ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อัญมณีที่1 ~คาร์เนเลี่ยนแห่งผู้กล้า~ (จุดจบและจุดเริ่ม)
    ข้างในถ้ำไม่มืดเท่าที่คิด  เพราะมีไม้ตระกูลมอสเรืองแสงอยู่ด้านใน  ทั้งสามเดินเข้าไปจนกระทั่งถึงทางแยกสองทางจึงหยุดเพื่อปรึกษากันว่าจะเข้าไปในแยกด้านไหนดี  อิเรและฮิชาเสนอให้เลือกไปทางด้านซ้าย  เพราะว่ามันเป็นทางที่สะดวกกว่าทางขวา  และมอสเรืองแสงขึ้นอยู่มากกว่า  ทำให้สามารถมองเห็นทางเดินได้ดีกว่าทางขวาที่มอสเริ่มไม่ค่อยจะมีและทางเดินมีหินงอกหินย้อยอยู่ประปรายซึ่งขวางทางทำให้เดินลำบากขึ้น   ฮิชชาพูดขึ้นระหว่างนั้นคาร์นรู้สึกแปลกๆราวกับได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเขาอยู่  อิเรเห็นคาร์นแปลกๆไปจึงทักขึ้น  แต่คาร์นก็บอกปฏิเสธไปพร้อมกับเลือกทางเดินไปทางขวาทางที่ได้ยินเสียงเรียกแว่วมา  เมื่อคาร์นเริ่มเดินไป  อิเรและฮิชาก็จำต้องเดินตามไปด้วย  อิเรรู้สึกแปลกๆกับคาร์นตั้งแต่เข้ามาในถ้ำ  ดูราวกับว่าเขาสูญเสียตัวตนของเขาไปงั้นแหละ  อิเรกระซิบบอกฮิชา  ฮิชามองตามแต่ไม่รู้สึกอะไรตามที่อิเรเป็น  จึงเหมาว่าอิเรคงจะคิดไปเอง  เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ  พวกมอสเรืองแสงก็เริ่มหมดไป  แสงก็น่าจะลดลงตามไปด้วย  แต่แสงยังคงมีและกลับสว่างมากขึ้นเรื่อยๆเสียอีก  จนเมื่อเดินไปถึงจุดๆหนึ่งที่เพดานถ้ำสูงขึ้นไป  ผนังถ้ำก็กว้างขึ้น  ดูคล้ายห้องโถงขนาดใหญ่  เพียงแต่มีผนังที่เป็นหินเท่านั้น    และตรงกลางนั้นมีแท่นหินตั้งอยู่  และบนนั้นมีอัญมณีสีน้ำตาลแดงที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้บริเวณนี้มีแสงสว่างมากกว่าบริเวณอื่นๆ  จนพวกมอสเรืองแสงไม่ขึ้นอยู่บริเวณนี้  แสงของมันเป็นประกาบระยิบระยับต้องผนังถ้ำ  เมื่อฮิชาหายตะลึงจากความงามของมันแล้วก็จะเข้าไปหยิบ  แต่ว่ามีบางสิ่งปรากฏเข้ามาขวางไว้
    ร่างโปร่งแสงสีขาวซีดที่ปรากฏอยู่ระหว่างฮิชาและอัญมณีเม็ดนั้น  ดูลักษณะเหมือนใส่เสื้อผ้าหยาบๆที่ถักทอจากใยพืชแต่ดูคล่องตัว ลักษณะร่างนั้นคล้ายกับมนุษย์หากเพียงแต่ว่าใบหูนั้น  เรียวยาวออกมาเกินกว่าที่จะเป็นมนุษย์ได้  ร่างนั้นค่อยๆปรากฏชัดขึ้น เมื่อลืมตาเห็นนัยน์ตาเป็นสีเขียวราวใบไม้ยามต้นฤดูใบไม้ผลิ  ร่างนั้นพูดขึ้นว่า
    “พวกเจ้าผ่านการูดาเข้ามาได้และเลือกที่จะเดินมาเส้นทางนี้โดยไม่ใช่ทางซ้าย  นับว่าพวกเจ้าเก่งหรือไม่ก็โชคดีพอตัว  ไม่เคยมีใครผ่านการูดาเข้ามาได้เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว  เพิ่งจะมีพวกเจ้ามาเป็นกลุ่มแรก  หึ ก็ดี  ในที่สุดข้าก็มีของให้เล่นแก้เซ็งแล้ว ”
    ร่างนั้นไม่พูดเฉยหากแต่จับสิ่งที่ดูเหมือนดาบขึ้นมาฟาดฟันเข้าหาฮิชาโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว  ฮิชาหลบได้เฉียดฉิวโดนเข้าที่แขนซ้ายเล็กน้อยเท่านั้น  และเริ่มจับดาบเข้าฟันบ้าง  แต่ดาบของฮิชาไม่สามารถถูกร่างนั้นได้เลย  ทุกครั้งที่ดูเหมือนจะฟันถูก  แต่ก็กลายเป็นว่างฟันดาบเข้าสู่ความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น  ทำให้ฮิชาโดนต้อนเข้าจนมุมอย่างง่ายดาย  เมื่อเป็นเช่นนี้คาร์นจึงเริ่มเข้ามาช่วยฮิชาสู้  แต่ผลก็เป็นเช่นเดียวกัน  ทั้งคู่ทำอะไรกับร่างนั้นไม่ได้แต่ร่างนั้นสามารถฟันถูกทั้งคู่ได้  จึงเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง  อิเรพยายามนึกหาวิธีที่จะช่วยทั้งคู่  แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าร่างที่อยู่ตรงหน้านี้คืออะไรกันแน่  วิญญาณ  แน่ล่ะ .แต่ของเผ่าพันธ์ใดกัน   ฮิชาเริ่มหมดแรง  เหลือแค่คาร์นที่ยังฟาดฟันต่อไปได้ไหว  แต่ก็คงต้านไว้ได้ไม่นานนัก  แต่ในที่สุด  ร่างนั้นก็หยุดฟันและพูดขึ้นมาว่า
    “พวกเจ้านี่เก่งพอตัวนะ .น่าสนใจจริงๆ โดยเฉพาะเจ้าเด็กคนนี้ (มองมาที่คาร์น)  แววตาเจ้าดูมุ่งมั่นเอาเรื่องดี  เราเข้าเรื่องกันดีกว่า  เพราะหน้าที่ข้าจริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนี้”
    คำพูดนี้ทำให้ทั้งสามมองร่างนั้นด้วยความสงสัยปนความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน  ถ้าเช่นนั้น  มันจับดาบสู้กับข้าทำไม ฮิชาบ่น  และแล้วร่างนั้นก็กล่าวขึ้นมาว่า 
    “ข้าคือผู้เฝ้าอัญมณีคนสุดท้าย  ถ้าเจ้าผ่านปัญหาของข้าไปได้  ข้าก็จะยอมให้เจ้านำอัญมณีไป  แต่ถ้าไม่ ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ก้าวออกไปจากถ้ำนี้อีกเลย”
    ในที่สุด  อิเรก็นึกออก  เจ้าร่างนี้  ที่แท้จริงแล้วก็เป็นวิญญาณของดาร์คเอลฟ์  เอลฟ์สายพันธุ์หนี่ง  เป็นสายพันธ์ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ทุกชนิด  ซึ่งต่างจากเอลฟ์ธรรมดาที่จะเชี่ยวชาญด้านธนูเป็นหลัก  และเพราะเป็นเอลฟ์  จึงได้รับยกย่องด้านสติปัญญาถึงแม้จะไม่มากเท่าเอลฟ์ธรรมดา  คิดมาได้ถึงตรงนี้  ดาร์คเอลฟ์นั่นก็เริ่มร้องเพลงออกมา
    “ในตำนานขับขานเรื่องราวของเจ้า
อัญมณีชิ้นหนึ่งมีค่ายิ่งนัก
รูปลักษณ์นั้นหรือสีสันแปลกตา
ราวกับสายรุ้งถักทอกลายมา
รวมอยู่ในตัวเม็ดของเจ้าเอย
พลังของน้ำรวมกับดวงจันทร์
ความหมายของเจ้านั้นคือความหวัง
บัดนี้สาบสูญไปจากแผ่นดิน
ครานี้ถึงเวลา  ต้องตอบคำถาม
ชื่อเจ้าเม็ดนี้นั้นคืออะไร”
    ทั้งสามฟังเพลงปริศนายังไม่ทันเข้าใจดี  เพราะยังปะติปะต่อเนื้อไม่ค่อยได้  และต้องมานั่งคิดอย่างรวดเร็วว่าปริศนานี้กล่าวถึงอัญมณีเม็ดไหน  เม็ดไหนกันที่หายไปจากโลกนี้แล้ว คำถามนี้ทำให้ทั้งสามปวดหัวอยู่พอดู อิเรนึกถึงตำนานต่างๆที่เขาเคยอ่านเมื่อตอนเด็กๆ  ตำนานอัญมณี  เม็ดไหนกันนะ  และแล้วเขาก็นึกออก
    “โอปอ อัญมณีนั้นคือโอปอใช่ไหม” อิเรกล่าวขึ้นในที่สุด  ร่างๆนั้นดูพอใจกับคำตอบที่ได้รับ วิญญาณดาร์คเอลฟ์ยิ้มให้กับทั้งสาม  และเปิดทางให้ไปหยิบอัญมณีได้  ฮิชาจะเดินเข้าไปหยิบ แต่ร่างนั้นเอามือมากั้นไว้  และพูดว่า
    “อัญมณีนี้ไม่ใช่ของเจ้า  จำไว้ว่า อัญมณีจะเป็นผู้เรียกหาเจ้าของของมันเอง  และผู้ที่มันเรียกหาก็คือเด็กหนุ่มคนนั้น  คนที่ประมือกับข้าอีกคน ”
    “ข้าน่ะหรือ” คาร์นถาม
    “ใช่   เจ้ารู้สึกเหมือนมีใครเรียกอยู่ระหว่างที่เดินเข้าถ้ำมาใช่ไหมล่ะ  นั่นแหละเสียงของอัญมณีเม็ดนี้  ที่ทำให้เจ้าไม่เลือกไปทางซ้าย  ซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางที่เหมาะจะเลือกมากกว่าเพราะสามารถเดินได้สบายกว่าทางนี้นักหากแต่มันจะนำพาเจ้าไปสู่กับดัก เอาล่ะ  มารับเอามันไปเสียสิ”
    คาร์นเดินเข้าไปหยิบอัญมณี  ฮิชามองตามด้วยแววตาผิดหวังเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  หลังจากนั้น ดาร์คเอลฟ์ตนนั้นก็กล่าวลาทั้งสามและอวยพรให้โชคดีในการเดินทาง อิเรจึงถามขึ้นว่า
    “พวกเราต้องเดินทางไม่ได้จะเดินทางไปไหนนี่  ท่านพูดอย่างกับว่าเราต้องเดินทางอีกยาวไกล”
    “อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้  การเดินทางครั้งยาวนานและสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น  จำไว้ว่าพวกเจ้าเลือกทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง  สิ่งเหล่านั้นจะกำหนดชะตากรรมของพวกเจ้า  นอกจากนี้ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกแล้วล่ะ”ดาร์คเอลฟ์ตอบกลับมาพร้อมกับร่างที่จะเลือนหายไปกับแสงสว่าง  เมื่อดาร์คเอลฟ์หายไปแล้ว  ทั้งสามก็รู้สึกว่าถ้ำเริ่มสั่นสะเทือน  ถ้ำกำลังจะพังลงมา  ทั้งหมดรีบวิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิตออกจากถ้ำนั้น  คาร์นนำอัญมณีใส่ไว้ในเสื้อเพื่อกันตกหล่นหายไประหว่างวิ่ง  ทั้งหมดออกมาทันก่อนที่หินก้อนใหญ่จะหล่นมาปิดปากถ้ำพอดี  เมื่อหันหลังไปดูสภาพของถ้าก็พบว่ามันคงจะถูกปิดตายไปอีกนาน  เมื่อพักเหนื่อยกันเล็กน้อยจึงออกเดินทางกลับหมู่บ้าน  เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้าน  ทั้งหมดพบว่าทั้งบ้านทุกหลังต่างจุดไฟสว่าง  มีเสียงชาวบ้ายเอะอะโวยวายบ่งบอกว่าเสียงถล่มของถ้ำดังมาถึงหมู่บ้าน  เมื่อทั้งสามเดินเข้าไปในหมู่บ้าน  คาร์นก็ถูกมือๆหนึ่งคว้าตัวไป
“คาร์น ลูกหายไปไหนมา  พ่อตามหาเสียแทบแย่  อิเร  เจ้าก็ด้วย  ฮิชา  แม่เจ้าก็กำลังตามหาเจ้าอยู่แน่ะ  เมื่อกี้มีแผ่นดินไหวเล็กน้อย  ข้าได้ยินเสียงหินถล่มด้วย  พวกเจ้าไปไหนกันมา” พ่อของคาร์นพูดเสียยืดยาว  ทั้งๆที่เนื้อเรื่องไม่ค่อยจะปะติดปะต่อกันนัก  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นเพราะว่า
“มอนสเตอร์..!!!” เสียงชาวบ้านร้องดังบอกต่อๆกันมา  ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้หญิง  พวกผู้ชายต่างก็วิ่งหาอาวุธ หรืออะไรก็ได้ที่ใช้แทนได้มาไล่มันออกไป  แต่ก็ไม่ได้ผล  มันใช้ปีกของมันพัดให้เกิดกระแสลมแรงเป่าพวกชาวบ้านลอยกระเด็นไปไกล  บางตัวก็คว้าเอาตัวเด็กแล้วบินกลับไป  พวกมอนสเตอร์ไม่เคยบุกเข้ามานานแล้วนี่นา  แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น  หรือเป็นเพราะอัญมณีเม็ดนี้กัน คาร์นคิด  ในที่สุด  มอนสเตอร์ก็จากไป  ทิ้งความพลัดพรากและความเสียหายไว้เบื้องหลัง  ชาวบ้านตายไปหลายคน  เด็กๆถูกจับตัวไปก็มาก  พวกพ่อแม่พากันร้องไห้เศร้าโศกเสียใจกับเหตุการณ์นี้  ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร  ทำไมอยู่ๆมอนสเตอร์ถึงบุกเข้ามาในหมู่บ้าน  ในที่สุดคาร์นก็เล่าเรื่องที่พวกเขาหายไปให้พ่อเขาฟัง  เมื่อเขาเล่าจบ  พ่อก็หน้าดำเคร่งเครียด เขาพาคาร์น ออกมาจากฝูงชนที่ฟังเขาเล่าแล้ววิจารณ์กันไปต่างๆนานา  เมื่อมาอยู่ที่เงียบๆเขาก็เอ่ยปากพูดกับคาร์นว่า
“เจ้าจำเรื่องที่ข้าเคยสอนให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำได้ไหม คาร์น” พ่อพูดด้วยหน้าตาเคร่งเครียดมาก
“ข้าจำได้ครับ  ท่านพ่อ”
“ก็ดี  ข้าขอสั่งให้เจ้ารับผิดชอบเหตุการณ์นี้  โดยการที่ออกไปจากหมู่บ้านนี้ซะ”
“แต่ว่า ”
“ไม่มีแต่  เพราะเจ้านำอัญมณีเม็ดนี้ออกมา  ตอนนี้ชาวบ้านต่างก็โทษว่าเป็นเพราะเจ้าแล้ว  หน้าที่ของข้าคือปกป้องอันตรายที่จะเกิดกับหมู่บ้านนี้ เพราะฉะนั้น  ข้าไม่มีทางเลือก” ถึงตอนนี้  คาร์นก็รู้แล้วว่าพ่อเขาต้องการกล่าวถึงอะไร  อิเรกับฮิชาวิ่งเข้ามาทันฟังพอดี  ทั้งคู่หน้าเสียมากเมื่อรู้ว่าเพื่อนของพวกเขาถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านโดยหัวหน้าหมู่บ้าน  พ่อของคาร์นเอง
“แต่ มันไม่ใช่ความผิดของคาร์นนะครับ” อิเรพูดขึ้น
“ผมเป็นคนชวนพวกเขาไปเอง  มันเป็นความผิดผม” ฮิชาพูดขึ้นต่อ
“มันไม่เกี่ยวว่าใครจะเป็นคนชวน  แต่มันเกี่ยวที่ว่าใครจะเป็นคนทำต่างหาก คาร์น  พ่อขอโทษ  พ่อช่วยเจ้าไม่ได้ในตอนนี้”
“ครับ ” คาร์นตอบ  และก็พยายามปลอบพ่อเขาไม่ให้รู้สึกผิดไปกว่านี้  คืนนั้นเขาเก็บข้าวของจนเสร็จ และร่ำลาพ่อและแม่ของเขา  แม่ของเขาเสียใจมาก  แต่ก็ไม่ร้องไห้ออกมามากนัก  รุ่งขึ้น  คาร์นก็เตรียมตัวเสร็จและกำลังจะเดินออกไปจากหมู่บ้าน
“เฮ้ รอด้วยสิ..!!” เสียงอิเรร้องเรียกคาร์น  คาร์นหันกลับไปมอง  เห็นอิเรและฮิชาวิ่งตามออกมา  ทั้งคู่มีสัมภาระแบกอยู่  คาร์นรู้จุดประสงค์ของทั้งคู่จึงเอ่ยปากไล่ให้กลับเข้าไปในหมู่บ้าน  แต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมกลับ มันเป็นความผิดข้าเองที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ฮิชาพูดขึ้น  เมื่อดูท่าทั้งคู่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเดินทางไปด้วยโดยเฉพาะอิเร  คาร์นจึงปล่อยให้ตามมา  ในตอนนี้ถ้ามีใครสักคนที่มองออกมาจากในหมู่บ้าน  ก็จะพบเด็กหนุ่มสามคน  คนหนึ่งเดินจ้ำอ้าวขึ้นหน้าด้วยความหงุดหงิดพอดู  อีกคนวิ่งตามพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย  อีกคนนั้นหันกลับมามองหมู่บ้านแล้วถอนหายใจเล็กน้อยแล้วยิ้มกับตนเองและออกวิ่งตามหลังทั้งสองไป
นี่เป็นจุดจบของตอนแรก  อัญมณีเม็ดแรกได้เลือกผู้ที่เป็นเจ้าของแล้ว  ตำนานเรื่องเก่าที่ถูกเล่าขานมานานจบลงไปแล้วและถูกแทนที่ด้วยเรื่องใหม่  และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานเรื่องใหม่  และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวนานและมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดอีกสำหรับทั้งสามอีกด้วย 
    ร่างโปร่งแสงสีขาวซีดที่ปรากฏอยู่ระหว่างฮิชาและอัญมณีเม็ดนั้น  ดูลักษณะเหมือนใส่เสื้อผ้าหยาบๆที่ถักทอจากใยพืชแต่ดูคล่องตัว ลักษณะร่างนั้นคล้ายกับมนุษย์หากเพียงแต่ว่าใบหูนั้น  เรียวยาวออกมาเกินกว่าที่จะเป็นมนุษย์ได้  ร่างนั้นค่อยๆปรากฏชัดขึ้น เมื่อลืมตาเห็นนัยน์ตาเป็นสีเขียวราวใบไม้ยามต้นฤดูใบไม้ผลิ  ร่างนั้นพูดขึ้นว่า
    “พวกเจ้าผ่านการูดาเข้ามาได้และเลือกที่จะเดินมาเส้นทางนี้โดยไม่ใช่ทางซ้าย  นับว่าพวกเจ้าเก่งหรือไม่ก็โชคดีพอตัว  ไม่เคยมีใครผ่านการูดาเข้ามาได้เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว  เพิ่งจะมีพวกเจ้ามาเป็นกลุ่มแรก  หึ ก็ดี  ในที่สุดข้าก็มีของให้เล่นแก้เซ็งแล้ว ”
    ร่างนั้นไม่พูดเฉยหากแต่จับสิ่งที่ดูเหมือนดาบขึ้นมาฟาดฟันเข้าหาฮิชาโดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว  ฮิชาหลบได้เฉียดฉิวโดนเข้าที่แขนซ้ายเล็กน้อยเท่านั้น  และเริ่มจับดาบเข้าฟันบ้าง  แต่ดาบของฮิชาไม่สามารถถูกร่างนั้นได้เลย  ทุกครั้งที่ดูเหมือนจะฟันถูก  แต่ก็กลายเป็นว่างฟันดาบเข้าสู่ความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น  ทำให้ฮิชาโดนต้อนเข้าจนมุมอย่างง่ายดาย  เมื่อเป็นเช่นนี้คาร์นจึงเริ่มเข้ามาช่วยฮิชาสู้  แต่ผลก็เป็นเช่นเดียวกัน  ทั้งคู่ทำอะไรกับร่างนั้นไม่ได้แต่ร่างนั้นสามารถฟันถูกทั้งคู่ได้  จึงเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง  อิเรพยายามนึกหาวิธีที่จะช่วยทั้งคู่  แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าร่างที่อยู่ตรงหน้านี้คืออะไรกันแน่  วิญญาณ  แน่ล่ะ .แต่ของเผ่าพันธ์ใดกัน   ฮิชาเริ่มหมดแรง  เหลือแค่คาร์นที่ยังฟาดฟันต่อไปได้ไหว  แต่ก็คงต้านไว้ได้ไม่นานนัก  แต่ในที่สุด  ร่างนั้นก็หยุดฟันและพูดขึ้นมาว่า
    “พวกเจ้านี่เก่งพอตัวนะ .น่าสนใจจริงๆ โดยเฉพาะเจ้าเด็กคนนี้ (มองมาที่คาร์น)  แววตาเจ้าดูมุ่งมั่นเอาเรื่องดี  เราเข้าเรื่องกันดีกว่า  เพราะหน้าที่ข้าจริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนี้”
    คำพูดนี้ทำให้ทั้งสามมองร่างนั้นด้วยความสงสัยปนความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน  ถ้าเช่นนั้น  มันจับดาบสู้กับข้าทำไม ฮิชาบ่น  และแล้วร่างนั้นก็กล่าวขึ้นมาว่า 
    “ข้าคือผู้เฝ้าอัญมณีคนสุดท้าย  ถ้าเจ้าผ่านปัญหาของข้าไปได้  ข้าก็จะยอมให้เจ้านำอัญมณีไป  แต่ถ้าไม่ ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ก้าวออกไปจากถ้ำนี้อีกเลย”
    ในที่สุด  อิเรก็นึกออก  เจ้าร่างนี้  ที่แท้จริงแล้วก็เป็นวิญญาณของดาร์คเอลฟ์  เอลฟ์สายพันธุ์หนี่ง  เป็นสายพันธ์ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ทุกชนิด  ซึ่งต่างจากเอลฟ์ธรรมดาที่จะเชี่ยวชาญด้านธนูเป็นหลัก  และเพราะเป็นเอลฟ์  จึงได้รับยกย่องด้านสติปัญญาถึงแม้จะไม่มากเท่าเอลฟ์ธรรมดา  คิดมาได้ถึงตรงนี้  ดาร์คเอลฟ์นั่นก็เริ่มร้องเพลงออกมา
    “ในตำนานขับขานเรื่องราวของเจ้า
อัญมณีชิ้นหนึ่งมีค่ายิ่งนัก
รูปลักษณ์นั้นหรือสีสันแปลกตา
ราวกับสายรุ้งถักทอกลายมา
รวมอยู่ในตัวเม็ดของเจ้าเอย
พลังของน้ำรวมกับดวงจันทร์
ความหมายของเจ้านั้นคือความหวัง
บัดนี้สาบสูญไปจากแผ่นดิน
ครานี้ถึงเวลา  ต้องตอบคำถาม
ชื่อเจ้าเม็ดนี้นั้นคืออะไร”
    ทั้งสามฟังเพลงปริศนายังไม่ทันเข้าใจดี  เพราะยังปะติปะต่อเนื้อไม่ค่อยได้  และต้องมานั่งคิดอย่างรวดเร็วว่าปริศนานี้กล่าวถึงอัญมณีเม็ดไหน  เม็ดไหนกันที่หายไปจากโลกนี้แล้ว คำถามนี้ทำให้ทั้งสามปวดหัวอยู่พอดู อิเรนึกถึงตำนานต่างๆที่เขาเคยอ่านเมื่อตอนเด็กๆ  ตำนานอัญมณี  เม็ดไหนกันนะ  และแล้วเขาก็นึกออก
    “โอปอ อัญมณีนั้นคือโอปอใช่ไหม” อิเรกล่าวขึ้นในที่สุด  ร่างๆนั้นดูพอใจกับคำตอบที่ได้รับ วิญญาณดาร์คเอลฟ์ยิ้มให้กับทั้งสาม  และเปิดทางให้ไปหยิบอัญมณีได้  ฮิชาจะเดินเข้าไปหยิบ แต่ร่างนั้นเอามือมากั้นไว้  และพูดว่า
    “อัญมณีนี้ไม่ใช่ของเจ้า  จำไว้ว่า อัญมณีจะเป็นผู้เรียกหาเจ้าของของมันเอง  และผู้ที่มันเรียกหาก็คือเด็กหนุ่มคนนั้น  คนที่ประมือกับข้าอีกคน ”
    “ข้าน่ะหรือ” คาร์นถาม
    “ใช่   เจ้ารู้สึกเหมือนมีใครเรียกอยู่ระหว่างที่เดินเข้าถ้ำมาใช่ไหมล่ะ  นั่นแหละเสียงของอัญมณีเม็ดนี้  ที่ทำให้เจ้าไม่เลือกไปทางซ้าย  ซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางที่เหมาะจะเลือกมากกว่าเพราะสามารถเดินได้สบายกว่าทางนี้นักหากแต่มันจะนำพาเจ้าไปสู่กับดัก เอาล่ะ  มารับเอามันไปเสียสิ”
    คาร์นเดินเข้าไปหยิบอัญมณี  ฮิชามองตามด้วยแววตาผิดหวังเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  หลังจากนั้น ดาร์คเอลฟ์ตนนั้นก็กล่าวลาทั้งสามและอวยพรให้โชคดีในการเดินทาง อิเรจึงถามขึ้นว่า
    “พวกเราต้องเดินทางไม่ได้จะเดินทางไปไหนนี่  ท่านพูดอย่างกับว่าเราต้องเดินทางอีกยาวไกล”
    “อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้  การเดินทางครั้งยาวนานและสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น  จำไว้ว่าพวกเจ้าเลือกทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง  สิ่งเหล่านั้นจะกำหนดชะตากรรมของพวกเจ้า  นอกจากนี้ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกแล้วล่ะ”ดาร์คเอลฟ์ตอบกลับมาพร้อมกับร่างที่จะเลือนหายไปกับแสงสว่าง  เมื่อดาร์คเอลฟ์หายไปแล้ว  ทั้งสามก็รู้สึกว่าถ้ำเริ่มสั่นสะเทือน  ถ้ำกำลังจะพังลงมา  ทั้งหมดรีบวิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิตออกจากถ้ำนั้น  คาร์นนำอัญมณีใส่ไว้ในเสื้อเพื่อกันตกหล่นหายไประหว่างวิ่ง  ทั้งหมดออกมาทันก่อนที่หินก้อนใหญ่จะหล่นมาปิดปากถ้ำพอดี  เมื่อหันหลังไปดูสภาพของถ้าก็พบว่ามันคงจะถูกปิดตายไปอีกนาน  เมื่อพักเหนื่อยกันเล็กน้อยจึงออกเดินทางกลับหมู่บ้าน  เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้าน  ทั้งหมดพบว่าทั้งบ้านทุกหลังต่างจุดไฟสว่าง  มีเสียงชาวบ้ายเอะอะโวยวายบ่งบอกว่าเสียงถล่มของถ้ำดังมาถึงหมู่บ้าน  เมื่อทั้งสามเดินเข้าไปในหมู่บ้าน  คาร์นก็ถูกมือๆหนึ่งคว้าตัวไป
“คาร์น ลูกหายไปไหนมา  พ่อตามหาเสียแทบแย่  อิเร  เจ้าก็ด้วย  ฮิชา  แม่เจ้าก็กำลังตามหาเจ้าอยู่แน่ะ  เมื่อกี้มีแผ่นดินไหวเล็กน้อย  ข้าได้ยินเสียงหินถล่มด้วย  พวกเจ้าไปไหนกันมา” พ่อของคาร์นพูดเสียยืดยาว  ทั้งๆที่เนื้อเรื่องไม่ค่อยจะปะติดปะต่อกันนัก  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นเพราะว่า
“มอนสเตอร์..!!!” เสียงชาวบ้านร้องดังบอกต่อๆกันมา  ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้หญิง  พวกผู้ชายต่างก็วิ่งหาอาวุธ หรืออะไรก็ได้ที่ใช้แทนได้มาไล่มันออกไป  แต่ก็ไม่ได้ผล  มันใช้ปีกของมันพัดให้เกิดกระแสลมแรงเป่าพวกชาวบ้านลอยกระเด็นไปไกล  บางตัวก็คว้าเอาตัวเด็กแล้วบินกลับไป  พวกมอนสเตอร์ไม่เคยบุกเข้ามานานแล้วนี่นา  แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น  หรือเป็นเพราะอัญมณีเม็ดนี้กัน คาร์นคิด  ในที่สุด  มอนสเตอร์ก็จากไป  ทิ้งความพลัดพรากและความเสียหายไว้เบื้องหลัง  ชาวบ้านตายไปหลายคน  เด็กๆถูกจับตัวไปก็มาก  พวกพ่อแม่พากันร้องไห้เศร้าโศกเสียใจกับเหตุการณ์นี้  ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร  ทำไมอยู่ๆมอนสเตอร์ถึงบุกเข้ามาในหมู่บ้าน  ในที่สุดคาร์นก็เล่าเรื่องที่พวกเขาหายไปให้พ่อเขาฟัง  เมื่อเขาเล่าจบ  พ่อก็หน้าดำเคร่งเครียด เขาพาคาร์น ออกมาจากฝูงชนที่ฟังเขาเล่าแล้ววิจารณ์กันไปต่างๆนานา  เมื่อมาอยู่ที่เงียบๆเขาก็เอ่ยปากพูดกับคาร์นว่า
“เจ้าจำเรื่องที่ข้าเคยสอนให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำได้ไหม คาร์น” พ่อพูดด้วยหน้าตาเคร่งเครียดมาก
“ข้าจำได้ครับ  ท่านพ่อ”
“ก็ดี  ข้าขอสั่งให้เจ้ารับผิดชอบเหตุการณ์นี้  โดยการที่ออกไปจากหมู่บ้านนี้ซะ”
“แต่ว่า ”
“ไม่มีแต่  เพราะเจ้านำอัญมณีเม็ดนี้ออกมา  ตอนนี้ชาวบ้านต่างก็โทษว่าเป็นเพราะเจ้าแล้ว  หน้าที่ของข้าคือปกป้องอันตรายที่จะเกิดกับหมู่บ้านนี้ เพราะฉะนั้น  ข้าไม่มีทางเลือก” ถึงตอนนี้  คาร์นก็รู้แล้วว่าพ่อเขาต้องการกล่าวถึงอะไร  อิเรกับฮิชาวิ่งเข้ามาทันฟังพอดี  ทั้งคู่หน้าเสียมากเมื่อรู้ว่าเพื่อนของพวกเขาถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านโดยหัวหน้าหมู่บ้าน  พ่อของคาร์นเอง
“แต่ มันไม่ใช่ความผิดของคาร์นนะครับ” อิเรพูดขึ้น
“ผมเป็นคนชวนพวกเขาไปเอง  มันเป็นความผิดผม” ฮิชาพูดขึ้นต่อ
“มันไม่เกี่ยวว่าใครจะเป็นคนชวน  แต่มันเกี่ยวที่ว่าใครจะเป็นคนทำต่างหาก คาร์น  พ่อขอโทษ  พ่อช่วยเจ้าไม่ได้ในตอนนี้”
“ครับ ” คาร์นตอบ  และก็พยายามปลอบพ่อเขาไม่ให้รู้สึกผิดไปกว่านี้  คืนนั้นเขาเก็บข้าวของจนเสร็จ และร่ำลาพ่อและแม่ของเขา  แม่ของเขาเสียใจมาก  แต่ก็ไม่ร้องไห้ออกมามากนัก  รุ่งขึ้น  คาร์นก็เตรียมตัวเสร็จและกำลังจะเดินออกไปจากหมู่บ้าน
“เฮ้ รอด้วยสิ..!!” เสียงอิเรร้องเรียกคาร์น  คาร์นหันกลับไปมอง  เห็นอิเรและฮิชาวิ่งตามออกมา  ทั้งคู่มีสัมภาระแบกอยู่  คาร์นรู้จุดประสงค์ของทั้งคู่จึงเอ่ยปากไล่ให้กลับเข้าไปในหมู่บ้าน  แต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมกลับ มันเป็นความผิดข้าเองที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ฮิชาพูดขึ้น  เมื่อดูท่าทั้งคู่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเดินทางไปด้วยโดยเฉพาะอิเร  คาร์นจึงปล่อยให้ตามมา  ในตอนนี้ถ้ามีใครสักคนที่มองออกมาจากในหมู่บ้าน  ก็จะพบเด็กหนุ่มสามคน  คนหนึ่งเดินจ้ำอ้าวขึ้นหน้าด้วยความหงุดหงิดพอดู  อีกคนวิ่งตามพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย  อีกคนนั้นหันกลับมามองหมู่บ้านแล้วถอนหายใจเล็กน้อยแล้วยิ้มกับตนเองและออกวิ่งตามหลังทั้งสองไป
นี่เป็นจุดจบของตอนแรก  อัญมณีเม็ดแรกได้เลือกผู้ที่เป็นเจ้าของแล้ว  ตำนานเรื่องเก่าที่ถูกเล่าขานมานานจบลงไปแล้วและถูกแทนที่ด้วยเรื่องใหม่  และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานเรื่องใหม่  และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวนานและมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดอีกสำหรับทั้งสามอีกด้วย 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น