คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Rubble and Ruin: Chapter 3 | chanyeol x baekhyun
rubble and ruin
chanyeol x baekhyun / pg-15 / angst, fluff, flashback included
*
Chapter 3
“มึงผอมลงปะวะแบคฮยอน?”
ประโยคแรกที่หลุดออกจากปากเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานับปีทำเอาใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของแบคฮยอนยิ่งดูห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่ นอกจากได้หยุดพักร้อนหรือโบนัสเพิ่มพิเศษจากโปรเจ็คใหญ่ ๆ แล้ว การได้เจอกับโอเซฮุน คน ๆ เดียวที่เขาสามารถเรียกได้เต็มปากว่า ‘เพื่อน’ นั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่ดีสุดสำหรับเขาเสมอ ความเหนื่อยล้าจากการงานมักจะถูกกำจัดออกไปด้วยเสียงหัวเราะที่พวกเขาแบ่งปันกันในบทสนทนา แต่วันนี้แบคฮยอนยอมรับตามตรงเลยว่าเขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขเหมือนเมื่อก่อน
สายตาเรียวเล็กเบนผ่านกระจกของร้านอาหารเจ้าประจำเพื่อหนีสายตาห่วงใยจากคนตรงข้ามเพราะเขาไม่อยากเห็นความเวทนาผ่านดวงตาคู่นั้นและเกรงว่าหากฝ่ายตรงข้ามเห็นทะลุเข้าไปในดวงตาของเขา คนอย่างเซฮุนคงต้องมาเครียดกับเขาด้วยแน่ ๆ
“ช่วงนี้กูทำงานหนักนิดหน่อยว่ะ แล้วก็มีเรื่องให้คิดนู่นนี่…”
“เรื่องอะไรวะที่ทำให้มึงโทรมถึงขนาดนี้?” แบคฮยอนหันมาสบตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นในที่สุด นั่นทำให้เซฮุนรู้ว่าเรื่องที่เพื่อนรักประสบอยู่นั้นไม่ใช่ปัญหาธรรมดา ๆ แน่
“แบคฮยอน บอกกู เกิดอะไรขึ้น?”
“…ไม่มีอะไรหรอก กูแค่เครียดเรื่องงาน”
“โหสัด งานพ่อมึง กูเป็นเพื่อนมึงมาสิบกว่าปี กูรู้หน้าแบบไหนคือเครียดเรื่องงาน หน้าแบบไหนไม่ใช่”
คำตอบของเซฮุนทำให้ร่างเล็กเผลอถอนหายใจ เขาเข้าใจความเป็นห่วงของเพื่อนคนนี้ดีแต่เวลานี้เขาเองก็ยังไม่อยากพูดถึง
“บยอนแบคฮยอน นอกจากกูแล้วมึงจะเหลือใครอีกวะ กูอาจจะช่วยเหี้ยอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ปล่อยมันออกมาเหอะ ระบายมันออกมากับกู”
สิ้นคำพูดของร่างสูงน้ำตาที่หล่อลื่นแก้วตากลมใสก็ค่อย ๆ ไหลอาบแก้มเนียน มือนึงยกขึ้นมาปิดปากเพื่อกันไม่ให้เสียงสะอื้นดังจนเกินเหตุ ฝ่ายตรงข้ามมองคนข้างหน้าอย่างเวทนาพลางหยิบกระดาษทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะให้เพื่อนรักได้ซับน้ำตา เมื่อร่างเล็กสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็ตัดสินใจบอกปัญหาที่เกาะกินหัวใจของเขาให้คนอีกคนที่ตั้งตารอฟัง
.
.
.
“กูยังรักชานยอลว่ะ”
*
เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงประตูดังขึ้นตลอดเวลา ลูกค้าเดินเข้าออกจากร้านอย่างพลุกพล่านเฉกเช่นทุกวัน โดยเฉพาะเวลาบ่ายแบบนี้ที่พนักงานบริษัทที่ทำงานอยู่แถวนี้มักจะเข้ามาใช้บริการทุกวันเป็นประจำ เสียงคุยจ้อกแจ้กดังสลับไปมาอย่างน่าปวดหัวจนบางครั้งแบคฮยอนก็สั่งแบบห่อกลับบ้าน แต่ในขณะนี้แม้ระดับเสียงจากผู้คนข้างจะดังไม่ต่างจากวันก่อน ๆ เขากลับไม่รู้สึกระคายเคืองใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เข้ามาก่อกวนข้างในจิตใจเขาอยู่นั้นคือความรู้สึกสับสนที่อัดแน่นจนเขาอยากจะคว้านมันออกมาทั้งหมดให้รู้แล้วรู้รอด
แม้เขาจะได้ระบายมันออกไปกับเพื่อนรักที่นั่งอึ้งมาเกือบครึ่งชั่วโมงนี้ไปแล้วแต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยซักนิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดที่เขาโพล่งออกไปกลับตอกย้ำว่าตัวเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่เขาพยายามที่จะวิ่งหลบมัน รุ้ตัวอีกทีก็ตระหนักได้ว่าเส้นทางที่เขาวิ่งอยู่นั้นมันวกกลับมาที่จุดเริ่มต้น
แบคฮยอนไม่สามารถหนีความรู้สึกนี้ได้อีกแล้ว
“สรุปก็คือ… ชานยอลย้ายมาทำงานที่บริษัทนายใช่มั้ย?” ร่างเล็กพยักหน้า
“แต่ว่า… เขากำลังจะแต่งงาน… ใช่มั้ย?” ร่างเล็กพยักหน้าอีกครั้ง
เซฮุนไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะในหัวของเขาตอนนี้ก็ขาวโพลนไม่ต่างอะไรกับแบคฮยอน ริมฝีปากบางยู่เข้าหากันก่อนจะปลดปล่อยลมหวังว่ามันจะช่วยระบายความเครียดไปได้ แน่ล่ะสิ เมื่อเพื่อนรักอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เขาเองก็ต้องเครียดไม่แพ้กัน ร่างสูงเองไม่ใช่คนที่จะมองข้ามปัญหาชีวิตของเพื่อนไปได้อยู่แล้ว
“แล้วมึงจะทำยังไงต่อ?”
“กูจะทำเหี้ยอะไรได้วะ ชีวิตเขาตอนนี้ต่างจากชีวิตกูมากนะ เขาน่ะกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคนรักของเขา ส่วนกูมันก็จมดิ่งอยู่ในชีวิตเฮงซวยของกูต่อไป กูต้องปล่อยเขาไป กูควรจะทำมาตั้งนานแล้ว แต่กู…”
“แต่มึงก็ทำไม่ได้?” ร่างบางพยักหน้าตอบด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา
“กูมีทางเลือกอื่นอีกเหรอวะเซฮุน”
ร่างสูงเพรียวได้แต่เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนรักอย่างช่วยไม่ได้ คนหนึ่งก็เพื่อนรัก อีกคนก็เพื่อนซี้ จะยุยงให้เพื่อนไปแย่งของ ๆ คนอื่นก็มีแต่จะเป็นบาปติดตัวไปเปล่า ๆ มือเรียวขาวหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“กูก็พูดเหี้ยอะไรไม่ได้หรอกวะ มึงต้องยอมรับนะเว่ยว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะตัวมึง...”
“ไอ้เหี้ยเซฮุน กูขอคำปรึกษาไม่ใช่ให้มึงมากระทืบกูซ้ำ ไอ้เพื่อนชั่ว”
“เอ๊าไอ้เวรนี่! ฟังก่อนดิวะห่ามึงอ่ะ แต่ไหนแต่ไรมาแล้วมึงอ่ะทำตัวเหี้ยตลอด กูคิดว่ากูเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกที่ทนมึงได้แต่บนโลกนี้เสือกมีอีกคนแล้วมึงก็เสือกไปขับไล่ไสส่งเขา มึงลองคิดดิ ไอ้ชานยอลมันทนมึงมาได้ขนาดนั้นก็ดีแค่ไหนแล้ววะ”
ทุกคำที่ออกมาจากปากเซฮุนทำให้เขาอยากจะยกคอเสื้อมาชกแรงหน้า ๆ ซักกำปั้นนึงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่จริง แบคฮยอนหยุดร้องไห้มาซักพักนึงแล้ว ใบหน้าหวานกลับกลายมาเป็นใบหน้าเย่อหยิ่งแบบฉบับของเขา แขนสองข้างยกขึ้นมากอดอกบางของตนแน่น
“กูว่ามึงตัดใจไปเหอะ กูสงสารมึงนะเว่ย แต่ชานยอลมันก็เพื่อนกู ปล่อยมันไปเหอะ กูเชื่อว่ายังมีคนอีกหลายคนที่ทนมึงได้บนโลกใบนี้นอกจากชานยอล”
สายตากราดเกรี้ยวนั่นค่อย ๆ ผ่อนแรงลง เหลือแต่ความสิ้นหวังที่สะท้อนออกมาจนอีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ต้องตัดสินใจใช้คำพูดแรง ๆ สั่งสอนเพื่อนของตน หัวใจของแบคฮยอนถูกทำลายเป็นผุยผงจนไม่สามารถสั่งการน้ำตาให้ไหลลงมาได้แล้ว
“เซฮุน กูอยากกลับบ้าน”
คนตัวสูงกว่ามองเพื่อนรักอย่างเห็นอกเห็นใจก่อนจะยกมือเรียกพนักงานให้เช็คบิล แบคฮยอนได้แต่มองอาหารตรงหน้าที่ไม่หดลงไปเลยแม้แต่น้อย น้ำในแก้วยังคงระดับเดิมตั้งแต่ถูกเท เขาไม่รู้จะทำอะไรระหว่างนั่งรอเงินทอนจากพนักงานนอกจากมองดูผู้คนในร้านนั่งกินข้าว สายตาของแบคฮยอนถูกดึงดูดอย่างแรงโดยหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์อย่างช่ำชองตรงโต๊ะใกล้กับประตูทางเข้าออกร้าน ดูเหมือนหล่อนจะส่งข้อความหาใครซักคนอยู่ ใบหน้าของหล่อนดูเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านประดุจหิมะในหน้าหนาว
“แต่ฉันว่าผิวของแบคฮยอนสวยกว่าอีก”
ร่างเล็กหันหน้าหนีหญิงสาวคนนั้นอย่างแรงทันทีเมื่อคำพูดของคนที่เขาอยากจะลบออกไปจากชีวิตของเขาในตอนนี้มากที่สุดกลับดังก้องกังวานอยู่ในหัวของเขา แบคฮยอนรวบรวมสติได้อีกทีก็เมื่อเซฮุนถามเขาว่าให้ขับรถไปส่งมั้ย แบคฮยอนไม่สนใจอะไรมากนักจึงพยักหน้าตอบรับน้ำใจไมตรีของเพื่อน สายตาเรียวเล็กหันกลับไปที่หญิงสาวคนนั้นอีกครั้งแต่สิ่งที่เขาเห็นกลับบดขยี้หัวใจของเขาเข้าไปอีก
ปาร์คชานยอล
“จียอน คุณมารอนานรึยังเนี่ย?”
ร่างสูงใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรงเพราะความเหนื่อยล้า เขาต้องรีบวิ่งจากออฟฟิศมาที่ร้านแห่งนี้แม้ระยะทางจะไม่ไกลกันมากแต่เพราะงานที่เขาตั้งใจจะสะสางดูท่าจะไม่เสร็จซักที เขาจึงมัวแต่ก้มก้มหน้ากดแป้นพิมพ์โดยลืมชะโงกหน้าขึ้นมาดูนาฬิกา แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่มีทีท่าว่าโกรธแต่อย่างไร หล่อนกลับส่งยิ้มหวานเห็นฟันขาวครบสามสิบสองซี่ให้คนตรงหน้าก่อนจะตอบคำถามด้วยเสียงหวานใส
“พี่ชานยอลไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกค่ะ จียอนเองก็เพิ่งจะมาถึง อ่ะ นี่ค่ะ”
มือนวลผ่องหยิบแก้วน้ำของเธอให้กับร่างสูงก่อนที่เขาจะกระดกน้ำทั้งแก้วรวดเดียว ร่างอรชรส่งสายตาเอ็นดูพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ให้กับเขา
“พี่ต้องขอโทษจียอนจริง ๆ นะ พี่มัวแต่พิมพ์รายชื่อลูกค้าจนลืมมองนาฬิกา ผู้จัดการก็เอาแต่เร่งส่งงาน พี่กลัวเขาจะดุเอา”
“โธ่ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้เอง จียอนรอได้อยู่แล้ว”
ความน่ารักบวกกับความเข้าใจในทุกเรื่อง ๆ ของผู้หญิงตรงหน้าทำให้ชานยอลรู้สึกมาตลอดว่าเขาคิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจคบกับหล่อน มือหนาหยิบเอาเมนูขึ้นมาดูในขณะที่แฟนสาวของเขากำลังเรียกพนักงานมารับออเดอร์ ร่างสูงกวาดสายตาไปมาพลางใช้นิ้วพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว ผ่านไปทั้งเล่มแต่กลับไม่มีอาหารที่เขาอยากทานเลยแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจมองไปที่กระดานแนะนำเมนูยอดฮิตประจำร้านที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน ทันใดนั้นเองชายหนุ่ม่างบางที่เขาคุ้นเคยก็เดินหน้าผ่านไปซะดื้อ ๆ จนเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน สายตาของแบคฮยอนพุ่งไปที่ทางข้างหน้าอย่างไม่แยแสเขาเลยแม้แต่น้อย ต่างจากชายร่างสูงอีกคนทีหันมาทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง
“เห้ย ชานยอล!” เซฮุนเดินมาที่โต๊ะของเขาโดยทิ้งให้ร่างบางอีกคนเดินออกจากร้านเงียบ ๆ
“เซฮุน! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นยังไงบ้างเนี่ย?”
“กูสบายดีเว้ย แล้วนี่...”
“จียอนค่ะ ชเวจียอน เป็นคู่หมั้นของพี่ชานยอลค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าทักทายอย่างสุภาพ แต่เมื่อเซฮุนรับรู้ถึงสถานะของผู้หญิงคนนี้ก็ถึงกับหยุดอึ้งไปประเดี๋ยวนึง ก่อนจะตัดสินใจแนะนำตัวอย่างสุภาพเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“โอเซฮุนครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แหม... ไอ้ชานยอลร้ายไม่เบานะมึง มีแฟนซะสวยเชียว”
“อะไรเล่า?! ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน แล้วนี่นายมากับ...” ชานยอลไม่กล้าจะอ้างอิงชื่อของคนอีกคนแต่เซฮุนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับเบา ๆ
“เอ้อ งั้นฉันไม่รบกวนละ พวกนายกินกันต่อเหอะ เดี๋ยวจะได้โทรนัดไปดริ๊งค์กันมั่ง”
“เอาสิ ๆ งั้นกลับบ้านดี ๆ นะเซฮุน”
“โหย พูดยังกับกูเป็นเด็กประถม เออ ๆ ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน ผมลาล่ะครับคุณจียอน ไว้เจอกันใหม่ครับ”
ร่างสูงใหญ่โบกมือลาเพื่อนของเขาก่อนที่จะทอดสายตาไปยังร่างเล็กที่ยืนพิงกระจกอยู่หน้าร้าน เมื่อเซฮุนเปิดประตูเดินออกจากร้าน ทั้งสองก็เดินหายไปกับฝูงชนตามถนน แต่เขาเองก็ยังเห็นแบคฮยอนอย่างชัดเจนท่ามกลางผู้คนมากมายตามท้องถนน เขายังคงมองร่างบางเดินขึ้นรถของเซฮุน และในไม่ช้ายานพาหนะสีแดงฉาดก็ขับเคลื่อนออกจากที่จอดลงสู่ถนนและอันตธานหายไปจากสายตาของเขาในที่สุด
หญิงสาวมองไปตามสายตาของแฟนหนุ่ม หล่อนเองก็ไม่แน่ใจว่าการสันนิฐานของหล่อนตอนนี้จะจริงหรือไม่ แต่เมื่อชานยอลหันกลับมามองเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งทีเธอคิดอยู่นั้นถูกต้อง
“ผู้ชายที่มากับคุณเซฮุน... คือคุณแบคฮยอนใช่มั้ยคะ?”
ชานยอลหลบดวงตากลมโตที่เปล่งประกายด้วยคำถามมากมายคู่นั้น แต่เขาก็พยักหน้าตอบหล่อนโดยปราศจากคำพูดใด ๆ อารมณ์ของเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมที่ตอบคำถามที่จะตามมาทั้งสิ้น
ทั้งสองจัดการกับอาหารตรงหน้าพร้อม ๆ กับบทสนทนาที่ฟังดูแปลกไป คำถามของหญิงสาวถูกตอบกลับมาด้วยคำพูดห้วน ๆ สั้น ๆ ที่ร่างบางนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน พี่ชานยอลของหล่อนไม่เคยเป็นแบบนี้ ทุกคำตอบที่เธอได้รับมักจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกประโยคล้วนน่าฟังและบทสนทนามักจะถูกแต่งแต้มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ครั้งนี้กลับแปลกออกไป บทสนทนานี้ถูกยื้อออกไปด้วยคำถามล้านแปดที่เธอพยายามกลั่นกรองเพื่อเรียกร้องความสนใจแฟนหนุ่มแต่มันกลับยิ่งทำให้เธอรุ้สึกอึดอัดใจเข้าไปใหญ่ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามชานยอลออกไปตรง ๆ
“พี่ยังลืมแบคฮยอนไม่ได้ใช่มั้ยคะ?”
คำตอบที่เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับทิ่มแทงหัวใจดวงน้อยของหล่อนอย่างเจ็บแสบ ดวงตากลมโตที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสบัดนี้กลับหม่นหมอง เยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“จียอน พี่ว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุย...”
“พี่ชานยอลยังไม่ตอบคำถามของจียอนเลย”
ตะเกียบที่อยู่ในมือกร้านถูกทิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่ใยดี ร่างสูงเอนไปที่พนักพิงพร้อมกับเบนสายตามองไปทางอื่น กิริยาหยาบกระด้างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนทำให้ความฉุนเฉียวและหึงหวงถาโถมเข้าสู่หัวใจของหล่อน
“อีกไม่กี่เดือนเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะคะพี่ชานยอล ฉันควรจะได้รับสิทธิ์ที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของสามีไม่ใช่หรือคะ?” คนถูกถามยังคงไม่แยแสหล่อน
“พี่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าพี่ตัดใจได้แล้ว พี่บอกเอง ว่าบยอนแบคฮยอนเป็นคนที่ทำร้ายหัวใจของพี่ แล้วทำไมพี่ยังทำแบบนี้ ทำไมพี่ยังส่งสายตาที่เต็มไปด้วย.. ความห่วงใยแบบนี้...” เสียงของหล่อเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคนทั้งร้านเริ่มส่งมองมาที่พวกเขาอย่างสอดรู้สอดเห็น
“ฉันควรจะเป็นคนเดียวบนโลกใบนี้ที่พี่จะต้องห่วงใยไม่ใช่เหรอพี่ชานยอล?! ตอบฉันสิ!”
ร่างสูงคิดว่าตนเองคงจะติดนิสัยไร้ความความออดทนมาจากแฟนเก่าของเขา มือนึงหยิบแบงค์หนึ่งหมื่นวอนสองใบวางไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ ชานยอลพยายามจะเพิกเฉยต่อเสียงร้องเรียกชื่อของเขาและสายตาจากคนทั้งร้าน จนท้ายที่สุดเขาก็ทนความเห็นแก่ตัวที่กอบกุมจิตใจของเขาตอนนี้ไปไม่ได้ เขาไม่สามารถโกหกผู้หญิงคนนี้ที่เขาตั้งใจจะมอบชีวิตทั้งชีวิตให้
มันควรจะเป็นแบบนั้น
“จียอน พี่พยายามอยู่... พี่ขอโทษ พี่จะพยายามให้มากขึ้น.... พี่สัญญานะจียอน....”
.
.
.
“...แต่พี่คิดว่าเธอคงไม่อยากได้ยินคำตอบนั่นตอนนี้หรอก”
100%
*
ดวงอาทิตย์ที่เคยส่องแสงสว่างจ้าบัดนี้ถูกทดแทนด้วยดวงจันทร์เสี้ยวที่กำลังแผ่แสงสีเหลืองนวล กระทบลงสู่พื้นคอนกรีตตามทางฟุตบาต ประกอบกับเสาไฟฟ้าและแสงไฟจากหลอดไฟตามตึกราบ้านช่วยบรรเทาบรรยากาศเปลี่ยวเหงาของถนนแห่งนี้ได้อย่างดี อุณหภูมิโดยรอบเริ่มต่ำลงอันเป็นสัญญาลักษณ์ของการจากลาฤดูใบไม้ร่วงและเตรียมต้อนรับฤดูหนาว ฤดูที่ร่างบางในชุดนักเรียนมัธยมนี้โปรดปรานที่สุด
การเรียนพิเศษจนดึกดื่นกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของแบคฮยอนตั้งแต่เขาอยู่มัธยมต้นแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป การแข่งขันระหว่างนักเรียนด้วยกันเองก็เริ่มสูงขึ้น การเรียนพิเศษก็ยิ่งต้องเข้มข้นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่ร่างเล็กไม่เคยรู้สึกเกียจคร้านเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยความที่เขาเติบโตมากับครอบครัวฐานะดี ลูก ๆ ทุกคนในบ้านหลังนี้ล้วนได้รับการศึกษาสูง ๆ จบมาทำงานตำแหน่งใหญ่ ๆ ในบริษัทโด่งดังกันทั้งสิ้น สภาพแวดล้อมอันเป็นอุดมคติสำหรับใครหลายคนนี้ส่งผลให้แบคฮยอนเติบโตเป็นคนที่ขยันขันแข็งมาตั้งแต่เล็ก
แบคฮยอนหวนคิดไปถึงพี่ชายคนรองของเขาที่ตอนนี้กำลังศึกษาต่อที่ต่างประเทศ พ่วงไปถึงพี่ชายคนโตที่ตอนนี้กำลังบริหารธุรกิจอันรุ่งเรืองของผู้เป็นบิดา แต่จู่ ๆ ลมเย็นเฉียบพัดโจมตีร่างบางอ้อนแอ้นนี้อย่างแรง มือบางที่สั่นเทาอยู่ค่อย ๆ ยกขึ้นมากระชับผ้าพันคอสีฟ้าหม่นให้แน่นยิ่งขึ้น ใบหน้าขาวระเรื่อสีแดงถูกลมอากาศทำร้าย จนผิวสวยเนียนเกิดรอยผิวแห้งแตกขึ้นประปราย สายตาเรียวเล็กเหลือบมองนาฬิกาหรูของตน สี่ทุ่มสามสิบห้านาทีถือว่าเขาออกจากที่เรียนพิเศษเร็วกว่าปกติ บางครั้งเขาก็ออกเลทจนต้องกลับถึงบ้านประมาณตีหนึ่งด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มที่เดินบนถนนเปลี่ยวตามลำพังก็สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนที่พุ่งตรงมายังเขา แบคฮยอนหันไปหาเจ้าของสายตานั่นและสายตาของเขาก็สะดุดกับชายหนุ่มร่างท้วมที่ยืนอยู่ไม่ไกลตัวเขานัก จู่ ๆ ผู้ชายปริศนาคนนี้ก็รีบวิ่งเข้าหาจนร่างบางแทบจะตั้งตัวไม่ทัน เมื่อได้สติสัมปะชัญญะกลับขึ้นมา ขาเรียวทั้งสองพาร่างเล็กวิ่งไปยังสุดทางถนนอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งเข้าหาตรอกซอยวกไปวนมาหวังแต่เพียงว่าเสียงฝีเท้าที่ไล่จี้มาติด ๆ นี้จะหายไปแต่ความหวังของเขานี้เริ่มริบหรี่เต็มที เพราะซอยแต่ละซอยเริ่มแคบและน้อยลงเรื่อย ๆ จนยากที่จะหาที่หลบภัย
เสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนในที่สุดเขาก็พบกับด้านหลังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงปากซอย แบคฮยอนตัดสินใจเร่งฝีเท้าสุดชีวิตและรีบตรงดิ่งเข้าไปในร้านทันที ดวงตากลมเล็กที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาและความหวาดกลัวค่อย ๆ มองออกไปนอกร้านเพื่อจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาได้หนีผู้ชายปริศนาคนนั้นได้แล้ว เมื่อเห้นว่าข้างนอกไม่มีใครอยู่นอกจากความมืดและแสงสว่างเล็กน้อย ๆ ตามทางเดิน ร่างบางทั้งร่างก็ฟุบลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง
ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน
จู่ ๆ แบคฮยอนก็รู้สึกได้ไออุ่นจากสัมผัสของอะไรบางอย่าง ด้วยสัญชาติญาณและสิ่งที่เขาเพิ่งได้ประสบมา มือทั้งสองก็โบกปัดสัมผัสนั้นพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก
“อย่านะ! จะเอาอะไรก็เอาแต่อย่าทำร้ายฉันเลย! ขอร้องล่ะ!!!”
“แบคฮยอน! แบคฮยอน!!” ใบหน้าหวานที่ขณะนี้คละคลุ้งไปด้วยน้ำตาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาหาเสียงทุ้มที่เขาคุ้นเคย
“ฉันเอง ชานยอล” ไม่ทันที่ร่างสูงจะได้ซักถามใด ๆ เด็กหนุ่มร่างใหญ่ก็ถูกฉุดกระชากเข้าสู่อ้อมกอดของคนตรงหน้าที่นั่งร้องไห้ครวญคราญอยู่
“อื้อออออ ชานยอล ช่วยฉันด้วย ฉันโดนไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ไล่ตามมา มันจะมาฆ่าฉันแน่ ๆ เลย ช่วยฉันด้วยนะชานยอล ฮืออออออออ”
ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ แตะไปที่แผ่นหลังอันสั่นระริกของคนในอ้อมกอดอย่างเกร็ง ๆ ก่อนจะเริ่มลูบขึ้นลงช้า ๆ หวังว่าจะกำจัดความหวาดกลัวของร่างบางไปได้
“น...นายไม่เป็นไรใช่มั้ย?” หัวทุยส่ายไปมาที่ไหล่กว้างของร่างสูง
“งั้นรออยู่นี่ก่อนนะ ฉันจะออกไปดูว่าหมอนั่นยังอยู่ข้างนอกอยู่รึเปล่า”
คราวนี้หัวของแบคฮยอนพยักขึ้นลงเป็นการตอบรับ ชานอลเห็นดังนั้นก็รีบบึ่งไปหยิบไฟฉายขนาดจัมโบ้ไซส์ในห้องข้าง ๆ ประตูไม้เก่าก่อนจะเดินออกร้านหายวับไปกับความมืด แต่ไม่นานเกินรอร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจโล่งอก
“มันคงจะหนีไปแล้วมั้ง”
“ฮึก... จริงๆนะ”
ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหาก่อนก่อนใบหน้าหล่อจะพยักหน้าให้กับร่างบางที่สภาพตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตัวน้อย ๆ ที่กำลังหวาดผวากับการรังแกของมนุษย์ แบคฮยอนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งออกไปในฉับพลันแต่น้ำตาที่อยู่ในเบ้าตาก็ยังคงไหลเกรอะกรังข้างแก้มใสนี้อย่างช่วยไม่ได้ แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าสภาพของเขาในตอนนี้สร้างความเอ็นดูให้แก่ผู้จับตามองขนาดไหน และนั่นก็สร้างความกล้าให้แก่ร่างสูงนิด ๆ ชานยอลถือวิสาสะพยุงไหล่บางทั้งสองเข้าสู่ร้านอาหารนี่ทันที
แบคฮยอนหันไปมองบรรยากาศรอบ ๆ ร้าน ผนังไม้เก่าที่ถูกประดับด้วยจิตกรรมภาพวาดชั้นดี แสงจากหลอดไฟส่องกระทบพื้นผิวของผ้าใบในแต่ละรูปจนเกิดความมันเงาขึ้น เขาได้กลิ่นฝาด ๆ ที่แฝงไปด้วยความเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ หากเขาเดาไม่ผิดนี่คงจะเป็นกลิ่นของไวน์แดงคุณภาพดี ภายในห้องโถงร้านมีลูกค้ามากมายกำลังนั่งเปรมปรีด์กับอาหารตรงหน้า ถึงขนาดที่ว่าคนเยอะขนาดนี้แต่กลับได้ยินเสียงคุยแผ่วเบามาก ๆ เสียงมีดแสตนเลสกระเทาะจาดกระเบื้องผสมปนเปกับดนตรีแจ๊สนุ่มละมุน บรรยากาศอบอุ่นแอบแฝงไปด้วยความหรูหราแบบนี้ ร้านอาหารแห่งนี้คงไม่ใช่ร้านอาหารทั่ว ๆ ไปแน่ ๆ แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือทำไมไอ้เอ๋อตัวสูงนี่ถึงมาอยู่ในร้านนี้ได้น่ะสิ แถมยังอยู่ในชุดของบริกรชายสีขาวดำเรียบร้อยซะด้วยสิ
“ว่าแต่ ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
“ก็... นี่มันร้านพ่อฉันนิ”
“ห๊ะ จริงดิ นี่นาย... รวยขนาดนี้เลยเหรอ?”
จริงอยู่เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ใช้ของแบรนด์เนมหรูหราแต่ฐานะทางบ้านของเขาก็ถือว่าอยู่ในะระดับที่ดีเลยทีเดียว ชานยอลจึงไม่คิดแปลกใจเลยว่าทำไมร่างบางถึงนึกเอะใจกับข้อเท็จจริงข้อนี้ แต่นั่นก็ทำร้ายความรู้สึกของเขานิดหน่อย
อยู่มาจนถึงเทอมสุดท้ายของปีแล้ว เขาก็น่าจะรู้ว่าแบคฮยอนเป็นคนยังไง
น่าแปลกที่เขาไม่คิดโกรธหรือถือโทษใด ๆ กับคน ๆ นี้เลย
“ตามมานี่สิ”
“หืม?”
“ฉันจะเลี้ยงมื้อดึกนายเอง”
*
เด็กหนุ่มสองคนนั่งบนพื้นพรมสีแดงเลือดหมูของห้องจัดเลี้ยงที่เวลานี้ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างรอการปรับปรุง จานสองจานถูกวางทิ้งอย่างสะเปะสะปะพร้อมด้วยแก้วไวน์ทรงสูงที่กลับถูกบรรจุด้วยน้ำอัดลมแทน นี่เป็นครั้งแรกของแบคฮยอนที่เขาได้พินิจฉัยใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ ดวงตากลมตาเรียวสวยตามแบบฉบับหนุ่มเกาหลีแท้ ๆ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงฉ่ำ เส้นผมสีน้ำตาลคาราเมลขับให้ใบหน้าหล่อนี้ชวนมองมากขึ้น เมื่อร่างสูงรู้ตึวว่าถูกจ้องมองจากคนข้าง ๆ ก็หันไปสบตาคู่นั้นทันที
“นายช่วยงานพ่ออย่างงี้ทุกคืนเลยเหรอ?”
“คืนศุกร์เสาร์อาทิตย์ลูกค้าเยอะน่ะ ฉันเลยอาสามาช่วย ได้เงินค่าขนมเพิ่มด้วย แลกกับการยืนเฝ้าลูกค้า รับออเดอร์ เสิร์ฟอาหารก็คุ้มดี”
ไม่รู้ว่าอาหารที่เขากินนี่มียาพิษแสลง ๆ อะไรที่ดลใจให้ความรู้สึกอยากได้ยินเสียงทุ้มพูดเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นหรืออย่างไร แบคฮยอนถึงได้อยากจะถามยืดบทสนทนานี้ออกไปเรื่อย ๆ
“นี่ ชานยอล”
“อ่าหะ?”
“ทำไมนายถึงย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ? ที่เก่าไม่ดีเหรอ?” ร่างสูงคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายแต่มองประเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากใจ
“ตั้งแต่เด็ก ๆ ฉันน่ะนะก็ไม่ค่อยมีเพื่อนนักหรอก ตัวก็อ้วน ใส่แว่นหนาเตอะ ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด พอโตมาฉันก็เริ่มลดความอ้วน หันมาใส่คอนแทคเลนส์ รูปร่างภายนอกของฉันเปลี่ยนไปมากจนทุกคนที่รู้จักแทบจะจำฉันไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคือการสร้างเพื่อนใหม่นี่แหล่ะ
“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะวางตัวยังไงเมื่อเจอผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ฉันควรจะทักเขามั้ยนะ? หรือควรจะขอเขาเล่นด้วย? หรือขอไปนั่งคุยด้วย? แล้วเราจะคุยเรื่องอะไรหล่ะ? ฉันคิดสงสัยคำถามเหล่านี้มาตลอดจนฉันกลายเป็นแค่จุดสีขาวเล็ก ๆ บนกระดาษพื้นใหญ่ เป็นแค่มนุษย์ล่องหนนิรนามในสายตาคนอื่น ๆ
“มีครั้งนึงตอนเรียนมอต้นปีสุดท้าย ฉันถูกรุ่นพี่ชวนให้เข้าชมรมบาสเกตบอล ทีแรกฉันก็ดีใจมาก ๆ คิดว่ามันคงจะเป็นโอกาสที่ดีในการหาเพื่อน แต่พอตอนเลิกเรียน ฉันกำลังจะเดินไปที่โรงยิมเพื่อรายงานตัว ฉันเห็นรุ่นพี่คนนั้นกำลังข่มขืนผู้หญิงอยู่”
ประโยคสุดท้ายทำเอาร่างบางที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจถึงกับหันหน้ามามองด้วยดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากเผยอออกเตรียมจะถามถึงเหตุการณ์ต่อมาแต่เสียงของเขากลับไม่ออกมาซะดื้อ ๆ ร่างสูงตัดสินใจเล่าต่อ
“เด็กคนนั้นเหมือนฉันสมัยก่อน เธออ้วนพีและใส่แว่นหนาเตอะ ทุกวันจะเอาปิ่นโตมาสามกล่อง มานั่งกินคนเดียวที่ริมระเบียง ฉันไม่เคยคุยกับเธอหรอกนะ พวกเราไม่เคยแม้แต่จะสบตากัน ตอนที่ฉันพบเธอกับรุ่นพี่ เธอก็ยังเป็นสาวแว่นอ้วนอยู่เหมือนเดิม ฉันคิดเสมอว่าหล่อนคือฉันและฉันคือหล่อน ไม่ว่าฉันจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ฉันก็ยังเหมือนเดิม เป็นคนที่ตกค้างอยู่ในมุม ๆ หนึ่งของโลกใบนี้
“ฉันคิดได้อย่างนั้นก็รีบวิ่งไปต่อยรุ่นพี่นั่นอย่างบ้าคลั่ง มันไม่ใช่ความกล้าหาญหรอกแบคฮยอน มันคือความกลัว กลัวว่าซักวันนึงจะเป็นฉันที่ต้องมาเป็นเหยื่อให้คนแบบนี้ ให้โลกใบนี้ ฉันหวาดระแวงจนขาดสติ วันต่อมาเรื่องที่ฉันข่วยผู้หญิงคนนี้ถูกแพร่ออกไปทั่วทั้งโรงเรียน ทุกคนต่างเดินมาตบไหล่ฉัน เรียกชื่อฉัน บ้างก็ซื้อของกินให้ฉัน คุณครูเองก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นเลย ไม่มีคนพูดเห็นใจเธอ ซื้อของกินให้เธอ ไม่มีครูคนไหนไปเยี่ยมเธอ ฉันไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่เธอควรจะได้รับ ฉันตัดสินใจไปเยี่ยมเธอและวันต่อมาฉันก็เขียนจดหมายลาออกจากโรงเรียน”
แบคฮยอนสังเกตุเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของชานยอลเมื่อทั้งสองหันมาสบตาซึ่งกันและกัน มันสุกสกาวกว่าดวงดาวดวงไหน ๆ เพราะมันแต่งแต้มไปด้วยความหวัง เรียวปากมอบยิ้มสดใสให้แก่คนตัวเล็กนั่งนิ่งราวกับถูกต้องมนต์สะกดเอาไว้
“ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาที่นี่ ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรนักหรอก ก็แค่อยู่ให้มันจบไปซะ แต่พอนายเถียงครูที่ชั้นเรียนเท่านั้นแหละ ทำให้ฉันนึกถึงคนทุกคนที่เคยแกล้งฉันตอนเด็ก ๆ แต่ตลกดีที่ขณะเดียวกันนั้นนายก็ทำให้ฉันลืมโกรธเจ้าพวกนั้น ฉันมองเห็นแต่ความซื่อตรงของนายไม่ใช่เจตนาร้ายเหมือนคนอื่น ๆ มันอาจจะรุนแรงไปบ้างบางที บางครั้งมันก็แสดงถึงความเป็นเด็กในตัวนาย นั่นทำให้ฉันไม่เคยคิดกลัวนายเลย”
แบคฮยอนยิ้มเยาะกับคำพูดของร่างสูง เสียง ‘หึ’ ในลำคอเรียกร้องความสนใจให้ชานยอลที่กำลังมองคนข้าง ๆ ด้วยความสงสัย
“อย่าทำเป็นรู้จักฉันดีไปหน่อยเลยชานยอล ห้าเดือนที่พวกเรารู้จักกัน สามครั้งที่เราไปเที่ยวด้วยกันกับเซฮุน ครั้งแรกที่พวกเราสองคนได้นั่งคุยกัน มันไม่ได้ทำให้นายรู้จักฉันหรอก”
ร่างบางเหลือบไปเห็นสีหน้าผิดหวังของชานยอล รอยยิ้มยังคงเหลืออยู่เจือจาง
“ฉันมันคนไม่เอาใคร เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล อย่าว่าแต่เพื่อนที่โรงเรียนไม่อยากยุ่งเลย มีพี่อยู่สองคนก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย กลัวฉันจะวีนใส่ ฉันก็ไม่สนใจ ใครจะทำอะไรก็ช่าง ชีวิตฉัน ฉันอยู่คนเดียวได้ แต่พระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งฉันไปไหน ส่งไอ้เซฮุนมันมาเป็นเพื่อน กรรมของมันเองด้วยที่ต้องเกิดมาเป็นเพื่อนรักของไอ้คนหยิ่งจองหองอย่างฉัน นึก ๆ แล้วก็สงสารแม่ง นิสัยก็ดี หน้าตาก็ดี ใคร ๆ ก็อยากเป็นเพื่อนกับมันแต่เสือกมีฉันเป็นตัวกีดขวางซะนี่”
เสียงหัวเราะนั่นฟังดูน่าสมเพชจนชานยอลรู้สึกสงสาร เขาได้แต่ถอนหายใจและตั้งใจฟังต่ออย่างอดทน
“ชานยอล นายก็เหมือนกัน ฉันไม่รู้ว่าอะไรมันบันดาลใจให้นายมาทิ้งชีวิตมัธยมปลายปีสุดท้ายไว้กับฉัน นายอาจจะโง่จนไม่รู้เลยก็ได้ว่าสาว ๆ ทั้งชั้นเขากรี๊ดนาย แม้แต่เพื่อนผู้ชายด้วยกันเอง มองหน้าเจ้าพวกนั้นก็รู้ ทิ้งไอ้เซฮุนเอาไว้กับฉันคนเดียวก็พอ แค่นี้ฉันก็รู้สึกผิดมามากแล้ว”
คำพูดที่ร่างสูงตระเตรียมเอาไว้ปลอบใจถูกกลืนหายไป แขนแกร่งยกขึ้นมาโอบไหล่บางทั้งสองอย่างแนบแน่น สายตาของทั้งสอนประสานกันจนลืมแม้กระทั่งความมืดที่อบอวลไปด้วยเสียงเงียบสงัด
“ความเอาแต่ใจของนายไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกน่า”
“หึ ในอนาคตมันอาจจะแย่กว่านี้อีกก็ได้นะ”
“ยังแย่กว่านี้ได้อีกเหรอ”
มือเล็กยกขึ้นมาตบแรงที่ตัวของร่างสูงด้วยความหมั่นเขี้ยว ชานยอลได้แต่หัวเราะกับท่าทางน่าเอ็นดูนั่น
แบคฮยอนยอมรับเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำอะไรไม่ดีไว้กับชานยอลหลายอย่าง นิสัยของเขาไม่ใช่อะไรที่จะแก้ได้ในเร็ววัน แต่วันนี้เขารู้สึกว่าได้เปิดรับให้ร่างสูงเทอะทะนี่เข้ามาในชีวิตเขาอย่างเต็มรูปแบบ แถมเข้ามาลึกเกินไปอีก…
ลึกจนถึงหัวใจนี่น่ะสิ
หัวทุยเล็กเอนแนบลงที่ไหล่กว้างของคนข้าง ๆ เพื่อหวังจะหาที่พักพิง ชานยอลได้ยินเสียงหัวใจของเต้นโครมครามราวกับเสียงรัวกลองชุดเมื่อแก้มของเขาสัมผัสได้ถึงกลุ่มผมนิ่มสลวยของร่างบาง ริมฝีปากหนาจุมพิตเบา ๆ ที่ศีรษะของแบคฮยอน กลิ่นหอมอ่อนโยนของแชมพูที่ตอนนี้ควรจะจางหายไปแล้วกลับยังคงอยู่
ดวงตาสองคู่มองทะลุหน้าต่างบานใหญ่ตรงหน้า แสงไฟในยามดึกที่ยังคงส่องสว่างระยิบระยับราวกับดวงดาวบนน่านฟ้า นอกหน้าต่างนั้นคงจะเงียบสงัดเหมือนกับห้องที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ เว้นแต่เสียงหัวใจของคนทั้งสองที่เต้นพร้อมกัน แต่ละจังหวะหนักแน่นและคงที่ มันเต้นดังพอที่พวกเขาจะได้ยินเสียงของกันและกัน
พวกเขาทั้งสองต่างมั่นใจว่าต่างฝ่ายต่างรู้จักกันมากขึ้น
และพร้อมที่จะรู้จักกันมากขึ้นไปอีกในอนาคต
-
background music : i Need Your Love / EZ Hyoung
สวัสดีค่ะ ไรท์เตอร์ตูนมาแล้ววว
หวังว่าตอนนี้จะอิ่มหนำมากพอสำหรับการรอคอยนะคะ
แชพนี้ยาวกว่าแชพอื่นๆเลยซึ่งตอนแรกไรท์เตอร์กะจะตัดไปเป็นอีกแชพ
แต่ไหนๆก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้วก็ให้เป็นของขวัญละกันเนาะ
สุขสันต์วันคริสต์มาสล่วงหน้านะคะทุกคน เจอกันแชพหน้าเน้อ :-) ♥
ความคิดเห็น