ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF.EXO | R U N ◇ chanbaek / kaido / hunhan

    ลำดับตอนที่ #9 : Rubble and Ruin: Special Chapter | chanyeol x baekhyun

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.11K
      6
      1 ก.พ. 56

    rubble and ruin

    chanyeol x baekhyun / pg-15 / angst, fluff, flashback included

     

     

    *

     

    special chapter all the pieces are now mended.

     

     

    แสงอรุณสาดทะลุมู่ลี่ผืนบางเข้าสู่เปลือกตาสีอ่อนนวล แพขนตาหนาเม้มแน่นติดถุงใต้ตาก่อนจะกระพือออกเผยดวงตากลมใสทีละนิด ๆ ภาพห้องนอนที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้แบคฮยอนรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกคุ้นกับภาพที่เห็นราวกับว่ามันติดตรึงที่ม่านตาทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมายามเช้า แท้จริงแล้วเขาย้ายมาอยู่ที่บ้านชานยอลได้ไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำ กลิ่นหอมกรุ่นของผ้านวมและวงแขนยาวที่โอบกอดร่างของเขาฉุดกระชากความคิดที่จะลุกขึ้นจากเตียงออกไปจากสมองเสียหมด หัวทุยเล็กกลิ้งไปมาบนหมอนนุ่มนิ่มก่อนจะพลิกหันมาอีกด้านตามด้วยร่างบางของตน

     

    หากสังเกตุดี ๆ เปลือกตาของคนตรงข้ามต่างจากของเขาหน่อยนึงตรงที่ผิวบางทั้งสองข้างนั้นมีขนาดไม่เท่ากัน ข้างนึงสามารถครอบคลุมลูกตาได้ทั้งลูกในขณะที่อีกข้างจะเผยให้เห็นสีขาวในลูกตาเล็กน้อย คนทั่วไปดูผิวเผินก็ไม่คิดอะไรแต่สำหรับแบคฮยอนแล้วมันดูตลกดี เขายังจำได้แม่นว่าตอนที่ชานยอลแอบหลับในห้องเรียนจนท้ายคาบเขาต้องลุกออกจากที่นั่งตัวเองเพื่อมาปลุก เขาหลุดขำเสียงดังจนคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องตกใจตื่นขึ้นมา นึกถึงใบหน้าเอ๋อ ๆ ของชานยอลตอนนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ จู่ ๆ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมากลางห้องที่เต็มไปด้วยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์รายล้อม เสียงหัวเราะหยุดลงเมื่อเห็นคนตัวใหญ่ข้าง ๆ กระพริบตาปรับแสงที่แยงเข้ามาเต็มลูกตากลม

     

    “ตื่นซักทีนะ คนขี้เซา”

     

    “อือ... นายตื่นเร็วจัง นี่กี่โมงแล้วล่ะ?”

     

    “แปดโมงมั้ง ไม่รู้สิ วันนี้ใครจะทำมื้อเช้า ฉันหรือนาย?”

     

    “แบคฮยอนทำละกัน ฉันง่วงอ่ะ อยากนอนต่อ” ใบหน้าหล่อคมซุกที่ผ้านวมเพื่อพิงหาความอบอุ่นราวกับเด็กตัวน้อย แต่ท่าทีนั่นกลับทำให้แบคฮยอนรู้สึกหมั่นไส้นิด ๆ

     

    “ชิ โตเป็นควายแล้วไม่ต้องมาทำตัวน่ารักเลยนะ เห็นแล้วคลื่นไส้ จะอ้วก”

     

    “เอ๊า ด่าตัวเองทำไมเนี่ยแบคฮยอน ขนาดโตเป็นควายละยังทำตัวน่ารักตลอดเลย... โอ๊ย!

     

    “ไอ้บ้า! ไอ้ทุเรศ! ไม่คุยด้วยแล้ว!

     

    เมื่อฝากฝังรอยสีแดงที่พวงแก้มของแฟนหนุ่มพร้อมกับคำด่าทอต่าง ๆ นานาตามกิจวัตรของตน ร่างบางก็ลุกขึ้นจากเตียงอยากรวดเร็วทิ้งให้ร่างสูงใหญ่นอนโอดครวญเพราะความเจ็บแสบจากการตบหน้าอย่างไม่ยั้งมือของคนตัวเล็ก ชานยอลนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงจนความเจ็บเริ่มบรรเทา เขาลุกขึ้นจัดแจงเก็บที่นอนให้เรียบร้อยตามที่แบคฮยอนกำชับนักกำชับหนาว่าต้องทำทุกเช้า เขาใช้เวลาในห้องน้ำซักพักหนึ่งก่อนจะออกมาพร้อมกับใบหน้าเกลี้ยงใส ออร่าเปล่ง ' แบบที่แบคฮยอนเคยชม ชุดนอนถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้นสีขาวและกางเกงสแล็คสีดำเรียบหรูขับความยาวของขาเรียวนั่นให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ชานยอลเดินออกมาจากห้องและสาวขาพาร่างของตนตามกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งมาจากห้องครัว

     

    นางฟ้าองค์น้อยของเขานั่งประจำที่โต๊ะเรียบร้อย น่าแปลกที่ใบหน้าน่ารักนั่นมีกลุ่มผมที่ถูกถักเปียสวยข้างพวงแก้มใส ชานยอลถักเปียไม่เป็นด้วยซ้ำ อย่างมากก็แค่จับเรือนผมนั่นแซงเป็นสองข้างแล้วมัดแกละธรรมดา ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนทำดังนั้นก็คงจะมีแต่นางฟ้าอีกองค์ในชุดผ้ากันเปื้อนที่ยืนหันหลังทำเฟรนช์โทสต์อยู่หน้าเตา

     

    “นายถักเปียเป็นด้วยเหรอ?”

     

    “ก็เคยถักให้พี่สาวตอนเด็ก ๆ น่ะ อึ้งล่ะสิ โซฮีชอบผมเปียมั้ยคะ?” เด็กหญิงเมื่อได้ยินชื่อของตนก็พยักหน้าตอบพร้อมกับรอยยิ้มสดใสและเฟรนช์โทสต์ที่ถูกจัดการไปจนเหลือครึ่งนึงในมือ

     

    “ชอบค่ะ! คุณพ่อคะ พี่แบคฮยอนสอนหนูถักเปียเองด้วยนะคะ ทีนี้หนูจะได้ไปทำให้กับจองอาที่โรงเรียนด้วย”

     

    “เก่งจริง ๆ เลยลูกพ่อ ...แล้วทำไมโซฮียังเรียกว่าพี่แบคฮยอนอยู่อีกละ เรียกอาแบคฮยอนเถอะ เขาอายุเท่ากับพ่อนะลูก” อาหารเช้าถูกวางลงตรงหน้าเขาอย่างแรงจนเขาแอบตกใจนิด ๆ แบคฮยอนเบ้ปากเตรียมพร้อมจะโต้กลับทันที

     

    “ทำไม? เรียกฉันว่าพี่ไม่ได้หรือไงห๊า? ถึงฉันจะอายุสามสิบสองแต่หน้าฉันก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กยี่สิบต้น ๆ นะ ใช่มั้ยคะโซฮี?” แทนที่จะพยักหน้าตอบรับ เด็กหญิงกลับเอียงหัวทุยเล็กไปด้านข้างด้วยความมึนงง

     

    “ถ้าอย่างงั้นโซฮีก็เรียกพี่แบคฮยอนว่าคุณพ่อก็ได้ใช่มั้ยคะ? เพราะว่าพี่แบคฮยอนอายุเท่าคุณพ่อ จะเรียกอาก็แสดงว่าพี่แบคฮยอนเด็กกว่าคุณพ่อน่ะสิคะ”

     

    ข้อสงสัยของเด็กนี่ชานยอลไม่เคยหาคำตอบให้ได้ซักที วิธีเดียวที่จะทำได้ก็คืออธิบายให้ฟังแต่นั่นเขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี ชานยอลอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่สามารถถอดความคิด ความเข้าใจใส่คำพูดให้เหมาะสม ถึงอธิบายไปก็มีแต่จะเพิ่มคำถามให้แก่ลูก แบคฮยอนมองคุณพ่อลูกหนึ่งอ้าปากพะงาบ ๆ แต่ไร้เสียงใด ๆ ก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้

     

    “โซฮีจะเรียกว่าคุณพ่อไม่ได้เพราะว่าโซฮีมีคุณพ่อแล้วไงคะ ถ้ามีคุณพ่อสองคน เวลาที่โซฮีเรียกคุณพ่อ ทั้งพี่แบคฮยอนและคุณพ่อก็จะไม่รู้ว่าหนูเรียกใคร” หัวเล็กสะบัดขึ้นลงจงผมเปียทั้งสองข้างตะหวัดตาม แบคฮยอนยิ้มชมเชยเด็กน้อยที่สามารถเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ มือบางลูบหัวโซฮีอย่างเอ็นดู

     

    ชายหนุ่มร่างสูงนึกชมเชยแฟนหนุ่มตัวเล็กของเขาที่ดูจะคุ้นเคยกับการเลี้ยงเด็กมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ร่างบางเหมือนได้ยินคำชมในใจของอีกฝ่ายก็หันหน้ามาคลี่ยิ้มสวยให้เล่นเอาหัวใจของคนที่เห็นแทบจะหยุดเต้น ชานยอลจัดการเฟรนช์โทสต์ฝีมือแบคฮยอนเรียบร้อยก็อาสาเป็นคนล้างจานและทำความสะอาดครัวให้ ไม่นานนักจานเซรามิกทั้งหลายถูกจัดวางเป็นระเบียบที่ตะแกรง

     

    โดยปกติชานยอลจะต้องเป็นคนพาโซฮีไปส่งที่โรงเรียนก่อนที่จะกลับมาเปิดร้านช่วงสาย แต่หน้าที่นี้แบคฮยอนขออาสาพาไปส่งด้วยตนเองเพราะโรงเรียนประถมของโซฮีนั้นอยู่ระหว่างทางไปบริษัทของเขา ชานยอลคิดเปรียบเทียบชีวิตของเขาก่อนและหลังจากที่ได้กลับมาคบกับแบคฮยอน ราวกับว่าเขาพลิกกระดาษจากด้านที่เต็มไปด้วยรอยดินสอมากมายคิดขีดเขียนจนเละเทะมาสู่อีกด้านที่ยังคงขาวสะอาดรอให้เติมเต็ม ตอนแรกเขาแอบกังวลนิด ๆ กับการปรับตัวของโซฮีกับแบคฮยอนแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะสามารถจูนเข้าหากันได้เป็นอย่างดี

     

    มือใหญ่หยิบแก้วชาร้อนขึ้นมา ริมฝีปากอวบอิ่มจรดรับสัมผัสร้อนของน้ำชาหอมกรุ่น หัวใจของเขาบัดนี้ถูกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะความสุขเล็ก ๆ ที่ชื่อบยอนแบคฮยอน ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์เครื่องเก่าคร่ำครึที่ติดตรงผนังครัวก็ดังขึ้น ร่างสูงของชานยอลรีบสาวเท้าตรงไปที่โทรศัพท์และรีบยกหูรับสาย ไม่เคยมีใครเคยโทรเข้าโทรศัพท์บ้านยกเว้นแฟนหนุ่มของเขาที่มักบ่นเสมอว่าเขาไม่ค่อยรับสายโทรศัพท์มือถือ ก็ชานยอลชินชากับการไม่ใช้โทรศัพท์ระหว่างงานน่ะสิ

     

    “โอ้ แบคฮยอน ว่าไง? ลืมเอกสารเหรอ?”

     

    /เปล่า ฉันจะโทรมาบอกว่าวันนี้ฉันกลับบ้านดึกนะ คงจะถึงบ้านประมาณสองสามทุ่มน่ะ เผลอ ๆ อาจจะเลยสี่ก็ได้ คงไปรับโซฮีไม่ได้ ขอโทษนะชานยอล/

     

    “โอเค ๆ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันไปรับเอง แล้วนี่ถึงที่ทำงานยัง?”

     

    /ถึงแล้วสิ นี่จะสิบโมงแล้วนะ ถ้าฉันไม่ถึงก็โดนหัวหน้าเอ็ดแย่ ว่าแต่นายเหอะ อยู่ที่ร้านยัง?/

     

    “ยังเลย นั่งจิบชาที่แม่ซื้อให้จากอินเดียอยู่ กลิ่นแปลก ๆ ดี ไว้ตอนกลางคืนก่อนนอนเดี๋ยวฉันชงให้ชิม ”

     

    /จริงดิ สัญญาแล้วนะ รีบ ๆ ไปเปิดร้านซักทีเหอะ เดี๋ยวพนักงานจะนินทาว่าเจ้าของร้านไม่ตรงต่อเวลาไม่รู้ด้วยนะ/

     

    “โถ่ เดินไปไม่กี่บล็อคก็ถึงแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เปิดร้านสายแน่ งั้นแค่นี้ก่อนนะ”

     

    /อืม ๆ แล้วเจอกันตอนเย็นนะ/

     

    “...ฉันรักนายนะแบคฮยอน”

     

    /เออ รู้แล้ว ไปทำงานไป๊ ไอ้ซื่อบื้อ/

     

    เพียงแค่บทสนทนาสั้น ๆ นี้ก็เพียงพอที่จะเติมเต็มกำลังใจให้ลุยกับงานที่รอเขาอยู่แล้ว กลีบปากอิ่มฉีกยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันเรียงตัวเป็นเม็ด วันเวลาแห่งความสุขที่เขาจะได้ใช้ร่วมกับเจ้าของชีวิตและหัวใจของเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว

     

     

    *

     

    ผู้คนเริ่มทยอยเดินเข้าออกจากร้านมากขึ้นเมื่อแสงอรุณยามเช้าแปรเปลี่ยนเป็นแสงแดดจ้ายามบ่าย ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำทั้งสิ้นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาแวะเวียน ฝีมือการทำอาหารของเชฟแต่ละคนถูกเทรนมาอย่างดี แม้กระทั่งเจ้าของร้านพ่อลูกอ่อนอย่างปาร์คชานยอลเองก็ไม่วายศึกษาการทำอาหารอิตาเลี่ยนแบบต้นตำรับด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังต้องเรียนรู้การให้บริการอย่างบรรลุอีกด้วย ชานยอลถือคติที่ว่าลูกน้องจะดีได้เมื่อได้หัวหน้าดี ด้วยความเป็นกันเองและความขยันขันแข็ง บวกกับหน้าตาหล่อเหลานิดนึง ทำให้พนักงานและลูกค้าส่วนใหญ่ต่างพากันชื่นชมและเข้ามาอุดหนุนร้านอาหารแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย

     

    ความอิจฉาต่อลูกค้าที่มาเป็นคู่เริ่มหายไปเมื่อความรักครั้งใหม่กับมนุษย์คนเดิมผลิบาน พนักงานแต่ละคนรู้สึกทะแม่งกับรอยยิ้มหยาดเยิ้มที่ชานยอลมักจะทำเสมอเมื่อยืนเหม่อรอลูกค้าเรียกหรือเมื่อเห็นคู่ข้าวใหม่ปลามันพลอดรักกันกลางโต๊ะ พอถามว่ายิ้มอะไรคำตอบที่ได้ก็มีแต่ “มัวแต่มองคนอื่น ไปทำงานได้แล้ว!” จนลูกน้องขี้เกียจจะอยากรู้และเลิกถามไปเอง

     

    วันนี้สายตาของชานยอลตกไปอยู่ที่โต๊ะของคู่รักคู่หนึ่ง เมื่อฝ่ายชายขอแต่งงานกับหญิงสาวที่บัดนี้ใบหน้าของหล่อเต็มไปด้วยหยาดน้ำใสไหลนอง ทุกคนในร้านต่างพากันปรบมือแสดงความยินดีและความภูมิใจเล็ก ๆ ที่ได้เป็นสักขีพยานความรักของคนแปลกหน้าทั้งสอง

     

    ‘นั่นสิ’

     

    ไม่ทันที่พนักงานแคชเชียร์จะระบายความอิจฉาต่อคู่รักคู่ใหมให้เจ้าของร้านในชุดบริกรฟัง ชายหนุ่มร่างสูงก็พูดอะไรซักอย่างและวิ่งออกจากร้านไปทันที ตามที่หญิงสาววัยกลางคนอย่างเธอได้ยินนั้น คงจะจับใจความได้ประมาณว่า

     

    “ผมฝากร้านไว้ก่อนนะ เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

     

     

    ยังไม่ทันที่พนักงานจะกะพริบตา เจ้าของร้านหวานใจลับ ๆ ของหล่อนก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษแข็งดูหรูหรา เห็นแวบเดียวหล่อนก็ถึงกับบางอ้อ มันจะเป็นอะไรไปได้อีกนอกจาก ‘ไอ้นั่น’ ล่ะนั่น อิจฉาแฟนหนุ่มของชายร่างสูงนี่จริง ๆ แต่จะทำยังไงได้ หล่อนทำงานมาที่นี่มานานพอที่จะรู้จักชีวิตส่วนตัวของหัวหน้าของตนมาบ้าง ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นมาเป็นเจ้าของร้านซะด้วยซ้ำ หญิงแก่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทำหน้าที่ของหล่อนต่อเช่นเดิม

     

      


    “แหน่ะ ๆ ๆ ชานยอล ใช่ย่อยนะเนี่ย”

     

    เสียงเชฟคนเก่งประจำร้าน คิมมินซอก ดังขึ้นเล่นเอาชานยอลที่นั่งอยู่หน้าประตูหลังของร้านตกใจแทบบ้า กล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กถูกเก็บใส่ถุงกระดาษทันทีแต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อชายหนุ่มร่างอวบนิด ๆ เดินมาเห็นเข้าโดยบังเอิญ

     

    “อะไรเนี่ยพี่? โดดงานมางี้ไม่กลัวผมหักเงินเดือนเหรอ?”

     

    “ใครจะไปกลัวแกวะชานยอล เห็นพูดอย่างงี้กับคนในร้านไม่รู้กี่รอบ ไม่เห็นเคยหักจริง ๆ ซักที ว่าแต่แกเหอะ กับแบคฮยอน ...ชื่อนี้ปะนะ? เป็นไงกันมั่งหล่ะ?” ชายหนุ่มอีกคนหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ เจ้าของร้านคนสนิท

     

    “ก็ดีอ่ะพี่ เรื่อย ๆ ตอนแรกก็เครียดนิดหน่อย แต่แค่เขาเข้ากับโซฮีได้ผมก็หมดกังวลแล้วล่ะ”

     

    “เออ ดีแล้ว โซฮีน่ะเป็นเด็กเข้าใจอะไรง่าย มองโลกกว้าง เดี๋ยวเขาคงเปิดใจเรื่องระหว่างแกกับแบคฮยอนมากขึ้นเองแหล่ะในอนาคต”

     

    ประโยคของมินซอกสร้างความรู้สึกมั่นคงให้กับชานยอลได้เสมอ รอยยิ้มถูกส่งให้กันและกันก่อนที่คนอายุมากกว่าจะอาสากลับเข้าไปทำงานต่อโดยไม่บืมที่จะขู่เตือนหัวหน้าของเขาที่แอบอู้งานมานั่งพักคนเดียวหลังร้าน

     

    ชานยอลหวนนึกถึงวันนั้นอีกครั้ง วันที่แสงนวลกระจ่างส่องมาที่ทางเดินสายชีวิตอันมัวหม่น วันเขาได้พบกับชายหนุ่มตัวเล็ก หุ่นผอมบาง ผิวเนียนละเอียดดั่งพรรณของหญิงสาว เจ้าของดวงตากลมที่หากมองพินิจดูดี ๆ จะเห็นแสงประกายระยิบระยับดั่งกากเพชรวิบวับและกลีบปากบางออกสีชมพูน่ารักคนนั้นเป็นครั้งแรก

     

     

    *

     

     

    “ตื่นเต้นเหรอ?”

     

    ใช่ครับ มากด้วย ผมได้แต่ตอบคำถามจากคุณครูคนใหม่ของผมในใจเพราะตอนนี้ผมกังวลเกินกว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น

     

    สวัสดีครับ ผมชื่อปาร์คชานยอล ชานที่แปลว่าแสงอันเจิดจ้า บวกกับยอลที่แปลว่าความร้อนแรง ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวผมนั้นคือแสงอันเจิดจ้าร้องแรงตามชื่อหรือเปล่าแต่ช่างมันเถอะครับ สิ่งที่ควรจะตั้งสมาธิอยู่ตอนนี้ควรจะเป็นการแนะนำให้กับเพื่อนใหม่ต่างหาก ผมมองผ่านหน้าต่างบางเล็กเห็นนักเรียนทุกคนกำลังเดินกลับไปนั่งที่ของตนเพราะออดเพิ่งจะดังเมื่อตะกี้ ผมสูดลมเข้าไปเต็มปอด พยายามอย่างมากที่จะผ่อนคลายความเครียดที่มีอยู่แต่ดูท่าว่าจะไม่ได้ผลนัก คุณครูเดินเข้าห้องเรียนนำไปก่อนที่ผมจะรวบรวมความกล้าเดินตามเข้าไปเผชิญหน้ากับสายตาของคนนับสิบ

     

    “เอ้า วันนี้จะมีนักเรียนย้ายมาใหม่นะ ทำตัวกับเขาดี ๆ ต้อนรับเขาหน่อย อย่าให้ครูเห็นเชียวว่ามีใครทำตัวรุ่มร่ามใส่เขา ...แนะนำตัวให้เพื่อนรู้จักหน่อยสิ”

     

    ผมรู้สึกได้ถึงที่แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาใส่อย่างไม่ยั้ง คำพูดที่เตรียมไว้ถูกกลืนลงคอไป เอาวะ ก็อีแค่พูดแนะนำตัวหน้าห้องท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก มันจะไปยากอะไร

     

    “สวัสดีครับ ปาร์คชานยอลครับ”

     

    ระดับความดังเสียงของผมเกิดสูงปรี๊ดขึ้นมาซะอย่างงั้นจนความสนใจของทุก ๆ คนต่อตัวผมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่ผมจะวิเคราะห์สายตาของนักเรียนห้องทีละคนจนจบ คุณครูประจำชั้นที่ยืนอยู่ข้างผมก็ชี้ไปที่ว่างให้ผมไปนั่ง ขายาวของผมกำลังจะก้าวไปแล้วแต่ก็ต้องชะงักค้างอยู่กับที่เพราะเสียงอันไม่พึงประสงค์แทรกขึ้นมา

     

     

     

    “โห ครูครับ ให้ไอ้ยักษ์นี่มานั่งหน้าผมแล้วผมจะมองเห็นกระดานมั้ยล่ะ?!”

     

    สายตาของผมมองไปที่นั่งถัดจากผมขึ้นไปหนึ่งที่ ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มอย่างกับลูกหมาอายุไม่กี่สัปดาห์ ผมล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าไอ้หมอนี่มันไปทำอะไรที่เปล่งออร่าพิศวงขนาดนี้ อาจฟังดูทะแม่ง ๆ แต่ผมรู้สึกอยากเข้าใกล้หมอนี่ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไม่รวมสายตาอำมหิตที่ส่งมาให้ผมล่ะนะ หัวสีส้มหยิกหยอยของผมสะบัดเอาความคิดบ้าบอนี่ออกไปก่อนเพื่อที่จะโฟกัสกับเหตุการณ์ตรงหน้า นึกสมน้ำหน้านิดนึงนะครับที่เจ้านี่โดนด่า ก็ดันทำตัวงี่เง่ากลางห้องกับนักเรียนใหม่กับผมซะอย่างงั้น เสียดายหน้าตาออกจะน่ารักไม่ตรงกับกิริยาท่าทางเลย

     

    ผมเดินตรงมาที่ ๆ นั่งของผมโดยพยายามหลบสายตาของคนช้างหลัง ไม่อยากมีเรื่องกับใครในวันแรกของการเรียนนี่นา ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ผมตัดสินใจหันหลังไปขอโทษด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุด แต่กลับโดนตอกกลับมาหนักกว่าเดิมเสียนี่ แต่ผมก็เก็บความคิดสมน้ำหน้าต่ออีกคนเมื่อได้ยินว่าเขาโดนทำโทษอยู่เย็น เฮ้อ ช่วยไม่ได้จริง ๆ ทำตัวเองแท้ ๆ

     

     

     

    ตอนนี้เป็นถึงเวลาพักกินข้าวกลางวันครับแต่ผมตัดสินใจนั่งเล่นอยู่ในห้องพร้อมกับแซนวิชฝีมือคุณแม่ที่เตรียมใส่กล่องเอาไว้ให้ ในห้องยังมีนักเรียนประมาณสามสี่คนที่ยังประจำที่ของตน เจ้าเด็กไม่น่าคบนั่นก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมของมันนะครับ ดูท่าว่าจะสนิทกับคนที่ชื่อเซฮุนอะไรนี่มากเสียด้วย แต่นายคนนี้เขานิสัยดีนะครับ เดินมาทักทายผมอย่างเป็นกันเอง ไม่ถือตัวแบบหนุ่มหล่อประโรงเรียนทั่วไปที่ผมเคยเจอ แต่ก็แปลกทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนสนิทกันแต่นิสัยกลับไปกันคนละทิศ อย่างว่าแหล่ะครับ ผมเพิ่งจะได้ทำความรู้จักเพื่อนในห้องไม่กี่ชั่วโมง จะมาตัดสินนิสัยของใครเขาได้

     

    “กูไปซื้ออะไรแดกแปป มึงจะเอาอะไรปะ?”

     

    “ไม่ว่ะ  กูจะงีบ เดี๋ยวโดนทำโทษเพราะใครบางคนเสร็จก็รีบกลับบ้านไปทำการบ้านเลย คงไม่มีเวลานอนพักละ มึงไปเหอะ”

     

    เซฮุนหันหน้ามามองที่เจ้าของชื่อที่โดนพาดพิงอย่างผมก่อนจะพยักหน้าให้กับเพื่อนรักแล้วเดินออกจากห้องไป ตอนนี้ในห้องมีแค่ผมและหมอนี่เท่านั้น ยังดีที่มันฟุบหลับลงไปกับโต๊ะทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยอึดอัด เกมบอยคัลเลอร์เครื่องสีม่วงเข้มที่ถูกผมใช้งานอย่างดุเดือดบัดนี้จากลาผมไปเพราะถ่านหมด ผมนั่งไว้อาลัยกับของเล่นชิ้นโปรดของผมชั่วครู่ก่อนจะยัดมันใส่กระเป๋าเป้ดังเดิม

     

    นาฬิกาชี้บอกเวลาว่าอีกไม่นานออดเข้าคาบบ่ายแรกจะดัง ผมตัดสินใจนั่งเหยียดแข้งเหยียดขาแช่แอร์อยู่ที่เดิม ความเงียบที่เกิดจากคนสองคนในห้องเริ่มทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ผมหันไปมองคนข้างหลังผมที่นอนเอาหน้าแนบลงไปบนแขนเรียวเล็ก

     

    สารภาพเลยว่าหมอนี่หน้าตามันหวานจริง ๆ ครับ ถ้าจับใส่ชุดผู้หญิง แต่งหน้านิดหน่อย เสริมอกนิดนึง ผมคงคิดว่ามันเป็นผู้หญิงไปแล้ว ร่างกายดูท่าจะขาดสารอาหารมากถึงได้ตัวเล็กอ้อนแอ้นขนาดนี้ ผิวขาวนวลท้าทายแสงแดดจ้าของฤดูร้อน ดวงตา จมูกและปากเล็ก ๆ เหมือนเด็กน้อย ยิ่งพินิจมองใกล้ ๆ ก็ยิ่งเห็นความน่ารักกระจ่างแจ้งมากขึ้น เดี๋ยวนะ นี่ผมเอาน่าเข้าไปใกล้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!

     

    เสียงออดดังทันทีในจังหวะที่ผมเรียบหันตัวกลับ ซักพักผมก็ได้ยินเสียงหาวดังขึ้น เจ้านั่นคงจะตื่นแล้วแน่ ๆ นักเรียนทยอยเดินเข้ามาในห้องจนที่นั่งไม่เหลือที่ว่าง คุณครูประจำวิชาเดินเข้ามาพร้อกับบทเรียนใหม่ที่จะสอน ผมพยายามตั้งจิตให้มุ่งไปที่กระดานดำแต่ว่ามันยากจริง ๆ นะครับที่ต้องพยายามไม่สนใจก้อนเนื้อใต้อกซ้ายที่กำลังเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล ผมคงจะโดนอากาศร้อนทำพิษซะแล้วละมั้ง

     

     

     

    ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับว่าทำไมร่างเทอะทะของผมถึงยังหยุดอยู่ที่หน้าโรงเรียนทั้งที่ผมควรจะกลับถึงบ้านตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่เริ่มหมดฤทธิ์และถนนเส้นใหญ่ที่มีรถแล่นไปมานับคันได้ ผมยังคงยืนบื้ออย่างไร้เหตุผลอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงเรียน ทันใดนั้นก็มีเสียงรองเท้ากระทบพื้นต้อกแต้ก ๆ จากด้านหลังของผม เป็นเด็กคนนั้นที่สิ่งมาตามคาด

     

    คำถามที่เขาถามมานั้น ผมบอกตามตรงว่าผมไม่รู้ ตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่ทำไมถึงไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องตามที่คน ๆ นี้พูด สุดท้ายผมก็ตอบตามความเป็นจริงไปว่าผมตั้งใจจะรอเขา การได้มองใบหน้าน่ารักนั่นขึ้นสีแดงฝาดช่างคุ้มค่ากับการเผยความจริงออกไปจริง ๆ ครับ ผมอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างออกมา พวงแก้มเรียนนั่นยิ่งขึ้นสีมากกว่าเดิมอีกครับ น่าเสียดายที่โอกาสพูดคุยกับเขาไม่ทันไรก็รีบบอกลาและวิ่งออกไปทิ้งผมให้ยืนนิ่งกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมเริ่มจะแน่ใจแล้วว่ามันคืออะไร

     

    จากการที่คิดว่าเขาหน้าตาน่ารัก การที่ผมตัดสินใจยืนรอเขาเป็นขั่วโมงหน้าโรงเรียน การที่ผมลืมที่จะโกรธกับสิ่งที่เขาทำเอาไว้เมื่อตอนเช้า การที่หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะขนาดนี้และการที่ผมรู้สึกอยากให้วันพรุ่งนี้เช้ามาถึงเร็ว ๆ

     

    .

    .

    .

    ผมว่าผมชอบ บยอนแบคฮยอน ‘ เข้าแล้วหล่ะครับ

     

     

    *

     

     

    รายการโทรทัศน์ยามดึกไม่ใช่อะไรที่ชานยอลโปรดปรานนัก แต่นอกจากจะทำงานและดีดกีต้าร์ซึ่งกีต้าร์โปร่งตัวเก่งของเขาถูกนำไปซ่อมชั่วคราว เขาก็ไม่มีอะไรที่ดีกว่าการนอนเหยียดตัวบนโซฟาตัวยาวพร้อมกับรีโมทในกำมือที่พร้อมจะกดเปลี่ยนช่องทุกสองวินาที เมื่อดูเหมือนว่าแต่ละช่องกำลังเข้าสู่ช่วงข่าวรอบดึก ชานยอลตัดสินใจลุกขึ้นบิดสะโพกไปมาสลัดความเมื่อยล้าที่สะสมจากการทำงานออกไปให้หมดก่อนจะตรงไปที่ห้องนอนของนางฟ้าตัวน้อยของเขา โซฮียังคงอยู่ในห้วงนิทราของเธอพร้อมกับตุ๊กตากระต่ายตัวใหญ่เบิ้มในอ้อมแขน เขาหย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงนุ่ม มือใหญ่ปัดเส้นผมออกจกใบหน้าของลูกสาวของตนอย่างแผ่วบางด้วยความระมัดระวังไม่ให้ลูกตื่นจากฝันหวาน ริมฝีปากฉ่ำจุมพิตที่หน้าผากเนียนเพื่อเป็นการบอกราตรีสวัสดิ์ลูกอีกครั้งแล้วจึงย่องออกจากห้องไปเงียบ ๆ

     

    ชานยอลเดินลงไปตามทางกลับสู่ห้องนั่งเล่นใหญ่ รอยยิ้มระบายบาง ๆ บนใบหน้าของเขาเมื่อคนที่เขาเฝ้ารอปรากฏตัวให้เห็นตรงหน้าแล้ว

     

    “เพิ่งกลับเหรอ หืม?” ร่างสูงเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายพร้อมกับใช้มือทั้งสองนวดตามไหล่เล็กหวังจะคลายกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นให้ผ่อนคลายลง

     

    “อืมม… ต้องมานั่งแก้งานให้พนักงานใหม่น่ะสิ ฉันเองก็ไม่อยากผลัดวันประกันพรุ่ง เลยรีบ ๆ ทำให้มันจบ ๆ ไป แล้วทำไมไม่ขึ้นไปนอนเนี่ย? ไม่เหนื่อยหรือไง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ”

     

    “จะนอนหลับได้ไงในเมื่อนายยังไม่กลับ มาที่ครัวสิ พักจิบชาก่อน แล้วค่อยขึ้นห้องพร้อมกัน ตกลงมั้ย?” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ

     

    แบคฮยอนเดินตามแฟนหนุ่มเข้าห้องครัวไป บนโต๊ะอาหารมีกาน้ำที่ทำจากเงินแท้ร้อยเปอร์เซนต์ของฝากจากตุรกีที่พี่ชายของแบคฮยอนซื้อให้ รวมไปถึงแก้วน้ำชาและจานรองแก้วครบชุด กลิ่นหอมละมุนของพืชนานาพันธุ์ช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียของเขาลง เพียงไม่กี่จิบ น้ำชาทั้งกาก็หมดลงในพริบตา

     

    “ขอบคุณมากนะชานยอล”

     

    “ไว้จะทำให้กินใหม่นะ ง่วงยัง? จะขึ้นข้างบนเลยมั้ย?”

     

    ร่างบางยิ้มแทนคำตอบก่อนจะลุกขึ้นกอดแขนแกร่งของอีกคนให้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ความเป็นเด็กของแบคฮยอนไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนักแต่นั่นก็เป็นอีกมุมนึงที่ทำให้หัวใจภายใต้แผ่นอกนั้นเต็มไม่เป็นจังหวะ

     

    แบคฮยอนเข้าห้องน้ำไปชำระล้างเนื้อตัวให้สะอาดสะอ้าน ส่วนชานยอลนั้นนั่งอยู่บนหัวเตียงพร้อมกับกล่องขนาดเล็กที่บรรจุสิ่งหนึ่งที่เขายืนช่างใจอยู่นานที่ร้านกว่าจะตัดสินใจซื้อมา ไม่นานนักชายหนุ่มตัวเล็กก็เดินออกมาในชุดเสื้อยืดสีขาวบางและกางเกงบอกเซอร์สีเหลืองอ่อน แฟนหนุ่มที่นั่งดูอีกคนยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ลุกขึ้นมากวาดแขนยาวรั้งคนข้างในจนหลังบางชนเข้าที่แผ่นอกกว้าง

     

    “โอ้ย ตาบ้า กอดซะแน่นเชียว” แขนทั้งสองข้างคลายให้หลวมลงเล็กน้อยตามคำบ่นของคนในอ้อมกอด

     

    “แบคฮยอน”

     

    “ฟังอยู่ พูดมาสิ”

     

    “ฉันขอโทษ”

     

    “ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไร?”

     

    “สำหรับทุกอย่าง …ที่ผ่านมาทั้งหมด”

     

    คนตัวเล็กค่อย ๆ พลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูงกว่า สายตาของแบคฮยอนอ่อนโยนจนคนที่มองรู้สึกผิด ขนาดคน ๆ นี้ผ่านความเจ็บปวดที่เกิดจากเขามามากมายแต่ทำไมถึงยังมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ได้อยู่อีกนะ?

     

    “ชานยอล พวกเราโตขึ้นจากเดิมมามากแล้วนะ นายเข้มแข็งขึ้นเพื่อโซฮี ส่วนฉันก็ทิ้งอดีตให้อยู่ในที่ ๆ มันควรจะอยู่ นายไม่จำเป็นต้องขอโทษฉันอีกต่อไปแล้ว เข้าใจมั้ย?”

     

    มือเรียวลูบไปตามโครงหน้าของคนตรงข้ามก่อนที่มือของร่างสูงจะกอบกุมและดึงลงมาตรงหน้าของคนทั้งสอง แหวนวงเล็กสีเงินต้องประกายกับแสงไฟในห้องนอนถูกสวมใส่เข้าสู่นิ้วนางข้างซ้ายของร่างบาง แบคฮยอนมองมันอย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ความรู้สึกที่หลั่งพรูออกมามากมายถูกถ่ายทอดให้เห็นในรูปหยาดน้ำใสเม็ดเล็กหยดลงมาอาบแก้มเนียนใส ชานยอลเห็นดังนั่นก็แทบจะกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่เหมือนกัน คนทั้งสองเข้าสู่อ้อมกอดของกันและกันอีกครั้ง

     

     

    “ให้ฉันได้ใช้เวลาที่เหลือรักนายตลอดไปนะ”

     

     

    คงไม่มีคำไหนที่สามารถอธิบายความสุขของพวกเขาได้ วินาทีนี้เพียงแค่มีกันและกัน มีลูกสาวที่น่ารักของพวกเขา ชีวิตคงจะไม่ได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

     

    ความรักเริ่มจากจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งลากไปบนกระดาษแห่งกาลเวลา ไม่สามารถทำให้หายไปได้แม้จะหาอะไรมาลบก็ตาม สำหรับชานยอลและแบคฮยอนนั้นมันไม่เคยถูกลบด้วยซ้ำ

     

    ไม่มีอะไรที่จะทดแทนไออุ่นจากร่างกายของคนที่เรารักได้แล้ว ชายหนุ่มสองคนอิงแอบแนบชิดเรียกร้องหาไออุ่นจากอีกฝ่าย แบคฮยอนมั่นใจว่าความรู้สึกนี้จะไม่จางหายไปเมื่อเขาหลับตาลง มันจะติดตรึงในหัวใจของพวกเขาทั้งสองตราบเท่าที่เขาจะสิ้นลมหายใจ



    -



    สวัสดีค่ะ ไรท์เตอร์มาแล้ววว
    ถึงเวลาบอกลาคู่ชานแบคแล้ว ไมมมมมมม่;_;
    เป็นไงกันบ้างคะ อิ่มหนำสำราญกับฉากหวานๆมั้ย?55555
    ไรท์เตอร์ยอมรับจริงๆว่าแต่งฉากหวานๆไม่เก่ง มันตันอ้ะ55555
    หวังว่าคงจะไม่แย่เกินไปนะคะ;3;

    รู้สึกดีใจกับชานแบคในเรื่องจริงๆอะ
    ในที่สุดก้ลงเอยกัน โอ้ยคนแต่งจะบ้าตาม55555
    ส่วนไคโด้นั้นอีกไม่นานเกินรอค่ะ!!!
    ไว้พบกันใหม่เรื่องหน้าบทความเดิมนะคะ บ๊ายบาย~~~
    ♡♡♡♡

    © Shalunla

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×