ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF.EXO | R U N ◇ chanbaek / kaido / hunhan

    ลำดับตอนที่ #7 : Rubble and Ruin: Chapter 6 | chanyeol x baekhyun

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.06K
      3
      14 ม.ค. 56

    rubble and ruin

    chanyeol x baekhyun / pg-15 / angst, fluff, flashback included

     

     

    *

     

    Chapter 6

     

     

    อะไรที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเราไม่สามารถลบออกไปได้

    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สามารถเลือนรางลงได้เช่นเดียวกัน

     

     

    แบคฮยอนไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังจ้องอะไรอยู่แต่เขารู้สึกตัวอีกทีเมื่อชื่อของเขาหลุดออกมาจากปากเพื่อนร่วมง่านคนใหม่ ชายหนุ่มตัวเล็กพยักหน้าขานรับพลางเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะเข้าสู่แฟ้มสีขาวใสอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพาร่างของตนไปที่โต๊ะของหัวหน้าแผนกตามที่เขาได้รับสั่ง

     

    “บยอนแบคฮยอนใช่มั้ย?”

     

    “ครับ”

     

    “อืม ฉันคิมซูยอน ทุกคนที่นี่เรียกฉันว่าหัวหน้าคิม ทำตัวตามสบายเลย”

     

    ร่างบางลากเก้าอี้ออกมาอย่างเบามือเพื่อป้องกันเสียงเสียดสี เขาจัดการท่านั่งของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเงยหน้ารับสายตาต้อนรับของผู้หญิงมีอายุในชุดสูทเรียบหรูที่นั่งอยู่ตรงข้าม

     

    “ฉันได้อ่านจดหมายจากคุณควอน หัวหน้าแผนกที่บริษัทเก่าของคุณและจากที่ฉันไล่ดูผลงานของคุณ บอกตามตรงว่ามันน่าประทับใจทีเดียว”

     

    “ขอบคุณมากครับ” แบคฮยอนยิ้มตอบ

     

    “...แต่ถ้าไม่ว่าอะไร ฉันขอถามคุณได้มั้ยว่าทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงาน?”

    ทันทีที่เสียงแหบแห้งนั่นเงียบลงสีหน้าของชายหนุ่มก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ รอยยิ้มที่เจืออยู่บนใบหน้าหล่อบาง ๆ บัดนี้กลับหลงเหลือเพียงริมฝีปากบางทั้งสองที่เม้มเข้าหากัน อีกฝ่ายที่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันก็รู้ทันทีว่าคำถามที่เธอยิงออกไปนั้นสร้างความลำบากใจให้แก่อีกฝ่าย ด้วยความที่หล่อนเองก็ไม่ใช่คนฝักใฝ่ในอดีตของคนอื่น หัวหน้าคิมจึงตัดสินใจปล่อยคำถามข้อนี้ให้มันติดค้างอยู่อย่างนั้น

     

    “เอาเถอะ ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าอยู่ที่นี่หน้าที่ของคุณคือทำงานที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุล่วง จำไว้เสมอว่าพวกเราที่นี่เป็นทีมเวิร์คเดียวกัน มีอะไรก็ถามพนักงานคนอื่น ๆ ที่พอมีประสบการณ์ได้ไม่ต้องเกรงใจ การปรับตัวให้เข้ากับที่นี่คงไม่อยากเกินไปสำหรับคุณ อ่อ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริษัทของพวกเรานะคะ”

     

    ฝ่ามือบางจับมือของอีกฝ่ายอย่างหนักแน่นก่อนจะโค้งคำนับหัวหน้าคนใหม่ของเขาตามมารยาท จังหวะเดียวกันที่ประตูแง้มออกเสียงของอีกคนในห้องก็ดังขึ้น

     

    “อะไรก็ตามที่มันผ่านมาแล้วก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้น แบกมันเอาไว้ก็มีแต่จะหนักเราเปล่า ๆ นะ คุณบยอน”

     

     

    *

     

     

    “นี่.. เธอก็ไปสิ!”

     

    “อะไรเล่า! ก็ฉันกลัวนิ...

     

    แบคฮยอนกำลังจัดการแซนวิชแซลมอนรมควันที่อยู่ในอุ้งมือทั้งสองอย่างเอร็ดอร่อย ร่างบางจึงไม่ทันสังเกตุสาวที่มัวแต่ยืนเถียงกันเกือบสิบนาทีจนคนทั้งฟู้ดเล้าจ์ของบริษัทต่างพากันเพ่งความสนใจ จนแซนวิชชิ้นโตถูกกัดกินเรียบเหลือเพียงกระดาษห่อหุ้ม แบคฮยอนจึงหันไปหาต้นเสียงจ๊อกแจ๊กที่ดังขึ้นตั้งแต่คำแรก สองสาวถึงกับยืนอึ้งกับสายตาของคนที่พวกหล่อนต่างสนอกสนใจ

     

    “เอ่อ… พวกเราขอ… นั่งตรงนี้ได้มั้ยคะ?” ในที่สุดหญิงสาวผมยาวประบ่าก็ชิงตัดหน้าเพื่อนสาวอีกคนพูดก่อน

     

    “เชิญตามสบายครับ”

     

    ถึงพวกหล่อนจะพยายามซ่อนความดีใจไว้แค่ไหนแต่ชายตามองท่าทางของสองสาวแวบเดียวก็รู้ แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะจัดแจงที่นั่งกันได้ ชายหนุ่มค่อย ๆ พยุงร่างของตัวเองขึ้นมาจากที่นั่ง มือนึงกำกระดาษาห่อแซนวิชที่ว่างเปล่าส่วนอีกมือถือแก้วกาแฟกระดาษที่ปกคลุมด้วยฝาพลาสติกสีขาว หญิงสาวสองคนได้แต่มองหน้าซึ่งกันและกันด้วยความสงสัย

     

    “แล้วนั่น.. คุณจะไปไหนเหรอคะ?”

     

    “อ่อ ผมกินเสร็จแล้วหล่ะครับ ขอตัวนะครับ”

     

    แบคฮยอนส่งยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับสองสาวจนทั้งคู่ต่างหลงเข้าไปในเสน่ห์ของพนักงานใหม่คนนี้อย่างลืมหูลืมตาจนกระทั่งร่างบางหายวับออกจากฟู้ดเล้าจ์ทั้งสองจึงเริ่มโบ้ยความผิดให้ซึ่งกันและกัน

     

     

     

     

    “เพื่อนกูนี่เสน่ห์แรงไม่เปลี่ยนเลยเว้ย”

     

    เสียงของชายหนุ่มนิรนามดังขึ้นจากอีกทางหนึ่งของประตูกระจกบานยักษ์ เจ้าของเรือนผมสลวยที่บัดนี้ถูกระบายไปด้วยสีเทาเมทัลลิกในชุดเสื้อเชิ้ตแขยบาวปริ้นท์ลายสีน้ำเงินเข้มดูมีราคาและกางเกงสีดำขลับที่ถูกรีดจนเรียบไร้รอยยับที่ขับขายาวเรียวทั้งสองให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก พนักงานหญิงที่เดินเข้าออกประตูอดไม่ได้ที่จะสะดุดสายตาเข้ากับชายหนุ่มรูปหล่อที่นำความเข้าสมัยกับความหรูหรามีระดับผสมเข้ากันอย่างไร้ที่ติ แบคฮยอนเห็นดังนั้นก็ได้แต่แค่นหัวเราะออกมาเสียงดัง ควรจะเป็นเขามากกว่าละมั้งที่ต้องพูดคำพูดจากปากเพื่อนรักคนนี้แทน

     

    “มึงเห็นเหรอไอ้ฮุน?”

     

    “เออสิ เห็นแล้วนึกถึงตอนเข้ามอต้นใหม่ ๆ ที่แม่งมีแต่หญิงมารุมตอมมึงแล้วมึงก็เอาแต่บอกปัดอย่างโน้นอย่างนี้ ทุ้ย หมั่นไส้”

     

    “โห่ ว่าแต่กู แล้วมึงอ่ะ เห็นแนะนำแฟนแต่ละคนตอนมอต้นนี่ไม่ซ้ำหน้าซักครั้ง เสือกยังจะไปม่อเพิ่มอีก”

     

    “เออ ๆ กูก็เหี้ย มึงก็เหี้ย เจ๊ากันละพอ ๆ ขี้เกียจเถียง”

     

    “แล้วมึงมาทำไม งานการมีไม่ทำ?”

     

    “มีดิวะ เห็นกูเป็นอะไร แต่มีธุระด่วนกับมึงเลยรีบบึ่งมานี่แหล่ะ”

     

    แบคฮยอนรู้สึกได้ถึงเครื่องหมายปรัศนีตัวใหญ่เบ้อเริ่มบนหน้าของเขา ชายหนุ่มทั้งสองตัดสินใจไปเปิดหัวข้อบทสนทนาที่คาเฟ่เล็ก ๆ แถวบริษัท

     

     

     

    “ตกลงมึงมีอะไรจะคุยกับกู?”

     

    ซองกระดาษสีขาวถูกวางไว้บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีก่อนจะถูกส่งไปให้อีกฝ่าย มือเรียวทั้งสองจัดการเปิดผนึกซองอย่างไม่รีบเร่งแต่เห็นรายชื่อของคนสองคนตรงกลางหน้ากระดาษแข็งก็วางมันลงบนโต๊ะที่เดิมพลางช้อนสายตาเย็นยะเยือกขึ้นมาจงใบหน้าหล่อฝั่งตรงข้าม

     

    “นี่ขนาดผ่านมาแล้วเจ็ดเดือนแล้วกูยังต้องได้ยินชื่อพวกนี้อีกเหรอเนี่ย”

     

    “ตอนที่มันมาเอาให้กูที่ออฟฟิศ กูก็ปฏิเสธมันไปแล้วว่ามึงคงไม่มาแต่กูเห็นหน้ามันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนั้นกูเลยจำใจเอามันมาให้มึง อย่างน้อยให้มึงได้เห็นบัตรเชิญก็พอแล้ว”

     

    “หึ แล้วมึงคิดว่ากูจะหน้าด้านไปงานมันมั้ยล่ะ?”

     

    “มึงไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ก็แค่นั้น ธุระของกูก็มีเท่านี้แหล่ะ”

     

    เซฮุนยกแก้วเซรามิกสีงาช้างเพื่อที่จะซดชาดาร์จีลิ่งข้างในรวดเดียวหมด เสียงแหลมออกแหบนิด ๆ ตะโกนเรียกพนักงานเพื่อเช็คบิล ในขณะที่ร่างบางค่อย ๆ ตักทาร์ตมะนาวเข้าปากอย่างละเมียดละไมโดยไม่กลับไปแยแสกระดาษแข็งสีสว่างข้างจานอีกเลย ทันทีที่เศษแป้งทาร์ตที่ตกลงหล่นจากการหันเป็นคำเล็ก ๆ ถูกเอาเข้าปากซะเรียบ พนักงานคนหนึ่งก็เดินมาอีกครั้งพร้อมกับใบเสร็จและเงินทอน ร่างเพรียวสูงมองไปที่เพื่อนรักของตนเองอีกครั้งแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดใด ๆ เขาจึงลุกออกมาจากเก้าอี้ไม้สีหม่นที่ถูกรองด้วยหนังวัวสีครีมนวล ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะปราศจากคำบอกลา เขาก็ตัดสินใจหันหัวรองเท้าเดินออกจากโต๊ะทันที แต่แล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงของร่างบางที่นั่งอยู่เอ่ยขึ้น

     

    “กูควรจะไปทำให้ทุกอย่างมันจบลงสวย ๆ ใช่มั้ย?”

     

    ใบหน้าหล่อคมหันไปปะทะด้านข้างของใบหน้าหวานั้นก่อนที่จะเบี่ยงหันเข้ากับกระจกร้านทิ้งเพื่อนรักของตนให้จ้องมองที่เขาอยู่อย่างนั้น

     

    “มึงกลับไปพูดอะไรที่มึงทิ้งเอาไว้ตอนมึงเดินจากมันไปวันนั้น รวมไปถึงวันอื่น ๆ ที่มึงอยากจะพูดอะไรแต่มึงไม่ได้พูด ทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้กับมันซะ ชีวิตมึงจะได้ไม่ต้องทนเก็บอะไรที่มึงไม่อยากเก็บอีกแล้ว”

     

    .

    .

    .

    “บทส่งท้ายทั้งที จบให้มันสวย ๆ หน่อยละกัน”

     

     

    *

     

     

    ชุดสูทสีดำเรียบในห่อพลาสติกกันฝุ่นถูกวางพาดลงบนเตียงขนาดควีนไซส์อย่างลวก ๆ เขาจำได้ว่าคุณพ่อของเขาเป็นคนสั่งตัดสูทตัวนี้กับเขาสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงของบริษัท ร่องรอยของแชมเปญที่เขาเผลอทำหกเพราะความซุ่มซ่าม แม้จะเหลือให้เห็นแต่เขาก็ยังจำตำแหน่งของมันได้เป็นอย่างดี

     

    ร่างบางเดินไปเปิดประตูกระจกแบบเลื่อนก่อนเท้าเปลือยจะสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่เคลือบอยู่บนพื้นผิวกระเบื้องเขามองลงไปที่ประกายแสงไฟข้างล่าง ถนนแต่ละสายหดเล็กเหลือขนาดเท่ากับเส้นไหมพรมเส้นหนา บ้านแต่ละหลังทับซ้อนกันตามส่วนโค้งของเนินเขา ถ้าเพ่งพินิจดี ๆ ก็จะเห็นตัวคนเล็ก ๆ เหมือนมดเดินไปมาตามถนนด้วย

     

    ทิวทัศน์จากห้องบนชั้น 15 ของอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงวิวจากระเบียงชั้นเรียนของเขาสมัยมัธยม พระอาทิตย์ถูกฉาบด้วยสีแสดไล่ไปถึงสีครามจนหายไปครึ่งดวง บ้านหลังน้อยนับสิบและอาคารชั้นเล็ก ๆ ที่เรียงกันเป็นแถวไม่ค่อยจะเป็นระเบียบซักเท่าไหร่

    ถ้าในวันนั้นเขาเพ่งสายตามองลงไปดี ๆ ผ่านสนามหญ้าใหญ่ ทางเดินคอนกรีตและป้อมยาม ไปจนถึงประตูทางเข้าของโรงเรียน

     

    เขาอาจจะเห็นใบหน้าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่พร้อมกับกลุ่มผมสีสว่างนั่น ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังนึกครุ่นคิดไปมากับสิ่งที่ตัวเองกระทำอยู่ เขาควรจะเดินกลับบ้านไปได้แล้วเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้น อาจเพราะความรู้สึกผิดหรืออะไรอย่างอื่น แบคฮยอนเองก็ไม่เคยนึกอยากรู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เขาคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเขาเดินลงไปตอนนี้เงาเลือนลางของร่างสูงจะปรากฏให้เขาเห็น เขารู้อยู่แก่ใจดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นได้แค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่ในเวลานั้นที่เขาเดินลงไปเจอเด็กหนุ่มคนนั้น แสงอาทิตย์ส่องกระทบดวงตากลมใสและสีผมเด่ดสะดุดตานั่น รวมไปถึงฟันขาวที่ถูกเผยให้เห็นครบทุกซี่ ภาพนั้นยังคงติดตรึงในหัวใจของเขาตอนนี้

     

    แบคฮยอนนึกขำตัวเองที่โบ้ยความผิดให้กับอากาศร้อนจากเหตุที่พวงแก้มทั้งสองของเขาขึ้นสีเลือดฝาด เพราะความเป็นเด็กด้อยประสบการณ์ เขาจึงไม่รู้เลยว่าตอนนั้นตัวเขาเองกำลังขวยเขินนักเรียนใหม่คนนั้น

     

    วันเวลาทำหน้าที่ของมันคือเดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดนิ่งและไม่ยอมเดินถอยหลัง เด็กหนุ่มคนนั้นเติบมาเป็นหนุ่มร่างสูงใหญ่ เรือนผมถูกเปลี่ยนสีให้สุภาพขึ้นตามอายุ มันถูกปล่อยยาวบ้าง ตัดสั้นลงบ้างหรือดัดให้เป็นลอนหยิก แต่ไม่ว่าจะทรงไหน ๆ ก็เป็นทรงผมโปรดของแบคฮยอนทั้งสิ้น รวมไปถึงสไตล์การแต่งตัวและรสนิยมในเรื่องอื่น ๆ ตัวเขาเองก็คงเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อยเช่นกันเดียวกัน

    มันอาจจะดีขึ้น มันอาจจะแย่ลง

    เราอาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก

    อาจจะชอบหรืออาจจะไม่ชอบ

    อาจจะแก้ไขได้หรืออาจจะไม่ได้เลย

    แต่ที่แน่ ๆ คือทุกอย่างมันเปลี่ยนไป

     

    ความโกรธต่อตัวชานยอลนั้นยังไม่เปลี่ยน นั่นคือสิ่งที่เขามั่นใจ เขาโกรธแค้นและชิงชัง ชีวิตนับจากวันนั้นของเขาจมดิ่งลง เขาย้ายออกจากห้องเช่านั่น ลาออกจากมหาลัย ต้องอยู่ฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อท่างกลางคำด่าทอต่าง ๆ มากมายต่อการตัดสินใจของเขา แบคฮยอนกลายเป็นแกะดำในบ้าน เป็นทายาทคนเดียวที่ไม่ได้ขึ้นแท่นเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว นั่นทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังต่ออนาคต แต่ก็ยังไม่เจ็บปวดใจเท่ากับเรื่องราวที่ผ่านมา

     

    เวลาเยียวยาทุกอย่าง ครอบครัวของเขาปฏิบัติกับเขาดีขึ้น โชคยังเข้าข้างแบคฮยอนที่น้าของเขาเห็นความตั้งใจในการทำงาน บวกกับความานะทำให้เขาได้เข้าทำงานเป็นพนักงานในบริษัทอันดับต้น ๆ ของเอเชีย คุณพ่อคุณแม่ของเขาก็ต่างรู้สึกปลื้มปิติรวมถึงญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสุขของเขาเพิ่มขึ้น

     

    จนวันที่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง มันกลับยิ่งตอกย้ำว่าความรักที่เขาหวังว่ามันจะเปลี่ยนไปกลับยังคงอยู่ที่เดิม ทีแย่ไปกว่านั้นคือมันกลับเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะดีใจที่ชานยอลจะได้เดินออกจากชีวิตของเขาอย่างเต็มรูปแบบ เขากลับรู้สึกตรงกันข้าม เขานึกอยากจะร้องไห้ออกมาเพราะความเจ็บปวดที่โดนกรีดแทงด้วยคำพูดเหล่านั้น

    ที่ได้เห็นชานยอลมีความสุขกับคนอื่น ไฟแค้นยังลุกโชนแต่ไฟรักนี่กลับลุกเพิ่ม น้ำตาหลายสิบลิตรถูกหลั่งออกมาไม่รู้จบ

     

    น้ำตาที่ไหลอยู่ตอนนี้เองก็เป็นหยดที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบ หัวใจที่เย็นสะท้านและสั่นระริกตอนนี้ไม่ใช่เพราะสายลมที่พัดผ่าน แต่เพราะความทรงจำต่าง ๆ มากมายค่อย ๆ ถาโถมใส่

     

    ถ้าถามแบคฮยอนว่า ณ วินาทีนี้เขายังรักชานยอลอยู่มั้ย เขาคงได้แต่พยักหน้าพร้อมกับใบหน้าที่อาบด้วยน้ำใส ๆ ที่หลั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งคู่ เขาเคยคิดอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งต่าง ๆ แต่หากถามเขาตอนนี้ เขาคงส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปแก้ที่จุดไหน จะกลับไปด่าทอชานยอลก่อนจะเดินออกไปงั้นเหรอ? จะกลับไปตอนที่สอบเข้ามหาลัยเพื่อที่จะเปลี่ยนมหาลัย ทั้งเขาและชานยอลคงจะไม่ได้เจอจียอนงั้นเหรอ? จะกลับไปปฎิเสธที่จะคบกับชานยอลงั้นเหรอ? หรือจะไปปรับความเข้าใจกับชานยอลว่าความรักของพวกเขามันยังมั่นคงและไม่มีอะไรที่พวกเขาจะต้องกลัว? มันจะเป็นประโยชน์อะไรในเมื่อมันเป็นความผิดของเขา เพราะนิสัยของเขา เพราะตัวตนที่เขาเป็น และเพราะสิ่งที่ชานยอลเป็น แต่มันก็คงจะสายไปอยู่ดี

     

     

    บยอนแบคฮยอนคนนี้จะเหลือทางเลือกอะไรอีก

    นอกจากปล่อยให้เวลาเป็นตัวตัดสิน




    *
    100%


     

     

    รถแท็กซี่คันสีดำมันเงาต้องแสงจันทร์ขับเคลื่อนอย่างเนิบนาบและหยุดลงที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ประตูบานใหญ่ถูกตกแต่งอย่างวิลิศมาหราด้วยกระจกและคริสตัลระยิบระยับ บริเวณด้ายซ้ายมือมีผู้ชายคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบคนเฝ้าประตูประดับข้าง ชายหนุ่มร่างเล็กเดินออกมาจากยานพาหนะโดยมีผู้ชายในชุดเครื่องแบบอีกคน(ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นพนักงานต้อนรับ)เดินออกมาจากที่ไหนซักแห่งอาสาเปิดประตูรถให้ ชายหนุ่มโปรยยิ้มหวานแทนคำขอบคุณก่อนจะจัดแจงเนกไทที่ดื้อรั้นไม่ยอมอยู่กับที่ให้อยู่ในที่ ๆ มันควระยอู่ระหว่างคอปกทั้งสองของเสื้อสูทตัวนอก

     

    แบคฮยอนกวาดสายตาสำรวจสถานที่อย่างคร่าว ๆ ก่อนจะสาวท้าวไปหยุดอยู่ที่ป้ายพื้นกำมะหยี่สีเลือดหมูเลี่ยมกรอบทองคำที่ติดอยู่บริเวณผนังห้องโถงใหญ่

    งานมงคลสมรสของปาร์คชานยอลและชเวจียอน

    ห้องจัดเลี้ยง 2A ณ เวลา 19:00 – 21:00

     

    ร่างบางเหลือบมองนาฬิกาเก่าคร่ำครึที่ตั้งอยู่ด้านข้างทางเข้าสู่ห้องโถงกว้างอีกห้องที่สุดปลายทางนั้นมีประตูไม้สักบานใหญ่ตั้งตระหงาดอยู่ เขาตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้แสตนเลสตัวหนึ่งแทนที่จะเข้าไปเฉลิมฉลองกับคนทั้งสองอย่างที่เขาควรจะทำ จากที่ดูเวลามาเมื่อตะกี้คงไม่นานนักที่แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายจะทยอยเดินออกมาจากประตูบานใหญ่นั่น แบคฮยอนตัดสินใจนั่งรอให้เวลามันเดินผ่านเขาไป นาทีแล้วนาทีเล่า จนในที่สุดประตูบานยักษ์ก็แง้มออกเผยให้เห็นผู้คนมากมายที่กำลังเดินออกจากงานพร้อมกับเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจ

     

    มีเพียงกลุ่มคนเท่าหยิบมือเท่านั้นที่รู้จักว่าชายนิรนามที่นั่งอย่างหงอยเหงาบนเก้าอี้คนนี้คือใครแต่ไม่มีใครซักคนที่เดินเข้ามาทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง แน่นอนว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว แต่จู่ ๆ คุณพ่อคุณแม่ของชานยอลเดินออกมาทักทายเขาอย่างที่เขาต้องยอมรับว่าเขาคาดหมายว่าจะเกิดขึ้น บทสนทนาของพวกเขาดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยผสมกับความอึดอัดเล็กน้อยของคนอายุน้อยสุดในวงสนทนา มันอาจจะไม่ใช่การพูดคุยที่ยาวนานหรือทำให้รู้สึกวิเศษวิโสแต่แบคฮยอนกลับรู้สึกดีที่คู่รักคู่นี้เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและยังอวยพรให้กับชีวิตของเขาในภายภาคหน้าอีก ในที่สุดร่างบางก็ได้เจอเพื่อนรักของตัวเองตามคาด ครานี้เซฮุนปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มผมสีชมพูออกหม่น ๆ ที่ขับใบหน้าหล่อคมนั่นให้น่าดูชมมากยิ่งขึ้น พวกเขาพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอเพราะต่างฝ่ายต่างรู้ว่าภารกิจของคนตัวเล็กนี้ยังไม่เสร็จสิ้น ไม่นานนักร่างเพรียวบางในชุดสูทสีน้ำเงินกรมท่าของจิลล์ แซนเดอร์ก็หายวับไปกับฝูงชนอีกกลุ่มที่ปากทางเข้าห้องโถง

     

    และก็ไม่นานเกินรอที่ชายหนุ่มเจ้าของหัวใจและจิตวิญญาณของเขาจะปรากฏตัว

     

    “แบคฮยอน...”

     

    .

    .

    .

    “ดูท่าฉันจะมาสายใช่มั้ย?”

     

    “อย่างน้อยนายก็มา”

     

    ปาร์คชานยอลฉีกยิ้มกว้างที่ตอนนี้ทำเอาคนที่มองอยู่ทั้งขวยเขินและอยากจะเดินไปต่อยหน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธเกรี้ยวในเวลาเดียวกัน แบคฮยอนอดที่จะนึกชมความดูดีมีมาดของร่างสูงใหญ่ในชุดทักซิโด้ไม่ได้ สายตาจึงต้องจำใจเบนออกไปที่อื่นเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าคิดอะไรอยู่

     

    “ยัยนั่นหล่ะ?”

     

    “อยู่ข้างใน กำลังเปลี่ยนชุดกลับอยู่”

     

    “แล้วนายไม่เปลี่ยนด้วยเหรอ?”

     

    “อยากเจอนายก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไป”

     

    “ฉันไม่มีธุระอะไรจะพูดกับนายอยู่แล้ว ไปเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”

     

    ส้นรองเท้าหนังหันออกไปเตรียมจะพาร่างของตนเดินออกไปจากที่แห่งนี้ แต่เขาก็หันกลับมาอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มใหญ่ของอีกคนดังขึ้น

     

    “เดี๋ยวสิ!

     

    คนตัวสูงกว่ารีบเดินเข้ามาขวางทางอีกคนพร้อมกับแขนยาวที่กวาดออกต้อนร่างบางให้อยู่ในอาณาเขตที่เขาสร้างขึ้น  เหตุการณ์ฉับพลันนั้นทำให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองแคบลงจนใบหน้าของพวกเขาอยู่ห่างกันแค่คืบ แบคฮยอนไม่รีรอให้ตนเองเผลอไผลไปกับสายตาของคนตรงข้าม เขากระเถิบตัวออกมาจนหลุดพ้นอาณาเขตนั่นและตัดสินใจประชันสายตาอีกครั้งด้วยความเข้มแข็งทั้งหมดที่มีอยู่

     

    “ตั้งแต่ที่นายขอเลิกกับฉัน ฉันบอกตรง ๆ ว่าหัวสมองของฉันมันขาวโพลนไปหมด ฉันไม่รับรู้เสียงรอบข้าง อากาศรอบกาย พอฉันนึกขึ้นได้ว่าฉันไร้ที่ไป ขามันก็หยุดเดินซะดื้อ ๆ  ‘นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการจริง ๆ น่ะเหรอ?’ ไม่ ไม่แน่นอน ฉันไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นเรื่องจริง ฉันมั่นใจในตัวนายมากนะชานยอล แต่แล้วนายก็ทำให้ฉันผิดหวัง นายควรจะเป็นคนที่รู้จักฉันดีที่สุดแต่ตรงข้าม นายไม่รู้เลยว่าฉันคิดอะไร ว่าฉันต้องการอะไร นายเอาแต่ความขี้ขลาดอ่อนแอของนายเป็นที่ตั้ง กลัวจะทำฉันเสียใจงั้นเหรอ? กลัวว่าซักวันความอดทนของนายจะหมดงั้นเหรอ? นายแค่ทำแบบนี้ก็เพราะนายทนฉันไม่ได้ก็เท่านั้น นายแค่เดินผ่านและก็เดินผ่านไป เหมือนกับคนอื่น ๆ ในชีวิตของฉัน

     

    “จะบอกอะไรให้อย่างนึงนะชานยอล นายบอกให้ฉันออกไปตามหาความสุขของฉัน ไปตามทางของฉัน แต่ฉันจะทำได้ยังไงหล่ะชานยอล… ฉันจะมีความสุขโดยไม่มีนายได้ยังไง ในเมื่อนายคือทุกอย่างของฉัน… คือความเข้มแข็ง ความอ่อนแอ ความเศร้า ความสุข… คือชีวิตของฉัน”

     

    เสียงทุ้มเริ่มแผ่วเบาลงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ ทุกจังหวะที่เสียงนั้นสั่นระริกทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกตามอย่างเจ็บปวด ดวงตากลมทั้งสองนองอยู่ในหยาดน้ำใสที่เริ่มปริ่มพร้อมจะล้นทุกเวลา คนทั้งสองรู้สึกราวกับว่าปริมาณออกซิเจนที่มีอยู่รอบตัวหดปริมาณลง สายตาของพวกเขาผูกมัดติดกันจนแน่น ต่างฝ่ายต่างเห็นทะลุถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่กัดกร่อนหัวใจบริสุทธิ์

     

    ไหล่บางเล็กมิอาจแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทั้งความพยาบาทที่ฝังรากลึก และความจริงที่ว่าเรื่องราวของพวกเขาทั้งสองจะจบลงวันนี้ แบคฮยอนหมดแรงที่จะยืดเยื้ออีกต่อไปและถึงทำไปก็ไม่มีประโยชน์ หัวใจของชานยอลมีเจ้าของคนใหม่แล้วเรียบร้อย สิ่งเดียวที่เขานึกออกคือยอมจำนนเดินออกจากชีวิตของชานยอลแต่โดยดี

     

    “ฉันคงจะให้อภัยนายไม่ได้หรอกนะ รู้ใช่มั้ยว่าความเจ็บปวดครั้งนี้มันแสนสาหัสขนาดไหน...”

     

    ร่างบางกระเถิบเข้ามาหาอีกคนที่ยืนแน่นิ่งราวกับรูปปั้นปูน มือเล็กจัดปกชุดทักซิโด้นั่นให้เข้าที่เรียบร้อยก่อนที่จะสัมผัสถึงไออุ่นจากแผ่นอกแกร่งด้านซ้ายโดยเว้นระยะระหว่างพื้นผิวพอให้ลมพัดผ่าน

     

    “ฉันจะไม่มีวันลืมว่าครั้งนึงฉันได้เป็นเจ้าของสิ่ง ๆ นี้ และขอบคุณสำหรับอ้อมกอดและจูบในวันนั้น ถึงมันจะรักษาแผลข้างในนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่านายมันก็ไม่ได้ไร้หัวใจซะทีเดียว...

     

     “ฉันก็คงทำได้แค่นี้แหละ ขอให้นายโชคดี ปาร์คชานยอล”

     

    พวกเขาแบ่งปันความรู้สึกผ่านทางดวงตาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแบคฮยอนจะเป็นฝ่ายตัดขาด เสียงส้นรองเท้ากระทบกับพื้นดังสะท้อนรอบพื้นที่สีเหลี่ยมผืนผ้า ร่างบางเดินตรงตามทางของเขาสู่ทางออก เขาหยุดทุกการเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสียงใหญ่ของผู้ชายอีกคนลอยเข้าสู่โสตประสาท ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่ายังคงหันไปเผชิญกับทางออกด้านหน้า

     

    “ฉันคงทำได้แต่ขอโทษนายเท่านั้น แบคฮยอน”

     

    .

    .

    .

    “...ขอโทษ บยอนแบคฮยอน ฉันขอโทษ”

     

    ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานซักเท่าไหร่ ความเข้มแข็งที่มีอยู่ของเขาก็ถูกกลืนหายไปกับผู้ชายคนนี้ทุกที วันวานในอดีตฉายแว่บเข้ามาที่หัวใจอันแตกหักเป็นเศษเสี้ยว ลมเย็นของยามวิกาลยังไม่อาจพัดพาความรู้สึกนี้ไปได้แต่กลับยิ่งซ้ำเติมความเงียบเหงาให้ส่งผลรุนแรงมากกว่าเดิม รถราหายออกไปจากลานคอนกรีตกว้างพร้อมกับผู้คนมากมายเหลือเพียงแต่เสียงเงียบให้ได้ยิน ในที่สุดแบคฮยอนก็เดินออกมาจากชีวิตของชานยอลโดยสมบูรณ์

     

    ชิ้นส่วนนับร้อยยังคงแตกหักอยู่ที่เดิมของมัน

    เศษปูนพัดลอยล่องอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนสภาพเดิม

     

    คนเดียวที่สามารถผนึกชิ้นส่วนเหล่านั้นจมดิ่งไปกับความทรงจำอันเลือนราง

    และคงเหลือไว้แค่ภาพสีจาง ๆ ให้เกาะกินหัวใจอันบอบช้ำดวงนี้ต่อไป


    -

     background music  : Shine / Kim Sunggyu


    สวัสดีค่ะทุกคนนน ไรท์เตอร์ตูนมาแล้ววว
    ตอนนี้ดูสั้น ๆ เนาะตอนแรกไรท์เตอร์ก็ไม่คิดว่าจะสั้นขนาดนี้5555
    แต่พอเขียนไปเขียนมารู้สึกว่ามันยืดเยื้ออ่ะ มีแต่ดราม่าซะเปล่า ๆ 
    เอาแบบกระชับ ๆ สั้น ๆ ให้มันเจ็บแล้วจบไปซะทีดีกว่าเนาะ55555
    ข่าวดีหรือข่าวร้ายก็ไม่รู้แต่ว่าตอนหน้าก็จะถึงบทสรุปของชานแบคกันแล้วนะคะ
    (แต่ไรท์เตอร์ว่ารีดเดอร์คงเดาได้ว่าจะจบสวยไม่สวย555555)
    จบเรื่องนี้ไปแล้วอย่าลืมติดตามเรื่องหน้ากันด้วยนะ~
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นค่ะ<3

     

    © Shalunla

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×