ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF.EXO | R U N ◇ chanbaek / kaido / hunhan

    ลำดับตอนที่ #4 : Rubble and Ruin: Chapter 3 | chanyeol x baekhyun

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.22K
      1
      3 ก.พ. 56

     

     rubble and ruin

    chanyeol x baekhyun / pg-15 / angst, fluff, flashback included

     

     

    *

     

    Chapter 3

     

    “มึงผอมลงปะวะแบคฮยอน?”

     

    ประโยคแรกที่หลุดออกจากปากเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานับปีทำเอาใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของแบคฮยอนยิ่งดูห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่ นอกจากได้หยุดพักร้อนหรือโบนัสเพิ่มพิเศษจากโปรเจ็คใหญ่ ๆ แล้ว การได้เจอกับโอเซฮุน คน ๆ เดียวที่เขาสามารถเรียกได้เต็มปากว่า ‘เพื่อน’  นั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่ดีสุดสำหรับเขาเสมอ ความเหนื่อยล้าจากการงานมักจะถูกกำจัดออกไปด้วยเสียงหัวเราะที่พวกเขาแบ่งปันกันในบทสนทนา แต่วันนี้แบคฮยอนยอมรับตามตรงเลยว่าเขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน

     

    สายตาเรียวเล็กเบนผ่านกระจกของร้านอาหารเจ้าประจำเพื่อหนีสายตาห่วงใยจากคนตรงข้ามเพราะเขาไม่อยากเห็นความเวทนาผ่านดวงตาคู่นั้นและเกรงว่าหากฝ่ายตรงข้ามเห็นทะลุเข้าไปในดวงตาของเขา คนอย่างเซฮุนคงต้องมาเครียดกับเขาด้วยแน่ ๆ

     

    “ช่วงนี้กูทำงานหนักนิดหน่อยว่ะ แล้วก็มีเรื่องให้คิดนู่นนี่…”

     

    “เรื่องอะไรวะที่ทำให้มึงโทรมถึงขนาดนี้?” แบคฮยอนหันมาสบตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นในที่สุด นั่นทำให้เซฮุนรู้ว่าเรื่องที่เพื่อนรักประสบอยู่นั้นไม่ใช่ปัญหาธรรมดา ๆ แน่

     

    “แบคฮยอน บอกกู เกิดอะไรขึ้น?”

     

    “…ไม่มีอะไรหรอก กูแค่เครียดเรื่องงาน”

     

    “โหสัด งานพ่อมึง กูเป็นเพื่อนมึงมาสิบกว่าปี กูรู้หน้าแบบไหนคือเครียดเรื่องงาน หน้าแบบไหนไม่ใช่”

     

    คำตอบของเซฮุนทำให้ร่างเล็กเผลอถอนหายใจ เขาเข้าใจความเป็นห่วงของเพื่อนคนนี้ดีแต่เวลานี้เขาเองก็ยังไม่อยากพูดถึง

     

    “บยอนแบคฮยอน นอกจากกูแล้วมึงจะเหลือใครอีกวะ กูอาจจะช่วยเหี้ยอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ปล่อยมันออกมาเหอะ ระบายมันออกมากับกู”

     

    สิ้นคำพูดของร่างสูงน้ำตาที่หล่อลื่นแก้วตากลมใสก็ค่อย ๆ ไหลอาบแก้มเนียน มือนึงยกขึ้นมาปิดปากเพื่อกันไม่ให้เสียงสะอื้นดังจนเกินเหตุ ฝ่ายตรงข้ามมองคนข้างหน้าอย่างเวทนาพลางหยิบกระดาษทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะให้เพื่อนรักได้ซับน้ำตา เมื่อร่างเล็กสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็ตัดสินใจบอกปัญหาที่เกาะกินหัวใจของเขาให้คนอีกคนที่ตั้งตารอฟัง

     

    .

    .

    .

     

     

    “กูยังรักชานยอลว่ะ”

     

     

    *

     

    เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงประตูดังขึ้นตลอดเวลา ลูกค้าเดินเข้าออกจากร้านอย่างพลุกพล่านเฉกเช่นทุกวัน โดยเฉพาะเวลาบ่ายแบบนี้ที่พนักงานบริษัทที่ทำงานอยู่แถวนี้มักจะเข้ามาใช้บริการทุกวันเป็นประจำ เสียงคุยจ้อกแจ้กดังสลับไปมาอย่างน่าปวดหัวจนบางครั้งแบคฮยอนก็สั่งแบบห่อกลับบ้าน แต่ในขณะนี้แม้ระดับเสียงจากผู้คนข้างจะดังไม่ต่างจากวันก่อน ๆ เขากลับไม่รู้สึกระคายเคืองใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เข้ามาก่อกวนข้างในจิตใจเขาอยู่นั้นคือความรู้สึกสับสนที่อัดแน่นจนเขาอยากจะคว้านมันออกมาทั้งหมดให้รู้แล้วรู้รอด

     

    แม้เขาจะได้ระบายมันออกไปกับเพื่อนรักที่นั่งอึ้งมาเกือบครึ่งชั่วโมงนี้ไปแล้วแต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยซักนิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดที่เขาโพล่งออกไปกลับตอกย้ำว่าตัวเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่เขาพยายามที่จะวิ่งหลบมัน รุ้ตัวอีกทีก็ตระหนักได้ว่าเส้นทางที่เขาวิ่งอยู่นั้นมันวกกลับมาที่จุดเริ่มต้น

     

    แบคฮยอนไม่สามารถหนีความรู้สึกนี้ได้อีกแล้ว

     

    “สรุปก็คือ… ชานยอลย้ายมาทำงานที่บริษัทนายใช่มั้ย?” ร่างเล็กพยักหน้า

     

    “แต่ว่า… เขากำลังจะแต่งงาน… ใช่มั้ย?” ร่างเล็กพยักหน้าอีกครั้ง

     

    เซฮุนไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะในหัวของเขาตอนนี้ก็ขาวโพลนไม่ต่างอะไรกับแบคฮยอน ริมฝีปากบางยู่เข้าหากันก่อนจะปลดปล่อยลมหวังว่ามันจะช่วยระบายความเครียดไปได้ แน่ล่ะสิ เมื่อเพื่อนรักอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เขาเองก็ต้องเครียดไม่แพ้กัน ร่างสูงเองไม่ใช่คนที่จะมองข้ามปัญหาชีวิตของเพื่อนไปได้อยู่แล้ว

     

    “แล้วมึงจะทำยังไงต่อ?”

     

    “กูจะทำเหี้ยอะไรได้วะ ชีวิตเขาตอนนี้ต่างจากชีวิตกูมากนะ เขาน่ะกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนรักของเขา ส่วนกูมันก็จมดิ่งอยู่ในชีวิตเฮงซวยของกูต่อไป กูต้องปล่อยเขาไป กูควรจะทำมาตั้งนานแล้ว แต่กู…”

     

    “แต่มึงก็ทำไม่ได้?” ร่างบางพยักหน้าตอบด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

    “กูมีทางเลือกอื่นอีกเหรอวะเซฮุน”

     

    ร่างสูงเพรียวได้แต่เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนรักอย่างช่วยไม่ได้ คนหนึ่งก็เพื่อนรัก อีกคนก็เพื่อนซี้ จะยุยงให้เพื่อนไปแย่งของ ๆ คนอื่นก็มีแต่จะเป็นบาปติดตัวไปเปล่า ๆ มือเรียวขาวหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบก่อนจะเริ่มพูดต่อ

     

    “กูก็พูดเหี้ยอะไรไม่ได้หรอกวะ มึงต้องยอมรับนะเว่ยว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะตัวมึง...”

     

    “ไอ้เหี้ยเซฮุน กูขอคำปรึกษาไม่ใช่ให้มึงมากระทืบกูซ้ำ ไอ้เพื่อนชั่ว”

     

    “เอ๊าไอ้เวรนี่! ฟังก่อนดิวะห่ามึงอ่ะ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วมึงอ่ะทำตัวเหี้ยตลอด กูคิดว่ากูเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกที่ทนมึงได้แต่บนโลกนี้เสือกมีอีกคนแล้วมึงก็เสือกไปขับไล่ไสส่งเขา มึงลองคิดดิ ไอ้ชานยอลมันทนมึงมาได้ขนาดนั้นก็ดีแค่ไหนแล้ววะ

     

    ทุกคำที่ออกมาจากปากเซฮุนทำให้เขาอยากจะยกคอเสื้อมาชกแรงหน้า ๆ ซักกำปั้นนึงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่จริง แบคฮยอนหยุดร้องไห้มาซักพักนึงแล้ว ใบหน้าหวานกลับกลายมาเป็นใบหน้าเย่อหยิ่งแบบฉบับของเขา แขนสองข้างยกขึ้นมากอดอกบางของตนแน่น

     

    “กูว่ามึงตัดใจไปเหอะ กูสงสารมึงนะเว่ย แต่ชานยอลมันก็เพื่อนกู ปล่อยมันไปเหอะ กูเชื่อว่ายังมีคนอีกหลายคนที่ทนมึงได้บนโลกใบนี้นอกจากชานยอล”

     

    สายตากราดเกรี้ยวนั่นค่อย ๆ ผ่อนแรงลง เหลือแต่ความสิ้นหวังที่สะท้อนออกมาจนอีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ต้องตัดสินใจใช้คำพูดแรง ๆ สั่งสอนเพื่อนของตน หัวใจของแบคฮยอนถูกทำลายเป็นผุยผงจนไม่สามารถสั่งการน้ำตาให้ไหลลงมาได้แล้ว

     

    “เซฮุน กูอยากกลับบ้าน”

     

    คนตัวสูงกว่ามองเพื่อนรักอย่างเห็นอกเห็นใจก่อนจะยกมือเรียกพนักงานให้เช็คบิล แบคฮยอนได้แต่มองอาหารตรงหน้าที่ไม่หดลงไปเลยแม้แต่น้อย น้ำในแก้วยังคงระดับเดิมตั้งแต่ถูกเท เขาไม่รู้จะทำอะไรระหว่างนั่งรอเงินทอนจากพนักงานนอกจากมองดูผู้คนในร้านนั่งกินข้าว สายตาของแบคฮยอนถูกดึงดูดอย่างแรงโดยหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์อย่างช่ำชองตรงโต๊ะใกล้กับประตูทางเข้าออกร้าน ดูเหมือนหล่อนจะส่งข้อความหาใครซักคนอยู่ ใบหน้าของหล่อนดูเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านประดุจหิมะในหน้าหนาว

     

    “แต่ฉันว่าผิวของแบคฮยอนสวยกว่าอีก”

     

    ร่างเล็กหันหน้าหนีหญิงสาวคนนั้นอย่างแรงทันทีเมื่อคำพูดของคนที่เขาอยากจะลบออกไปจากชีวิตของเขาในตอนนี้มากที่สุดกลับดังก้องกังวานอยู่ในหัวของเขา แบคฮยอนรวบรวมสติได้อีกทีก็เมื่อเซฮุนถามเขาว่าให้ขับรถไปส่งมั้ย แบคฮยอนไม่สนใจอะไรมากนักจึงพยักหน้าตอบรับน้ำใจไมตรีของเพื่อน สายตาเรียวเล็กหันกลับไปที่หญิงสาวคนนั้นอีกครั้งแต่สิ่งที่เขาเห็นกลับบดขยี้หัวใจของเขาเข้าไปอีก

     

    ปาร์คชานยอล

     

     

     

    “จียอน คุณมารอนานรึยังเนี่ย?”

     

    ร่างสูงใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรงเพราะความเหนื่อยล้า เขาต้องรีบวิ่งจากออฟฟิศมาที่ร้านแห่งนี้แม้ระยะทางจะไม่ไกลกันมากแต่เพราะงานที่เขาตั้งใจจะสะสางดูท่าจะไม่เสร็จซักที เขาจึงมัวแต่ก้มก้มหน้ากดแป้นพิมพ์โดยลืมชะโงกหน้าขึ้นมาดูนาฬิกา แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่มีทีท่าว่าโกรธแต่อย่างไร หล่อนกลับส่งยิ้มหวานเห็นฟันขาวครบสามสิบสองซี่ให้คนตรงหน้าก่อนจะตอบคำถามด้วยเสียงหวานใส

     

    “พี่ชานยอลไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกค่ะ จียอนเองก็เพิ่งจะมาถึง อ่ะ นี่ค่ะ”

     

    มือนวลผ่องหยิบแก้วน้ำของเธอให้กับร่างสูงก่อนที่เขาจะกระดกน้ำทั้งแก้วรวดเดียว ร่างอรชรส่งสายตาเอ็นดูพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ให้กับเขา

     

    “พี่ต้องขอโทษจียอนจริง ๆ นะ พี่มัวแต่พิมพ์รายชื่อลูกค้าจนลืมมองนาฬิกา ผู้จัดการก็เอาแต่เร่งส่งงาน พี่กลัวเขาจะดุเอา”

     

    “โธ่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้เอง จียอนรอได้อยู่แล้ว”

     

    ความน่ารักบวกกับความเข้าใจในทุกเรื่อง ๆ ของผู้หญิงตรงหน้าทำให้ชานยอลรู้สึกมาตลอดว่าเขาคิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจคบกับหล่อน มือหนาหยิบเอาเมนูขึ้นมาดูในขณะที่แฟนสาวของเขากำลังเรียกพนักงานมารับออเดอร์ ร่างสูงกวาดสายตาไปมาพลางใช้นิ้วพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว ผ่านไปทั้งเล่มแต่กลับไม่มีอาหารที่เขาอยากทานเลยแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจมองไปที่กระดานแนะนำเมนูยอดฮิตประจำร้านที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน ทันใดนั้นเองชายหนุ่ม่างบางที่เขาคุ้นเคยก็เดินหน้าผ่านไปซะดื้อ ๆ จนเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน สายตาของแบคฮยอนพุ่งไปที่ทางข้างหน้าอย่างไม่แยแสเขาเลยแม้แต่น้อย ต่างจากชายร่างสูงอีกคนทีหันมาทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง

     

    “เห้ย ชานยอล!” เซฮุนเดินมาที่โต๊ะของเขาโดยทิ้งให้ร่างบางอีกคนเดินออกจากร้านเงียบ ๆ

     

    “เซฮุน! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นยังไงบ้างเนี่ย?”

     

    “กูสบายดีเว้ย แล้วนี่...”

     

    “จียอนค่ะ ชเวจียอน เป็นคู่หมั้นของพี่ชานยอลค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าทักทายอย่างสุภาพ แต่เมื่อเซฮุนรับรู้ถึงสถานะของผู้หญิงคนนี้ก็ถึงกับหยุดอึ้งไปประเดี๋ยวนึง ก่อนจะตัดสินใจแนะนำตัวอย่างสุภาพเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

     

    “โอเซฮุนครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แหม... ไอ้ชานยอลร้ายไม่เบานะมึง มีแฟนซะสวยเชียว”

     

    “อะไรเล่า?! ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน แล้วนี่นายมากับ...” ชานยอลไม่กล้าจะอ้างอิงชื่อของคนอีกคนแต่เซฮุนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับเบา ๆ

     

    “เอ้อ งั้นฉันไม่รบกวนละ พวกนายกินกันต่อเหอะ เดี๋ยวจะได้โทรนัดไปดริ๊งค์กันมั่ง”

     

    “เอาสิ ๆ งั้นกลับบ้านดี ๆ นะเซฮุน”

     

    “โหย พูดยังกับกูเป็นเด็กประถม เออ ๆ ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน ผมลาล่ะครับคุณจียอน ไว้เจอกันใหม่ครับ”

     

    ร่างสูงใหญ่โบกมือลาเพื่อนของเขาก่อนที่จะทอดสายตาไปยังร่างเล็กที่ยืนพิงกระจกอยู่หน้าร้าน เมื่อเซฮุนเปิดประตูเดินออกจากร้าน ทั้งสองก็เดินหายไปกับฝูงชนตามถนน แต่เขาเองก็ยังเห็นแบคฮยอนอย่างชัดเจนท่ามกลางผู้คนมากมายตามท้องถนน เขายังคงมองร่างบางเดินขึ้นรถของเซฮุน และในไม่ช้ายานพาหนะสีแดงฉาดก็ขับเคลื่อนออกจากที่จอดลงสู่ถนนและอันตธานหายไปจากสายตาของเขาในที่สุด

     

    หญิงสาวมองไปตามสายตาของแฟนหนุ่ม หล่อนเองก็ไม่แน่ใจว่าการสันนิฐานของหล่อนตอนนี้จะจริงหรือไม่ แต่เมื่อชานยอลหันกลับมามองเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งทีเธอคิดอยู่นั้นถูกต้อง

     

    “ผู้ชายที่มากับคุณเซฮุน... คือคุณแบคฮยอนใช่มั้ยคะ?”

     

    ชานยอลหลบดวงตากลมโตที่เปล่งประกายด้วยคำถามมากมายคู่นั้น แต่เขาก็พยักหน้าตอบหล่อนโดยปราศจากคำพูดใด ๆ อารมณ์ของเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมที่ตอบคำถามที่จะตามมาทั้งสิ้น

     

    ทั้งสองจัดการกับอาหารตรงหน้าพร้อม ๆ กับบทสนทนาที่ฟังดูแปลกไป คำถามของหญิงสาวถูกตอบกลับมาด้วยคำพูดห้วน ๆ สั้น ๆ ที่ร่างบางนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน พี่ชานยอลของหล่อนไม่เคยเป็นแบบนี้ ทุกคำตอบที่เธอได้รับมักจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกประโยคล้วนน่าฟังและบทสนทนามักจะถูกแต่งแต้มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ครั้งนี้กลับแปลกออกไป บทสนทนานี้ถูกยื้อออกไปด้วยคำถามล้านแปดที่เธอพยายามกลั่นกรองเพื่อเรียกร้องความสนใจแฟนหนุ่มแต่มันกลับยิ่งทำให้เธอรุ้สึกอึดอัดใจเข้าไปใหญ่ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามชานยอลออกไปตรง ๆ

     

    “พี่ยังลืมแบคฮยอนไม่ได้ใช่มั้ยคะ?”

     

     

     

    คำตอบที่เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับทิ่มแทงหัวใจดวงน้อยของหล่อนอย่างเจ็บแสบ ดวงตากลมโตที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสบัดนี้กลับหม่นหมอง เยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    “จียอน พี่ว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุย...”

     

    “พี่ชานยอลยังไม่ตอบคำถามของจียอนเลย”

     

    ตะเกียบที่อยู่ในมือกร้านถูกทิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่ใยดี ร่างสูงเอนไปที่พนักพิงพร้อมกับเบนสายตามองไปทางอื่น กิริยาหยาบกระด้างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนทำให้ความฉุนเฉียวและหึงหวงถาโถมเข้าสู่หัวใจของหล่อน

     

    “อีกไม่กี่เดือนเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะคะพี่ชานยอล ฉันควรจะได้รับสิทธิ์ที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของสามีไม่ใช่หรือคะ?” คนถูกถามยังคงไม่แยแสหล่อน

     

    “พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าพี่ตัดใจได้แล้ว พี่บอกเอง ว่าบยอนแบคฮยอนเป็นคนที่ทำร้ายหัวใจของพี่ แล้วทำไมพี่ยังทำแบบนี้ ทำไมพี่ยังส่งสายตาที่เต็มไปด้วย.. ความห่วงใยแบบนี้...” เสียงของหล่อเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคนทั้งร้านเริ่มส่งมองมาที่พวกเขาอย่างสอดรู้สอดเห็น

     

    “ฉันควรจะเป็นคนเดียวบนโลกใบนี้ที่พี่จะต้องห่วงใยไม่ใช่เหรอพี่ชานยอล?! ตอบฉันสิ!

     

    ร่างสูงคิดว่าตนเองคงจะติดนิสัยไร้ความความออดทนมาจากแฟนเก่าของเขา มือนึงหยิบแบงค์หนึ่งหมื่นวอนสองใบวางไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ ชานยอลพยายามจะเพิกเฉยต่อเสียงร้องเรียกชื่อของเขาและสายตาจากคนทั้งร้าน จนท้ายที่สุดเขาก็ทนความเห็นแก่ตัวที่กอบกุมจิตใจของเขาตอนนี้ไปไม่ได้ เขาไม่สามารถโกหกผู้หญิงคนนี้ที่เขาตั้งใจจะมอบชีวิตทั้งชีวิตให้

     

    มันควรจะเป็นแบบนั้น

     


    “จียอน พี่พยายามอยู่... พี่ขอโทษ พี่จะพยายามให้มากขึ้น.... พี่สัญญานะจียอน....”

     

     

    .

    .

    .

    “...แต่พี่คิดว่าเธอคงไม่อยากได้ยินคำตอบนั่นตอนนี้หรอก”
     

     



    100% 

     


    *

     

    ดวงอาทิตย์ที่เคยส่องแสงสว่างจ้าบัดนี้ถูกทดแทนด้วยดวงจันทร์เสี้ยวที่กำลังแผ่แสงสีเหลืองนวล กระทบลงสู่พื้นคอนกรีตตามทางฟุตบาต ประกอบกับเสาไฟฟ้าและแสงไฟจากหลอดไฟตามตึกราบ้านช่วยบรรเทาบรรยากาศเปลี่ยวเหงาของถนนแห่งนี้ได้อย่างดี อุณหภูมิโดยรอบเริ่มต่ำลงอันเป็นสัญญาลักษณ์ของการจากลาฤดูใบไม้ร่วงและเตรียมต้อนรับฤดูหนาว ฤดูที่ร่างบางในชุดนักเรียนมัธยมนี้โปรดปรานที่สุด

    การเรียนพิเศษจนดึกดื่นกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของแบคฮยอนตั้งแต่เขาอยู่มัธยมต้นแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป การแข่งขันระหว่างนักเรียนด้วยกันเองก็เริ่มสูงขึ้น การเรียนพิเศษก็ยิ่งต้องเข้มข้นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่ร่างเล็กไม่เคยรู้สึกเกียจคร้านเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยความที่เขาเติบโตมากับครอบครัวฐานะดี ลูก ๆ ทุกคนในบ้านหลังนี้ล้วนได้รับการศึกษาสูง ๆ จบมาทำงานตำแหน่งใหญ่ ๆ ในบริษัทโด่งดังกันทั้งสิ้น สภาพแวดล้อมอันเป็นอุดมคติสำหรับใครหลายคนนี้ส่งผลให้แบคฮยอนเติบโตเป็นคนที่ขยันขันแข็งมาตั้งแต่เล็ก

    แบคฮยอนหวนคิดไปถึงพี่ชายคนรองของเขาที่ตอนนี้กำลังศึกษาต่อที่ต่างประเทศ พ่วงไปถึงพี่ชายคนโตที่ตอนนี้กำลังบริหารธุรกิจอันรุ่งเรืองของผู้เป็นบิดา แต่จู่ ๆ ลมเย็นเฉียบพัดโจมตีร่างบางอ้อนแอ้นนี้อย่างแรง มือบางที่สั่นเทาอยู่ค่อย ๆ ยกขึ้นมากระชับผ้าพันคอสีฟ้าหม่นให้แน่นยิ่งขึ้น ใบหน้าขาวระเรื่อสีแดงถูกลมอากาศทำร้าย จนผิวสวยเนียนเกิดรอยผิวแห้งแตกขึ้นประปราย สายตาเรียวเล็กเหลือบมองนาฬิกาหรูของตน สี่ทุ่มสามสิบห้านาทีถือว่าเขาออกจากที่เรียนพิเศษเร็วกว่าปกติ บางครั้งเขาก็ออกเลทจนต้องกลับถึงบ้านประมาณตีหนึ่งด้วยซ้ำ


    ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มที่เดินบนถนนเปลี่ยวตามลำพังก็สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนที่พุ่งตรงมายังเขา แบคฮยอนหันไปหาเจ้าของสายตานั่นและสายตาของเขาก็สะดุดกับชายหนุ่มร่างท้วมที่ยืนอยู่ไม่ไกลตัวเขานัก จู่ ๆ ผู้ชายปริศนาคนนี้ก็รีบวิ่งเข้าหาจนร่างบางแทบจะตั้งตัวไม่ทัน เมื่อได้สติสัมปะชัญญะกลับขึ้นมา ขาเรียวทั้งสองพาร่างเล็กวิ่งไปยังสุดทางถนนอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งเข้าหาตรอกซอยวกไปวนมาหวังแต่เพียงว่าเสียงฝีเท้าที่ไล่จี้มาติด ๆ นี้จะหายไปแต่ความหวังของเขานี้เริ่มริบหรี่เต็มที เพราะซอยแต่ละซอยเริ่มแคบและน้อยลงเรื่อย ๆ จนยากที่จะหาที่หลบภัย

    เสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนในที่สุดเขาก็พบกับด้านหลังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงปากซอย แบคฮยอนตัดสินใจเร่งฝีเท้าสุดชีวิตและรีบตรงดิ่งเข้าไปในร้านทันที ดวงตากลมเล็กที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาและความหวาดกลัวค่อย ๆ มองออกไปนอกร้านเพื่อจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาได้หนีผู้ชายปริศนาคนนั้นได้แล้ว เมื่อเห้นว่าข้างนอกไม่มีใครอยู่นอกจากความมืดและแสงสว่างเล็กน้อย ๆ ตามทางเดิน ร่างบางทั้งร่างก็ฟุบลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง

     

    ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน

     

    จู่ ๆ แบคฮยอนก็รู้สึกได้ไออุ่นจากสัมผัสของอะไรบางอย่าง ด้วยสัญชาติญาณและสิ่งที่เขาเพิ่งได้ประสบมา มือทั้งสองก็โบกปัดสัมผัสนั้นพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก

     

    “อย่านะ! จะเอาอะไรก็เอาแต่อย่าทำร้ายฉันเลย! ขอร้องล่ะ!!!”

     

    “แบคฮยอน! แบคฮยอน!!” ใบหน้าหวานที่ขณะนี้คละคลุ้งไปด้วยน้ำตาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาหาเสียงทุ้มที่เขาคุ้นเคย

     

    “ฉันเอง ชานยอล” ไม่ทันที่ร่างสูงจะได้ซักถามใด ๆ เด็กหนุ่มร่างใหญ่ก็ถูกฉุดกระชากเข้าสู่อ้อมกอดของคนตรงหน้าที่นั่งร้องไห้ครวญคราญอยู่

     

    “อื้อออออ ชานยอล ช่วยฉันด้วย ฉันโดนไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ไล่ตามมา มันจะมาฆ่าฉันแน่ ๆ เลย ช่วยฉันด้วยนะชานยอล ฮืออออออออ”

     

    ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ แตะไปที่แผ่นหลังอันสั่นระริกของคนในอ้อมกอดอย่างเกร็ง ๆ ก่อนจะเริ่มลูบขึ้นลงช้า ๆ หวังว่าจะกำจัดความหวาดกลัวของร่างบางไปได้

     

    “น...นายไม่เป็นไรใช่มั้ย?” หัวทุยส่ายไปมาที่ไหล่กว้างของร่างสูง

     

    “งั้นรออยู่นี่ก่อนนะ ฉันจะออกไปดูว่าหมอนั่นยังอยู่ข้างนอกอยู่รึเปล่า”

     

    คราวนี้หัวของแบคฮยอนพยักขึ้นลงเป็นการตอบรับ ชานอลเห็นดังนั้นก็รีบบึ่งไปหยิบไฟฉายขนาดจัมโบ้ไซส์ในห้องข้าง ๆ ประตูไม้เก่าก่อนจะเดินออกร้านหายวับไปกับความมืด แต่ไม่นานเกินรอร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจโล่งอก

     

    “มันคงจะหนีไปแล้วมั้ง”

     

    “ฮึก... จริงๆนะ”

     

    ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหาก่อนก่อนใบหน้าหล่อจะพยักหน้าให้กับร่างบางที่สภาพตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตัวน้อย ๆ ที่กำลังหวาดผวากับการรังแกของมนุษย์ แบคฮยอนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งออกไปในฉับพลันแต่น้ำตาที่อยู่ในเบ้าตาก็ยังคงไหลเกรอะกรังข้างแก้มใสนี้อย่างช่วยไม่ได้ แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าสภาพของเขาในตอนนี้สร้างความเอ็นดูให้แก่ผู้จับตามองขนาดไหน และนั่นก็สร้างความกล้าให้แก่ร่างสูงนิด ๆ ชานยอลถือวิสาสะพยุงไหล่บางทั้งสองเข้าสู่ร้านอาหารนี่ทันที
     

    แบคฮยอนหันไปมองบรรยากาศรอบ ๆ ร้าน ผนังไม้เก่าที่ถูกประดับด้วยจิตกรรมภาพวาดชั้นดี แสงจากหลอดไฟส่องกระทบพื้นผิวของผ้าใบในแต่ละรูปจนเกิดความมันเงาขึ้น เขาได้กลิ่นฝาด ๆ ที่แฝงไปด้วยความเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ หากเขาเดาไม่ผิดนี่คงจะเป็นกลิ่นของไวน์แดงคุณภาพดี ภายในห้องโถงร้านมีลูกค้ามากมายกำลังนั่งเปรมปรีด์กับอาหารตรงหน้า ถึงขนาดที่ว่าคนเยอะขนาดนี้แต่กลับได้ยินเสียงคุยแผ่วเบามาก ๆ เสียงมีดแสตนเลสกระเทาะจาดกระเบื้องผสมปนเปกับดนตรีแจ๊สนุ่มละมุน บรรยากาศอบอุ่นแอบแฝงไปด้วยความหรูหราแบบนี้ ร้านอาหารแห่งนี้คงไม่ใช่ร้านอาหารทั่ว ๆ ไปแน่ ๆ แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือทำไมไอ้เอ๋อตัวสูงนี่ถึงมาอยู่ในร้านนี้ได้น่ะสิ แถมยังอยู่ในชุดของบริกรชายสีขาวดำเรียบร้อยซะด้วยสิ

     

    “ว่าแต่ ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

     

    “ก็... นี่มันร้านพ่อฉันนิ”

     

    “ห๊ะ จริงดิ นี่นาย... รวยขนาดนี้เลยเหรอ?”

     

    จริงอยู่เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ใช้ของแบรนด์เนมหรูหราแต่ฐานะทางบ้านของเขาก็ถือว่าอยู่ในะระดับที่ดีเลยทีเดียว ชานยอลจึงไม่คิดแปลกใจเลยว่าทำไมร่างบางถึงนึกเอะใจกับข้อเท็จจริงข้อนี้ แต่นั่นก็ทำร้ายความรู้สึกของเขานิดหน่อย

     

    อยู่มาจนถึงเทอมสุดท้ายของปีแล้ว เขาก็น่าจะรู้ว่าแบคฮยอนเป็นคนยังไง

    น่าแปลกที่เขาไม่คิดโกรธหรือถือโทษใด ๆ กับคน ๆ นี้เลย

      

    “ตามมานี่สิ”

     

    “หืม?”

     

    “ฉันจะเลี้ยงมื้อดึกนายเอง”

     


     

    เด็กหนุ่มสองคนนั่งบนพื้นพรมสีแดงเลือดหมูของห้องจัดเลี้ยงที่เวลานี้ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างรอการปรับปรุง จานสองจานถูกวางทิ้งอย่างสะเปะสะปะพร้อมด้วยแก้วไวน์ทรงสูงที่กลับถูกบรรจุด้วยน้ำอัดลมแทน นี่เป็นครั้งแรกของแบคฮยอนที่เขาได้พินิจฉัยใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ดวงตากลมตาเรียวสวยตามแบบฉบับหนุ่มเกาหลีแท้ ๆ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงฉ่ำ เส้นผมสีน้ำตาลคาราเมลขับให้ใบหน้าหล่อนี้ชวนมองมากขึ้น เมื่อร่างสูงรู้ตึวว่าถูกจ้องมองจากคนข้าง ๆ ก็หันไปสบตาคู่นั้นทันที

     

    “นายช่วยงานพ่ออย่างงี้ทุกคืนเลยเหรอ?”

     

    “คืนศุกร์เสาร์อาทิตย์ลูกค้าเยอะน่ะ ฉันเลยอาสามาช่วย ได้เงินค่าขนมเพิ่มด้วย แลกกับการยืนเฝ้าลูกค้า รับออเดอร์ เสิร์ฟอาหารก็คุ้มดี”

     

    ไม่รู้ว่าอาหารที่เขากินนี่มียาพิษแสลง ๆ อะไรที่ดลใจให้ความรู้สึกอยากได้ยินเสียงทุ้มพูดเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นหรืออย่างไร แบคฮยอนถึงได้อยากจะถามยืดบทสนทนานี้ออกไปเรื่อย ๆ

     

    “นี่ ชานยอล”

    “อ่าหะ?”


    “ทำไมนายถึงย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ? ที่เก่าไม่ดีเหรอ?” ร่างสูงคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายแต่มองประเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากใจ

     

    “ตั้งแต่เด็ก ๆ ฉันน่ะนะก็ไม่ค่อยมีเพื่อนนักหรอก ตัวก็อ้วน ใส่แว่นหนาเตอะ ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด พอโตมาฉันก็เริ่มลดความอ้วน หันมาใส่คอนแทคเลนส์ รูปร่างภายนอกของฉันเปลี่ยนไปมากจนทุกคนที่รู้จักแทบจะจำฉันไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคือการสร้างเพื่อนใหม่นี่แหล่ะ

    “ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะวางตัวยังไงเมื่อเจอผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ฉันควรจะทักเขามั้ยนะ? หรือควรจะขอเขาเล่นด้วย? หรือขอไปนั่งคุยด้วย? แล้วเราจะคุยเรื่องอะไรหล่ะ? ฉันคิดสงสัยคำถามเหล่านี้มาตลอดจนฉันกลายเป็นแค่จุดสีขาวเล็ก ๆ บนกระดาษพื้นใหญ่ เป็นแค่มนุษย์ล่องหนนิรนามในสายตาคนอื่น ๆ
     

    “มีครั้งนึงตอนเรียนมอต้นปีสุดท้าย ฉันถูกรุ่นพี่ชวนให้เข้าชมรมบาสเกตบอล ทีแรกฉันก็ดีใจมาก ๆ คิดว่ามันคงจะเป็นโอกาสที่ดีในการหาเพื่อน แต่พอตอนเลิกเรียน ฉันกำลังจะเดินไปที่โรงยิมเพื่อรายงานตัว ฉันเห็นรุ่นพี่คนนั้นกำลังข่มขืนผู้หญิงอยู่”

     

    ประโยคสุดท้ายทำเอาร่างบางที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจถึงกับหันหน้ามามองด้วยดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากเผยอออกเตรียมจะถามถึงเหตุการณ์ต่อมาแต่เสียงของเขากลับไม่ออกมาซะดื้อ ๆ ร่างสูงตัดสินใจเล่าต่อ

     

    “เด็กคนนั้นเหมือนฉันสมัยก่อน เธออ้วนพีและใส่แว่นหนาเตอะ ทุกวันจะเอาปิ่นโตมาสามกล่อง มานั่งกินคนเดียวที่ริมระเบียง ฉันไม่เคยคุยกับเธอหรอกนะ พวกเราไม่เคยแม้แต่จะสบตากัน ตอนที่ฉันพบเธอกับรุ่นพี่ เธอก็ยังเป็นสาวแว่นอ้วนอยู่เหมือนเดิม ฉันคิดเสมอว่าหล่อนคือฉันและฉันคือหล่อน ไม่ว่าฉันจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ฉันก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนที่ตกค้างอยู่ในมุม ๆ หนึ่งของโลกใบนี้

    “ฉันคิดได้อย่างนั้นก็รีบวิ่งไปต่อยรุ่นพี่นั่นอย่างบ้าคลั่ง มันไม่ใช่ความกล้าหาญหรอกแบคฮยอน มันคือความกลัว กลัวว่าซักวันนึงจะเป็นฉันที่ต้องมาเป็นเหยื่อให้คนแบบนี้ ให้โลกใบนี้ ฉันหวาดระแวงจนขาดสติ วันต่อมาเรื่องที่ฉันข่วยผู้หญิงคนนี้ถูกแพร่ออกไปทั่วทั้งโรงเรียน ทุกคนต่างเดินมาตบไหล่ฉัน เรียกชื่อฉัน บ้างก็ซื้อของกินให้ฉัน คุณครูเองก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นเลย ไม่มีคนพูดเห็นใจเธอ ซื้อของกินให้เธอ ไม่มีครูคนไหนไปเยี่ยมเธอ ฉันไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่เธอควรจะได้รับ ฉันตัดสินใจไปเยี่ยมเธอและวันต่อมาฉันก็เขียนจดหมายลาออกจากโรงเรียน”

     

    แบคฮยอนสังเกตุเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของชานยอลเมื่อทั้งสองหันมาสบตาซึ่งกันและกัน มันสุกสกาวกว่าดวงดาวดวงไหน ๆ เพราะมันแต่งแต้มไปด้วยความหวัง เรียวปากมอบยิ้มสดใสให้แก่คนตัวเล็กนั่งนิ่งราวกับถูกต้องมนต์สะกดเอาไว้

     

    “ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาที่นี่ ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรนักหรอก ก็แค่อยู่ให้มันจบไปซะ แต่พอนายเถียงครูที่ชั้นเรียนเท่านั้นแหละ ทำให้ฉันนึกถึงคนทุกคนที่เคยแกล้งฉันตอนเด็ก ๆ แต่ตลกดีที่ขณะเดียวกันนั้นนายก็ทำให้ฉันลืมโกรธเจ้าพวกนั้น ฉันมองเห็นแต่ความซื่อตรงของนายไม่ใช่เจตนาร้ายเหมือนคนอื่น ๆ มันอาจจะรุนแรงไปบ้างบางที บางครั้งมันก็แสดงถึงความเป็นเด็กในตัวนาย นั่นทำให้ฉันไม่เคยคิดกลัวนายเลย”

     

    แบคฮยอนยิ้มเยาะกับคำพูดของร่างสูง เสียง ‘หึ’ ในลำคอเรียกร้องความสนใจให้ชานยอลที่กำลังมองคนข้าง ๆ ด้วยความสงสัย

     

    “อย่าทำเป็นรู้จักฉันดีไปหน่อยเลยชานยอล ห้าเดือนที่พวกเรารู้จักกัน สามครั้งที่เราไปเที่ยวด้วยกันกับเซฮุน ครั้งแรกที่พวกเราสองคนได้นั่งคุยกัน มันไม่ได้ทำให้นายรู้จักฉันหรอก”

     

    ร่างบางเหลือบไปเห็นสีหน้าผิดหวังของชานยอล รอยยิ้มยังคงเหลืออยู่เจือจาง

     

    “ฉันมันคนไม่เอาใคร เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล อย่าว่าแต่เพื่อนที่โรงเรียนไม่อยากยุ่งเลย มีพี่อยู่สองคนก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย กลัวฉันจะวีนใส่ ฉันก็ไม่สนใจ ใครจะทำอะไรก็ช่าง ชีวิตฉัน ฉันอยู่คนเดียวได้ แต่พระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งฉันไปไหน ส่งไอ้เซฮุนมันมาเป็นเพื่อน กรรมของมันเองด้วยที่ต้องเกิดมาเป็นเพื่อนรักของไอ้คนหยิ่งจองหองอย่างฉัน นึก ๆ แล้วก็สงสารแม่ง นิสัยก็ดี หน้าตาก็ดี ใคร ๆ ก็อยากเป็นเพื่อนกับมันแต่เสือกมีฉันเป็นตัวกีดขวางซะนี่”

     

    เสียงหัวเราะนั่นฟังดูน่าสมเพชจนชานยอลรู้สึกสงสาร เขาได้แต่ถอนหายใจและตั้งใจฟังต่ออย่างอดทน

     

    “ชานยอล นายก็เหมือนกัน ฉันไม่รู้ว่าอะไรมันบันดาลใจให้นายมาทิ้งชีวิตมัธยมปลายปีสุดท้ายไว้กับฉัน นายอาจจะโง่จนไม่รู้เลยก็ได้ว่าสาว ๆ ทั้งชั้นเขากรี๊ดนาย แม้แต่เพื่อนผู้ชายด้วยกันเอง มองหน้าเจ้าพวกนั้นก็รู้ ทิ้งไอ้เซฮุนเอาไว้กับฉันคนเดียวก็พอ แค่นี้ฉันก็รู้สึกผิดมามากแล้ว”

     

    คำพูดที่ร่างสูงตระเตรียมเอาไว้ปลอบใจถูกกลืนหายไป แขนแกร่งยกขึ้นมาโอบไหล่บางทั้งสองอย่างแนบแน่น สายตาของทั้งสอนประสานกันจนลืมแม้กระทั่งความมืดที่อบอวลไปด้วยเสียงเงียบสงัด

     

    “ความเอาแต่ใจของนายไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่า”

     

    “หึ ในอนาคตมันอาจจะแย่กว่านี้อีกก็ได้นะ”

     

    “ยังแย่กว่านี้ได้อีกเหรอ”

     

    มือเล็กยกขึ้นมาตบแรงที่ตัวของร่างสูงด้วยความหมั่นเขี้ยว ชานยอลได้แต่หัวเราะกับท่าทางน่าเอ็นดูนั่น

     

    แบคฮยอนยอมรับเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำอะไรไม่ดีไว้กับชานยอลหลายอย่าง  นิสัยของเขาไม่ใช่อะไรที่จะแก้ได้ในเร็ววัน แต่วันนี้เขารู้สึกว่าได้เปิดรับให้ร่างสูงเทอะทะนี่เข้ามาในชีวิตเขาอย่างเต็มรูปแบบ แถมเข้ามาลึกเกินไปอีก…

     

     

    ลึกจนถึงหัวใจนี่น่ะสิ

     

     

    หัวทุยเล็กเอนแนบลงที่ไหล่กว้างของคนข้าง ๆ เพื่อหวังจะหาที่พักพิง ชานยอลได้ยินเสียงหัวใจของเต้นโครมครามราวกับเสียงรัวกลองชุดเมื่อแก้มของเขาสัมผัสได้ถึงกลุ่มผมนิ่มสลวยของร่างบาง ริมฝีปากหนาจุมพิตเบา ๆ ที่ศีรษะของแบคฮยอน กลิ่นหอมอ่อนโยนของแชมพูที่ตอนนี้ควรจะจางหายไปแล้วกลับยังคงอยู่

     

    ดวงตาสองคู่มองทะลุหน้าต่างบานใหญ่ตรงหน้า แสงไฟในยามดึกที่ยังคงส่องสว่างระยิบระยับราวกับดวงดาวบนน่านฟ้า นอกหน้าต่างนั้นคงจะเงียบสงัดเหมือนกับห้องที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ เว้นแต่เสียงหัวใจของคนทั้งสองที่เต้นพร้อมกัน แต่ละจังหวะหนักแน่นและคงที่ มันเต้นดังพอที่พวกเขาจะได้ยินเสียงของกันและกัน

     

     

    พวกเขาทั้งสองต่างมั่นใจว่าต่างฝ่ายต่างรู้จักกันมากขึ้น

    และพร้อมที่จะรู้จักกันมากขึ้นไปอีกในอนาคต

      



    -


     background music  : i Need Your Love / EZ Hyoung




    สวัสดีค่ะ ไรท์เตอร์ตูนมาแล้ววว
    หวังว่าตอนนี้จะอิ่มหนำมากพอสำหรับการรอคอยนะคะ
    แชพนี้ยาวกว่าแชพอื่นๆเลยซึ่งตอนแรกไรท์เตอร์กะจะตัดไปเป็นอีกแชพ
    แต่ไหนๆก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้วก็ให้เป็นของขวัญละกันเนาะ
    สุขสันต์วันคริสต์มาสล่วงหน้านะคะทุกคน เจอกันแชพหน้าเน้อ :-) 
     

     


    © Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×