ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF.EXO | R U N ◇ chanbaek / kaido / hunhan

    ลำดับตอนที่ #15 : Underneath the Skin: Chapter 6 | jongin x kyungsoo - ENDING

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 631
      0
      25 ก.ย. 56

    underneath the skin

    jongin x kyungsoo / r (for soft erotic scenes) / angst , romance

     

     

    *

    Chapter 6 - ENDING

     

     

    จงอินไม่เคยชอบกลิ่นควันบุหรี่ เขาไม่เคยชื่นชอบสารมึนเมาจากใบยาสูบที่ถูกบดจนละเอียดเป็นผงอัดในรูปแท่งสีขาวขนาดเล็กนี้เลยแม้แต่น้อย และยิ่งเกลียดมันเข้าไปอีกเมื่อมันเป็นสิ่งโปรดปรานของคนที่เขาเกลียด

     

    “จงอิ...”

     

    “ไค” สายตาคมตวัดขึ้นมาประชันกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ อย่างที่ควรจะมีทั้งสิ้น

     

    “คุณไม่รู้จักจงอินและจงอินก็ไม่รู้จักคนอย่างคุณ”

     

    เสียงหัวเราะของชายร่างสูงดังขึ้นลบความเงียบออกไปจากห้องโถงใหญ่เสียจนหมด มือเรียวกว้านเรือนผมสีทองมันขลับนั้นกลับเข้ากลุ่ม บุหรี่ชั้นกลางถูกบดขยี้บนฐานคริสตัลแกะสลัก นักธุรกิจหนุ่มสายเลือดมาเฟียหันมาพินิจเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สักตัวหรูของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

    “บุหรี่ถูก ๆ นี่รสชาติไม่พ้นราคาเลยจริง ๆ”

     

    เด็กหนุ่มผิวแทนในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำทิ้งชายให้สอดใส่เข้าไปในกางเกงแสลกสีเดียวกัน ผมสีดำขลับปาดเจลเล็กน้อยพอให้อยู่ทรงเพื่อเพิ่มความคมเนี้ยบ ไหน ๆ จะมาตายทั้งทีก็ต้องทำให้สมศักดิ์ศรีตัวเองเสียหน่อย

     

    “อย่ามัวลีลา คุณรีบ ๆ หยิบปืนในลิ้นชักมาจ่อกบาลผมนี่ ให้มันจบ ๆ” คริสหัวเราะอีกครั้งแต่คราวนี้เบากว่าครั้งแรก นัยน์ตาคมก้มลงมองมือทั้งสองของตนเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง

     

    “มึงรู้ใช่มั้ยว่ามึงทำอะไรไว้ ? ” จงอินนิ่งเงียบ

     

    “...มึงรู้ใช่มั้ยว่าจื่อเทาคิดยังไงกับกู?”

     

    “สำคัญที่คุณคิดยังไงกับมันต่างหาก” คริสถอนหายใจ เขาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้หนังสุดหรูของเขา

     

    “เด็กคนนั้น ถึงจะดื้อไปบ้างแต่ก็ยังเชื่อฟังฉัน... น่าเสียดายที่ต้องมาโดนคนอย่างมึงฆ่าเสียก่อน”

     

    “ผ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใครทั้งนั้น” ชายอายุมากกว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่

     

    “ไม่ได้ตั้งใจก็ไม่ได้ตั้งใจ ...มึงคงเข้าใจเหตุผลที่กูเรียกมึงมาที่นี่ผิดนิดหน่อยแต่ก็เอาเถอะ”

     

    ร่างสูงชะรูดไม่พ้นนายแบบลุกออกจากที่ของตน ขายาวพาร่างนั้นไปถึงประตูห้องบานใหญ่ ลูกบิดสีทองอร่ามถูกบิดเล็กน้อยพอที่จะเปิดแง้มบานประตูนั้นออกมา จงอินอดที่จะสงสัยไม่ได้

     

    “เดินออกมานี่”

     

    หนุ่มวัยเยาว์ทำตามคำสั่งของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคน ‘เคย อุปถัมภ์เขา ทั้งสองเดินผ่านห้องพักโอ่อ่านับสิบ ห้องโถงยาวที่มีพื้นรองด้วยหินอ่อนและคริสตัลประดับตระการตาโดยรอบ เครื่องเงินเครื่องทองวางสลับกันไปมาอย่างลงตัวด้วยไอเดียอันแสนวิจิตรของเจ้าของโรงแรมระดับห้าดาวนี้นามว่าคริส

     

    ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มหยุดลงที่ระเบียงสำหรับชมวิวตึกราสูงใหญ่ขนาดเกือบจะใกล้เคียงกัน แสงไฟระยิบระยับสาดส่องไปทั่วไม่ต่างอะไรกับดาวบนฟ้านับร้อย

     

    มองจากมุมนี้ไม่ว่าสิ่งก่อสร้างจะทันสมัยหรือสวยหรูขนาดไหนก็คงเหลือไว้แค่ประกายไฟเล็ก ๆ ความสวยงามของสถาปัตยกรรมถูกกลบจนไม่เหลือโดยความมืดยามราตรี ไม่ต่างอะไรกับภาพที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยจากอีกประเทศที่เขาต้องใช้ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตอยู่ตรงนั้น แต่ที่ทำให้ภาพนั้นมันดูสวยและน่าจดจำมากกว่าคือคนข้างกายที่ยืนเคียงข้างเขาในตอนนั้นต่างหาก

     

    ผ่านไปเกือบสองปีกว่า ๆ แล้วที่รอยยิ้มอันสดใสนั้นคอยเรียกหยาดน้ำตาและความรู้สึกผิดฝังลึกในจิตใจอันบอบช้ำ ทุกวินาทีต้องทนอยู่กับความทุกข์อย่างไม่รู้จบ

     

    ถ้าจงอินจะต้องจบชีวิตของเขาลงในวินาทีนี้เขาก็ยินดี

     

     

     

    คริสไม่เคยคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้เห็นหยาดน้ำตาของเด็กหนุ่มคนนี้ คิมจงอิน หรือ ‘ไค’ ที่มีหัวใจอันกล้าแกร่งดั่งหินผา คำพูดทุกครั้งล้วนกรั่นกรองออกมาใช้เมื่อจำเป็น เช่นเดียวกันกับลวดลายการต่อสู้ที่ถูกซึมซับมาอย่างดีจากตัวเขาเอง คริสไม่นึกเลยว่าในเวลานี้จงอินจะเผยจุดอ่อนของเขาออกมาให้เป็นประจักษ์

     

    หัวใจอันอ่อนโยนและมั่นคงนั่นแหล่ะคือจุดอ่อนของเด็กหนุ่มคนนี้

    ไม่สิ จุดแข็งต่างหาก

     

    “มึงนี่นะ... ความรักมันทำให้คนกระด้าง ๆ อย่างมึงหน่อมแน้มได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ?”

     

    “ถ้านั่นคือความรัก ผมก็ไม่ต้องการมันอีกแล้ว”

     

    คริสไม่ได้รู้สึกผิดอะไรที่คิดสงสารเด็กคนนี้ แม้จงอินจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตำรวจเริ่มหันมาจับตาเขาและเอาคนทั้ง องค์กร’ ไปเสี่ยง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนปลูกฝังความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นี้ไว้เองกับมือ รวมกับพลังใจที่เด็กคนนี้มีอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่จะถูกขายให้กับเขา ตลอดเวลาที่เขาฝากฝังเหยื่อแต่ละรายไว้กับจงอินก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง แม้จะต้องใช้ชีวิตซ่ำซ่ออยู่ในห้องแฟลตโสโครกนั่น หนำซ้ำเขาเองก็ไม่สามารถส่งเงินไปให้ใช้ได้ตามต้องการอันจะทำให้เกิดพิรุธแก่เด็กหนุ่มเอง

     

    การต้องเสียฮวางจื่อเทาไปไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำใจได้ง่าย เขารับรู้ความรู้สึกที่เด็กคนนี้มีให้กับเขาเสมอ นิสัยดื้อรั้นและหยิ่งยโสไม่เคยปรากฎให้เขาเห็นตามคำร่ำลือของลูกสมุนชั้นล่างคนอื่น ๆ เพราะคำว่ารักอันแผ่วเบาและไร้เดียงสานั้นทำให้จื่อเทา “เชื่อง” ทุกครั้งที่อยู่กับเขา ถึงจะเป็นมาเฟียมือเปื้อนเลือดมาโชกโชนขนาดไหน เขาก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำที่จะปัดรังควานความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น แต่ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกอย่างที่เด็กคนนั้นรู้สึกก็เท่านั้น

     

    อีกอย่าง ในเมื่อเขาเสียคนที่เขาไว้ใจไปแล้วคนหนึ่ง จะมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องกำจัดอีกคนที่เหลือ

     

     

    เด็กหนุ่มหันกลับมามองอีกร่างหนึ่งที่กำลังยื่นอะไรบางอย่างให้กับเขา ซองสีขาวถูกปิดผนึกอย่างดีในมือเรียวยาวประดับด้วยแหวนเพชรนิลจินดาเขย่าขึ้นลงเล็กน้อย เรียกให้จงอินหยิบมันออกไป เขาทำตามและบรรจงเปิดผนึกนั่นออกช้า ๆ

     

    จงอินแปลกใจมากกว่าที่คริสไม่ได้คิดจะฆ่าเขา

     

    คุณทำแบบนี้ทำไม?” ริมฝีปากสีออกชมพูอ่อนระบายยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม

     

     

    “กูผ่านเรื่องเหี้ย ๆ แบบนั้นมาก่อน กูรู้ดี แต่เพราะความหนักแน่นมั่นคงในสิ่งที่ตัวเองเชื่อทำให้กูมีทุกวันนี้ ความรักอะไรนั่นกูไม่เคยสัมผัสมันหรอกแต่มึงเคยมาแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้มึงถือไพ่เหนือกูอยู่ใบหนึ่ง การเป็นเจ้าคนนายคนต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ความกล้าหาญ ไหวพริบและประสบการณ์ชีวิต ในเมื่อมึงมีครบทุกสิ่งและกูไม่ ความรัก... เชื่อมั่นในสิ่งนั้น กูเชื่อว่ามึงยังต้องการมันอยู่ …อีกอย่างมือของกูก็เปื้อนเลือดมามากพอแล้ว กูอยากใช้เวลาที่เหลือกับตัวกูเอง ชีวิตนี้กูไว้ใจคนแค่สองคนที่กูชุบเลี้ยงมากับมือ กูเสียไปแล้วคนหนึ่ง กูจะเสียอีกคนไปไม่ได้ เพราะมันต้องสืบทอดเส้นทางทรหดสายนี้ของกู ไค กูมอบหมายทุกอย่างให้มึง มึงจะทำได้มั้ย?”

     

     

    เด็กหนุ่มมองใบสัญญานั่น เขาแค่มองแต่ไม่ได้อ่าน ก่อนจะพับเก็บใส่ซองดังเดิมและยื่นมันให้กับคนที่มอบให้แก่เขา

     

    “ผมจะทำตามคำสั่งสอนของคุณคือเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งที่มันเคยพรากคนรักไปจากผม ดังนั้นผมขอปฏิเสธ” ทั้งสองไม่ลดละสายตาออกจากกันเพียงเสี้ยวินาที

     

    “...คราวนี้คุณจะหยิบปืนออกมายิงผมก็ตามสบาย”

     

    คิ้วเรียวสวยได้รูปยกขึ้นเชิงสงสัย และแล้วเสียงหัวเราะที่กวนประสาทจงอินก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายร่างสูงโปร่งเดินมาหาเด็กหนุ่มพร้อมกับมือกร้านยกขึ้นวางพักบนไหล่ของอีกฝ่าย เพราะความสูงของอีกฝ่ายที่แก่กว่านั้นค่อนข้างผิดมนุษย์มนา คริสจำเป็นต้องก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าคม

     

    “งั้นก็ลาก่อน ไค ...คิมจงอิน”

     

    ฝ่ามือใหญ่ตบเบา ๆ ที่ผิวเสื้อเชิ้ตก่อนที่ร่างใหญ่นั้นจะละออกมา เว้นระยะห่างให้เด็กหนุ่มเดินออกไปอย่างสะดวก

     

    จงอินไม่คิดที่จะถามคำถามอะไรให้มันยุ่งยาก ในเมื่อบอสคนเก่าของเขาให้โอกาสเขาได้ลิ้มรสอยู่กับความเจ็บปวดต่อ จงอินจำต้องน้อมรับอย่างไม่คิดต่อต้านใด ๆ เด็กหนุ่มพาร่างของตนเดินกลับไปทางที่ตนจากมาโดยไม่ลืมที่จะกล่าวคำอำลาแก่ผู้มีพระคุณสูงสุดและคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำที่สุด

     

     

    “โชคดีนะครับ คุณอู๋อี้ฟาน”

     

     

    คิมจงอินหยุดยืนที่ทางม้าลาย คิดในใจจว่าจุดหมายของเขาคืออะไรใรกรุงโซลแห่งนี้

     

     

    *

     

    ผิวเนียนกระจ่างที่จุนมยอนเคยชอบหยิกแกล้งตอนเด็กบัดนี้เปลี่ยนสีเป็นสีหมองอิดโรย ผิวส่วนอ่อนโยนรอบดวงตาขึ้นสีช้ำแสดงให้เห็นถึงการนอนที่ไม่เพียงพอ จุนมยอนรู้สึกเสียใจ เคียดแค้นและโมโหที่ตัวเองได้อะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ลูกนกปีกหักตัวนี้นอนตายอย่างทรมานอยู่บนพื้น

     

    นับจากวันที่ผู้เป็นบิดาเสียชีวิตลงและตามมาติด ๆ ด้วยมารดาของตนด้วยความตรอมใจต่อการตายของสามี จุนมยอนเป็นคนเขียนจดหมายส่งข่าวอันเศร้าสลดนี้ด้วยตัวของเขาเองแต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้บินมาเยี่ยมเยียนด้วยตัวของเขาเองจนถึงบัดเดี๋ยวนี้

     

    เพียงแค่จะโอบกอดปลอบโยนก็ยังทำไม่ได้ในเมื่อมีกรงเหล็กขั้นกลางระหว่างพวกเขา

     

    เสียงตะโกนของผู้คุมเรือนจำตะโกนใส่เขาทำเอาร่างของนายแพทย์หนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิดเพื่อเตือนชายหนุ่มว่าเวลาเยี่ยมนักโทษใกล้หมดลง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เขาบินตรงมาจากเกาหลีนี่เพื่อจะนั่งจ้องใบหน้าซีดเซียวจรงหน้าหรืออะไรกันแน่ อันที่จริงจุนมยอนไร้คำพูดใด ๆ ติดตรงปลายลิ้น อาจเป็นเพราะเขาแค่อยากจะเห็นหน้าเจ้าของหัวใจของเขาก็แค่นั้น

     

    “คยองซู”

     

    จุนมยอนเริ่มใจหายว่าวิญญาณของชายหนุ่มตรงหน้านี้หลุดลอยหายไปแล้วหรืออย่างไร ความสงสารบวกกับความรักที่มีให้ไม่เสื่อมคลายบีบคั้นหัวใจให้น้ำใสเริ่มเอ่อล้น

     

    “ค...คยอง.....คยองซู.....ค..... คยองซู......”

     

    เสียงสะอื้นร่ำไห้ของชายหนุ่มที่อายุมากกว่าทำให้เจ้าของนามเงยหน้าขึ้นมาพินิจใบหน้าของผู้มาเยือนเป็นครั้งแรก ดวงตากลมโตที่เคยจรัสแสงสุกสกาวบัดนี้เหลือเพียงเศษธุลีเถ้าลอยคลุ้ง รกร้างเหมือนไม่เคยได้รับการดูแลเป็นเวลานาน จุนมยอนไม่สามารถควบคุมน้ำตาที่ไหลลงมานี้ได้อีกแล้ว

     

    “พ...พี่ขอโทษ.....พี่ขอโทษที่ทิ้งคยองซู..... พี่ขอโทษที่ปกป้องคยองซูไม่ได้...... พ...พี่....”

     

    “ผมขอจับมือพี่ได้มั้ย?”

     

    จุนมยอนมองที่ดวงเนตรคู่นั้นและปฏิบัติตามคำขอแต่โดยดี มือเนียนค่อย ๆ สอดผ่านช่องแคบระหว่างกรงเหล็กรอให้ถูกสัมผัส ผิวหยาบกร้านดั่งกระดาษทรายเอื้อมขึ้นมาอย่างสั่นเทา จรดลงอย่างนุ่มนวนบนมือของอีกฝ่าย น้ำใสล้นทะลักออกมาจากดวงตาคมเมื่อตระหนักได้ว่าร่างบางตรงหน้าเขาเปราะบางและแตกหักไปแล้วเท่าไหน ชายหนุ่มที่เด็กกว่าค่อย ๆ กระชับการจับกุมให้หนักแน่นขึ้น

     

    “ผมเลือกเองครับพี่จุนมยอน.... ผมเลือกเอง”

     

    ทั้ง ๆ ที่จุนมยอนคิดว่าเขาจะไม่สามารถร้องไห้หนักกว่านี้ได้อีกแล้วแต่น้ำตากลับชิงกันตกลงตามแรงโน้มถ่วง เขาอยากจะจบชีวิตที่ไม่สามารถบรรลุที่จะปกป้องคน ๆ นี้เสียให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่เสียงกระเส่าของอีกคนเรียกสติของเขาให้กลับคืนมาอีกครั้ง

     

    “พี่ครับ....ทำอะไรซักอย่างเพื่อผม.... ได้มั้ย?”

     

    “คยองซู ไม่ว่าเราจะขออะไร พี่สัญญาด้วยชีวิตของพี่ ว่าพี่จะทำ...”

     

    นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มประดุจเทวดาองค์น้อยแบบนี้

     

     

     

    “ลืมผม ...แล้วใช้ชีวิตของพี่อย่างมีความสุข ...จะได้มั้ยครับ?”

     

     

     

    *100%

     

     

     그댈 사랑하려 했던 것이 잘못입니다

    การที่ผมจะพยายามรักคุณนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิด

     

    나는 내 주제를 모르는 바보랍니다...

    ผมมันก็แค่คนโง่คนหนึ่งที่ไม่รู้จักฐานะของตัวเอง

     

     

     

     

    ...이리 높은 벽에 둘러싸인 그대에 비해

    เปรียบเทียบกับคุณที่ห้อมล้อมไปด้วยความสูงส่ง

     

    난 아무것도 못 가진 철부집니다

    ผมมันก็แค่คนโง่เขลา ไร้ค่า ไร้ซึ่งสิ่งใด ๆ 

     

     

    ลมเย็นพัดเอากลิ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ลอยคลุ้งรอบร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่ม ใช่ ตอนนี้คิมจงอินเลยขีดของคำว่า “เด็กหนุ่ม” ไปแล้วเรียบร้อย ผู้คนต่างอายุเดินผ่านทางเขาไปอยู่เนือง ๆ ใบหน้าของพวกเขาค่อนข้างแตกต่างจากคนไทยที่เขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมเป็นเวลาเกือบทศวรรษ ดวงตาโค้งเรียวเล็ก ผิวขาวเนียนละเอียด สำหรับจงอินแล้วแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปร่วมสามปี เขายังไม่คุ้นเคยกับอวัยวะแปลกรูปบนใบหน้าทรงเหล่านี้เสียที น่าแปลกที่เขากำลังยืนอยู่บนผืนดินบ้านเกิดตัวเองแท้ ๆ แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่คือ “บ้าน” ของเขา

     

    นอกจากมลพิษทางอากาศที่พัดปลิวยังมีกลิ่นบางอย่างที่สะดุดจมูก จงอินสูดอากาศเข้าออกช้า ๆ วิเคราะห์กลิ่นนั้นพลางหมุนตัวรอบทิศเพื่อดูสิ่งแวดล้อมรอบตัวทางเดินลาดยาวประกอบด้วยตึกราบ้านพักอาศัย แฝงด้วยร้านขายของชำและร้านจิปาถะต่าง ๆ เสียงหัวเราะของเด็กชายทุ้มต่ำที่เรียกให้เขาหัวเราะตามอยู่เสมอดังก้องอยู่ในสมองของเขา จงอินคลี่ยิ้มบางเบาออกมาและเดินไปตามถนนสายนี้ที่เขาคุ้นเคย

     

    ชายหนุ่มหยุดลงที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง จงอินมองดูการแต่งตัวแบบเรียบง่ายของเขาเพื่อเช็คความเรียบร้อยก่อนขาเรียวยาวทั้งสองจะก้าวเข้าไปข้างใน กลิ่นชีสและมะเขือเทศฟุ้งกะจายไปทั่วสารทิศตามแบบของร้านอาหารอิตาเลี่ยนทั่วไป ผู้คนมากมายกำลังมีความสุขกับอาหารตรงหน้า จงอินมีความสุขกับภาพที่เห็นจากใจจริง

     

    บริกรคนหนึ่งเดินมาหาชายหนุ่มพร้อมกับเมนูในกำมือ จงอินรับมันไว้และเปิดอ่านดูพร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ของเขาที่ส่งตรงออกมาจากความรู้สึกภายใน จนมาถึงหน้าสุดท้ายของเล่ม จงอินขยี้ตาตนเองอย่างแรงก่อนจะเพ่งพินิจมองหน้าดาษนี้จนบริกรที่ยืนรอรับออเดอร์ถึงกับสงสัย ซักครู่ถัดมาริมฝีปากอวบอิ่มก็คลี่ออกกว้างขึ้นกว่า เขาหันไปหาบริกรคนนั้นที่ยืนรอเขาอยู่

     

    “ช่วยไปเรียกเจ้าของร้านให้เดินมาแนะนำอาหารหน่อยได้มั้ย ?” บริกรหนุ่มพยักหน้ารับด้วยความงงงวย

     

    ชั่วครู่ถัดมาเมื่อจงอินได้ยินเสียงฝีเท้าของคนเดินมาหาเขา ใบหน้าหล่อเข้มเงยขึ้นไปพร้อมรอยยิ้มเยาะชวนให้อีกฝ่ายที่มองอยู่ตกตะลึง

     

    “ไม่ทราบว่ามีอะไรให้.... ไอ้เหี้ย! คิมจงอิน!!!” เสียงทุ้มตะเบงขึ้นเรียกความสนใจให้กับคนทั้งร้าน ชายหนุ่มผิวคล้ำอดที่จะขำกับเพื่อนรักวัยเด็กที่ตอนนี้กำลังทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี

     

    “นี่มึงจริง ๆ เหรอเนี่ย!?”

     

    “เออ กูเอง เสือกจำได้อีกนะมึงอ่ะ... ว่าแต่มึงเหอะไอ้ชานยอล ไปทำเหี้ยไรมาถึงผอมขนาดนี้วะ ? ตอนกูเห็นรูปหลังเมนูกูนึกว่ามึงไปเอารูปนักร้องที่ไหนมาแปะ”

     

    “แหม เวลาผ่านไปตั้งสิบกว่าปี กูก็ต้องมีอยากหล่อมั่งสิวะ... แล้วมึงหล่ะเป็นไงมั่ง? ไม่ได้เจอกันตั้งนานหล่อขึ้นเป็นกอง เห้ย นี่มึงดำขึ้นกว่าเดิมได้ด้วยเหรอ ?” ชานยอลหลุดขำออกมากองโตในขณะที่จงอินเอื้อมไปฟาดเพื่อนรักด้วยฝ่ามือแกร่งอย่างแรงเรียกเสียงร้องโอดครวญได้อย่างสะใจ

     

    “กูก็.... ย้ายไปอยู่ประเทศไทยว่ะ”

     

    “ไทย? มึงไปเรียนต่อเหรอวะ?” จงอินกลืนน้ำลายอึกใหญ่และจำใจพยักหน้าตอบ

     

    “ก็ไม่ไกลมากนี่หว่า มึงแม่งไม่มีติดต่อกลับมาเลย กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้วซะอีก”

     

    “เอ๊าไอ้นี่ปากเสียอีก ก็... มันติดต่อลำบากนี่หว่า กูเองก็ยุ่ง ๆ ทำนู่นนี่ ไม่ได้แค่เรียนนะเว่ย แต่กูกลับมาเกาหลีตั้งแต่เรียนจบแล้ว ยังรู้สึกไม่ค่อยชินเลยว่ะ... เอ้อ แล้วมึงแต่งงานยังเนี่ย?”

     

    “ค...แค่หมั้นว่ะ.... ตอนนี้มึงทำงานอะไรอยู่?” ชายหนุ่มผิวคล้ำถอนหายใจเฮือกใหญ่

     

    “ตั้งแต่กลับมานี่กูก็ทำงานรับจ๊อบเล็ก ๆ ไปเรื่อยพอหารายได้อยู่ไปวัน ๆ กูมันก็ไม่ได้เรียนสูงอะไรด้วยเลยหางานทำยาก”

     

    “งั้นมึงมาเป็นผู้จัดการร้านมั้ย?”

     

    “เห้ย! จะดีเหรอ? กูไม่อยากรบกวนมึงนะเว้ย”

     

    “รบกวนเหี้ยไร เพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันทั้งนั้น... ถ้าเป็นมึงกูก็ไว้ใจด้วย”

     

    “.....มึงเอาจริง?” ชานยอลหลับตาพยักหน้าด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น จงอินส่ายหัวกับท่าทางเด็ก ๆ ที่ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปซักเท่าไหร่เพื่อนรักของเขาคนนี้ก็ยังเหมือนเดิม

     

    ชายร่างสูงโปร่งขอตัวไปจัดการอาหารมื้อพิเศษต้อนรับเพื่อนรักวัยเด็กของเขาเดินกลับเข้าสู่ชีวิต ทิ้งให้จงอินนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศอบอุ่นที่ใกล้เคียงกับคำว่า “บ้าน” สำหรับเขามากที่สุดในตอนนี้

     

    ดวงตาเรียวคมตวัดเอียงไปอีกทางและสะดุดเข้ากับโต๊ะของคู่รักคู่หนึ่ง ไม่ใช่คนเหล่านั้นที่ดึงดูดให้เขาจับจ้องแต่เป็นตำแหน่งนั้น

     

    เด็กหนุ่มอายุย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นกำลังนั่งอยู่ลำพังท่ามกลางผู้ใหญ่มากมายฉอเลาะกันไปทั่ว ผิวพรรณเนียนกระจ่างตัดกับสีชุดนักเรียนที่ทำให้ความสว่างนั้นดูโดดเด่นขึ้นมาอีก  ริมฝีปากอวบท้วมขึ้นเลือดฝาดแดง ดวงตากลมโตประกอบด้วยแพขนตายาวสีดำขลับมองเหม่อออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย

     

    ภาพตรงหน้าทำให้เขาในตอนนั้นหวนนึกถึงราพันเซล สาวงามร่างบางพร้อมกับเรือนผมยาวสลวยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองถูกกีดกันเสรีภาพโดยแม่มดตัวร้าย เด็กคนนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับราพันเซล หากแต่เด็กหนุ่มไม่มีเรือนผมสีทองอร่ามและไม่ได้ถูกกีดกันโดยแม่มด แต่ถ้าโดยสังคมภายนอกที่เด็กอย่างเขาเองก็ไม่เข้าใจนัก แต่จงอินมั่นใจว่าเด็กคนนี้กำลังโหยหาอะไรบางอย่าง

     

    และจงอินต้องการเป็นอะไรบางอย่างที่ว่านั่น

     

     

     

    ถ้าเพียงแค่โชคชะตาไม่เล่นมุขตลกร้ายนั่นกับชีวิตของเขา

     

     

     

    *

     

     

    “ราวิโอลี่โต๊ะสิบได้แล้ว!

     

    ชายหนุ่มผิวเข้มสาวขายาวมาที่เคาท์เตอร์หน้าห้องครัวตามเสียงเรียกทันที แขนแกร่งทั้งสองถูกวางด้วยจานอาหารจนปิดมิด มองไม่เห็นผิวผ้าสีขาวขึ้นรอยยับ อาหารแต่ละจานถูกนำมาเสิร์ฟให้แก่ลูกค้าพร้อมกับรอยยิ้มชวนหลงใหล จานสุดท้ายถูกวางลงที่โต๊ะของครอบครัวขนาดเล็ก จงอินเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์อีกครั้งพร้อมกลับเสียงถอนหายใจปลดปล่อยความเหนื่อยล้ากับงานที่ทำมาทั้งวัน

     

    “คุณอาจงอิน!” เสียงเรียกของเด็กหญิงตัวน้อยเรียกความสนใจให้กับชายหนุ่มเปรยตาลงมอง จงอินคลี่ยิ้มออกอย่างสดใสพลางก้มลงคว้าร่างของเด็กตัวน้อยเข้าสู่อ้อมอก

     

    “โซฮี แล้วคุณพ่อละคะ?” จงอินผละใบหน้าของตนออกจากพวงแก้มเนียนนุ่มมาที่คุณพ่อลูกอ่อนอย่างปาร์คชานยอล

     

    “เห้ย จงอิน กูจ้างมึงมาเป็นผู้จัดการร้านนะเว้ยไม่ใช่พนักงานเสิร์ฟ พัก ๆ มั่งก็ได้ ทำงานจนเหงื่อท่วมตัวแล้วเนี่ย”

     

    “ดีกว่ากูนั่งเฉย ๆ แดกเงินเดือนมึงไปวัน ๆ ละกัน กูขยันแล้วยังมาบ่นอีก แปลกคนนะมึง... แล้วแบคฮยอนล่ะ?”

     

    “ก็ทำงานเลิกดึกตามเคยนั่นแหล่ะ มาโซฮี เดี๋ยวไปอาบน้ำแล้วคุณพ่อจะเล่านิทานให้หนูฟังนะคะ” แขนยาวเรียวของเพื่อนร่างสูงโย่งโอบล้อมเด็กหญิงผู้เป็นแก้วตาดวงใจด้วยความทะนุถนอม เด็กน้อยทำหน้ามุ่ยแล้วหันไปหาชายหนุ่มอีกคน

     

    “หนูอยากอยู่เล่นกับอาจงอินค่ะ คุณอามาเล่นกับโซฮีนะคะ”

     

    “โธ่ลูก อาจงอินเขาทำงานมาเหนื่อยมากแล้ว ให้เขาพักซักหน่อยเถอะนะ ไว้วันหลังเดี๋ยวคุณพ่อจองตัวคุณอาจงอินให้ทั้งวันเลย ตกลงมั้ย?” โซฮีพยักหน้าตอบคุณพ่อพร้อมกับกลีบปากอมชมพูคลี่ยิ้มเห็นเม็ดฟันน้อย ๆ ถอดแบบมาจากคุณพ่อไม่มีผิดเพี้ยน ชานยอลหันมาบอกลาเพื่อนรักของตนก่อนจะเดินหายไปอีกทาง

     

    ชายหนุ่มมองอีกคนเดินจากไปพร้อมกับชีวิตที่ลงตัว เขายิ้มให้กับภาพเหล่านั้นก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูหลังร้าน ลานจอดรถขนาดไม่กว้างเท่าไหร่นี้มักจะเป็นสถานที่ ๆ จงอินนึกถึงเป็นอย่างแรกเมื่อเขาต้องการหาที่ปลดปล่อยจิตใจ ทุกครั้งที่เขาเหนื่อยกับงานที่ทำหรือแม้กระทั่งคิดถึงคน ๆ นั้นขึ้นมา จงอินจะเดินมาที่นี่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ปล่อยให้ความคิดลอยละล่องตามทางของมัน

     

    เขานึกชื่นชมชีวิตอันแสนสงบของเขา ตลอดสี่ปีที่ได้งานการดี ๆ สุจริตทำด้วยความอุปการะของเพื่อนสนิทวัยเด็ก เงินทุกก้อนที่ได้รับมาจากความขยันขันแข็งของตัวเขาเอง จงอินภูมิใจกับสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้แต่ทุกครั้งที่เขานึกภาคภูมิอยู่กับชีวิตอันแสนสงบของเขา ชื่อของโดคยองซูจะลอยขึ้นมาเป็นหนามเล็ก ๆ ทิ่มแทงให้เขารู้สึกผิด จงอินปล่อยให้สมองของเขาลืมใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและชีวิตของอีกคนที่ยอมสละให้กับเขาไปไม่ได้

     

    เสียงร้องเพลงของเด็กชายทั้งสองดังก้องขึ้นมาจากความทรงจำ จงอินคิดถึงคยองซูอีกแล้ว

     

    ผิวเนียนเรียบใต้สัมผัสของเขา มันช่างดูเปราะบางเสียเหลือเกิน ดวงตากลมโตซุกซ่อนอยู่ใต้เปลือกสีขาวเนียนละเอียดประดับด้วยแพขนตาเรียงหนาเป็นเส้น เด็กหนุ่มมองร่างบอบบางตรงหน้าด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่ไม่สามารถหักห้ามได้ หลังจากวันนั้นการใช้ชีวิตอยู่โดยปราศจากคนข้างใต้เขาคนนี้ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ จงอินนึกสงสัยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเขาอยู่อย่างสิ้นหวังแบบนั้นได้ยังไงกัน ณ วินาทีนี้ที่เขาต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกครั้ง มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน

     

    จงอินสงสัยว่าเขาจะใช้ชีวิตแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน

     

     

     

    ชายหนุ่มสูดแก๊สออกซิเจนเลี้ยงปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน จงอินฝากร้านไว้กับลูกน้องคนอื่น ๆ เพราะอาการเวียนศีรษะเล็กน้อยซึ่งเกิดจากความคิดฟุ้งซ่านที่เขาไม่สามารถละทิ้งไว้ได้ ยิ่งช่วงนี้เขาพักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวันและอายุอานามที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ชานยอลเองก็คอยเตือนเขาไม่ให้หักโหมกับงานจนเกินไปแล้วแท้ ๆ จงอินนึกเสียใจที่ไม่ได้ทำตามคำสั่งของเพื่อน เสื้อโค้ทตัวใหญ่ถูกหยิบมาสวมใส่ จงอินเดินออกจากร้านมุ่งหน้ากลับบ้านของตนโดยทันที

     

    รถบัสที่เขาใช้บริการประจำกว่าจะมารับเขาก็อีกสองชั่วโมง ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเท้าเปล่ากลับบ้านแต่ยังดีที่แมนชั่นที่เขาเช่าอยู่นั้นอยู่ห่างจากรานอาหารร้านนั้นเพียงไม่กี่นาที จู่ ๆ อาการปวดหัวก็กำเริบขึ้นมา จงอินพยายามประคองตัวเดินจนผ่านร้านขายของชำร้านหนึ่ง ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับสภาพโซเซเล็กน้อย มือหนึ่งยกขึ้นมากุมขมับ จงอินพยายามหลีกเลี่ยงแสงจ้าจากหลอดไฟโดยการหรี่ตาทำให้ภาพที่เขาเห็นนั้นพร่ามัวและไม่ชัดเจน เขาเดินตรงไปที่ตู้แช่น้ำและหยิบน้ำขวดออกมาหนึ่งขวด ร่างสูงใหญ่เดินจรงไปเข้าแถวต่อจากคนสองสามคน

     

    จงอินเดินเขยิบเข้ามาหน้าเคาน์เตอร์ชำระเงินพร้อมกับแบงค์พันวอนในกำมือ ใบหน้าหล่อคมก้มงุดลงไปเพราะแสงไฟที่ยังคงส่องมาแยงตาเขาอยู่นั้นทำให้อาการยิ่งกำเริบเข้าไปอีก ริมฝีปากที่เริ่มสั่นระริกเพราะความเจ็บปวดค่อย ๆ ขยับเอ่ยบางสิ่ง

     

    “น้อง... พอจะมีพวกยาพาราอะไรอย่า... อย่างงี้ขายมั้ย?”

     

    ปราศจากเสียงตอบใด ๆ ให้จงอินได้ยิน ชายหนุ่มร่างสูงนึกโมโหคิดว่าพนักงานแคชเชียร์จะไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขา จงอินเงยหน้าขึ้นมาอย่างเร็วเพื่อที่จะต่อว่า แต่แล้วความตั้งใจนั้นก็ถูกทำลายลงเมื่อนัยน์ตาคมของเขารับรู้ถึงภาพตรงหน้า

     

     

     

    ฉันรักนายนะ

     

     

     

     

     

    ตุบ

     

     

     

    เสียงรอบข้างถูกกลบจนมิดด้วยคลื่นเสียงบางอย่างที่ดังก้องกังวานอยู่ในใบหู สีดำจากความมืดถูกแทรกด้วยดวงสีขาวขุ่นมัวชวนแสบลูกตา เปลือกตาสีอัลมอนด์หม่นค่อย ๆ ขยับขึ้นเผยลูกตากลมพร้อมม่านตาสีดำเข้ม ดวงไฟส่องแสงฉายโฉบลงมาแต่แล้วก็หายวับไปด้วยเงาของร่าง ๆ หนึ่ง จากเงาเลือนรางประกอบรวมเป็นร่างเดียว จงอินรู้จักดวงตากลมโต ริมฝีปากอวบอิ่มและผิวขาวเนียนละเอียดนี้ดี

     

    จะไม่ให้เขารู้จักมันดีได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาเรียกร้อง เฝ้าภาวนาขอให้ได้สัมผัสมันอีกสักครั้ง

     

    มันสมจริงเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่เมื่อหยดน้ำหยดหนึ่งสัมผัสลงบนผิวแก้มกร้านของเขา จงอินตระหนักได้ว่านี่คือความจริง ชายหนุ่มนอนหมดสภาพอยู่กลางมินิมาร์ทเอื้อมแขนของตนโอบร่างที่พยุงตัวเองอยู่นั้นให้ลงไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแทน

     

    “อ....อย่าไปจากผม...... ฮ...ฮึก อย่าไปจากผมอีกเลย นะ... คยองซู......”

     

    สภาพของจงอินตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่คยองซูจดจำไว้ไม่เคยลบออกจากใจ คยองซู มือเนียนผ่องยกขึ้นมาซับน้ำตาที่ไหลท่วมใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างอ่อนโยน

     




    “ฉันอยู่นี่แล้วจงอิน.... ฉ...ฉันจะไม่ไปไหนอีกแล้ว.....”

     

    ริมฝีปากอวบหนาคลี่ยิ้มออกมาจากใจ เสียงบอกรักพร่ำเพ้อกังวานไปทั่วพื้นที่สมองของเขาก่อนจงอินจะสลบไปอีกครั้งด้วยพิษไข้ในอ้อมกอดของชายหนุ่มคนที่เขาโหยหามาทั้งชีวิต

     


     

     

     

    จงอินตื่นขึ้นมารับแสงอรุณของเช้าวันใหม่พร้อมกับคยองซูนอนสงบอยู่เคียงข้างเขา อาการปวดศีรษะและพิษไข้จากความเหนื่อยล้าของชายหนุ่มปลิวหายไปโดยปริยาย








    ดูเหมือนว่าคิมจงอินยังคงต้องเชื่อมั่นในความรักต่อไป









    END






    -



    สวัสดีค่ะ ไรท์ตูนมาแล้วววว
    และแล้วเวลานี้ก้มาถึง ฟิคไคโด้อวสานเรียบร้อยแล้วนะคะ;3;
    พล็อตเรื่องของไคโด้ในตอนแรกนั้นไม่ได้เป็นแบบนี้เลย
    ซึ่งไรท์พยายามคิดอยู่หลายๆพล็อตแล้วเลือกอันที่คิดว่าดีที่สุดออกมา
    หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะสร้างความบันเทิงให้กับรีดเดอร์ได้นะคะ
    อ้อแล้วอย่าลืมติดตามสเปของคู่นี้กันนะค้า~
    จะพยายามแต่งชดเชยฉากดราม่าทั้งหมดเลย;w;
    ไรท์ขอถือโอกาสนี้แปะโปสเตอร์สำหรับฟิคคู่ใหม่หน่อยนะคะ
    แล้วอย่าลืมติดตามกันน้า ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นและกำลังใจที่มีให้เลยค่ะ:-)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×