ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF.EXO | R U N ◇ chanbaek / kaido / hunhan

    ลำดับตอนที่ #11 : Underneath the Skin: Chapter 2 | jongin x kyungsoo

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 541
      1
      11 มี.ค. 56

    underneath the skin

    jongin x kyungsoo / r (for soft erotic scenes) / angst , romance

     

     

    *

     

    Chapter 2

     

    เป็นเวลาครึ่งค่อนวันแล้วที่ชายหนุ่มสองคนแบ่งปันความเงียบร่วมกันในห้องพักเหม็นอับใจกลางเมืองกรุงเทพ จะเรียกว่าเงียบซะทีเดียวก็คงจะไม่ใช่เพราะเสียงแตรรถกับเสียงตะโกนภาษาถิ่นที่หนึ่งในสองหนุ่มแปลไม่ออกดังทะลุประตูระเบียงและหน้าต่างบานเล็กเข้าสู่ห้องพักอย่างไม่ได้ตั้งใจ

     

    คยองซูยังคงง่วนอยู่กับหนังสือตรงหน้าเหมือนที่เขาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ส่วนไคนั้นไม่สามารถบ่งบอกได้แน่ชัด บางครั้งเขาก็ออกไปทำอะไรไม่รู้ข้างนอก กลับมาอีกทีก็พลบค่ำพร้อมกับมื้อเย็นสำหรับผู้อยู่ในการปกครอง วันนี้ดูท่าว่าเด็กหนุ่มจะไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษ ร่างสูงใหญ่นั่งซ่อมวิทยุเก่าคร่ำครึที่เขาเก็บได้จากถังขยะส่วนรวมของชาวแฟลตเมื่อเย็นวาน อะไหล่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยถูกงัดออกและถูกใส่กลับไปใหม่อย่างช่ำชอง เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคอันเป็นผลงานที่ได้จากความพยายามของเด็กหนุ่ม ผลที่ได้มานั้นคุ้มค่ากับแรงกายและเวลาที่เสียไปอย่างที่ร่างบางที่คอยชำเลืองมองอยู่เนือง ๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก

     

    “แปลว่าอะไรนะ?” สายตาถูกละออกจากหน้ากระดาษก่อนจะทอดยาวไปทางร่างสูง

     

    “ห๊า?”

     

    “ที่เขาพูดในวิทยุน่ะ แปลว่าอะไรเหรอ?”

     

    “เขาเรียกว่าละครวิทยุ ตอนนี้นางเอกกับนางร้ายกำลังทะเลากัน ที่นี่เขาไม่ค่อยฟังกันแล้วหรอก ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนแก่ฟัง อาแปะร้านก๋วยเตี๋ยวที่ฉันทำงานด้วยชอบเปิดให้ฟังบ่อย ๆ ตอนเวลางานน่ะ เสียดายสมัยนี้เขาไม่ค่อยมีกันแล้ว”

     

    น้ำเสียงแจ๋แจ้นของผู้หญิงถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นนางร้ายของเรื่อง คลื่นแทรกดังขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ตามประสาวิทยุเก่าสมัยคุณปู่ ถึงจะแปลไม่ออกเลยแม้แต่น้อยแต่ฟังไปฟังมาก็เพลินหูดี เหมือนฟังคนต่างชาติพูดคุยกันตามร้านอาหาร ถ้าฟังออกก็คงจะเป็นเครื่องมือแก้เหงาได้ดีทีเดียว คยองซูหันไปมองไคที่กำลังนั่งหัวเราะเบา ๆ คนเดียวตามบทละครที่กำลังร่ายออกมาผ่านลำโพง

     

    เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนเกาหลีไม่ผิดแน่แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หากไม่ได้รู้จักกันคงจะนึกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กท้องถิ่นไปแล้วก็ได้ ว่าแล้วต่อมอยากรู้อยากเห็นเริ่มเปิดเครื่องยนต์ทำงานอัตโนมัติ ไหน ๆ ก็เป็นคนรู้จักคนเดียวที่เขามีในตอนนี้ จะทำความรู้จักเพิ่มหน่อยคงไม่เป็นไร

     

    “นี่ นายมาอยู่ที่ไทยได้ยังไง? ย้ายมาตามพ่อแม่เหรอ?” ไคนึกสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มร่างเล็กคนนี้เกิดอยากจะรู้เรื่องของเขาขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะตอบ

     

    “อืม พ่อตั้งใจจะย้ายมาเปิดสาขาบริษัทที่นี่ ตอนนั้นผมอายุประมาณสิบกว่าขวบมั้ง”

     

    “อ๋อ งั้น... พ่อแม่นายอยู่ไหนซะล่ะ?”

     

    “ตั้งแต่บริษัทของพ่อเจ๊ง พ่อก็ฆ่าตัวตาย แม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยขายผมให้ลูกกระจ๊อกของบอสที่อยู่ในกรุงเทพ เอาเงินที่ได้กลับไปเกาหลีตั้งนานแล้ว”

     

    ร่างบางคิดอยากจะเอาค้อนทุบหัวตัวเองจริง ๆ ที่ดันไปสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่องจนเผลอถามคำถามแทงใจอีกฝ่ายไปซะได้ แม้ใบหน้าหล่อคมจะไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ถึงกระนั้นคนถามก็ยังรู้สึกผิดในใจอยู่ดี

     

    “ข...ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้”

     

    “ช่างมันเถอะ อยากรู้อะไรอีกล่ะ?” ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรทน่าสนใจทำกันอยู่แล้วทั้งคู่ เปิดบทสนทนาระหว่างกันฟังดูไม่แย่เสียเท่าไหร่

     

    “อยู่มาตั้งนาน นายคงฟังภาษาไทยรู้เรื่องหมดเลยงั้นสิ?”

     

    “ตอนผมถูกขายให้บอส บอสก็มอบหน้าที่ให้ผมเป็นลูกน้องคนอื่นอีกที ส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยทั้งนั้น พวกเขาเลยสอนภาษาไทยผม ตอนแรกก็ลำบากนิดหน่อยแต่หลัง ๆ ก็ชิน โตมาหน่อยบอสก็ให้ผมมาเป็นคนดูแลเหยื่อของบอส หางานพิเศษให้ทำอำพรางตำรวจท้องที่ ตอนทำงานเป็นเบ๊ร้านก๋วยเตี๋ยวก็ได้ฝึกภาษาไทยไปในตัวด้วย ไอ้ฮวางจื่อเทาก็เหมือนผมนี่แหล่ะ แต่เจ้านั่นมันไม่ยอมไปทำงานพิเศษ อยากเป็นกุ๊ยไล่เตะคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ไปขโมยเงิน บอสไม่ค่อยปลื้มสันดานมันนักหรอกเพราะกลัวว่านิสัยชอบทำอะไรสะดุดตาคนอื่นจะทำให้พวกตำรวจสงสัย มีแต่ผมนี่แหละที่ยอมทำทุกอย่างบังหน้า คนแถวนี้รู้จักผมในฐานะคนไทยไปแล้วด้วยซ้ำ”

     

    น้ำเสียงทุ้มแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างสมเพชต่อโชคชะตาของตัวเอง คยองซูคิดว่าตัวเขาเข้าใจคน ๆ นี้ดี แม้เขาจะถูกเลี้ยงมาอย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยขาดตกบกพร่องทางด้านไหน แต่พื้นฐานชีวิตของมนุษย์คือความรักจากคนอื่น ไคต้องอยู่คนเดียวในสภาพแวดล้อมแบบนี้พร้อมกับปมด้อยติดพันในใจ ฟังแล้วเหมือนกับละครเกาหลีที่พวกแม่บ้านชอบดูกันเลยจริง ๆ

     

    ร่างบางกระเถิบเข้าหาอีกคนจนผิวพรรณของทั้งสองปะทะกัน ไครู้สึกว่าเขาขนลุกนิด ๆ กับสัมผัสอุ่นของอีกฝ่าย เรียวแขนเล็กโอบล้อมไหล่กว้างอย่างทุลักทุเลจนคนทั้งสองไม่เหลือที่ว่างระหว่างกันแม้แต่น้อย

     

    “...ทำอะไรของคุณ?”

     

    “ไม่ต้องถาม อยู่นิ่ง ๆ อย่างนี้แหล่ะ”

     

    “คุณนี่นะ...”

     

    “ชู่ว์!

     

    ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบางเบากับการกระทำของอีกฝ่าย แขนแกร่งโอบร่างอีกร่างตอบรับอ้อมกอด ศีรษะของทั้งสองเอนเอียงเข้าหากันตามแรงโน้มถ่วง ไคได้กลิ่นหอมอ่อนละมุนจากกลุ่มผมดำขลับที่สัมผัสแก้มกร้านของเขาอยู่ เขาย้อนนึกถึงช่วงเวลาอันแสนหอมหวนในอดีตนั้นขึ้นมา หวังว่าคยองซูจะจำภาพความทรงจำเลือนลางนั้นได้อย่างที่เขาทำ

     

    “ไค”

     

    “ว่า?”

     

    “เหงามั้ย?”

     

    “ก็... นิดหน่อย” คยองซูผละออกจากร่างสูง ทอดสายตาที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นไปที่ดวงตาเรียวคมคู่นั้น

     

    “นายเป็นคนดีนะไค... เชื่อฉัน ทิ้งชีวิตของนายไว้ที่นี่แล้วไปมีชีวิตใหม่”

     

    ดวงตาของไคเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไร้ซึ่งแสงแวววับเล็ก ๆ อย่างเคย คยองซูชักจะรู้สึกเกลียดเสียงแค่นหัวเราะนี่ซะแล้วสิ

     

    “คิดว่าพูดแค่นี้แล้วผมจะปล่อยคุณงั้นเหรอ? โธ่คุณคยองซู คุณเห็นผมเป็นตัวอะไร? ถึงผมจะเด็กกว่าคุณหลายปีแต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมเป็นเด็กอมมืออยู่นะ คิดจะมาหลอกผมด้วยความใจดีแบบนี้ ใจร้ายจริง ๆ ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากที่ของตนตามมาติด ๆ กับชายหนุ่มร่างเล็ก ร่างสูงใหญ่หันมาตามสัมผัสจากมืออุ่นของอีกคนที่แตะลงบนไหล่ของเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ

     

    “ฉ...ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” ไม่ทันทีคนอายุมากกว่าจะอธิบายเพิ่มเติม ร่างของเขาก็ถูกดันไปชนกับฝาผนังเข้าอย่างจังจนเกิดเสียโครมคราม แววตาดุดันราวกับสัตว์ป่าทำเอาคยองซูไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองตรง ๆ ดูท่าว่าคำพูดของเขาเมื่อครู่เป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง

     

    “โดคยองซู... เงยหน้ามา” ร่างบางไม่กล้าขัดคำสั่งคนตรงหน้า เขารู้สึกเจ็บใจเล็ก ๆ ที่คิดกลัวเด็กที่อายุน้อยกว่าคนนี้ เขาคิดผิดอีกแล้วที่เงยหน้ามาปะทะกับสายตาเล้าโลมของอีกคน คยองซูก้มหน้าลงมองที่พื้นอีกครั้ง พวงแก้มใสขึ้นสีก่ำชวนมอง

     

    “ผมบอกให้เงยหน้า ไม่ได้ยินหรือไง?”  ริมฝีปากอวบอิ่มเฉียดเข้ากับใบหูอ่อนอย่างตั้งใจ คยองซูคิดอยากจะวิ่งไปที่ระเบียงแล้วกระโดดลงไปให้มันรู้แล้วรู้รอด ท่าทางหวาดกลัวของอีกฝ่ายสร้างความพึงพอใจให้แก่อีกคนที่มองดูอยู่อย่างไม่ละสายตาได้เป็นอย่างดี

     

    “บอกไม่เชื่อเองนะ”

     

    สัมผัสชุ่มฉ่ำ นุ่มละมุนและหนักหน่วงในเวลาเดียวกันจรดลงบนเนื้อหนังอย่างที่คยองซูไม่ทันตั้งตัว มือเล็กพยายามดันร่างตรงหน้าออกไปแต่ก็ไม่ได้ผล กลีบปากหนาไล้ไปตามแนวกระดูกของร่างบางอย่างไม่ปราณี สำรวจทุกเส้นทางนั้นอย่างรอบคอบด้วยริมฝีปากตามด้วยลิ้นร้อนแตะเบา ๆ พอเรียกความเสียวซ่านให้กับคนทั้งสอง คยองซูอยากจะบ้ากับตัวเองที่เผลอครางตามจังหวะเร้าที่อีกคนมอบให้

     

    “อา...อ...หยุด”

     

    ไคเลื่อนใบหน้าของตนออกมามองใบหน้าอ่อนระทวยนั่นก่อนจะแสยะยิ้ม ริมฝีปากคู่เดิมหันมาจู่โจมที่กลีบปากสีชมพูอิ่มแทน เริ่มจากการหยอกเย้าก่อนจะแฝงลิ้นร้อนเข้าไปบุกชิงความหวานจากโพรงปากที่หยาดเยิ้มด้วยน้ำหวานใส เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวแทบจะหายไปจนร่างบางของคยองซูทรุดลงไปกับอ้อมแขนแกร่ง ดวงตาหลับพริ้มเมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะขัดขืนอีกต่อไป ร่างบางปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามตัณหาที่เกาะกลุ่มลึกอยู่ในเหวจิตใจ เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ชายหนุ่มทั้งสองคนยืนแลกเปลี่ยนสัมผัสร้อนรุ่มด้วยลิ้นอุ่น ไคตัดสินใจผละตัวเองออกมาเชยชมกับผลงานตรงหน้า คยองซูทั้งส้มทั้งยืนพร้อมกับดวงตาชุ่มน้ำใสระรื่นและริมฝีปากบวมฉ่ำจากกิจกรรมที่เพิ่งจบไป

     

    เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกผิดเมื่อเขาเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายทั้งหวาดผวาและโกรธเกรี้ยวในเวลาเดียวกัน น้ำตาหยดใสเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม ไคสับสนกับความคิดของตัวเองแต่เขาก็เลือกที่จะโผเข้าไปกอดอีกฝ่าย หวังว่าความอบอุ่นนี้จะช่วยลบล้างความผิดที่เขาทำต่อร่างบางตรงหน้าไว้มากมายนี้ได้ เด็กหนุ่มรู้ว่าร่างบางในอ้อมอกนี้เปราะบางขนาดนี้ แม้ภายนอกจะดูแข็งแกร่งเสียเพียงไร เขายอมทนให้กำปั้นเล็ก ๆ ทุบลงแผ่นอกแกร่งตามที่คนตัวเล็กต้องการจนคยองซูหมดเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนอีกต่อไป เขายืนนิ่งให้ร่างสูงโอบล้อมร่างของเขาเอาไว้พร้อมด้วยรอยน้ำตา

     

    ไครู้สึกถึงจิตใจที่แตกสลายของคนอายุมากกว่า เพียงแค่เขาได้พูดความจริง ได้พูดสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไร บางทีเรื่องมันจะไม่ได้ลงเอยแบบนี้

     

    บางทีเขาทั้งสองอาจจะไม่ต้องลงเอยด้วยสถานะ “ผู้ร้าย” และ “เหยื่อ” แบบนี้

     

     

     

    หากแค่เขาได้พูดออกไปว่าสิ่งที่เขาต้องการคือ “หัวใจ” ของคน ๆ นี้...
     

     

     

    *

     

     

     

    “ไคเอ้ย ไปเก็บโต๊ะสองซิ”

     

    ใบหน้าเปียกชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อจากการทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ยันหัวค่ำเงยขึ้นมาขานรับชายแก่ที่กำลังยืนลวกเส้นบะหมี่อยู่หน้าร้าน ร่างใหญ่หยิบผ้าขี้ริ้วสีหม่นเช็ดไปมาอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงกระทบระหว่างขาโต๊ะเหล็กกับพื้นซีเมนต์ เขาเคลื่อนย้ายไปตามเสียงเรียกของลูกค้าอีกคนที่ต้องการจะคิดเงินค่าอาหาร ตัวเลขมากมายร่ายเรียงและถูกคำนวณในหัวสมองของเขาอย่างเป็นระบบตามที่อาแปะเจ้าของร้านสอนเขาไว้ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ร้านใหม่ ๆ หลังจากเสร็จภารกิจเรียบร้อยเด็กหนุ่มพาร่างของตนไปที่หลังร้าน เริ่มชำระล้างจานชามแก้วน้ำมากมายที่กองรออยู่ในกะละมัง

     

    “จงอิน”

     

    ชื่อที่เขาไม่คิดว่าชาตินี้จะได้ยินถูกเอ่ยโดยน้ำเสียงของคนคุ้นเคย ร่างสูงเพรียวในชุดเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสกินนี่เข้ารัดเรียวขาจนไม่มีที่ให้ลมผ่านยืนส่งสายตาทักทายร่างสูงที่กำลังทอดสายตาเบื่อหน่ายมายังเขา ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มก่อนจะย้ายร่างของตนมานั่งข้างอีกคน

     

    “กูชื่อไค”

     

    “เออ มึงชื่อไค แต่ยังไงมึงก็คือคิมจงอินอยู่วันยังค่ำ”

     

    “....ถ้ามึงจะมาที่นี่เพื่อต่อล้อต่อเถียงกูก็กลับไปซะ” ไคตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตนเองต่อ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ซัดหมัดไปที่ใบหน้ากวนบาทาของคนข้าง ๆ

     

    “ฮวางจื่อเทาคนนี้จะมาเยี่ยมเพื่อนมั่งไม่ได้หรือไง?”

     

    “กูจะบอกมึงเป็นครั้งสุดท้ายว่ากูไม่เคยเป็นเพื่อนมึง” คนที่นั่งฟังน้ำเสียงเรียบนั่นหลุดขำออกมาอย่างไม่เกรงใจ

     

    “เออ ๆ ไม่เป็นก็ไม่เป็น แค่นี้ทำดุ... ทำไม? งอนกูที่น้อง ๆ กูรุมซัดมึงเมื่อวันก่อนหรือไง?”

     

    “กูชินแล้ว”

     

    “เอ้อ แล้วเหยื่อสนองตัณหามึงเป็นไงมั่ง?” สายตาของอีกฝ่ายแทบจะฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ จื่อเทาหลุดหัวเราะอีกครั้ง

     

    “มึงนี่ก็แปลก... เห็นคนก่อนนะ ปล่อยแม่งรอวันตายอย่างกะหมูอย่างกะหมา พอมารายนี้ปุ๊บ ประคบประหงมปกป้องอย่างกะอะไรดี ...ลีลาเด็ดขนาดนั้นเลยเหรอมึง?”

     

    “ไอ้จื่อเทา! มึงพูดเหี้ย ๆ ถึงเขาอีกครั้งเดียวกูเอามีดปาดคอมึงแน่!

     

    “โหย ไรวะ พูดเล่นหน่อยเดียวเอง... กูถามจริงเหอะ ทำไมมึงถึงต้องเทคแคร์อะไรมันมากขนาดนั้นวะ?” ไคหันหน้ามามองจื่อเทาตรง ๆ จนอีกฝ่ายสังเกตุได้ถึงแววตาที่ดูเปลี่ยนไป ราวกับน้ำแข็งข้างในเริ่มละลายลง

     

    “เห็นว่ามึงเป็นคนที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘เพื่อน’ มากที่สุดสำหรับกู… สัญญาด้วยสัจจะลูกผู้ชายกับกูได้มั้ยว่ามึงจะไม่บอกใคร แม้กระทั่งบอส

     

    “เออสัตว์ เล่ามา ๆ ” นี่เขาคิดผิดเหรือเปล่าที่ตัดสินใจจะเล่าให้ไอ้หมอนี่ฟัง?

     

    “กูเคยเจอคยองซูมาก่อน ....ตอนนั้นกูอยู่ประถม เขาอยู่มอต้น เราบังเอิญเจอกันน่ะ ตั้งแต่นั้นกูก็หยุดคิดถึงเขาไม่ได้เลย”

     

    “....เขาจำมึงไม่ได้งั้นสิ?” ไคแค่นหัวเราะ กลีบปากหนายกมุมขึ้น

     

    “จำได้ไม่ได้ยังไงเขาก็เป็นเหยื่อของบอสอยู่ดี หน้าที่ของกูคือดูแลเหยื่อพวกนั้น กูจะขัดคำสั่งผู้อุปการะสูงสุดของกูได้ไงวะ?”

     

    คราวนี้เป็นจื่อเทาที่ยกยิ้มข้างมุมปาก ร่างสูงชะรูดลุกขึ้นจากที่ของตนก่อนจะเหยียดแขนยาวทั้งสองขึ้นสู่ฟ้า เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะบอกลา ไคหันมาหยิบจานแต่ละใบถูไปมาด้วยน้ำผสมน้ำยาล้างเจือจางต่อ ประโยคหนึ่งดังก้องสู่โสตประสาทของเขา คำเตือนถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ไครู้สึกได้ลึก ๆ ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น

     

    “จำคำพูดของมึงไว้นะไค ถ้าวันใดบอสของกูต้องมาโดนมึงหักหลัง กูจะจัดการมึงไม่เหลือซากแน่”

     

     

    *

     

    ผนังสีขาวนวลสลับกับวอลเปเปอร์ลายดอกขนาดกะทัดรัดเรียงร้อยเป็นแนวเดียวกันชวนมอง ที่แขวนน้ำเกลือสแตนเลสถูกตั้งอยู่ข้างเตียงคนไข้ขนาดควีนไซส์ บนนั้นเป็นที่พำนักของชายแก่ร่างท้วมนอนสูดออกซิเจนเข้าปอดด้วยพละกำลังที่มีอยู่ร่อยหรอ สายตาที่พร่าเต็มทนทอดไปยังบุรุษผู้มาเยือน ชายร่างเล็กในชุดกาวน์ตามแบบคุณหมอเดินมาที่อีกร่างพร้อมกับปึกกระดาษในอ้อมอก ไม่ลืมที่ยกยิ้มบางเบาและค้อมตัวลงคำนับผู้อวุโสตามมารยาท

     

    “คุณลุงยังรู้สึกแน่นที่บริเวณหน้าอกอยู่มั้ยครับ?”

     

    “ไม่แล้วหล่ะ... นี่มันก็เที่ยงแล้ว หมอจุนมยอนไม่ไปพักกินข้าวกะเขามั่งรึ?” คนที่อยู่ฐานะหมอประจำตัวและลูกชายนอกสายเลือดยิ้มรับความห่วงใยของผู้เป็นมิตรสนิทของบิดาของตน แว่นกรอบเงินถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะย้ายไปอยู่ที่สันจมูกโด่งสูงรับกับใบหน้าที่จัดได้ว่าหล่อเหลาไม่แพ้ดาราในจอทีวี

     

    “ตรวจคุณลุงเสร็จเดี๋ยวผมก็ต้องไปบันทึกรายงานคนไข้ต่ออีกครับ คงไม่มีเวลามานั่งทานมื้อเที่ยงหรอกครับ”

    “แหม... เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาใครจะดูแลคุณหมอหล่ะเนี่ยะ มีแต่คุณหมอจะดูแลคนอื่นนะ พัก ๆ มั่งเถอะยังหนุ่มยังแน่น” ปลายปากกาจรดบนเนื้อกระดาษบันทึกอาการของคนไข้ตามที่ตัวเองสังเกตุ จุนมยอนยิ้มให้กัอาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ของชายอวุโสคนนี้ที่คอยอุปถัมภ์เขาประหนึ่งลูกชายอีกคน

     

    “คุณโดพูดถึงขนาดนี้ เดี๋ยวผมออกไปซื้ออะไรมารองท้องก็ได้ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”

     

    “อืม ดีแล้ว ...ฉันหล่ะรู้สึกแย่จริง ๆ ที่ต้องมาอยู่ในสภาพตกอับแบบนี้ ธุรกิจที่ฉันทุ่มเทชีวิตให้ตกอยู่ในกำมือของไอ้พวกนั้น ซูยองต้องมาแบกภาระต่อสู้คดีโดยปราศาจากฉันที่ต้องมานอนซมเพราะพิษโรคในตัว... หนำซ้ำคยองซู... คยองซูลูกพ่อ....”

     

    น้ำใสหยดลงบนแก้มเข้าซอกเหี่ยวย่นตามกาลเวลา ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองและปลอบประโลมอีกฝ่ายที่กำลังตกอยู่ในมรสุมชีวิต จุนมยอนพยายามให้คนไข้ของตนหยุดการกระทำทุกอย่างลงเพราะเกรงว่าอาการปวดแน่นที่อกเพราะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติจะกำเริบขึ้นมา เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันเพราะคุณและครอบครัวเป็นเสมือนคนในครอบครัวของเขาเอง และเขาก็ยอมรับคยองซูว่าเป็นน้องชายของเขา เหตุการ์ที่คยองซูหายสาบสูญไปนั้นก่อให้เกิดความเศร้าสลดแก่ครอบครัวโดยิ่งนัก จุนมยอนได้แต่ภาวนาให้คยองซูผู้เป็นที่รักของทุกคนอยู่รอดอย่างปลอดภัยในที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้

     

    ชายหนุ่มหันมาสบตาอันเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์พร้อมกับการตัดสินใจที่จะช่วยเหลือผู้มีพระคุณของเขาผู้นี้

     

    “ผมจะออกตามหาคยองซูเองครับ” ดวงตาคู่นั้นประกายวาวด้วยความหวังทันที มือเหี่ยวย่นกอบกุมมือเรียวขาวแน่น

     

    “จ...จริง ๆ นะ ! จุนมยอน ลุงขอบคุณเธอจริง ๆ ขอบคุณ”

     

    “คยองซูก็เหมือนกับน้องชายผม... ขาดเขาไปชีวิตผมคงอยู่ไม่ได้ ผมสัญญาครับว่าผมจะพาคยองซูกลับบ้านให้ได้ คุณลุงเชื่อใจผมนะครับ”

     

    “เชื่อสิ ...เธอคือความหวังเดียวของฉันนะจุนมยอน”

     

    “งั้นคุณลุงสัญญากับผมว่าคุณลุงจะไม่เครียดกับเรื่องนี้อีกต่อไป อาการของคุณลุงยังน่าเป็นห่วงอยู่ ผมไม่อยากให้มันกำเริบไปมากกว่านี้ ...สัญญานะครับ”

     

    อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับด้วยความหวังว่าจะได้พบลูกชายของตนในไม่ช้า ใช่ จุนมยอนรู้ว่าความเป็นไปได้นั้นมีเพียงไม่ถึงสิบเปอเซ็นต์ แต่ถึงมันจะมีเพียงแค่หนึ่งเปอเซ็นต์หรือน้อยกว่านั้น เขาก็จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจและคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เป็นอันขาด

     

    ร่างเล็กของชายหนุ่มเดินออกจากห้องคนไข้และอาคารไปยังที่จอดรถโดยไม่ลืมที่จะฝากงานไว้กับพยาบาลคนสนิท รถสปอร์ตสีขาวคันหรูเคลื่อนตัวมุ่งสู่ถนนสายหลักด้วยความเร็วสูงและคงที่ ในสมองของจุนมยอนตอนนี้คิดถึงแต่เด็กหนุ่มร่างบางเจ้าของรอยยิ้มอันสดใสเหมือนแสงอรุณและหัวใจที่ได้แต่เฝ้ารออย่างไร้จุดหมายเพราะขอบเขตของคำว่า ‘พี่ชาย’ ที่กั้นกลางระหว่างพวกเขา ความหวังที่จะได้พบโดคยองซูอีกครั้งจุดประกายขึ้นในร่างของเขาและดูเหมือนว่ามันจะแกร่งกล้ากว่าเดิม

     

    แค่เพียงได้เห็นรอยยิ้มอันสุกสกาวนั่นอีกครั้ง จะแลกด้วยอะไรเขาก็ยอม

     

     
    -

     

    หวัดดีค่ะ ไรท์เตอร์ตูนกลับมาแล้วเน้อ
    อยากรู้ฟีดแบคของเรื่องใหม่มากเลย บอกตามตรงว่าไรท์เตอร์กลัวว่าจะแป้กมาก;___;
    เพราะเป็นสไตล์แบบเงียบ ๆ หงอย ๆ เน้นดราม่า(อีกแล้วorz)
    ชอบไม่ชอบสไตล์นี้ยังไงติชมกันมาได้นะคะ ส่วนอดีตของน้องไคจะค่อย ๆ เผยออกทีละนิด ๆ
    อย่าลืมติดตามกันด้วยน้า ถ้ารีดเดอร์คนไหนไม่ชอบแนวนี้
    อดใจรอเรื่องต่อไปก็ได้น้า หวานละมุน เฮฮากันแน่นอนค่ะ
    ไว้เจอกันใหม่น้า ขอบคุณสำหรับทุกเม้นและข้อติชมด้วยนะคะ บ๊ายบาย♡


    17/02 : ไรท์เตอร์อัพเต็มแชพแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นเลยน้า:o)
     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×