ

                    "คุณ...เออ  สวัสดีค่ะ"  ริกะลุกขึ้นยืนไหว้ทำความเคารพเจ้าของบ้าน  แต่เอไม่รู้ว่าจะเรียกคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ว่าอย่างไรดี  เพราะคำที่เคยเรียกติดปากว่า  "คุณแม่"  ตอนนี้คงไม่ได้อีกแล้ว

                    "สวัสดีจ้ะ  มีธุระอะไรหรอ  ถึงได้มาถึงที่นี่"  อุ่นเรือนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  เหมือนคนคุ้นเคยกันพร้อมทั้งสังเกตเห็นว่า ริกะตาแดงๆ  และมีคราบน้ำตา

                    "เออ..."  ริกะไม่รู้ว่าจะตอบเหตุผลแก่อุ่นเรือนว่าอย่างไร  ว่าเธอมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ  พอดีกับที่น้ำหวานยกมาให้

                    "นี่น้ำหวาน ตาชินยังอยู่ไหม"

                "อยู่ค่ะ  วันนี้วันเสาร์คงไม่ไปไหนมั่งค่ะ  คุณรสก็ไม่อยู่ด้วย"  น้ำหวานตอบ  แกมออกความคิดเห็นด้วย  ซึ่งตรงคำว่าคุณรสนี่แหละที่ทำให้ริกะรู้สึกเสียดแทงหัวใจ และยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้นที่เธอมาที่นี่ในวันนี้

                "งั้นก็ช่วยไปตามชิน ลงมาพบริกะทีนะ  บอกว่าริกะมาหา"  อุ่นเรือนบอกให้น้ำหวานช่วยไปตามชินณมัย

                    "ค่ะ" น้ำหวานรับคำสั่งแล้วก็ไปตามชินณมัย

                แล้วอุ่นเรือนก็หันมาพูดกับริกะต่อด้วยอาการตามปกติ  เหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น  แม้ในใจจะว้าวุ้นอยู่ก็ตามที  ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะประสบการณ์ชีวิต  และความเป็นคนมีเหตุมีผลของเธอด้วย

                    "มีอะไรรึเปล่า  ทำไมถึงได้ทำหน้าเศร้าขนาดนั้น  แล้วนี่จะหอบข้าวของไปไหน  รึว่าจะไปเยี่ยมบ้านเกิด"       ริกะมองสิ่งที่อุ่นเรือนพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยเหมือนเดิม

                    "ตอนแรกก็...คิดอย่างนั้นค่ะ  แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว"  พอพูดจบแล้วริกะก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

                    "เอ้า...นี่เป็นอะไร  เกิดอะไรขึ้น  อย่าเอาแต่ทำหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดสิ  หรือว่ายังเศร้าเรื่องพ่ออยู่  ฉันเสียใจด้วยนะเรื่องพ่อของเธอ"  อุ่นเรือนแสดงออกถึงความห่วงใยและเห็นใจริกะ  เพราะรู้ว่าเธอพึ่งเสียบิดาไป  ตามที่ชินณมัยเคยเล่าให้ฟังไว้  โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นผิดเข้าใจ 

    แต่นั่นก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องอยู่บ้าง  ถ้าพ่อของริกะยังอยู่ก็คงไม่มีใครทำร้ายเธอได้  และคนที่จะให้ความช่วยเหลือเธอได้ดีที่สุด  ก็คือ  คุณนราเทพผู้เป็นบิดา  แต่นั้นมันก็เหลือแค่ความทรงจำในอดีตเท่านั้นเพราะพ่อของเธอได้จากไปแล้วด้วยโรคมะเร็งตับ  เพราะตั้งแต่พ่อของริกะกลับมาอยู่เมืองไทยก็มีแต่เรื่องกลุ้มใจ  ด้วยเพราะครอบครัวของพ่อเธอต่างไม่ยอมรับเธอและพ่อแม่  และเหตุผลที่พ่อของเธอต้องกลับมาอยู่เมืองไทยก็เพราะคุณย่าของริกะไม่สบายและต้องการอยากพบพ่อของเธอและหลานสาว  แล้วไม่นานท่านก็จากไปด้วยอาการสงบ  แล้วก็ได้ยกมรดกส่วนหนึ่งให้กับพ่อของริกะมากพอสมควรยิ่งทำให้ญาติพี่น้องคนอื่นๆ  ไม่พอใจยิ่งนักที่พ่อของเธอได้รับมรดก 

    เพราะครั้งหนึ่งปู่ของเธอได้ตัดพ่อของเธอออกจากกองมรดกแล้วเมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่  และพ่อของเธอเองก็เลือกที่จะไม่รับสิ่งใดๆ  และพร้อมที่จะตัดขาดจากตระกูลวิวัฒน์วงศ์นี้  เพื่อเลือกความรักแล้วไปใช้ชีวิตอยู่กับแม่ของเธอ  ที่ชื่อว่า  มาโอริ  หญิงสาวสวยต่างชาติที่มีเพียงการศึกษาแต่ไร้ซึ้งชาติตระกูลและทรัพย์สิน  ต่างกับตระกูลของพ่อเธอที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีมีธุรกิจมากมาย  ขนาดเวลาที่ปู่ของเธอเสียชีวิตลงพ่อของเธอก็ไม่กล้ามาร่วมงานศพ  ได้แต่แอบไปไหว้หลุมศพตอนที่ไม่มีใครเห็นเท่านั้น  และคนที่ส่งข่าวเรื่องเราต่างๆ ให้รู้ก็คือคุณย่าของเธอเอง  เพราะผู้เป็นแม่ต่อให้ลูกเลวร้ายยังไง ก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูก  ตัดกันไม่ขาดอยู่แล้ว  แต่ปู่ของเธอสิ  จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตก็ยังไม่ยอมอภัยให้กับพ่อของเธอ  ร่วมถึงญาติพี่น้องคนอื่นๆ ด้วย  ด้วยเหตุนี้เมื่อคุณปู่ของริกะสิ้นลงคนที่ทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดก็ตกมาอยู่ที่คุณย่าของเธอ  ท่านจึงได้เปลี่ยนแปลงพินัยกรรมใหม่  เพราะด้วยความรักลูกจึงได้ให้พ่อของเธอมีส่วนร่วมในทรัพย์สมบัติด้วย  และที่สำคัญคืออยากให้พ่อของเธอกลับมาอยู่ที่เมืองไปอีกครั้ง  ครอบครัวของ    ริกะจึงได้กลับมาอยู่ที่นี่ในบ้านหลังใหญ่นี้อีกครั้ง  แต่แล้วความร้าวฉานก็ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธออีก เมื่อแม่ของ   ริกะทนกับการดูถูกข่มเหง  ของคนในตระกูลพ่อเธอไม่ได้  แม้แต่คุณย่าของเธอเองก็เข้าร่วมด้วย  ถึงแม้ท่านจะให้อภัยพ่อและเอ็นดูเธอก็ตาม  แต่ท่านก็ยังเกลียดชังแม่ของเธออยู่  ทั้งที่แม่ของริกะมาอยู่เมืองไทยมาได้ไม่ถึงปี  แม่ของเธอขอให้เธอและพ่อกลับไปอยู่ญี่ปุ่น  แต่พ่อของริกะไม่ยอมไปเพราะเห็นแก่คุณย่า  แม่ของริกะจึงขอตัดขาดกับพ่อของเธอและขอให้ริกะเลือกว่าจะอยู่กับใคร  ซึ่งริกะก็เลือกพ่อของเธอ  เพราะเธอรู้สึกเห็นใจพ่อ  ทั้งที่ท่าน ยอมทำ ยอมทน  ยอมละทิ้งทุกอย่างได้เพื่อคนที่ตนรัก  แต่แม่ของเธอกลับไม่เห็นคุณค่า  ไม่ยอมอดทนเพื่อพ่อของเธอเลย 

    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อาการป่วยของพ่อเธอรุนแรงหนักขึ้นทุกวัน  โดยที่ริกะกับแม่ไม่รู้มาก่อนเลย  แล้วพ่อของเธอก็ต้องทุกข์ใจยิ่งขึ้น  เมื่อคุณย่าของเธอสิ้น  และการบีบคั้นเรื่องต่างๆ  ของญาติพี่น้องหลังจากที่คุณย่าเสียไปแล้ว  ก่อนที่พ่อเธอจะเสียชีวิตเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็ได้ข่าวว่าแม่ของเธอแต่งงานใหม่  ยิ่งนำความเจ็บช้ำใจมาสู่เธอและพ่อเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งเธอเองก็คิดว่าการที่พ่อของเธอจากไปเร็วเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะเรื่องแม่ของเธอแน่นอน  ท่านคงตรอมใจมากจึงทำให้อาการทรุดหนักเร็วยิ่งขึ้น  และก็คงเป็นเพราะเรื่องของเธอด้วยที่ต้องเลิกกับชิน  แล้วไปแต่งงานกับพงศธรด้วย  ทั้งนี้ถ้าแม่ของริกะยังไม่แต่งงานใหม่เธอก็คงจะขอความช่วยเหลือจากแม่ของเธอแล้ว  คงไม่ต้องบากหน้ามาหาชินณมัยเพื่อขอความช่วยเหลือ

    ด้านน้ำหวานที่ขึ้นไปตามชินณมัยที่ห้อง  พอมาถึงน้ำหวานเคาะประตูเรียกชินณมัยอยู่  สองสามครั้งเขาก็มาเปิดประตูให้เธอ

    "มีอะไรหรอพี่น้ำหวาน"  ชินณมัยถามน้ำหวานด้วยอาการงัวเงีย  เพราะพึ่งตื่นนอน

    "คุณริกะ  มาหาคะ"  น้ำหวานตอบด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน  ทำให้ชินณมัยถึงกับอึ้งในคำตอบ  และหายจากอาการง่วงนอนทันที  แล้วก็อุทานชื่อของริกะออกมา

    "ริกะ!"

    "ค่ะ   คุณริกะ  คุณริกะมาที่นี่  เอากระเป๋าเดินทางมาด้วยนะคะ  เหมือนจะไปไหนก็ไม่รู้  พี่น้ำหวานถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ  อืม..แล้วตอนนี้ก็กำลังคุยอยู่กับคุณอุ่นคะ  มีสีหน้าเศร้าๆ ด้วยนะไม่รู้ว่าเป็นอะไร"  น้ำหวานสาทะยายออกความเห็นไปเรื่อย  โดยหารู้ไม่ว่าคนที่เธอกำลังคุยด้วยไม่ค่อยสนใจฟังสิ่งที่เธอฟังนัก

    ชินณมัยยืนอึ้งด้วยสำหน้างุนงงอยู่พักหนึ่ง  แล้วก็ทำท่าจะปิดประตูกลับเข้าห้องเหมือนเดิม  ทำให้น้ำหวานรู้สึกแปลกใจและรั้งประตูเอาไว้

    "อ้าว!  คุณชินไม่ลงไปพบคุณริกะหรอคะ"

    "เดี๋ยวลงไป" พูดจบแล้วชินณมัยก็ปิดประตูทันที น้ำหวานได้แต่ยืนอ้าปากค้างเพราะพูดไม่ทัน และงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น  แล้วกลับลงมาข้างล่าง

    ริกะเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมพูดอะไรกับอุ่นเรือนอีกเลย  อุ่นเรือนเองก็ทำตัวไม่ถูก  ไม่รู้ว่าจะชักไซ้ไล่เลียงยังไง  พอดีกับมีลูกค้ามาซื้อขนม  อุ่นเรือนจึงได้หันไปให้ความสนใจลูกค้ามากกว่าริกะ  พร้อมกับบ่นพึมพรำว่าทำไม  น้ำหวานไปตามชินณมัยตั้งนานแล้วยังไม่ลงมาสักที

    ส่วนริกะอาการร้องไห้เริ่มสงบลง  และเธอก็คิดตามคำพูดของอุ่นเรือนที่บ่นพึมพรำ  เธอจึงคิดไปเองว่าชินณมัยคงไม่อยากลงมาพบเธอเป็นแน่  เพราะเขาคงจะโกรธและเกลียดเธอมาก  และคงยังทำใจไม่ได้ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกับ   รสสุคนไปแล้วก็ตาม  ริกะจึงตัดสินใจที่จะไปจากที่นี่  เธอหิ้วกระเป๋าเดินทางออกไปจากร้านอุ่นเรือน  โดยไม่ได้บอกกล่าวเจ้าของร้านก่อนเลย  ด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยและหมดหวัง  ประกอบกับตอนนั้นอุ่นเรือนเองก็ไม่ได้สนใจเธอ  เพราะกำลังง่วนอยู่กับการขายขนมให้ลูกค้าพออุ่นเรือนรู้ตัวอีกทีริกะก็หายไปแล้ว

    "อ้าว...หายไปไหนแล้ว  เลยยังไม่รู้กัน...ว่าเป็นไงมาไง" อุ่นเรือนพูดจบแล้วก็ทอนหายใจกับตัวเองอย่างแรง

    ริกะไม่ได้หายไปไหนไกล  หลังจากที่เธอเดินออกมาจากร้านก็หันรีหันขวางอยู่แถวนั้นพักหนึ่ง  เพราะไม่รู้จุดหมายว่าตนจะไปที่ไหนดี  ในหัวสับสนไปหมด  ริกะหันไปเห็นม้านั่งที่ตั้งอยู่ตามทางเท้าข้างถนนเธอจึงเดินไปนั่งพักที่นั่นก่อนเผื่อจะคิดอะไรดีๆ  ออกมาบ้าง  ริกะเอากระเป๋าสตางค์ออกมาดูเงินที่มีแค่ประมาณสองพันกว่าบาท  คงไม่พอค่าที่พักและค่าอยู่ค่ากินแน่นอน  ถึงจะหางานก็ไม่รู้จะได้ไหม  และด้วยความที่ริกะเองเกิดมาก็ไม่เคยลำบากลำบน  มีชีวิตที่สุขสบายเยี่ยงคุณหนูมาโดยตลอด  จึงทำให้เธอรู้สึกสับสนในชีวิตยิ่งนัก 

                    น้ำหวานกลับลงมาถึงข้างล่าง

                    "อ้อ...  ลงมาแล้วหรอ หายไปซะนานเลยนะ  แล้วตาชินล่ะ"  อุ่นเรือนถามน้ำหวานด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนักกับการหายไปนานของเธอ

                    "บอกว่าเดี๋ยวลงมาค่ะ"  พูดจบน้ำหวานก็มองไปรอบๆ  ไม่เห็นริกะ

                    "คุณริกะ  หายไปไหนแล้วล่ะคะคุณอุ่น"

                    "ไม่รู้สิ  เมื่อกี้ฉันกำลังยุ่งๆ  อยู่กับลูกค้าเลยไม่ทันสังเกต  หันมาหาอีกทีก็หายไปแล้ว  คงกลับไปแล้วมั้ง"  แต่ภายในใจของอุ่นเรือน  ยังลังเลและเป็นห่วงริกะอยู่  จึงบอกให้น้ำหวานตามไปดูเพราะคิดว่าคงยังไปไหนได้ไม่ไกล  แล้วน้ำหวานก็พบริกะนั่งอยู่ที่ม้านั่งห่างจากร้านไปไม่ไกลนัก  ด้วยอาการเศร้าหมอง  น้ำหวานเข้าไปตามแต่ริกะก็ไม่ยอมกลับเข้ามาในร้านอีก  แม้กระทั่งอุ่นเรือนเองแต่ริกะก็ยังปฏิเสธยืนยันคำเดิม

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น