คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : chapter 1
เด็กน้อยผู้หนึ่งชมชอบเล่นลูกแก้วยิ่งนัก ตามตัวมันมักคลุกอยู่กับฝุ่นดิน มันมีอายุประมาณ 14 ปี สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงหากแต่สกปรกไปทั้งร่างกาย ลูกแก้วที่มันชมชอบมีหลากหลายสี ยิ่งกว่านั้นดวงตาของมันก็คล้ายดั่งลูกแก้วทั้งกลมโตและสุกใส ...หากแต่เลื่อนลอย
ใน 14 ปีที่ผ่านมามันมิได้ปริปากพูดสักครึ่งคำ มีสติปัญญาอ่อนด้อยกว่าผู้คนทั่วไป หากแต่มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผิวกายแม้จะสกปรกแต่ขาวใส ดุจดังหยกหิมะ ตากลมโตสีอ่อนออกน้ำตาล ปากเล็กแดงจิ้มลิ้ม จมูกน้อยโด่งน่ารัก ผู้เลี้ยงดูมาคือแม่นม ...บิดาผู้สูงส่ง หาได้สนใจไม่
บิดาของมันนั้นมียศเป็นถึงอ๋องเป็นพระญาติใกล้ชิด ทั้งยังมีความสามารถมากทั้งบุ๋นและบู้ องค์ฮ่องเต้ยังต้องเกรงพระทัย ทั้งเกรงทั้งกลัว ยอมยกมณฑลใหญ่ทางภาคใต้ให้ปกครองทั้งหมด ดำรงตำแหน่งเป็นถึงอ๋องทักษิณ นาม "เจ้าเจ๋งฟ่ง"
เจ้าเจ๋งฟ่งนั้นมีนิสัยเหี้ยมโหด หากแต่สุขุมเยือกเย็น ชมชอบฆ่าคนวางเพลิง มักรุกรานเผ่าอื่นและกวาดต้อนมาเป็นเชลยโดยเฉพาะสตรี
มารดาของเด็กน้อยผู้นี้ก็เช่นกัน นางแต่เดิมมีสามีอยู่แล้ว เมื่อสามีถูกฆ่าตาย จึงถูกจับมาเป็นเชลยแต่เนื่องด้วยมีโฉมสะคราญยิ่งนัก มักพบจุดจบในวังเช่นเดียวกับโฉมสะคราญนางอื่น
หากปฏิบัติถูกใจไม่แน่ว่าได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายา แต่นางมักขัดขืน
เมื่อข่มขืนจนสมใจจนเริ่มเบื่อหน่ายแล้ว เจ้าเจ๋งฟ่งจึงคิดการละเล่นขึ้นมาประการหนึ่ง มันให้นางเปลือยกายทั้งตัวและวิ่งซ่อนหากับทหารนับสิบคน ผู้ใดจับนางได้จะได้ครอบครองนาง เป็นการละเล่นที่โหดร้ายยิ่งกว่านรก ผู้คิดนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน หากแต่นางไม่ยอมตายด้วยว่าในครรภ์ของนางนั้นได้มีลูกน้อยบังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อการละเล่นจบลงนางจึงได้บอกให้สัตว์ร้ายนั้นทราบ
พยัคฆ์ร้ายไม่กินลูกฉันใด อ๋องทักษิณก็มิอาจหักใจฆ่าลูกในไส้ทิ้งฉันนั้น แต่นี่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นลูกของผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นสามีของนาง ท่านอ๋องหรือบรรดาทหารเหล่านั้น มีแต่นางเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
เด็กที่เกิดออกมามีหน้าตาน่ารักยิ่ง หากแต่เด็กน้อยมิยอมร้อง นางคิดจะพาลูกน้อยหนีแต่ก็มิอาจสามารถ อาจจะเพราะชะตากรรมทำให้นางตกเลือดจนตาย ผู้เป็นคนเลี้ยงเด็กคือนางกำนัลของนางและนำไปบอกแม่นม
แม่นมเดิมทีเพราะเกรงกลัวบรรดาพระชายาจึงไม่กล้ารับเลี้ยงในทันที แต่เนื่องด้วยเด็กน้อยนั้นน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งจึงรู้สึกรักดั่งลูกของตน และบรรดาอ๋องน้อยลูกของพระชายาทั้งหมดก็เริ่มพ้นวัยทารกแล้วสามารถให้ผู้ อื่นดูแลได้ จึงมักปลีกตัวมาดูแลเด็กน้อยบ่อยครั้ง จนในที่สุดเด็กลายมาเป็นคนเลี้ยงเด็กน้อยแต่เพียงผู้เดียว
ท่านอ๋องนั้นแต่เดิมพอไว้ชีวิตนางแล้ว ก็มิได้ยุ่งเกี่ยวสนใจนางอีกเพราะนางตั้งครรภ์จนในที่สุดก็หลงลืมไป จวบจนเด็กน้อยมีอายุ 8 เดือน จึงล่วงรู้ เด็กน้อยไร้ชื่อแต่แม่นมมักชมชอบเรียกว่า อิงยี้(อิงน้อย) เพราะมารดาของมันแซ่อิง ท่านอ๋องมิได้สนใจอันใดตั้งชื่อส่งๆไปว่า "น่ำหลิง" จึงกลายเป็น "อิงน่ำหลิง" เนื่องจากผิดปกติจึงไม่แน่ว่าจะให้ใช้แซ่เจ้า
เวลาผ่านไปเรื่อยจนในที่สุดมันมีอายุถึง 14 ปีแล้ว
ทุกวันอิงน่ำหลิงมักชมชอบเล่นลูกแก้วบนพื้นดินบริเวณ "ตำหนัก" ของมารดาที่ตายไป กลางคืนแม่นมจะมาอาศัยอยู่ที่นี่แต่ตอนเช้ามืดถึงเย็นจะต้องไปดูแลบรรดาพี่ๆ ของมัน แต่ก่อนออกไปจะตระเตรียมข้าวเช้าและน้ำอาบให้พร้อมเพรียง กลางวันจะให้นางกำนัลมาส่งข้าว ส่วนข้าวเย็นนางจะมาเตรียมเอง รวมทั้งอาบน้ำและป้อนข้าว
อิงน่ำหลิงนั้นตอนเด็กๆก็มิสามารถเรียนรู้และเข้าใจอันใด แต่อาบน้ำและกินอาหารยังพอมีปัญญาอยู่บ้าง ทั้งวันมักเล่นลูกแก้วอยู่ตามระเบียง หรือ พื้นดินแถวๆนั้นเพียงผู้เดียว เพราะหากออกไปนอกขอบรั้วมันก็พอจะระลึกได้ว่ามักจะโดนพี่ๆของมันรังแกจนบาด เจ็บ ทำให้ไม่กล้าออกไปเด็ดขาด ในโลกของมันมีเพียงแม่นมและบรรดานางกำนัลทีแวะเวียนกันมาส่งอาหาร บรรดานางกำนัลนั้นชมชอบเล่นกับมันมากอยู่เพราะอิงน่ำหลิงเป็นบุรุษหน้าตา หล่อเหลาคมคายน่ารักน่าเอ็นดู ชมชอบมานั่งมองมันมิรู้จักเบื่อหน่าย แม้วัยเพียง 14 แต่มีเค้าเจริญเติบโตเป็นบุรุษรูปงามไม่ผิดเพี้ยน มารดาของมันก็นับเป็นโฉมสะคราญ และหากดูที่ท่านอ๋องเองก็นับเป็นชาติพันธุ์อันดีงาม
อ๋องทักษิณนั้นปีนี้ 37 ปีแล้ว หากแต่ยังดุจดังบุรุษวัยฉกรรจ์ รูปร่างสูงใหญ่ ช่วงไหล่แผ่กว้างหนาล่ำสัน ดวงตายาวรีดุจเหยี่ยว จมูกโด่งคม ริมฝีปากเป็นสันสมชายมีท่าทางดุจพยัคฆ์ สัดส่วนเหมาะแก่การฝึกปรือวรยุทธ์จนนับเป็นอัจฉริยะของแผ่นดิน มันแต่เดิมเป็นเชื้อพระวงศ์กรุ้มกริ่ม หากแต่มีสัดส่วนอันประเสริฐจึงได้กราบอาจารย์ที่เป็นปรมาจารย์แห่งยุค จนมีวรยุทธ์เก่งกาจาอดตกทั่วแผ่นดินน่ากลัวจะไม่มีผู้ใดเทียมเท่า แต่มีนิสัยเสียประการหนึ่งคือมักมีความเบื่อหน่ายง่าย จึงกลับมาใช้ชีวิตในวัง ฮ่องเต้เกรงกลัวจนยกให้เป็นอ๋องทักษิณ
อิงน่ำหลิงมิเคยพบบิดาของมันตั้งแต่จำความได้ ซึ่งไม่แน่บิดาของมันก็ได้ลืมมันแล้วเช่นกัน บุตรชายทุกคนของเจ้าเจ๋งฟ่งมีความทะเยอทะยานสูงมักชิงดีชิงเด่นกัน และไม่มีบุตรตรีแม้แต่ผู้เดียว แม้แต่อิงน่ำหลิงเองที่ถูกลืมยังเป็นบุรุษ คนโตสุด 17 ปี อ่อนสุดคือน่ำหลิง 14 ปี
ทุกวันบุตรทุกคนจะต้องเรียนหนังสือ และฝึกวิชาบู๊ แม่นมเคยพยายามผลักไสให้น่ำหลิงไปเรียน ด้วยสติปัญญาของมันยังนับว่ามิคู่ควร มิต้องนึกถึงการฝึกวิชาบู๊เลย แต่มันมีข้อดีคือชมชอบดูรูปวาดในหนังสือแม้จะมิสามารถอ่านได้ แม่นมชราจึงบางทีพามันไปไว้ในห้องหนังสือเก่าของท่านอ๋อง ซึ่งถูกทิ้งร้าง นับว่าประสบความสำเร็จใช้ได้ เพราะมันขลุกอยู่ในตึกหลังนั้นเป็นวันๆ โดยมิยอมกลับตำหนักของมันเลย จนระยะหลังถึงกลับขโมยกุญแจเปิดเข้าไปเอง ทำให้สารรูปในตอนนี้สะอาดผุดผ่องขึ้นบ้างจนพอจะยกเป็น 'อ๋องน้อย'ได้
วิกาลเคลื่อนคล้อย อาทิตย์ฉายแสง อิงน่ำหลิงพลันลืมตาตื่นก่อนแม่นม มันเปลี่ยนชุดและล้างหน้าแล้วจึงเอากุญแจจากเอวของแม่นม เพื่อไปยังห้องหนังสือ ชุดขาวของมันรับกับผิวขาวเผือกยิ่งดูน่ารักน่าเอ็นดูราวกับองค์ชายน้อย ซึ่งไม่แน่มันก็เป็นอยู่แล้ว
อิงน่ำหลิงเดินตัดสวนดอกไม้ตามความเคยชิน เพราะต้องเดินให้เร็วพี่ๆของมันจึงจะไม่เห็นและไม่โดนรังแก
ห้องหนังสือนั้นความจริงเป็นเรือนทั้งหลัง มีหนังสือมากมายตั้งแต่ตำราพิชัยสงครามยันนิยายประโลมโลก แน่นอนมีวิชาบู๊อยู่ไม่น้อย แทบครบทุกค่ายสำนักในแผ่นดิน นี่คือหนังสือโปรดของมันเพราะมีรูปมากที่สุด
อิงน่ำหลิงฉงนเล็กน้อยเพราะกลอนไม่ได้คล้องไว้ แต่ก็มิได้สนใจ มันสืบเท้าเข้าไปอย่างร่าเริงหากแต่ต้องตกใจสุดขีด ภายในโถงกลางนั้นยืนไว้ด้วยบุรุษผู้หนึ่งสวมชุดยาวสีดำสนิท แม้ว่ามันมิรู้เรื่องความอันใด แต่ก็พอจะจำแนกออกตามสัญชาติญาณว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดีไม่ควรเข้าใกล้ และกลัว
อิงน่ำหลิงหันกายหมายจะวิ่งหนี บุรุษผู้นั้นมีแววประหลาดใจเล็กน้อย มันพลิกกายตามหลังและคว้าจับข้อมือของอิงน่ำหลิงอย่างง่ายดาย
"อะ…อา .." อิงน่ำหลิงครางด้วยความเจ็บปวด มันพูดไม่ได้และไม่รู้จักคำพูด จึงมักเปล่งเสียงเฉยๆ
"เจ้าผู้ใด?เข้ามาได้อย่างไร?" บุรุษผู้นั้นสงสัยยิ่งนัก มันแต่เดิมทีเพราะตามหาหนังสือเก่าจึงมาค้นหาที่นี่ มิคาดคิดว่าจะพบกับทารกที่มีหน้าตาหมดจดสวยงาม จำแนกชายหญิงมิออก ถึงกับไม่รู้ว่าเป็นบุตรของตน
"ฮือๆๆ"อิงน่ำหลิงหวาดกลัวจับใจถึงกับร้องไห้ออกมา มันใช้แรงทั้งหมดดึงตัวออกจากท่านอ๋อง แต่ราวกับคีมเหล็กคีบไม่กระดิกแม้แต่น้อย
"เจ้าเป็นผู้ใด?" ท่านอ๋องหงุดหงิดจนตวาดออกมา ยิ่งทำให้อิงน่ำหลิงร้องดังขึ้น ในตอนนั้นเองที่แม่นมวิ่งเข้ามา
"ขออภัยเพคะ!!" นางรีบวิ่งมาปลอบอิงน่ำหลิงให้เงียบเสียงลง ท่านอ๋องขมวดคิ้วก่อนถามว่า
"เด็กนี้เป็นผู้ใด?" น้ำเสียงแสดงความสนใจพอควร แม่นมรีบกุลีกุจอตอบไปว่า
"เป็นลูกของสนมอิงที่ตายไปเมื่อ 14 ปีก่อน นามอิงน่ำหลิงเพคะ"
"อ๋อ..นางเอง" จ้างเจ๋งฟ่งรับคำไม่กล่าวอะไร พิจารณาสารรูปของอิงน่ำหลิงมิใคร่แน่ใจว่าใช่ลูกของตนเท่าใด หากแต่อิงน่ำหลิงมีความน่าดูอยู่หลายส่วน ใบหน้าแม้เปื้อนคราบน้ำตา ยังคงน่ารัก มีดวงตาโต ปากอิ่มแดง แก้มยุ้ยเต็มดวงหน้ากลม ผิวขาวกระจ่างผุดผ่อง ผมนิ่มสลวยสีอ่อนและยังยาวกว่าบุรุษทั่วไปมากคล้ายดั่งสตรี หนำซ้ำยังมีฟันกระต่ายหนึ่งคู่ที่น่าเอ็นดูยิ่งนัก นับว่าน่ารักกว่าลูกชายคนอื่นๆมากจนคล้ายสตรี จ้าวเจ๋งฟ๋งนึกแคลงใจจนต้องถามต่อ
"เป็นบุรุษรึ?"
"เพคะ ปีนี้อายุ 14 พอดี" แม่นมตอบแย้มยิ้มราวกับเป็นบุตรตัวก็ไม่ปาน
"พูดไม่ได้รึ?" จ้าวเจ๋งฟ่งคะเนได้แต่แรกเพราะดูอิงน่ำหลิงผิดจากปกติมากอยู่
"เพคะ นายน้อยมีสติปัญญาอ่อนกว่าปกติเล็กน้อย" แม่นมปกติเรียงหาเป็นอิงยี้เปลี่ยนเป็นนายน้อยเพราะรู้สึกไม่บังควรเกินไป เจ้าเจ๋งฟ่งพิศดูอิงน่ำหลิงชัดๆอีกครั้ง ก่อนมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก
"ต่อไปนี้ เจ้าจงพาเด็กน้อยนี้ไปอยู่ที่ ตำหนักเรา"
"อะไรนะเพคะ!!"แม่นมแคะหูราวกำลังฟังเรื่องเหลือเชื่อ
"ข้าจะเลี้ยงมันเป็นบุตรีของข้า เจ้าจงจัดเตรียมเสื้อผ้าสตรีให้มันใหม่ทั้งหมด" กล่าวจบก็หันกายจากไปทิ้งความตระหนกและตื่นเต้นสงสัยแก่แม่นม อิงน่ำหลิงยังคงหลบอยู่หลังแม่นม อย่างสั่นกลัว หากแต่ใบหน้ากลับมีรอยขบคิด ไม่เข้าใจผุดขึ้นชั่วประเดี๋ยว ก่อนกลับเป็นล่องลอยตามเดิม
*************************************
บรรดาองค์ชายทั้งหลายต่างพากันไล่จับ แมลงปอผีเสื้อด้วยความคึกคะนองตามประสาทารกใหญ่
อิงน่ำหลิงนั้นเดิมทีก็เคยลองไล่จับผีเสื้อมาบ้าง แต่มิเคยจับได้ ได้แต้ค่อยๆไล่ตามบ้าง เดินตามบ้าง จนหลงทางไปที่ใดตนก็ไม่ทราบ และหาทางกลับไม่ได้เป็นที่เดือดร้อนแก่บรรดานางกำนัลและแม่นมยิ่งนัก
หากแต่วันนี้ตำหนักของตนคนเดินเข้าออกเยอะนัก และโดนห้ามออกไปเล่นอันใด ต้องอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าแต่หัววัน ดีว่าเป็นน้ำลอยดอกไม้นานาเป็นที่เพลิดเพลินแก่มัน จนมิยอมขึ้น ต้องหลอกล่อกันอยู่นานจึงเลิกเล่น
“อา…อาา” อิงน่ำหลิงไขว่ค้ามือจะเอาตุ๊กตาไม้ที่โดนดึงออกจากมือ
“ไม่ได้อิงยี้ จะแต่งตัวแล้ว” แม่นมอดสังหรณ์ใจไม่ได้ รู้สึกเป็นเรื่องพิกลอยู่ที่ต้องแต่งตัวบุรุษเป็นสตรี
เอี๊ยมแดงเล็กปักหงคู่ถูกใส่ให้อิงน่ำหลิง บรรดานางกำนัลต่างหัวเราะคิกคักเพราะอดรู้สึกแปลกพิกลไม่ได้
แต่กระนั้นส่วนใหญ่มาจากความน่ารักของอิงน่ำหลิงที่คอยจะรั้งออกเรื่อยๆ
แต่ในที่สุดก็สามารถจะใส่ชุดขาวตัวนอกได้จนเสร็จสมบูรณ์ เป็นชุดขาวดุจเทพธิดา
ผมยาวถูกเกล้าอย่างงดงาม ถักเปียเล็กๆหลายสายดูน่ารักสม วัยติดไว้ด้วยไข่มุกเล็กๆและรัดเกล้าด้วยมุกที่ท่านอ๋องให้คนนำมาให้
ปากแดงแต้มชาดเล็กน้อยพองาม ดุจดังองค์หญิงโฉมสะคราญดังว่า ทุกผู้ต่างเหม่อมองจนละสายตาไป
ระหว่างทางแม่นมต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรวบมือทั้งสองของอิงน่ำหลิงมิให้รื้อทำลายผมเผ้าและเสื้อผ้า
ตำหนักที่ท่านอ๋องอาศัยอยู่นั้น ภายนอกมีทหารวางยามเข้มแข็ง แต่ภายในกลับมิมีสักผู้เดียว นางกำนัลยังหายากยิ่ง
มิเคยปล่อยให้ชายาองค์ใดเข้าไป เนื่องจากชมชอบการไล่ล่าจึงมีหนังสือล่าสัตว์วางอยู่ทั่วไป
โถงกลางตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
อิงน่ำหลิงกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก มันอยาดวิ่งหนีออกไป หากแต่แม่นมดึงตัวเอาไว้
แล้วในที่สุดจ้าวเจ๋งฟ่งก็เดินเข้ามา ทำให้อิงน่ำหลิงเบี่ยงตัวหลบหลังแม่นม
“เจ้ากลับไปได้ แล้วนับแต่วันนี้ ให้เข้ามาดูแลลูกข้าแต่ในยามเช้าเท่านั้น”
“เพคะ” แม่นมมีท่าทีอึดอัดด้วยรู้สึกสงสัยมึนงง แต่จ้าวเจ๋งฟ่งถึงกับโบกมือไล่ จึงต้องออกไปอย่างจำใจ
“อา…อาา” อิงน่ำหลิงไม่ยอมปล่อยมือจากแม่นม และใกล้จะร้องไห้เต็มที ขอบตาแดงระเรื่อ จ้าวเจ๋งฟ่งจึงชี้จุดให้มันนั่งไว้ และอุ้มกลับเข้าไปข้างใน
ระหว่างทางที่อุ้มรู้สึกบุตรชายมีน้ำหนักเบายิ่ง และยังมีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ โชยกระทบนาสิก ทำให้ปั่นป่วนในจิตใจ ปากแดงอวบอิ่มใคร่จุมพิตสักที หากแต่ก็รีบสงบใจ
ร่างกายอ่อนนุ่มของอิงน่ำหลิงอยู่ในอ้อมกอดรู้สึกเป็นที่เร้าใจกว่าสตรีนางใดที่เคยผ่านมาหากแต่เจ๋งฟ่งไม่ใคร่คิดออกว่าจะทำเช่นใด
ใช่ว่าจะมิเคยได้ยินเรื่องราวพรรค์นี้มา หากแต่จุดประสงค์นั้นมิใช่เพื่อการนี้ และยังเป็นบุตรชายของตนเองอีกด้วย
จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นคือต้องการหาบุคคลที่ไว้ใจได้สักผู้หนึ่งเพื่อทำหน้าที่เพิ่มไฟอุ่นน้ำ
มันฝึกวิชาลับสายหนึ่ง ในตอนเลยยามสามไปจะต้องเข้าห้องบำเพ็ญตบะภายในห้องจะต้องมีหม้อน้ำต้มยาที่ต้องร้อนเท่ากันตลอด
และนับเป็นเวลาคับขันหวาดเสียวยิ่งเพราะสามารถจะตายจากอาการธาตุไฟเข้าแทรก ผู้ที่มาทำหน้าที่อุ่นน้ำนี้จะต้องเป็นบุคคลที่ไว้ใจได้เพราะหากฉวยโอกาสซ้ำเติมตอนบำเพ็ญตบะนั้นมีแต่ตายสถานเดียว
แค่อุ่นไฟต้มน้ำเจ้าเด็กโง่นี่ไม่แน่ว่าจะทำไม่ได้ จ้าวเจ๋งฟ่งวางบุตรชายลงบนเตียง
แต่จนแล้วจนรอดก็อดเชยชมมิได้ จึงหอมแก้มยุ้ยไปหนึ่งฟอดก่อนคลายจุดให้
อิงน่ำหลิงกระโดดแผลวไปที่มุมเตียงทีนทีที่เป็นอิสระ ชุดกรุยกรายที่มันใส่อยู่ถูกรื้อออกทันที
เหลือเพียงชุดข้างในเห็นเอี๊ยมแดงตัดกับผิวขาวน่ารักน่าเอ็นดู
จ้าวเจ๋งฟ่งเกิดความปรารถนาขึ้นมิรู้ตัว แต่ไม่ทราบหักห้ามใจไปท่าใด
มันในเวลานี้มิสามารถประกอบกามกิจกับสตรีเพศเพราะมิให้ธาตุอินอันเป็นธาตุ เย็นมาทำให้เสียความร้อน แต่ข้อห้ามมิได้รวมถึงบุรุษ แต่ยังคงอย่าได้ลองประเสริฐกว่า
อดอยากเป็นเวลา 9 เดือนแล้ว ผมดำสนิทเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองแสดงถึงผลที่ใกล้สำเร็จ มิอาจให้เด็กโง่นี้มาทำให้เสียหาย
จึงรีบจับแต่งชุดเข้าไปตามเดิม น่ำหลิงดิ้นเต็มแรง สภาพของจ้าเจ๋งฟ่งในตอนนี้นัยว่าถูกก่อกวนจนแทบคลั่งใจตายแล้ว ทุลักทุเลจนดูอุจาดตาในที่สุดมันก็ยอมแพ้บุตร น่ำหลิงรื้อผมเผ้าจนยุ่งเหยิงเหลือแต่เปียเล็กๆไว้ เพราะไม่สามารถปลดไข่มุกออกได้ ส่วนชุดนี้ถอดออกหมดจนเปลี่ยนส่วนบนเดินไปเดินมาท่าทีงุ่นง่าน
ตามหาลูกแก้วมาเล่น ไปพบไข่มุกราตรี 14 เม็ด บนโต๊ะในห้องอักษรของเจ๋งฟ่งจึงนำมาเล่นแทนลูกแก้ว
เจ๋งฟ่งมิได้ว่าอันใดยังคงนั่งดูบุตรชายเล่นลูกแก้วด้วยท่าทีไร้เดียงสา
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกดความเอ็นดูขึ้น รู้สึกว่าบุตรชายน่ารักถนอมยิ่งกว่าอันใดก็ไม่ปาน
ลองตรวจสอบชีพจรของน่ำหลิงพบว่าแตกซ่านยุ่งเหยิงเช่นคนบ้าทั่วไป นั่นไม่น่าติดใจอันใดเพราะควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
หากแต่มีชีพจรอีกสายหนึ่งที่ดูประหลาดพิกลซึ่งมิเคยพบมาก่อน อ่อนหยุ่นและราบเรียบ หากแต่ทรงพลังยิ่งนัก กระนั้นก็มิได้ใส่ใจอันใด
****************************************************
ขบวนคุ้มภัยยิ่งใหญ่เคลื่อนตัวอย่างรีบเร่ง และรวดเร็ว ของที่นำมาถือเป็นสมบัติแห่งแผ่นดิน มิได้มีเพียงเหล่าราชองครักษ์แต่ยังประกอบไปด้วยสำนักคุ้มภัยยิ่งใหญ่หลาย สำนักเข้าร่วม บรรยากาศเคร่งขรึมและระมัดระวังยิ่ง
สิ่งที่นำมาคือพืชชนิดหนึ่งครบหนึ่งร้อยปีจะออกดอก และอีกสองร้อยปีจึงจะออกผล ผลของมันนั้นสะสมไอชีวิตเป็นเวลาสามร้อยปีมีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ดอกจะไร้ซึ่งกลิ่นหอมเช่นดอกไม้ทั่วไปรอจนดอกร่วงโรยและออกผล เมื่อผลสุกจึงจะมีกลิ่นหอมหวานรุนแรงราวกับอยู่ในดินแดนสวรรค์ ผลนั้นจะสุกอยู่เพียงหนึ่งชั่วยามก่อนจะเหือดแห้งเฉาตายไปทั้งต้นและผล
ฮ่องเต้ทรงต้องการผลไม้นี้เป็นอย่างยิ่งถึงกับพลิกแผ่นดินหา ในที่สุดก็พบบริเวณชายแดนภาคใต้
ผู้นำขบวนคืออ๋องทักษิณ เจ้าเจ๋งฟ่ง เหตุที่ขบวนเคลื่อนไปอย่างรีบเร่งยิ่งเป็นเพราะเหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่า นั้นจะได้เวลาที่ผลไม้ชนิดนี้จะสุก ผู้คนมากมายล้วนหมายปองรวมทั้งเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ การอารักขาจึงเข้มงวดยิ่ง และเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนโดยมิหยุดพัก
“เรียนท่านอ๋องทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ข้าน้อยเกรงว่า…ก่อนถึงผาขาดเราควรหยุดพัก รอจนฟ้าแจ้งแล้วจึงเดินทางต่อไป”
เจ้าเจ๋งฟ่งแต่งกายด้วยชุดแพรต่วนเนื้อดีสีดำสนิท ผมสีซีดจางจนออกทองถูกเกล้าผิดจากปกติที่ไม่ใคร่ใส่ใจ สวมรัดเกล้าทองประดับทับทิมสีแดงสด ยกน้ำชาขึ้นจิบก่อนกล่าว
“ถ้าหยุดพักเกรงว่าจะเดินทางมิทันการ จงเดินทางต่อไป”
“แต่…ท่านอ๋องหุบผาขาดเป็นทางแคบกว้างเพียงม้าผ่านได้หนึ่งตัว ง่ายต่อการซุ่มโจมตี”
“ไม่มีแต่อันใด เจ้าจงถ่ายทอดคำสั่งออกไปว่าเราจะเดินทางต่อไป”น้ำเสียงทรงอำนาจแฝงเค้าความ หงุดหงิดรำคาญใจ เพียงพอที่จะทำให้ราชองครักษ์ลนลานออกไป
“เดี๋ยว”
“พะยะค่ะ!!!”
“ไปเรียก น่ำหลิงมาหาข้า”
“พะยะค่ะ”
********************************************
อิงน่ำหลิงในยามนี้มีอายุสิบห้าปีแล้ว เรือนร่างเล็กบางกำลังยืดตัว เรียวขายาวดูแข็งแรง มือเล็กกลายเป็นยาวเรียว หากแต่ใบหน้าไร้เดียงสากลับจัดขึ้นแฝงเค้าความงามยากหาผู้ใดเทียบ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสล้อมด้วยแพขนตายาว จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากอิ่มสีส้มจางอวบอิ่ม ดวงหน้ากลมยาวขึ้นจนเป็นรูปไข่ แต่แก้มยุ้ยแฝงลักยิ้มน่ารักยังคงเดิม ร่างบางสวมใส่ชุดแพรขาวสะอาดตา เกล้าผมนิ่มสลวยสีน้ำตาลด้วยไข่มุกและมงกุฎหยกขาว ถักปล่อยเป็นเปียเส้นเล็กๆ
เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วอิงน่ำหลิงถูกเลี้ยงเป็นบุตรีคนเล็ก ซึ่งเคยชินกับการถูกเยี่ยงองค์หญิงในที่สุด ร่างบางมิได้ขัดขืนการแต่งกายอย่างวิจิตรงดงามเช่นสตรีเนื่องจากในที่สุดก็ บังเกิดความเคยชิน รวมทั้งการออกสังคมในวัง หากแต่มิยอมเอ่ยปากพูดแม้ครึ่งคำ มีเพียงคำเดียวที่มักพูดคือ…
“ฟ่ง……”เสียงเรียกจากบุตรทำให้อ๋องทักษิณหันมามอง
“มาหาบิดามา”ร่างสูงยิ้มพลางกวักมือเรียก
อิงน่ำหลิงโผเข้าหาผู้เป็นบิดา ร่างบางขึ้นนั่งตักด้วยความเคยชิน นับแต่หนึ่งปีก่อนอิงน่ำหลิงก็อยู่กับเจ๋งฟ่งมาตลอดมิเคยห่างกันแม้วันเดียว จนแม้กระทั่งการเดินทางเข้าวังหลวงในครั้งนี้ยังติดตามมาด้วย
ร่างสูงลูบหัวบุตรก่อนจุมพิตแก้มนิ่ม ไม่ทราบด้วยเหตุอันใดนับแต่ทราบว่าตนเองมีบุตรคนเล็กอีกคนหนึ่ง กลับทั้งรักและเอ็นดูจนคล้ายลุ่มหลง ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม อีกทั้งมิยอมให้ห่าง ราวกับสมบัติล้ำค่า นับวันมีแต่จะงดงามขึ้นงามผุดผาดผ่องใสยิ่งกว่าแก้วอัญมณีใดๆ ปานแก้วตาดวงใจ รวบเอวเล็กเข้าชิดก่อนหยอกล้อ
“อิงยี้ บิดารักเจ้าแทบตายแล้ว วันนี้เจ้าจงช่วยงานบิดาหนึ่งอย่าง” ร่างสูงกล่าวพลางหยิบกล่องไม้ไม่ใหญ่ไม่เล็กขึ้นมาหนึ่งใบ หน้าตาธรรมดายิ่ง
อิงน่ำหลิงคล้ายฟังเข้าใจจึงพยักหน้าแต่ก็มิได้ใส่ใจอันใดเล่นลูกแก้วต่อ
เจ๋งฟ่งล้วงไปในอกเสื้อบุตรชายก่อนผูกกล่องไม้นั้นติดตัวอิงน่ำหลิง
“นี่เป็นของของบิดาให้เจ้าช่วยรักษาเอาไว้ หากมิใช่บิดาและตัวเจ้าเองห้ามให้ผู้ใด เจ้าเข้าใจหรือไม่”
อิงน่ำหลิงมีท่าทีรำคาญจึงพยักหน้าไปส่งส่ง มิสามารถทราบได้เลยว่ากล่องไม้นั้นมีความสำคัญใหญ่หลวง แท้จริงแล้วพืชที่คุ้มกันมานี้เป็นเพียงหญ้าชนิดหนึ่งมีขนาดเพียงกำมือ หีบที่เหล่าทหารคุ้มกันอยู่ล้วนเป็นของปลอม
“เรียนท่านอ๋องเข้าสู่บริเวณผาขาดแล้วพะยะค่ะ เชิญเสด็จประทับม้าพะยะค่ะ” ที่ราชองครักษ์จูงมาคือ อาชาพ่วงพีกำยำสีดำสนิทราวกับรัตติกาล
ภายนอกเกี๊ยวได้มาหยุดที่ริมผา ทางตัดผ่านกว้างเพียงม้าหนึ่งตัวผ่าน ซ้ายขวาล้วนเป็นหุบเขาลึกสุดหยั่ง ตรงกลางระยะเก้าเชียะเป็นทางขาดแขวนไว้ด้วยสะพานไม้สายหนึ่ง
ผู้ถือหีบต้นไม้ล้วนหามหน้าหนึ่งคนหลังหนึ่งคน เป็นบุคคลระดับยอดฝีมือในยุทธภพ เจ้าของสำนักคุ้มภัยยิ่งใหญ่
ร่างสูงอุ้มบุตรชายขึ้นอาชา ก่อนพลิกกายขึ้นตาม แท้จริงแล้วยังคงเป็นร่างสูงเป็นผู้มีฝีมือสูงสุด
ทหารนำแผ่นไม้ไปวางฟาดเพื่อให้ม้าผ่านก่อนขบวนเริ่มข้ามเขา…
**********************************
“ช้าก่อน!!!” น้ำเสียงกังวาลของอ๋องทักษิณดังขึ้นสร้างความแตกตื่นแก่เหล่าทหาร
“แป๊ะเสี่ยวกุ๊ย มานี่”เจ้าเจ๋งฟ่งกล่าวเรียบพลางเล่นผมบุตรชาย
“พะย่ะค่ะ” ผู้ออกมาคือราชองครักษ์ที่มีท่าทีฉงนสงสัยยิ่งนัก
มือใหญ่เล่นปิดตากับบุตรชายก่อนหันมามองหน้าแป๊ะเสี่ยวกุ๊ย ฉับพลันก่อนผู้ใดคาดเสียงดัง’ควับ’
ร่างของแป๊ะเสี่ยวกุ๊ยพลันศีรษะหายไป โลหิตสาดกระจายรวบกับน้ำพุ ร่างสูงควบอาชาหันไปอีกทางป้องกัน
โลหิตกระเซ็นถูกบุตรชายมือใหญ่ยังคงปิดตาบุตรน้อยอยู่อย่างมั่นคงมิปรารถนาให้เห็นภาพ สยดสยอง
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว รออีกชั่วยามจึงเดินทาง จงจัดการเก็บกวาดศพมันให้อย่าเหลือแม้แต่เสือดสักหยดเดียว” คำกล่าวของอ๋องทักษิณล้วนสร้างความงงงันยิ่งกว่าการฆ่าคน ด้วยทุกคนทราบว่าเหลือเวลาเพียงไม่ มาก กระนั้นก็หามีผู้ใดกล้าขัดขืนไม่ เหล่าทหารเลวล้วนรีบตั้งกระโจม
รอจนเข้าในที่พักแล้วใบหน้าเคร่งครึมพลันเปลี่ยนเป็นสีคราม บุคคลธรรมดาย่อมไม่มีประกายสีคราม ฉันใด ผู้มีประกายครามขึ้นที่ใบหน้าย่อมมิปรกติฉันนั้น ย่อมเป็นยาพิษร้ายแรงที่สุดจึงจะมีสีคราม
เจ้าเจ๋งฟ่ง พลันกระอักเลือดออกมากองใหญ่สีดำสนิท สร้างความตระหนักแก่อิงน่ำหลิงยิ่งนัก
“อา อาา…ฟ่ง” ใบหน้างามมีเค้ากังวลใจยิ่งนัก ดวงตากลมปริ่มด้วยน้ำตา
“อิงยี้…บิดามิเป็นไรดอก รอเพียงชั่วยามก็จะดีขึ้นเอง เจ้าจงไปนั่งรอบิดาตรงนั้น”มือใหญ่ลูบแก้มนิ่ม เช็ดหยาดน้ำตาก่อนค่อยๆ ทรุดกายเดินลมปรานขับพิษ ควันสีครามสดลอยขึ้นอ้อยอิ่งจากกลางกระหม่อม
ย่อมเป็นพิษประกายครามอันร้ายกาจ พิษชนิดนี้มีเพียงไร้สี แต่ยังไร้กลิ่น เป็นของเหลวใส วิธีแพร่
พิษมีเพียงรับประทาน ย่อมเป็นน้ำชาที่แป๊ะเสี่ยวกุ๊ยเป็นผู้ยกมา หากแต่…
**************************************************************
“อั่กกกกกกกกก…” เสียงอันโหยหวนดังสะท้านทั่วหุบเหว
เจ้าเจ๋งฟ่งกลั้นใจรักษาสีหน้าราบเรียบเดินออกไปด้านนอก หากเป็นบุลคลชนชั้นธรรมดาย่อมตกตาย
ภายในครึ่งชั่วยาม หากแต่อ๋องทักษิณมิใช่บุคคลชนชั้นประดานั้น แต่มีกำลังภายในกล้าแข็งยิ่ง
ราวกับแดนมิคสัญญี ภายนอกที่สงบราบเรียบล้วนเกลื่อนด้วยซากศพ มีเพียงผู้อาวุโสคุ้มครองหีบ
เพียง 4 คนที่ยังมีชีวิตหากแต่ก็มิสามารถแม้แต่เปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ
เหงื่อเยียบเย็นผุดผาดทั่วฝ่ามือ กระนั้นใบหน้าสง่างามยังคงเรียบเฉยยิ่ง วิเคราะห์ด้วยความสุขุม
ศัตรูย่อมคาดได้ว่าตนโดนยาพิษ ศัตรูอยู่ในที่มืดตนอยู่ในที่แจ้ง พยายามก่อกวนจุดประสงค์ที่แท้จริงยังไม่ กระจ่าง เพราะหากต้องการของย่อมสามารถนำหีบไปได้ทุกเมื่อ
“สมเป็นอ๋องทักษิณเจ้าเจ๋งฟ่ง ถึงขนาดนี้ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยได้” ผู้มาสวมใส่ชุดดำสนิทกลมกลืนกับ
รัตติกาล อำพรางใบหน้าด้วยผ้าดำ รูปร่างสูงใหญ่แต่แคล่วคล่องประเปรียวราวกับสุนัขป่า ราวทั้งดวงตาคม
กริบเป็นประกายแวววาวโดยไม่มีการงำประกาย หน้าผากโหนกนูนแสดงถึงวรยุทธ์และกำลังภายในอันกล้าแข็ง
“เจ้าต้องการสิ่งใด” เจ๋งฟ่งกลั้นใจเกร็งลมปราณก่อนเปล่งเสียงด้วยลมปราณอันกังวาล
“ฆ่าเจ้า ! !!”
***************************************
ราวราตรีวินาศ เจ้าเจ๋งฟ่งเกร็งลมปราณเตรียมรับหากแต่มิสามารถรวมลมปราณได้แม้แต่น้อย
บุรุษชุดดำส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วช้าพลางก้าวเท้าอย่างปลอดโปร่ง ร่างสูงใหญ่ใส่ชุดสีดำสนิทชักดาบรูปร่างแปลกตาออกจากฝัก
มันเป็นดาบยาวคมราวกับใบมีดหากแต่รูปร่างเรียวกว่าดาบทั่วไป
“วางใจเถอะท่านอ๋อง ข้าไม่ฆ่าท่านอย่างง่ายดายนักหรอก อย่างน้อยต้องตัดเอ็นมือเอ็นเท้า
แล้วค่อยๆแล่หนังออกมาทีละชิ้นๆ ให้สมกับกรรมที่เจ้าทำไว้ !!!”
“หากอยากจะฆ่าข้าไม่ง่ายนัก !!!” เจ๋งฟ่งรวบรวมลมปราณเฮือกสุดท้ายซัดไปด้วยฝ่ามือที่หมายปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้าม
บุรุษชุดดำตวัดฝ่ามือทานไว้โดยตรง หากแต่ทันทีที่ฝ่ามือกระทบถูกกันรู้สึกร้อนราวกับถูกไฟลวก
“ลมปราณเพลิงมารคลั่ง !!?!??” บริเวณอาภรณ์ที่กระทบถูกพลันสลายเหลือเพียงเถ้าอีกทั้งผิวหนัง
พลันส่งกลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง ร่างสูงใหญ่พริ้วกายหลบอย่างเร่งรีบทว่ามิทันการ ฝ่ามือที่สองของเจ้าเจ๋งฟ่งฟาดใส่หัวไหล่อย่างถนัดถนี่
ร่างสูงใหญ่หมายจะปลิดชีพอีกฝ่าย ทว่าพิษพลันกำเริบกระอักเลือดกองใหญ่ทรุดร่างลงกับพื้นในทันใด
“บัดซบ !!” บุรุษชุดดำจ้วงแทงดาบสู่หน้าท้องแกร่ง
“อั่กกกก” เจ๋งฟ่งกุมบาดแผลพลางกระชากร่างศัตรูเข้ามาใกล้
“เจ้าเป็นใคร” มือแกร่งดึงผ้าคลุมหน้าของอีกฝ่าย
“ท่านไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร” บุรุษชุดดำหัวเราะเหี้ยม ก่อนคว้านดาบที่แทงทะลุท้องอ๋องทักษิณเป็น วงกลม
“เจ้า…อ่ออกกกก” หยาดโลหิตสาดกระเซ็นรากกับน้ำพุ บุรุษดำปลดผ้าคลุมหน้าสีดำที่ถูกย้อมจนแดงออกพลางยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม มันดึงดาบออกอย่างรวดเร็วยังผลให้เลือดไหลทะลัก
“จำหน้าข้าได้แล้ว …มิต้องเข้าใจองค์ฮ่องเต้ผิดไป ท่านไม่ได้ให้ข้ามา หากแต่เกี่ยวกับหนี้แค้นของข้าเอง
“อ่อ ไม่ต้องกังวลไปเลือดไหลแต่นี้ท่านอ๋องไม่ด่วนตายแน่นอน รอจนข้าแล่ท่านเป็นชิ้นๆแล้วค่อยบอกดีไหมว่า เป็นผู้ใด” มันมีดวงตาราวกับผีร้าย ร่างในชุดดำตัดเอ็นมือทั้งสองข้างของท่านอ๋อง ก่อนจะตามด้วยขา
“พิการ แล้วสินะท่านอ๋องผู้สง่างาม หึหึหึ” ร่างสูงชุดดำแลบลิ้นเลยเลือดมุมปาก ใบหน้านั้นคุ้นตา อย่างยิ่ง เจ๋งฟ่งมั่นใจว่านี่คือองครักษ์ ผู้ใดผู้หนึ่งขององค์ฮ่องเต้
ทว่า ใบหน้านั้นให้ความรู้สึกคุ้นตาอย่างแปลกประหลาดยิ่งกว่า
ดวงตาคมดุสีสนิม ผมสีเลือด จมูกโด่งคม ปากบางเปี่ยมโทสะ
ร่างสูงจิกผมของร่างอันหายใจรวยรินของท่านอ๋องไปยังริมหน้าผา
“ถ้าตายเร็วไปก็จะสบายไป ท่านจงค่อยถูกสุนัขป่ารุมทิ้งข้างใต้นี่เถอะนะท่านอ๋อง อ่อ บอกท่านอีกอย่าง…ข้าแซ่ อิง…” ทันใดนั้นเอง
“ฟ่ง…ฟ่ง…..” ร่างบางที่นั่งเล่นอยู่อย่างไม่สนใจอันใดที่หลังก้อนหินใหญ่ พลันเข้ามาอย่างผิดจังหวะถึงขีดสุด เด็กน้อยวิ่งเข้าหาผู้เป็นบิดาอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงใหญ่ชุดดำหันหลังหมายจะปลิดชีพผู้รู้เห็น อ๋องทักษิณพลันยิ้มก่อนกล่าว
“เด็กผู้นี้ก็แซ่อิงเช่นกัน แม่ของมันก็แซ่อิง อ่อข้ายังได้เคยหลับนอนกับสามีของนางด้วย”
บุรุษชุดดำพลันตะลึงนิ่งร่างมันสั่นเกร็ง เส้นเลือดปูดโปน เตะร่างสูงใหญ่สู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
หากแต่ร่างสูงใหญ่สง่าพลันหัวเราะอย่างกึกก้อง ราวกับเสียงภูตผี ทั่วหุบเหวกึกก้องด้วยเสียงหัวเราะ
“ฟ่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ร่างบางพลันกรีดร้องจนสิ้นสติไป
****************************
เดือนสี่ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้น ฤดูร้อนย่างเข้ามา อากาศยังนับว่าอุ่นสบาย เสียงนกร้องขับขานหยอกล้อกันทั่วแนวป่า
โกวเนี้ยน้อยนางหนึ่งมือถือตะกร้าใส่ผ้าใบใหญ่มุ่งหน้าสู่ลำธาร เอวคอดกิ่วเดินยักย้ายไปมาได้น่าชมยิ่ง มือขาวผ่องหมายวักน้ำขึ้นล้าง แต่ก็ต้องตระหนกเมื่อน้ำเย็นใสทุกเมื่อเชื่อวันกลับกลายเป็นสีแดง…
ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งถูกน้ำซัดมาเกยหิน ทั่วทั้งร่างโชกไปด้วยเลือดจนมองดูคล้ายกองเลือดกองหนึ่ง มีบาดแผลฉกรรจ์ไปทั่ว ที่หนักสุดคือบริเวณท้องเลือดแดงกล่ำยังคงไหลทะลัก จนน้ำใสกลายเป็นสีเลือด คาวคละคลุ้งทั่วบริเวณ
ตั๊กเฮียงเฟยมีบิดาเป็นหมอยาอยู่บริเวณเชิงเขา นางจึงไม่ตื่นตระหนกมากนัก หากแต่ก็บังเกิดความหวาดกลัว จึงยื่นมือไปรองใต้จมูกเมื่อพบว่ายังหายใจ
ร่างเล็กรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้น ล้วงไปในอกเสื้อเอาขวดหยกงดงามออกมาพลางเปิดจุกที่อุดอยู่ออก นี่ต้องนับว่าฟ้ายังเมตตาอ๋องทักษิณ เจ้าเจ๋งฟ่ง เพราะยาที่นางล้วงออกมานับว่าหายากยิ่งในแผ่นดิน เพียงเปิดจุกออกกลิ่นหอมรวยรื่นโชยคลุ้ง ทั้งสดชื่น ทั้งสงบใจยิ่ง นี่คือยาที่มีสรรพคุณดียิ่งในการห้ามเลือดและฟื้นฟูพลังชีวิต นาม หอมพันลี้สีเขียว…
เพียงรับประทานยาลงไปเลือดพลันหยุดไหล อีกทั้งร่างที่หายใจเพียงรวยรินราวกับจะหยุดพลันหายใจอย่างราบเรียบขึ้น เจ้าเจ๋งฟ่งนับว่าใกล้ประตูยมโลกเต็มที นี่ต้องนับว่าเพราะลมปราณอันกล้าแข็งที่คอยคุ้มครองจุดชีวิตเอาไว้แต่ก็จวน เจียนจะหมดลงอย่างหวุดหวิด…
**************************************
กลิ่น หอมของฤดูร้อนเพิ่งเริ่มเพียงไม่นาน แต่กลับถูกบดบังไปจนสิ้นด้วยกลิ่นหอมหวานจัด หอมหวานยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด หากแต่สดชื่นสดใส ให้ความรู้สึกราวกับเท้าไม่ได้เหยียบอยู่กับพื้นดิน ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์อันหอมหวาน
แต่สภาพที่ซึ่งเป็นจุดกำเนินกลิ่นหอมนั้นแปลกประหยาดยิ่ง ภายในเรือน้อยที่ล่องผ่านลำน้ำใหญ่ มีร่างสองร่างต่อกรกันอย่างทุลักทุเล ทารกใหญ่คนหนึ่งในมีถือกล่องไม้หน้าตาสามัญใบหนึ่งถูกบุรุษอีกคนหนึ่งแต่ง กายเยี่ยงนักศึกษา หากแต่ล้วนเป็นแพรพรรณชั้นหนึ่งยื้อแย่งกล่องไม้ใบนั้นอยู่
ทารกใหญ่นั้นย่อมเป็นอิงน่ำหลิง หากแต่อีกฝ่ายคือผู้ใด?
ร่างบางดิ้นรนสุดชีวิตอีกทั้งพยายามจะกระโดดออกจากเรือน้อย ทำให้นักศึกษาผู้นั้นต้องเปลี่ยนมาเป็นดึงตัวอิงน่ำหลิงเอาไว้
“ส่งกล่องนั้นมาให้ข้า!!” บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างหมดความอดทนอีกต่อไป หากแต่อิงน่ำหลิงไม่ฟังอันใดตั้งท่าหนีถ่ายเดียว
“ส่งมาไอ้เด็กบ้า!!”
“พวกเจ้ามาช่วยกันจับมันสิ!!” ภายในเรือน้อยยังมีสตรีอีกสามนางและไต้ก๋งเรือ ทุกนางล้วนสวมใส่อาภรณ์ชั้นหนึ่งและประดับประดาอย่างงดงาม
“นายน้อยระวังนะเจ้าคะ ว้าย!!” ทุกคนรุมกลุ้มกันเข้ามาจนเรือเล็กโคลงเคลงไปทั้งลำ จนกระทั่งกล่องไม้ร่วงถูกพื้นแตกออก
อิงน่ำหลิงร้อนลนยิ่งด้วยว่าบิดาของมันสั่งไว้มิให้ผู้ใดแตะต้องกล่องไม้ใบ นี้ ภายในมีลูกกลมใสสีส้มสดเปล่งแสงสุกใสจากภาย กลิ่นหอมจัด ขนาดประมาณไข่มุกราตรีที่มันชมชอบนำมาเล่น บุรุษในชุดนักศึกษาหมายจะหยิบ แต่ช้ากว่าร่างเล็ก อิงน่ำหลิงหยิบใส่ปากแล้วกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว สร้างความตระหนกแก่ผู้คนยิ่ง
อิงน่ำหลิงเมื่อกลืนลงไปแล้วเปลี่ยนเป็นเฉยเมยมิแยแสสนใจผู้ใดตามเดิม มันในยามที่ถูกบรรดาพี่ๆกลั่นแกล้ง แย่งของบางทีก็มักทำเช่นนี้คือกลืนลงท้องไป โดยเฉพาะของเล่นโปรดพวกลูกแก้ว มันย่อมมิทราบว่าบรรดาคนเหล่านี้คือใคร และบิดาอยู่ที่ใด รู้แต่เพียงตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่บนเรือแล้ว
“นายน้อยทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
“ผ่าท้องมันออกมาไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะเอาของสิ่งนั้น”
“แต่ว่านายท่านสั่งกำชับให้ดูแลเด็กนี่อย่างดี”
“ฮึ่ย… บัดซบเจ้าเด็กบ้า ..กล้าต่อกรกับข้า …ข้า..ข้าจะตีเจ้า” บุรุษแต่งกายเยี่ยงนักศึกษาผู้นี้แม้มีรูปร่างไม่แตกต่างกับอิงน่ำหลิงมาก นักแต่ก็สูงกว่า อีกทั้งมีวรยุทธ์ และมีวัยเพียงสิบแปดสิบเก้าปีนิสัยยังคงเอาแต่ใจยิ่ง
มันเพียงได้รับคำสั่งให้พาอิงน่ำหลิงไปสู่เมืองหลวงอีกทั้งกำชับให้ดูแล อย่างดี แต่ระหว่างทางพลันมีกลิ่นหอมประหลาดมาจากอิงน่ำหลิง เมื่อตรวจสอบจึงพบว่ามาจากกล่องไม้นั้น คิดอยากได้หากแต่เมื่อขัดใจจึงคิดแทบอยากตีร่างบางให้ตกตายไป
ยังมิทันจะทำการอันใดร่างเล็กของอิงน่ำหลิงทรุดฮวบ เป็นลมล้มลงกับพื้นสร้างความแตกตื่น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ตัวร้อนสลบเย็นอย่างน่าตกใจ อีกทั้งกลิ้งเกลือกอย่างทรมาณรู้สึกราวกับท้องน้อยจะแตกออกยุบพองสลับกัน
บุรุษชุดนักศึกษานั้นตื่นตระหนกยิ่งรีบจับชีพจรร่างบาง ชีพจรล้วนปะปนมั่วซั่วอย่างแยกไม่ออกและผันผวนรุนแรงยิ่ง คล้ายกับคนธาตุไฟแตก หากแต่พลังก็รุนแรงยิ่ง
“แย่แล้ว”
“นายน้อย ..นี่ทำไงดีเจ้าคะ?”
“ข้าก็ไม่รู้!!”
*********************************
“อ้ะ…โอ๊ย...” เปลือกตาบางเปิดขึ้นพร้อมกับร่างทั้งร่างทะลึ่งตัวขึ้น
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้กล่าวคือบุรุษร่างสูงใหญ่ สวมใส่ผ้าป่านหยาบประชุนไปทั้งตัว ใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเครา สร้างความรู้สึกหวาดหวั่น ทว่ายิ้มแย้มอย่างใจดี
“ข้า……” เสียงแหบแห้งที่เปล่งออกมาจากลำคอทำให้เจ้าของเสียง และฝ่ายตรงข้ามตกใจ ด้วยว่ามันเป็นถ้อยคำแรกมันกล่าว
หยาดน้ำตาระอุอุ่นรินไหลออกมาช้าๆ จากดวงตาคู่งาม ทำให้บุรุษหนวดเคราครึ้มตระหนกยิ่งนัก
“เป็นไร? เจ้าเป็นอะไรรึ? ร้องไห้ทำไม” ร่างใหญ่ร้อนรน ยกมือกร้านหยาบเช็ดน้ำตาให้โดยพลัน เป็นมือคู่ใหญ่ที่อบอุ่นคู่หนึ่ง
“เสี่ยวเทียน เป็นไรรึ ส่งเสียงดังเอะอะจริง” ผู้มาคือ หนึ่งสตรีชรา
“อา..ท่านยาย ท่านดูเด็กน้อยผู้นี้พอลืมตาขึ้นมากลับร้องไห้ ทำอย่างไรดี”
“เจ้าฟื้นแล้ว เจ็บตรงไหนรึจึงร้องไห้ออกมา?” สตรีชรานามพั่วมาลูบคลำตามเนื้อตัวของอิงน่ำหลิงอย่างห่วงใย มือของนางอุ่นยิ่งนัก ยิ่งทำให้อิงน่ำหลิงร้องไห้หนักขึ้น
ครอบครัวของเสี่ยวเทียนอยู่กันสองคน ยาย หลาน วันหนึ่งเสี่ยวเทียนขณะออกหาปลาอยู่ริมน้ำ พบร่างอิงน้ำลอยมาติดแหอยู่ เมื่อตรวจดูพบว่ายังมีชีวิต จึงพากลับมารักษาตัว พั่วมาเพียงเห็นอิงน่ำหลิงยังเด็กนัก และน่าเอ็นดูจึงดูแลอย่างดี
“เจ้าคงหิวแล้ว ถ้าอย่างไร ลุกขึ้นมารับประทานก่อนเป็นอย่างไร” นางกล่าวพลางจูงมือ ประคองออกไป
อิงน่ำหลิงนับแต่พื้นก็อาศัยอยู่กับสองยาย หลาน เรื่อยมาโดยมีเสี่ยวเทียนคอยดูแลยึดมั่นเป็นดั่งน้องชายร่วมสายเลือด
อยู่มาได้หนึ่งเดือนครึ่งเศษร่างกายเป็นปกติดีแต่ว่ายังคงไม่สามารถพูดได้ เหมือนเช่นตอนตื่นขึ้นมา แต่มันได้รับรู้ว่านับแต่ที่รับประทานผลไม้นั้นเข้าไปราวกับสติอันมืดทึบ พลันแจ่มใส ราวกับสีมืดดำที่ระบายอยู่ถูกล้างออก อีกทั้งยังเริ่มออกเสียงคำพูดได้บ้าง โดยมีพั่วมา และเสี่ยวเทียนคอยสอน
หนำซ้ำยังรู้สึกถึงพลังสายหนึ่งไหลเวียนในร่างกาย เมื่อบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย ก็จะฟื้นฟูอย่างรวดเร็วอีกทั้งมีกำลังวังชามากกว่าเดิม
มันวันๆคอยช่วยพั่วมาปัดกวาดเช็ดถูทำงานเล็กน้อย บางทีก็ไปเที่ยวเล่น กับเสี่ยวเทียน จนแทบกลายเป็นพี่น้องกันไปจริงๆ
“อิงยี้ ไปตามพี่เจ้ามารับประทานเถอะ พั่วมาเตรียมอาหารไว้แล้ว” ร่างเล็กเล่นอยู่แถวๆนั้นผยักหน้ารับคำพลาง เดินออกจากบ้านไปยังแปลงนาผืนเล็กใกล้ๆบ้านที่เสี่ยวเที่ยนใช้เพาะปลูกเล็ก น้อย
“เทียน….” เป็นอิงน่ำหลิงส่งเสียงเรียก
“อิงยี้เจ้ามาเรียกข้าไปรับประทานกระมั้ง?” เสี่ยวเทียนลูบโคลนออกจากตัวพลางสวมใส่เสื้อเนื้อหยาบ
อิงน่ำหลิงพยักหน้าหงึกหงัก แทนคำตอบพลางช่วยถือของให้
“กับข้าวมีอะไรบ้าง?” ร่างสูงถามพลางสะพายของขึ้นไหล่
“ผัดผัก น้ำแกงปอดหมู …หมดแล้ว” เสียงตอบไร้ซึ่งความชัดเจน ทว่ากลับเป็นเครื่องยืนยันว่าอิงน่ำหลิงในอายุ 15 ปีในที่สุดก็พูดแล้ว…
*****************************************************
สองร่างหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กเดินทางอย่างเร่งรีบ ปลายทางคือเมืองหลวง เป็นเสี่ยวเทียน และ อิงน่ำหลิง เหตุใดทั้งสองจึ่งต้องรีบเร่งเดินทางเช่นนี้ ความจริงปรากฏในไม่ช้า เมื่อเหล่าทหารของทางการพากันค้นหาร่างสูงใหญ่ และ ร่างเล็กไปทั่วบริเวณ...
เมื่ออิงน่ำหลิงได้มาอาศัยอยู่กับ พั่วมา และ เสี่ยวเทียน เป็นเวลาระยะหนึ่ง พัฒนาการทางด้านการพูด และการดำรงชีวิตได้พัฒนาขึ้นมากและเป็นที่รักใคร่ของบรรดาชาวบ้าน ในละแวกนั้น รวมทั้ง พั่วมา และ เสี่ยวเทียนนั้น เอ็นดูรักใคร่ราวกันเป็นบุคคลในครอบครัว ก็ไม่ปาน
ในเวลาไม่นาน เรื่องราวของเด็กชายที่ถูกเก็บได้ริมแม่น้ำ ที่มีหน้าตางดงาม ก็เริ่มมีผู้คนกล่าวถึง จนในคืนหนึ่งในฤดูสารท เสียงกองทัพม้า ราวกับท้องฟ้าจะถล่มก็ดังกึกก้อง ประตูบ้านหลังเล็กก็ถูกกระแทกจนเปิดออก เสี่ยวเทียน ผุดลุกขึ้นจากเตียงอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น!!!” ร่างสูงใหญ่อุทาน ในฐานะบุรุษผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว
“เด็กที่ชื่อว่า อิงน่ำหลิง อยู่ที่ใด” มือปราบผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าว โดยไม่ทันขัดขวาง บรรดา มือปราบอื่นๆ ก็กระจายกันไปค้นทั่วบ้านหลังน้อย ไม่นาน ร่างของอิงน่ำหลิง และ พั่วมา ก็ถูกนำตัวออกมา นอกบ้าน
พร้อมกันนั้น ร่างสูงใหญ่ของ เสี่ยวเทียนที่พยายามขัดขวาง ก็ถูกรุมทำร้ายอย่างไม่อาจต่อสู้ ผู้มีวรยุทธ์ได้ ร่างเล็กของอิงน่ำหลิงมองเหตุการณ์ อย่างตื่นตระหนกนึกย้อนถึงเมื่อครั้งที่เจ็งฟ่งตกเขา
“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” เมื่อเสียงกรีดร้องหยุดจากปากอิ่มร่างเล็กก็สลบลง
เสี่ยวเทียน และ พั่วมาลอบสบตากันอย่าง กังวล ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ที่กำลังถูกรุมทำร้าย และ หญิงชราที่ถูกจับ จะพริ้วกายหนี บรรดาเหล่ามือปราบอย่างง่ายดาย เพียงพริบตาเหล่ามือปราบต่างถูกสกัดจุด ไว้ด้วยหญิงชราเพียงผู้เดียว
“ท่าน...เอ่อ นายท่านจัดการอย่างต่อไปดีเจ้าคะ” พัวมาคุกเข่าทว่าซุ้มเสียงที่ชราภาพกลับกลายเป็น เสียงหญิงสาว เมื่อหน้ากากหนังมนุษย์ถูกถอดออก หญิงชราก็กลับกลายเป็นดรุนณีวัยสะพรั่ง
เสี่ยวเทียน พยักหน้าเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว เจ้ากับ เสี่ยวหลานจงไปสืบหาท่าน...พี่ก่อน ส่วน เสี่ยวเหมย กับ เสี่ยวชิง ให้จับตาความเคลื่อนไหวในวังหลวงต่อไป”
“แล้วจะบอกกับ อิงยี้ เอ่อ คุณชายว่าอย่างไรดีเจ้าคะ” หญิงสาวถอดดวงตาอาลัยแก่ร่างเล็ก
“ข้าจะจัดการเอง” ชายหนุ่มมองข้ารับใช้อย่างยิ้มๆ ดูท่าว่าใครๆที่อยู่ใกล้ร่างเล็ก จะหลงรักเด็กน้อยไปเสียหมดไม่เว้นแม้แต่ตัวบุรุษหนุ่มเอง…
*********************************************************
“เทียน…เหนื่อย…” อิงน่ำหลิงที่ตรากตรำเดินทางเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ทราบเหตุผล เริ่มงอแงตามประสาเด็ก หนำซ้ำมันยังไม่ทราบว่าพั่วมาไปที่ใด
“เจ้าขี่หลังข้าดีหรือไม่?” เสี่ยวเทียนตอบพลางย่อตัวให้อีกฝ่ายขี่หลัง
“เทียน..พั่วมาไปที่ใด”
“พั่วมารออยู่ที่บ้าน พวกเหล่าคนเลวที่ไล่ตามเรามา จะตามจับตัวเจ้า นางจึงบอกให้ข้ารีบพาเจ้าหนีมาอย่างไร ชักช้าคงไม่ทันการ ข้าจึงพาเจ้าลงเรือ ตั้งแต่เจ้ายังหลับอยู่อย่างไร” ร่างสูงลอบละอายใจที่ต้องปด
“เข้าใจแล้ว อิงยี้คิดถึงนางจัง” ร่างเล็กขี่หลังอีกฝ่าย แต่แทนที่เสี่ยวเทียนจะลำบาก กลับกลายเป็นท่าร่างที่รวดเร็วขึ้นกว่าตอนเดินรอร่างเล็ก
“พี่เทียนท่านวิ่งเร็วจัง” อิงน่ำหลิงคล้ายตื่นเต้นปนเพลิดเพลิน
“อืม…” ร่างสูงรับคำเสียงเรียบ ก่อนพริ้วกายหลบเร้นในเงามืดมุมตึก
“เงียบก่อน” เสี่ยวเทียนปิดปากร่างเล็ก เพียงไม่นานก็พบเห็นท่าร่างรวดเร็ว เคลื่อนผ่านไป
เป็นนักศึกษาอาภรณ์หรูหราผู้เคยจับตัวอิงน่ำหลิงไป ร่างเล็กไหวตัวอย่างตระหนก ดีที่เสี่ยวเทียนจับไว้ได้ทัน
*******************************
ย้อนหลังไปเมื่อ อิงน่ำหลิง หมดสติบนเรือที่โดนนักศึกษาหนุ่มผู้นี้จับตัวไป ขณะที่ผู้คนกำลังแตกตื่น ร่างสูงใหญ่สวมหมวกฟางตกปลาลอบเร้นขึ้นเรือ ก่อนที่ผู้ใดจะรู้ตัวต่างถูกสยบไว้โดยง่าย ล้วนถูกจี้จุดจนเคลื่อนไหวไม่ได้ นักศึกษาอาภรณ์หรูหราลอบสำนึกว่าผิดท่า ได้แต่ถลึงตามอง ร่างสูงใหญ่ที่ปิดบังใบหน้าด้วยหมวกฟางของชาวประมง ดูคล้ายภูตพรายแห่งท้องน้ำ หนีบร่างเล็กของอิงน่ำหลิงพริ้วกายจากไป ราวกับปีศาจแม่น้ำ
ร่างสูงใหญ่นี้ย่อมเป็นเสียวเทียนที่จับตาดูอิงน่ำหลิงมาตลอด ยามฉุกเฉินด้วยความเป็นห่วงถึงอาการหมดสติจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เมื่อตรวจชีพจรร่างเล็กพบว่าแตกซ่าน สะเปะ สะปะ จึงรีบโคจรลมปราณเข้าช่วยเหลือ มิคาดพบพลังลมปราณก้อนใหญ่อัดแน่นในตัวร่างเล็กจนคล้ายลูกโป่งใกล้แตก
จึงรีบชักนำไปที่จุดตั่งชังบริเวณท้องน้อย อันเป็นที่รวมลมปราณของร่างกาย แต่มีกระแสลมปราณราวกับน้ำป่าทะลักทะลายไหลวนเชี่ยวกรากไปทั่วร่างกายร่าง เล็ก เสี่ยวเทียนลอบร้องย่ำแย่ในใจหากผิดพลาดไปอาจถึงแก่ชีวิตร่างเล็ก และตนเองอาจบาดเจ็บสาหัส
ยามกระทันหันขบคิดถึงเมื่อครั้งตนเองได้รับการกรุยจุดชีพจรจุก หยิม ต๊ก ให้รอดตาย จึงหน่วงพลังราวน้ำป่าของอิงน่ำหลิงให้มารวมกัน ก่อนทะลวงจุด หยิม ต๊ก ของร่างเล็ก โชคดีที่ประสบผล หลังจากเสียเวลาไปค่อนวันในที่สุด อิงน่ำหลิงก็เริ่มมีลมปราณสงบลงจนเป็นปกติ เสี่ยวเทียนค่อยๆรั้งมือออกจากร่างเล็ก อย่างเหนื่อยอ่อย
“ประสบผลหรือไม่…เจ้าคะ” ดรุณีสาวนามเสี่ยวจู รีบยกน้ำชาให้เจ้านาย
“ปลอดภัยดี” เสีย่วเทียนตอบ อย่างเหนื่ยออ่อน
“บ่าวไม่เข้าใจ เหตุใด องค์…เอ่อคุณชายน้อยจึงเกิดอาการเช่นนี้ขึ้น” นางส่งผ้าซับเหงื่อยให้เสี่ยวเทียวอย่างนอบน้อม
“คาดว่าเป็นเพราะรับประธานผลไม้ประหลาด นั่นเข้าไป เดิมทีได้ยินว่าฮ่องเต้ต้องการมากเนื่องจากสรรพคุณของมัน เปรียบดั่งโอสถวิเศษรักษาได้ทุกโรค อีกทั้งเพิ่มพลังงาน ไม่คาดแท้จริงคือ เพิ่มพลังลมปราณราวกับถูกระเบิด หากผู้รับประทานไม่มีวรยุทธ์อันเข้มแข็งย่อมต้องตกตายแน่นอน ดีที่ข้าเข้าไปช่วยอิงยี้ทันการณ์”
“แล้วจะมีผลอย่างไรกับคุณชายน้อยบ้างเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามอย่างเป็นห่วง
“คาดว่ามีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้” ร่างสูงใหญ่ตอบอย่างใช้ความคิด
************************************
เมื่อเข้าวันที่ 5 ร่างเล็กก็ฟื้นขึ้นมาเสี่ยวจูได้แปลงโฉมเป็นหญิงชรานามพั่วมา คอยรับใช้เจ้านาย
เสี่ยวเทียนได้ตรวจอาการร่างเล็กอย่างละเอียด ไม่คาดว่าผลจากการกรุยจุดชีพจร หยิม ต๊ก จะทำให้อาการลมปราณแตกซ่านปัญญาอ่อนด้อย ของอิงน่ำหลิงอาการดีขึ้น อีกทั้งยังส่งผลไปถึงการพูด
ร่างสูงแลสาวใช้ตัดสินใจรั้งอย่ดูอาการของร่างเล็กจึงปลอมตัวเป็นยายหลานที่ช่วยเหลือ อิงน่ำหลิงมาได้อย่างแนบเนียน…
เมื่อได้พบเห็นนักศึกษาอาภรณ์หรูหรา จึงทำให้ร่างสูงหวนนึกขึ้นมาอีกแผนการของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่…
**************************************************
ในความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ ดวงหน้างดงามอันคุ้นตากำลังแย้มยิ้มอย่างอย่างโยน นับแต่วัยเยาว์จนค่อยๆ เจริญเติบโต ก่อนจะกลายมาเป็นความรักอันเร่งร้อนปั่นป่วน และโศกนาฏกรรมที่แม้ชายอกสามศอก ยังต้องสยิวกายด้วยความหวาดกลัว ...
แล้วบุรุษหนุ่มก็ลืมตาโพลงในความมืด ร่างสูงใหญ่สัมผัสใบหน้าของตนเองแต่กลับพบเพียง สัมผัสตอบกลับจากโลหะ เป็นหน้ากากใบหนึ่งที่ติดผิวหน้าอย่างไม่ยอมถูกดึงออก เป็นหน้ากากสีทองใบหนึ่งที่มีสีหน้ากระด้างราวกับศิลา
เป็นอีกครั้งที่เจ้าของร่างพยายามถอดมันออกอย่างสุดความสามารถทว่าน่า เสียดายที่ฟ้าดินไม่เห็นใจ เมื่อขยับตัวพลันพบว่าโซ่ตรวนที่จองจำอยู่พลันบังเกิดเป็นเสียงอันดังทำให้ ผู้เฝ้ายามเข้ามาดู
“ไปเรียนท่านขุนพลว่ามันฟื้นแล้วเร็ว” ผู้สั่งการเป็นหัวหน้าผู้คุมมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง
“จัดการอย่างไรดีขอรับ” ผู้คุมถามอย่างกังวล
“กงจู๊ทราบเรื่องรึยัง?” บุรุษที่ทางเคร่งขรึมสำรวมกล่าวเสียงเรียบ
“ตอนนี้รู้แล้ว!!!” เสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากสตรีผู้เดินมาเบื้องหลัง
“ถวายบังคม กงจู๊ !!!” ทุกผู้ในที่คุมขังพลางคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
“อวดดีกันนักนะ ทำอะไรโดยไม่บอกกล่าวข้า” หญิงสาวร่างเล็ก สะบัดมือตบหน้าบุรุษผู้ดำรงตำแหน่งขุนพลโดยไม่กระพริบตา
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า” ร่างสูงได้แต่ก้มหน้านิ่ง
“นำตัวท่านอ๋องออกมา” หญิงสาวกล่าวเสียบ ใบหน้างามจัดกระจ่างตาที่แท้นางคือต๊กเฮียงเฟย เหตุใดสาวชาวบ้านจึงกลายมาเป็น กงจู๊ ได้
(กงจู๊ = องค์หญิง , ท่านหญิง)
แล้วเหตุใดจึงเอ่ยถึงท่านอ๋อง หรือว่าแท้จริงแล้วร่างภายใต้หน้ากากทอง จะคือ อ๋องทักษิณ เจ้าเจ๋งฟ่ง กันแน่?
*****************************************************
ภายหลังจากเจ็งกิสข่านผู้เป็นอัยกาของกุบไลข่าน ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวน ได้กรีฑาทัพไปปกครองทั่วเอเซีย รวมถึงดินแดนเอเซียกลาง เกือบถึงทวีปยุโรป อาณาจักรเปอร์เซียที่เคยยิ่งใหญ่ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีน
วัฒนธรรมทั้งสองได้เริ่มผสานเป็นหนึ่งเดียวจากการ แต่งงานระหว่างสองราชวงศ์ โดยมีเปอร์เซียตกเป็นเมืองขึ้น
กระนั้นก็ยังมีราชวงศ์เปอร์เซียบางส่วน คิดแข็งข้อและหาทางเป็นอิสระ โดยแทรกซึมเข้ามากระทำการบั่นทอนความแข็งแกร่ง ภายในของจีน ในทุกชนชั้นแผนการยึดครองบู๊ลิ้มตงง้วนก็เป็นหนึ่งในนั้น
นำโดยแม่ทัพผู้เข้มแข็ง และปราดเปรื่องที่สุดของเปอร์เซีย นาม ไค่วอี้ และ กุนซือผู้หลักแหลม อย่างองค์หญิงเฮียงเฟย ผู้เป็นพระธิดาของกษัตริย์เปอร์เซียคนปัจจุบันที่แม้นางจะมีสายเลือดจากท่าน ข่าน ถึงหนึ่งในสี่ส่วนทว่าการปลดแอกออกจากการเป็นประเทศราชนั้นสำคัญยิ่ง
นาง และไค่วอี้ ได้แทรกซึมสู่ตงง้วนเป็นเวลาถึง 5 ปี ดูภายนอกหญิงสาวงดงามหมดจด คล้ายดรุณีวัยแรกรุ่น ทว่าในความเป็นจริง มีอายุไม่น้อยแล้วแต่ยังคงหมดงดคล้ายเด็กสาว แม้ขุนพลไค่วอี้ ที่มีอายุถึง 31 ปีแล้วยังต้องเกรงใจ
ตั๊กเฮียงเฟย และ ไค่วอี้ ปลอมตัวเป็นหมอ ยาสองพ่อลูก อยู่บริเวณทางผาขาดเพื่อจับตา ดูการเคลื่อนไหวคุ้มกัน สิ่งของสำคัญสู่เมืองหลวง มิคาดเหตุการณ์พลิกพลัน เจ๋งฟ่ง ถูกทำร้ายตกหน้าผา แผนการณ์ชั่วช้าจึงอุบัติขึ้น...
********************************************
เสี่ยวเทียน และ อิงน่ำหลิงเริ่งเดินทางขึ้นเหนือสู่นคร ต้าตู บุรุษหนุ่มรู้สึกถึง
ความไม่ชอบมาพากล เกี่ยวกับบรรดามือปราบของทางการที่ถูกส่งมาตาม เป็นไปได้ว่าศัตรู เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก สถานการณ์ในวังคุกรุ่น เป็นเวลานานพักใหญ่ทว่าไม่คาด แม้แต่ผู้ปลีกตัวอย่างอ๋องทักษิณเจ้าเจ๋งฟ่งยังถูกดึงเข้าสู่เหตุการณ์
บริเวณประตูเมืองต้าตู มีการจัดงานเฉลิมฉลอง เป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่อิงน่ำหลิงยิ่งนัก
“เรียนถามท่านป้า มีงานฉลองใดเกิดขึ้น” เสี่ยวเทียนถามหญิงชราที่เดินผ่านมาอย่างสุภาพ
“เป็นวันที่ ฮ่องเต้จัดงานฉลองครบอายุ 17 ปีให้แก่ องค์หญิงลี่หง ฟังว่าองค์หญิง จะเสด็จไปวัน ว่านอันนอกเมืองเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีโอกาสได้ชมโฉมองค์หญิงมองโกล”
“จริงด้วยสิ” เสี่ยวเทียนพึมพำ แต่ยังมิได้ทำการใดต่อไป กลับพบว่าบรรดาชาวบ้าน ได้ถูกกันออกนอกทางสัญจร เพราะ ขบวนเสด็จได้ออกจากประตูเมืองมาแล้ว
ขณะที่กำลังชุลมุนนั้นเอง อิงน่ำหลิงได้ถูกคลื่นมวลชนกลืนไป จนพลัดหลงกับเสี่ยวเทียน ร่างสูงค้นหาทั่วบริเวณ ทว่าหาไม่พบ เสี่ยวเทียนระงับความตระหนกพลางรอจนคลื่นมนุษย์ซา ท่ากลับไร้ซึ่งวี่แววของร่างเล็กของเด็กชาย
ร่างสูงหลบเข้าตรอกแห่งหนึ่งที่ลับตาคน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขุนนางเมื่อออกมา กลับกลายเป็นคนละคน เป็นชุดทหารองครักษ์แห่งวังหลวง อาศัยป้ายอาญาสิทธิ์เข้าวังหลวงได้ โดยสะดวกไม่มีผู้ใดพบเห็นพิรุธ...
“นายท่าน ท่านมาพอดี” สาวใช้สองนางวิ่งออกมาจากจวนที่ เสี่ยวเทียนเดินเข้าไป อยากร้อนรน
“เสี่ยวเหมย เสี่ยวชิง พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ร่างสูงถามเสียงฉงน
“เกิดเรื่องแล้ว!!” เสี่ยวเหมยกับเสี่ยวชิงนั้น อ่อนวัยกว่า เสี่ยวจู และ เสี่ยวหลาน จึงออกจะไม่รู้กาละเทศะอยู่บ้างถึงกลับกล้าเขย่าตัว ผู้เป็นนายอย่างร้อนรน
“เกิดเรื่องอันใด มาก็ดีเหมือนกันข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยตามหาคนพอดี” เสี่ยวเทียนกล่าว
“ไม่มีเวลาแล้ว เรื่องอื่นช่างมันเถิดนายท่าน!!!!!!”
***************************************
อิงน่ำหลิงนั้นเมื่อผลัดหลงกับเสี่ยวเทียน ยามกระทันหันไม่ทันรู้ตัวว่าตนเองหลงทาง พอดีถูขบวนม้าที่ควบมาชนล้มลงเป็นแผลถลอก
“เจ้าหนูเจ้าเป็นอะไรหรือไม่” สาวใช้ผู้ควบม้าชนอิงน่ำหลิงรีบลง จากม้ามาดูอาการ เมื่อเห็นว่ามีบาดแผลจึงรีบ ทำแผลให้
นางดูไปมีวัยไม่น่ามากกว่า อิงน่ำหลิงเกิน 2 ถึง 3 ปีทว่ามีท่าทางคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงนัก
“อะแฮ่ม เจ้าหยุดทำไมรึ” เสียงกระแอมดังมาจากในเกี้ยว
“เรียนคุณหนู บ่าวชนเด็กล้ม” เนื่องจากบริเวณนี้เป็นแนวท้ายขบวนผู้ติดตามขององค์หญิง อันได้แก่พระสหาย และ บรรดาข้าหลวง การควบคุมจึงไม่เข้มงวดนัก
“บ่าวขอนำตัวเด็กน้อยนี่ไปทำบาดแผลด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้นั้นมีท่าทางสนิทสนมกับผู้เป็นนายนัก และมีท่าทางดื้อซน จนใจที่ผู้เป็นนายจะห้าม
“ตามใจ แต่จงอย่าทำอะไรรุ่มร่ามเป็นที่ระคายเคืองเบื้องบาทองค์หญิงลี่หงได้” เสียงผู้เป็นนายนั้นมีท่าทางตำหนิทว่าเนื่องจากขบวนล่าช้าไปมากแล้วจึงไม่มี เวลาสนใจอีก
“คุณหนู มีน้ำใจเจ้าหนูเจ้าตามข้ามา” หญิงสาวจูงมืออิงน่ำหลิงขึ้นม้าพลางควบไป นี่ถือเป็นเรื่องจริงทีเดียวที่ว่าบิดามารดาควรสอนบุตรหลานว่าไม่ควรไว้ใจคน แปลกหน้าโดยง่าย
************************************************
วัดว่านอัน เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง นับเป็นอารามหลวงมานาน ขบวนเสด็จขององค์หญิงลี่หง เมื่อมาถึงเหล่าบรรดาราชองครักษ์ ล้วนป้องกันอย่างรัดกุม
ทว่าเมื่อผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามกลับ มีสารส่งมาถึงหัวหน้าองครักษ์ก่อให้เกิดความยุ่งยาก พร้อมหน้าหน้าวัดกลับมีขบวนทหารม้า นำโดยบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่
“องค์หญิงเพคะ มีสารส่งมาถึงเพคะ” หลังจากสนทนากับเจ้าอาวาสเสร็จ องค์หญิงลี่หงเดินหมากล้อม กับ พระสหายบริเวณศาลากลางน้ำบรรยากาศอันสงบเงียบ ได้ถูกขัดจังหวะ ร่างบางชะงักมือจากการวางเม็ดหมาก จะผู้เป็นพระสหายเอ่ยทัก
“ดูท่าวันนี้ท่านจะแพ้พนันข้าเสียแล้ว” เป็นเสียงของคุณหนูผู้อยู่ในเกี้ยวนั่นเอง นางมาใบหน้าผุดผาดงามกระจ่างตา เรือนร่างแน่งน้อยอรชร สวมใส่อาภรณ์สีม่วงอ่อน ขับกับผิวขาวชมพู
“เหมยลี่ที่ร้ายกาจ เจ้าคงคาดได้ตั้งแต่แรกแล้วกระมัง” ผู้เป็นองค์หญิงกล่าวชม พลางกล่าว
“เรียนเชิญท่านอ๋องเข้ามาได้”
*********************************
“ถวายบังคบ ท่านอ๋อง” ซ่งเหมยลี่ ถอนสายบัวอย่างนอบน้อมเมื่อบุรุษหนุ่มมาถึง ศาลากลางน้ำ
“ลุกขึ้นได้ ลำบากคุณหนูมากแล้ว” บุรุษร่างสูงพยักหน้าให้ซ่งเหลยลี่ลุกขึ้น
“ถวายบังคมท่านอาเพคะ” องค์หญิงลี่หงถอนสายบัว ร่างสูงโปร่งค่อยๆหันกายมา กลับเป็นสาวใช้หญิงที่พาอิงน่ำหลิงไป แต่งกายใหม่ด้วยอาภรณ์สีเหลืองอ่อนอันสิริโฉม แม้ไม่งามผุดผาดเท่า ซ่งเหมยลี่ทว่ามีสง่าราศี และผิวขาวจัดประดุจกระเบื้องเคลือบ ประกอบใบหน้าน่ารักสดใส จึงจัดว่าเป็นหญิงงามหาตัวจับยาก
“นี่ออกจะเกินไปแล้ว ลี่หง ข้าเป็นถึงอาเจ้า ถึงกลับกล้าเขียนคำว่าไม่มาเป็นลูกเต่าจนได้” บุรุษหนุ่มส่ายหัวอย่างเกินรับไหว
“เจ๋งเทียน เอ๋ย เจ๋งเทียน นับแต่พระบิดาตั้งเจ้าเป็นพระคู่หมั้นย่อมเท่ากับตกอยู่ในกำมือข้า จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด ตำแหน่งอ๋องที่ค้ำคออยู่หาช่วยอะไรได้ไม่ ฮ่าๆ” องค์หญิงสรวลพลางตบแก้มพระคู่หมั้นเบาๆอย่างสมพระทัย
บุรุษหนุ่มที่นั่งอย่างจนปัญญากลับเป็นเสี่ยวเทียน ร่างสูงกลับกลายเป็นอ๋องหนุ่ม แห่งวังหลวงนาม เจ้าเจ๋งเทียน ผู้มีศักดิ์เป็นพระอนุชาต่างมารดากับฮ่องเต้ และอีกทั้งยังเป็นพระคู่หมั้นกับองค์หญิงลี่หงพระธิดาอีกด้วย
ร่างสูงได้โกนหนวดเคราออกจนหมด ผลัดเปลี่ยนเป็นฉลองพระองค์อันล้ำค่า มีสง่าราศีราวกับสลักสลาจากหยกชั้นดี อีกทั้งใบหน้าที่เกลี้ยงเกลามีเค้าคล้ายกับ เจ้าเจ๋งฟ่งถึง แปดส่วน ผิดกันที่ดวงตาอันระอุอุ่นกว่า แลคิ้วอันเคร่งขรึมสำรวม
เมื่อตอนที่เจ้าเจ๋งฟ่งเกิดนั้นผู้คนกล่าวรูปร่างหน้าตาเหมือนอดีตฮ่องเต้ ราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน ทว่าเมื่อเจ้าเจ๋งเทียนผู้เป็นพระโอรสองค์สุดท้องกำเนิดนั้นขันทีสูงวัยบาง คนถึงกับร่ำไห้ เพราะ รูปร่างหน้าตาราวกับเป็นคนๆเดียวกันกับอดีตฮ่องเต้ยิ่งเจริญวัยเท่าไรยิ่ง เหมือนขึ้นเท่านั้น
ทั้งรูปร่างหน้าตาและอุปนิสัย ผิดกับเจ้าเจ๋งฟ่งผู้เป็นพระเชษฐาทว่าเมื่อเปรียบเทียบ สองพี่น้อง กลับเหมือนกันถึงแปดส่วนผิดเพียงอายุเท่านั้น
“ฟังว่าเจ้าเหิมเกริมถึงกลับปลอมเป็นสาวใช้ขี่ม้าออกมาจากวังทีเดียว” เจ๋งเทียนจิบน้ำชาอย่างระอาใจในความไม่รู้จักโตของคู่หมั้น
“โอกาสออกจากวังนั้นน้อยแสนน้อย ข้าย่อมอยากชมวิวทิวทัศน์เป็นธรรดา” ลี่หงแก้ตัว
“เหมยลี่ลำบากเจ้ามากแล้ว” เจ๋งเทียนพยักหน้าอย่างผู้หัวอกเดียวกับ
“หม่อมชั้นชินแล้วเพคะ” ซ่งเหมยลี่ยิ้มรับ
“ดูสิข้า ได้อะไรมา เด็กๆ” องค์หญิงลี่หงปรบมือ ก่อนที่บรรดาสาวใช้จะนำตัวอิงน่ำหลิง ที่ได้รับการขัดสีฉวีวรรณและเปลี่ยนอาภรณ์ออกมา ทำให้เจ๋งเทียนถึงกลับหน้าเปลี่ยนสี พลางรีบปิดบังใบหน้าตนเอง มิใช่กลัวว่าจะถูกจำได้
ทว่าเกรงว่าเมื่อพบเห็นใบหน้าของตนเองที่คล้ายคลึงกับเจ๋งฟ่งถึงแปดส่วนจะทำ ให้ อิงน่ำหลิงมีอาการผิดปกติ อันอาจเป็นเหตุให้ หงลี่ยื่นมือเข้ามาก่อกวนได้
กิริยานั้นย่อมมิอาจหลุดพ้นสายตาสตรีเจ้าปัญญาทั้งสองไปได้ ทว่าว่าแสร้งไม่สนใจ
“ท่านดูเด็กน้อยผู้นี้น่ารักหรือไม่” ลี่หงกล่าวพลางให้อิงน่ำหลิงนั่งลงข้างๆ
“อืม” เจ๋งเทียนลอบร้องย่ำแย่ ขณะหาวิธีจะปลีกตัวนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น...
“รับราชโองการ” เสียงอัญเชิญราชโองการของฮ๋องเต้มาถึงต่างรีบคุกเข่าลง
“…ฟังว่าท่านอ๋องเจ๋งเทียนว่าที่ราชบุตรเขยเดินทางกลับมา ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพร้อมทั้งองค์หญิงลี่หง และคุณหนูซ่งเหมยลี่ ที่ตำหนักกลางบึงขององค์ไท้เฮา…”
“น้อมรับราชโองการ” เจ๋งเทียนรับราชโองการจากขันทีผู้นำสารก่อนลุกขึ้นยืน
ร่างสูงคิดอย่างกลัดกลุ้มเพียงแค่ลี่หงนั้นก็รับมือได้ยุ่งยากอยู่แล้ว เพิ่มไท้เฮามาอีกนับว่าตึงมือเต็มที
“สุนัขรับใช้ของเสด็จย่านับว่า จมูกไวยิ่ง” ลี่หงกล่าวพลางกระทืบเท้า
“ฮ้า อาอาอาอา…” เมื่อเจ๋งเทียนลืมตัวจึงทำให้อิงน่ำหลิงมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายจึ่งกรีดร้องขึ้นมา
“เจ้าหนูเจ้าเป็นอะไร?” ยังไม่ทันลี่หงจะพูดจบ ร่างเล็กก็สะบัดมือจากการเกาะกุมของนาง และวิ่งเข้าไปกอดเจ๋งเทียน
“โอะ” เจ๋งเทียนมิทันระวังถึงกับถูกโถมตัวใส่จนล้มลง
“ว้าย เสียมารยาทมากแล้ว ขออภัยท่านอ๋องเพคะ” ซ่งเหมยลี่รีบมาพาตัวร่างเล็กออกไปทว่าไม่ว่าจะดึงอย่างไร
อิงน่ำหลิงก็ไม่ยอมปล่อยมือทั้งร้องเรียก ฟ่ง ฟ่ง ฟ่ง จนสตรีทั้งสองต่างพากันงงงัน
“ไม่เป็นไรเหมยลี่ ดูท่าว่าเด็กของพวกเจ้าจะชื่นชอบข้ามากกว่านะลี่หง” ร่างสูงแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
“ฮึ่ยย เด็กน้อยเจ้าทรยศข้าเหรอ?” ลี่หงเข้าไปดึงตัวอิงน่ำหลิงอีกคน จนผู้ห้ามทัพคือ ซ่งเหมยลี่
“จะยังไงก็ช่างรีบลุกเถอะเพคะ ต้องรีบไปเข้าเฝ้าแล้ว”
“แล้วจะทำอย่างไรกับเด็กน้อยผู้นี้?” เจ๋งเทียนถาม
“คงต้องพาไปไว้ที่จวนท่านแล้ว จะเข้าฝ่ายในได้อย่างไร? ที่จะบอกกล่าวก็คือเรื่องนี้แหละ”
“ตกลง”
*********************************************
เมื่อให้เสี่ยวชิงหลอกล่ออิงน่ำหลิงไว้ที่จวนแล้ว เจ๋งเทียน พร้อมทั้งสตรีทั้งสองจึงรีบไปเข้าเฝ้า
“ถวายบังคมฝ่าบาท และ ไท้เฮาขอจงทรงพระเจริญหมื่นหมื่นปี”
“พวกเจ้าลุกขึ้นได้” ผู้กล่าววาจาเป็นบุรุษเปี่ยมสง่าราศี สวมใส่ชุดมังกรย่อมเป็นองค์ฮ่องเต้
ด้านข้างนั่งไว้ด้วยสตรีวัยกลางคนทว่ามีใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสอีกทั้งมีเค้า คล้ายองค์หญิงลี่หงยิ่งนัก ย่อมเป็นองค์ไท้เฮา แม้กระทั่งแววตากลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ยังเหมือนกันยิ่งนัก
“เจ๋งเทียน มานั่งข้างๆข้าเร็ว” ไท้เฮาเรียกบุรุษหนุ่มไปนั่งข้างๆอย่างชื่นชม
“เสด็จย่า เจ๋งเทียนนั้นเป็นของข้า” ลี่หงรีบมาขวางไว้ จึงลงท้ายที่ว่า เจ๋งเทียนจำต้องนั่งตรงกลางระหว่างสตรีทั้งสอง
“ไม่เจอกันกันนานเจ๋งเทียนที่น่าเอ็นดูยังคงน่าดูเช่นเดิม” ไท้เฮาเอียงศีรษะซบไหล่อ๋องหนุ่มเยี่ยงเด็กสาว เพื่อจะยั่วยุให้ลี่หงโกรธ
“มิกล้า ไท้เฮาชมเกินไปแล้วพะยะค่ะ” เจ๋งเทียนนั้นยิ้มรับเงียบๆด้วยความเคยชิน เนื่องด้วยตนตกเป็นเครื่องเล่นขององค์ไท้เฮาตั้งแต่แรกเกิด เนื่องด้วยมารดาที่แท้จริง พระสนมเซียงเคยเป็นนางกำนัลที่องค์ไทเฮารักใคร่เยี่ยงน้องสาว
นับแต่เกิดมาจึงนับว่าได้รับความเอ็นดูจากไทเฮาตลอดมา
จวบจนอ๋องจงหลง หรือองค์ฮ่องเต้ในปัจจุบันบุตรที่แท้จริงขององค์ไทเฮา มีพระธิดาคือองค์หญิงลี่หง ผู้มีรสนิยมเช่นเดียวกันกับไทเฮา แม้แต่เรื่องการชอบกลั่นแกล้งผู้คน เจ๋งเทียนจึงตกเป็นเครื่องเล่นของลี่หงสืบมา จนกลายเป็นคู่หมั้นเมื่อใดก็สุดจะจำ
“ฟังว่าไต๊ซือคงเสียน ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษจริงหรือไม่?”
“เรียนฝ่าบาท เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นของเสี่ยวลิ้มยี่นั้นไม่ถ่ายทอดให้ศิษย์ฆารวาส แม้หม่อมฉันจะฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสตั้งแต่จำความได้
ซือแป๋ก็มิได้คิดจะถ่ายทอดให้อย่างใด เคราะห์ร้ายที่ หม่อมฉันถูกงูพิษร้ายแรงกัด เพื่อรักษาชีวิตมนุษย์ซือแป๋จึงกรุณาถ่ายทอดวิชานี้ให้ไม่นับเป็นกรณีพิเศษ อย่างใด”
“ดี จะอย่างไรก็ช่างเถอะ เจ้าแสดงฝีมือให้พวกเราดูดีหรือไม่?” ผู้กล่าวย่อมเป็นไทเฮา
“เสด็จแม่จะดีเหรอพะยะค่ะ” ฮ่องเต้ทัดทานผู้เป็นมารดา
“ดีสิเสด็จพ่อ เร็วเข้าเจ๋งเทียนท่านรีบออกไปแสดงฝีมือ” ลี่หงกล่าว
“ข้าว่าควรจะประลองยุทธ์เลยจะดีกว่า ฮ่องเต้ส่งของเจ้าที่ฝีมือดีที่สุดมาสู้กับหลานเขยข้าเร็วเข้า”
“โธ่ เสด็จแม่” ฮ่องเต้อุทธรณ์ ผู้เป็นมารดาเมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จจึงพยักหน้าให้หัวหน้าราชองครักษ์ออกมาต่อสู้
บุรุษผู้นี้มีผมสีแดงเพลิง แววตาคมกริบ ใบหน้าคมสัน กลับเป็นบุรุษที่ ทำร้ายเจ้าเจ๋งฟ่ง!!!!!
สายตาสีสนิมจนแดงเรื่อคล้ายโลหิตนั้นมองตรงมายังเจ๋งเทียนชวนหวาดหวั่น
กระนั้นอ๋องหนุ่มก็ยังรู้สึกว่าคลับคล้าย คุ้นตายิ่ง จึงผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนผายมือเชื้อเชิญ
พลางพริ้วกายสู่กลางน้ำทรงตัวไว้เพียงบนดอกบัวหนึ่งดอกที่โผล่ขึ้นมา จุดประสงค์เพื่อเป็นการรวบรัด
การต่อสู้อันมิพึงประสงค์เพราะหาก อีกฝ่ายข้ามมาไม่ได้ย่อมเท่ากับว่าการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงทันที
เรียกเสียงโห่ร้องจากบรรดาสตรีในวังซึ่งย่อมได้รับการอบรมอย่างดีได้ ในที่นี้คือ ไท้เฮา และ ลี่หง
อย่างเกรียวกราว ฮ่องเต้ยังถึงกับ พยักหน้าอย่างชื่นชม
มิคาดบุรุษอีกฝ่ายนั้นกลับ เหยียบเพียงปลาที่กระโดดขึ้มบนผิวน้ำ แล้วอาศัยแรงสะท้อนนั้นจู่โจมใส่
เจ๋งเทียน จนมิอาจทรงตัวบนดอกบัวได้อีก จึงพริ้วกายหลบ และใช้ออกด้วยฝ่ามือวัชชิระ อันเป็นกระบวนท่าประจำสำนัก
อีกฝ่ายสะบัดฝ่ามือขึ้นรับทันควัน จึงได้พบว่าองครักษ์ผู้นึ้มีกำลังภายในกล้าแข็งยิ่ง หากแต่เมือพิจารณาจากท่าร่างแล้ว
กลับคล้ายว่าจงใจอำพรางที่มา และสำนักอันแท้จริง เมื่อผ่านไป 70 กระบวนท่าจึงได้กลับมาประลองฝ่ามือ
ทำให้ต้องประลองพลังวัตรไปในตัว ทั้งคู่ทรงกายอยู่บนใบบัว ใบนั้นนิ่งยิ่งทว่ากระแสน้ำรอบบริเวณกลับเป็นระลอกสูง
ซัดเข้าหาฝั่งจนแทบจะกลบฝังเก๋งกลางน้ำอันเป็นที่ประทับ เจ๋งฟ่งเห็นดังนั้นจึงใช้ออกซึ่งกำลังภายในอีกสามส่วน
เพื่อสะบัดหลุดจากการประมือแสดงให้เห็นกำลังภายในที่แท้อันลึกสุดหยั่ง แล้วพริ้วกายไปกั้นกลางระหว่าง
เก๋งน้อย และ ระลอกคลื่น เพียงสะบัดแขนเสื่อระลอกน้ำนั้นก็สลายไป เป็นที่น่าชมเชย จนฮ่องเต้ เอ่ยปากว่า
มิต้องต่อสู้ต่อไปเพราะถือว่าเจ๋งเทียนได้แสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมให้ชมเชยจนหนำใจแล้ว
บุรุษผู้นั้นจึงกลับไป ประจำตำแหน่งอย่างสงบ ทิ้งความสงสัยในฝีมือที่แท้จริงให้เจ๋งเทียนครุ่นคิด
*************************
ขากลับมาจากวังหลวงจึงได้พบเห็นนักศึกษาผู้เคยไล่จับ น่ำหลิงเดินอยู่บริเวณเมืองหลวง
แต่ด้วยมี ลี่หง และ ซ่งเหมยติดตามมาด้วย จึงไม่สามารถปลีกตัวได้
เมื่อกลับมายังจวนอ๋องจึงได้พบว่า อิงน่ำหลิงยังคงเล่นอยู่กับพวกเสี่ยวชิง
ลี่หงรีบปรี่เข้าไปเล่นกับ เด็กน้อยผู้เป็น ของเล่นใหม่ของนาง โดยมีซ่งเหมยตามไป
เจ๋งเทียนจึงส่งจัดโต๊ะในสวน ส่วนเรื่องที่กังวลกลับพบว่า มิมีปัญหาอันใด
เพราะ อิงน่ำหลิง พูดจา แปะปะยิ่ง และเหมือนตัวมันสังเกตได้ว่า เจ๋งเทียนมีความแตกต่าง
จากเจ๋งฟ่งเล็กน้อย มันจึงมิได้ใส่ใจเจ๋งเทียนอีก เวลาส่วนใหญ่จึงถูกลี่หง ล่อหลอกด้วยขนม
เป็นที่สนุกสนาน
**************************
ในยามราตรีดึกสงัดในนครต้าตู บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ โลดเล่นไปบนหลังคาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
เงาร่างสีดำทมิฬลอบเข้าไปยังวังหลวงที่มีการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดยิ่ง
จุดมุ่งหมายคือตราลัญจากรที่อยู่ในห้องทรงอักษร มันได้คืบคลานเข้าไปใกล้ยิ่งจนเมื่อกำลังจะ
สัมผัสถูกตรากลไกป้องกันพลันทำงาน ห่าเกาทัณฑ์นับร้อยดอกถูกระดมยิงออกมาจากผนัง
คบไฟนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้นจนสว่างสไหวคล้ายดังกลางวัน ทหารยามนับพันกรูกันมาล้อมรอบบริเวณ
ร่างสูงใหญ่นั้นพริ้วกายหนีขึ้นบนหลังคา เสียงจันทร์สะท้อนให้เห็นเสี้ยวหน้าที่สวมใส่ไว้ด้วยหน้ากากทองคำ
แลดูคล้ายภูตพราย สร้างความเหน็บหนาวที่กลางหลัง จนต้องสยิวกายแก่ทุกผู้คน
หลังจากวันนั้นยังคงมีคดีที่ก่อโดย บุรุษสวมหน้ากากทองนั้นอีกมากมายรวมทั้งการลอบสังหาร
จนเป็นที่หวาดกลัวแก่ประชาชน แม้แต่เจ๋งเทียนยังถูกเรียกให้เข้าวังเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ฮ๋องเต้
บรรยากาศทั่วเมืองล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัว แม้กระทั่งหอนางโลมยังต้องปิดกิจการแต่หัวค่ำ
นาม ปีศาจหน้าทอง ถูกนำมาเรียกขานมัน ขุนนางใหญ่หลายคนถูกลอบสังหาร จนเกิดความปั่นป่วนไปทั่ว
ทางการนั้นให้รางวัลนำจับสูงยิ่ง จอมยุทธ์ทั้งหลายจึงออกตามล่าเป็นที่โกลาหล กระนั้นก็มิมีผู้ใดรอดกลับมา
เสี่ยวลิ้มยี่จึงออกหน้า หาผู้ที่แข็งแกร่ง ไปจัดการมัน
...งานชุมนุมชาวยุทธ์ จะมีขึ้นอีก สามเดือน ...
**********************************
เจ๋งเทียนติดตามด้วยลี่หงและคณะ เร่งรีบเดินทางสู่เขาซงซัวอันเป็นที่ตั้งค่ายสำนักยิ่งใหญ่ทีสุดในแผ่นดินนาม เสี่ยวลิ้มยี่
เดิมทีเจ๋งเทียนคิดปลีกตัวมาเงียบๆ แต่ถูกลี่หงพบเสียก่อน จึงดื้อรั้นติดตามมาเที่ยวชมเทศกาลชาวยุทธ์ พร้อมเหมยลี่ และ อิงน่ำหลิง
เจ๋งเทียนในฐานะศิษย์เอกของไต้ซือคงเสียนผู้เป็นเจ้าอาวาส รับหน้าที่ดูแลจัดการงานชุมนุม แต่ปิดบังฐานะที่แท้จริงจึงเพียงสวมชุดผ้าป่านเยี่ยงภารโรงผู้ดูแลวัดเท่านั้น
ลี่หงด้วยความเบื่อหน่ายในการตระเตรียมงาน จึงพากันไปเที่ยวชมธรรมชาติบริเวณเขาซงซัว โดยการดูแลของ นางกำนัลทั้งสี่แห่งจวนเจ๋งเทียน โดยเฉพาะเสี่ยวจูนั้นยินดียิ่ง ที่ได้กลับมาพบกับ น่ำหลิง
บรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างทยอยเดินทางมาพักแรม จนโรงเตี้ยมบริเวรรอบข้างนั้นแน่นขนัด เตรียมพร้อมขึ้นเขาในวันพรุ่ง
เจ๋งเทียนพักแรมยังวัด แต่แวะมาดูแลลี่หงและคณะยังโรงเตี้ยม นอกจากนั้นยังให้กองทหารจำนวนหนึ่งตั้งค่ายรอบเขาเตรืยมพร้อม
ลี่หง นั้นเฝ้าชมชาวยุทธ์จากด้านบนของโรงเตี้ยม อย่างตื่นตายิ่ง เมื่อเจ๋งเที่ยนแวะมาจึงได้รับประทานอาหารเย็นร่วมกับนาง และ เหมยลี่ น่ำหลิง โดยมีพวกเสี่ยวจูนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ คอยดูแล โดยรวมแล้วจึงจัดว่าสะดุดตายิ่ง
พลันเสียงพูดคุยเงียบเสียงลง ทุกผู้ละสายตาหันไปมองบริเวณประตูทางเข้า
เป็นสตรีโฉมสะคราญ ถึงขนาด เหมยลี่ผู้งดงาม ยังอดมองตามมิได้ เดินเข้ามาพร้อมกับ เหล่าองครักษ์
ท่าร่างของนางนั้นสูงศักดิ์ประหนึ่งราชนิกูล กระทั่ง องค์หญิงอย่างลี่หง ยังอดละอายกิริยาตน
เจ๋งเทียนลอบมองอย่างสนใจ ความงามก็มีส่วนอยู่ ทว่าท่าร่างขององครักษ์ กลุ่มนี้มีวรยุทธ์สูงยิ่ง และ โดยเฉพาะร่างสูงใหญ่ที่สวมหมวกฟางอำพรางใบหน้า
เมื่อดูแลให้พระคู่หมั้นและคณะเข้าที่พัก ร่างสูงกลับขึ้นเขา ระหว่างทางพบเห็นเหตุการณ์น่าสนใจ
เงาร่างรีบเร่งหลายร่าง ทะยานหายเข้าไปในแนวป่า เจ๋งเทียนลอบติดตาม เป็นกลุ่มขอทานแห่งพรรคกระยาจกประชุมกันถึงมติในวันพรุ่งนี้
ขณะหมายจากไป กลุ่มประชุมนี้กลับถูกโจมตี เจ๋งเทียนรั้งดูสถานการณ์ห่างๆ
ผู้จู่โจมมีสี่ถึงห้าคน อำพรางใบหน้าและแต่งกายด้วยชุดดำ ฝีมือสูงยิ่ง อีกทั้งผนึกกำลังกันใช้ค่ายกลที่ซับซ้อนแปลกมิเคยพบเห็นมาก่อน
บรรดาขอทานต่างปั่นป่วน จนในที่สุดไม้ท้าตีสุนัขกลับถูกขโมยไปได้ สร้างความโกลาหลยิ่งนัก
ความคิดเห็น