ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อัญมณีที่1 ~คาร์เนเลี่ยนแห่งผู้กล้า~ (สาเหตุ)
                                ดวงตะวันส่องแสงรับอรุณใหม่  ใบไม้เปื้อนหยาดน้ำค้างต้องแสงแดดส่องประกายระยิบระยับ  นกน้อยเริ่มบินออกหากิน  ในหมู่บ้านเซโทเร่ชาวบ้านเริ่มทยอยออกไปทำงานกันแล้ว  เหลือเหล่าแม่บ้านคอยเฝ้าบ้าน หุงหาอาหารเตรียมไว้รอสามีตน    เด็กบ้างก็ตื่นออกมาวิ่งเล่นกันแล้ว  แต่บางส่วนก็ยังคงหลับกันอยู่  วันนี้คงจะเงียบสงบต่อไปถ้าไม่
..
                                “ เฮ้ .  นายเคยได้ยินตำนานเก่าของหมู่บ้านม้ะ”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างวางภูมิ  เขาคิดว่าเพื่อนๆของเขาคงจะไม่มีใครรู้เป็นแน่  ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะเป็นคนสำคัญในตอนนี้ที่สามรถเล่าทุกอย่างให้เพื่อนเขาอย่างโก้ๆได้
    “ตำนานอะไรหรือ ??  บอกหน่อยสิ  ฮิชา”
เด็กชายที่ชื่อฮิชายิ้มออกมา  ไม่มีใครรู้จริงๆด้วย ถ้าเช่นนั้น  เขาก็จะ .
    “หรือนายจะพูดถึงตำนานอัญมณีกันล่ะ..??  ที่ว่าหมู่บ้านเราเป็นที่ซ่อนของอัญมณีที่คอยปกปักษ์คุ้มครองโลกนี้อยู่” อีกคนนึงกล่าวขัดขึ้นมา  ทำให้ฮิชาดูผิดหวังไปเล็กน้อยและรีบปกปิดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆทันที 
    “นายนี่รู้ไปซะทุกเรื่องเลยนะ ใช่ ตำนานเรื่องนี้แหละ  ที่ข้าพูดถึง”
    “ไหนๆก็พูดขึ้นมาแล้ว  เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ  ไม่เห็นมีใครเคยเล่าตำนานนี้ให้ข้าฟังบ้างเลย” เด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นมา  เขาชื่อ อิเรในกลุ่มนี้  เขาเป็นคนที่ดูเด็กที่สุด  แน่นอนก็เขาอายุน้อยที่สุดนี่ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ข้าจะถูกปิดบังไม่ให้รู้เรื่องสำคัญสักหน่อย เขาคิดแบบนี้เสมอ
    “งั้นข้าจะเริ่มเล่านะ ” ฮิชาพูด
                                “เรื่องมันนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่ยังมีปิศาจอยู่บนโลกนี้  แน่นอน มันคือปีศาจนะ..มันสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ทุกเมืองต้องเผชิญกับสงคราม .  มีผู้กล้าหลายคนอาสาไปปราบหัวหน้าของพวกมัน .แต่ก็แพ้และไม่มีใครกลับออกมาเลยทุกครั้งไป .”
                              “ไม่เห็นจะต้องปราบหัวหน้าเลย ถ้าปราบพวกลูกน้องมันก็ชนะได้แน่ๆอยู่แล้ว” อิเรพูดขึ้น
                              “ก็เพราะว่าถ้าปราบหัวหน้าได้ พวกลูกน้องมันก็จะสงบลงไปแน่ๆไงล่ะ ” อีกคนกล่าวขึ้นมา
                              “เอาล่ะ เป็นดังที่เจ้าพูด  แต่มันก็ยังคงมีความหวังอยู่ในตอนนั้น  มีเหล่าผู้กล้าที่ใช้อัญมณีเป็นของประจำกาย  กลุ่มคนที่มีพันธะสัญญากับอัญมณี  เขาสู้ชนะพวกปีศาจได้  และปราบมันลง  หนึ่งในเหล่าผู้กล้านั้นก็มีบรรพบุรุษของพวกเราอยู่ด้วย  หลังจากสงครามเสร็จสิ้น  เขาก็เดินทางรอนแรม  จนมาปักหลัก ณ ที่แห่งนี้และสร้างเป็นเมือง  หมู่บ้านของพวกเรารู้สึกว่าเขาจะเก็บอัญมณีไว้ที่ไหนสักแห่งที่หมู่บ้านเรา  เพื่อปกปักษ์คุ้มครองพวกเราไว้ ”
    “หรือบางที  อาจจะแค่ไม่ต้องการให้มันถูกคนอื่นนำไปใช้อย่างผิดๆก็ได้ ”
    “เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกนะ  แต่ชื่อของอัญมณีน่ะ .” ฮิชายังพูดไม่จบ แต่
    “ คาร์เนเลี่ยน  ชื่อเดียวกับข้าไง ” เด็กหนุ่มคนเดิมกล่าวแทรกขึ้นมา
    “โอ้โห  งั้นเจ้าก็มีชื่อเดียวกับอัญมณีนั้นสินะ  ก็เหมาะกับเจ้าด้วย  คาร์เนเลี่ยน” อิเรพูดขึ้น เขาดูชื่นชมเพื่อนของเขาคนนี้นัก  แน่ล่ะ คาร์เนเลี่ยนมีคุณสมบัติดีพร้อมทุกอย่าง ถ้าเขาจะสมัครเป็นอัศวินล่ะก็  ได้ผ่านเลื่อนขั้นเร็วอย่างไม่มีใครสงสัย  คาร์เนเลี่ยนเป็นลูกของหัวหน้าหมู่บ้าน  เขามีฝีมือทางด้านฟันดาบไม่เป็นสองรองใคร  การเรียนก็ดีเสมอมา  ถ้าหากวันข้างหน้าเพื่อนของเขาคนนี้ไม่เป็นใหญ่เป็นโตล่ะก็  เขาจะยอมเอาหัวเขกฟูกตายให้รู้กันไปเลย
    “มีอะไรหรือ  อิเร” คาร์เนเลี่ยนพูดเพราะเริ่มสังเกตว่าอิเรจ้องมาทางเขามากเกินไปแล้ว
    “เอ้อ  ไม่มีอะไรหรอก  ขอโทษที  อ๊ะ บ่ายแล้ว .  เดี๋ยวข้าต้องรีบกลับแล้วล่ะ  ถ้าท่านพ่อรู้ว่าข้าหายไปนานขนาดนี้ ต้องโดนว่าแน่เลย” อิเรเริ่มตั้งท่าจะวิ่งแต่ฮิชาขัดจังหวะเขาไว้ก่อน  และพูดว่า
    “พวกนายน่ะ  เย็นนี้ว่างไหม”
    “ว่างน่ะ..ก็ว่างอยู่หรอก  ทำไมหรือ  ฮิชา” อิเรตอบพร้อมทำหน้าสงสัยแกมหวาดหวั่นว่าจะมีเรื่อง
    “ข้ามีธุระจะคุยนิดหน่อย  มาหาข้าที่ท้ายหมู่บ้านนะ”
                                เมื่อพูดจบฮิชาก็เดินจากไปทิ้งให้อิเรยืนมองตามด้วยความแคลงใจกับคาร์เนเลี่ยนที่มองตามและสังหรณ์ว่าต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
                                “คาร์น จะไปตามที่ฮิชาบอกไหม”อิเรเรียกเพื่อนคนนี้สั้นๆด้วยชื่อนี้
                                “ไม่รุ้สิ นายจะไปหรือ”
                                “ก็อาจจะ”
                                “นายไม่ต้องกลัวว่าหมอนั่นจะดูถูกอะไรนายได้ถ้านายไม่ไปหรอกนะ  มันไม่ใช่เรื่องเลยที่จะออกจากบ้านเย็นๆอย่างที่หมอนั่นพูด”
    “ไม่เป็นไรหรอก  ข้าอยากรู้นี่”
    “เอาเถอะกลับบ้านได้แล้ว  เดี๋ยวพ่อนายก็ว่าเอาหรอก  เดี๋ยวข้าไปส่ง”
    “อื้ม  ขอบใจ”
                                พ่อของทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน  พ่อของอิเรนั้นเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านนี้แต่ส่วนใหญ่มักจะออกไปทำงานที่เมืองอื่นประจำทิ้งให้อิเรอยู่คนเดียวบ่อยๆ  เมื่อตอนที่ครอบครัวอิเรย้ายมาใหม่ๆ  อิเรเป็นเด็กที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ  ขี้กลัว  และมีปัญหาในการคบคนอื่นซึ่งพ่อของเขาได้ฝากฝังลูกไว้กับครอบครัวของคาร์นเวลาที่เขาไม่อยู่  ดังนั้นคาร์นจึงเป็นคนที่คอยดูแลอิเรเสมอ  จนสามารถคบเพื่อนคนอื่นได้อย่างไม่มีปัญหา  ด้วยเหตุนี้อิเรจึงรักและเคารพคาร์นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง
    “เอาล่ะ  ถึงบ้านนายแล้ว  งั้นข้ากลับบ้านข้าล่ะนะ”
    “งั้นเดี๋ยวเจอกันเย็นนี้นะ” อิเรพูดปนกลัวๆ
    “อืม เดี๋ยวเจอกัน” คาร์นตอบ
                                อิเรยิ้มออก  นี่หมายความว่าคาร์นตกลงที่จะออกไปด้วย  ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นคาร์นต้องจัดการมันได้เสมอน่ะเขาคิด
    เย็นนั้น  ทั้งคู่มาที่ท้ายหมู่บ้านตามคำนัด  เมื่อไปถึงพวกเขาเจอฮิชาในสภาพเหมือนเตรียมพร้อมเดินทาง
    “เอาล่ะ พวกเจ้าก็มากันถึงแล้ว ข้าจะเล่าแผนการให้ฟัง”
    “เดี๋ยว  แผนอะไรของนายน่ะ  นายตั้งใจจะทำอะไร” อิเร พูดขึ้นเขาดูไม่ชอบเอาเสียเลยที่อยู่ๆก็มีคนมาพูดเรื่องแผนที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาก่อน
    “อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยน่า อิเร  ไม่น่ากลัวสักหน่อย  ข้าแค่วางแผน .”
    “ จะไปสำรวจถ้ำท้ายหมู่บ้านที่มีความเชื่อกันว่าอัญมณีถูกเก็บไว้ในนั้นใช่ไหมล่ะ ”
    “ .นายนี่รู้เสมอเลยนะ  ว่าข้าจะพูดว่าอะไร”
                                “ข้าแค่ สังเกตท่าทางเจ้าเมื่อตอนบ่ายเวลาเจ้าพูดเรื่องพวกนั้นไม่พ้นจะต้องจบด้วยแบบนี้ทุกที”
                                “เอ้อ .นั่นแหละ  ข้าคิดว่าน่าจะไปสำรวจดูนะ  ถ้าเผื่อเจอจริงๆล่ะก็พวกเราก็สบายไปเลยนะ  มีคนสนใจจ่ายราคางามๆให้กับอัญมณีในตำนานนี้แน่”
                                อิเรที่ฟังมาตลอดส่ายหัวอย่างเอือมๆพฤติกรรมของเพื่อนคนนี้  ไม่ผิดหรอกที่ฮิชาจะคิดถึงแต่เรื่องเงินบ้านของเขายากจนมากเลย  เขาต้องช่วยพ่อแม่ทำงานออกหาเงินตั้งแต่เด็ก เมื่อครั้งที่พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน  ฮิชานั้นทำงานหนักมากเพื่อหาเลี้ยงน้องๆ  และเขามักจะคิดถึงเรื่องเงินออกจะมากเกินไปหน่อย  เลยมักจะกลายเป็นเรื่องวุ่นอยู่เสมอๆ
    “ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าหรอกนะ ฮิชา  นั่นมันอัญมณีประจำหมู่บ้านเรานะถ้าไม่มีมัน หมู่บ้านเราจะเป็นอย่างไรล่ะ”
    “ ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย  นั่นมันเป็นแค่ตำนานนะ  ต่อให้จริงตอนนี้ปิศาจก็โดนปราบไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้วหรือว่า .นายกลัว ”
    “ข้าไม่กลัวนะ!!” อิเรเถียง
    “งั้นก็ไปด้วยกันสิ  แค่ไปสำรวจเฉยๆก็ได้ถ้าเจอจริงๆเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
    “งั้นก็ได้  คาร์นก็จะไปด้วย  ใช่ไหม ?” อิเรหันมามองคาร์นด้วยสานตาแห่งความหวัง  เพื่อนคนนี้มองหน้าเพื่อนทั้งสองคน  ดูเหมือนคราวนี้เขาต้องเป็นคนตัดสินใจอีกแล้ว  ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเบาๆเชิงตอบรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง
    “เอาล่ะ!!  ทีนี้พรรคพวกเดินทางก็มากันครบแล้ว  ออกเดินทางกัน !!”
อิเรยืนตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของเพื่อน นี่เพื่อนของเขาต้องฝันกลางวันเกี่ยวกับการผจญภัยและวีรบุรุษมาแน่ๆเลยทำให้สำนวนภาษาถึงออกมาเป็นแบบนี้  แต่ก็ช่างเถอะในเมื่อมันก็น่าจะพูดได้ว่าเป็นการผจญภัยแบบนึงนี่นะ
    “เฮ้..!!  อิเร  นายจะยืนท่านั้นไปถึงเมื่อไหร่กันน่ะ  พวกเราจะเดินทางกันตอนนี้นะ  ไม่ใช่พรุ่งนี้เช้า”
เมื่อรู้ตัว  อิเรก็หัวเราะกับตัวเองเล็กน้อยแล้ววิ่งตามฮิชาไป  และมีคาร์นเดินตามท้ายไป  สำหรับคาร์นแล้ว  เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆถ้าจะให้ฮิชาทำแบบนี้  อย่างน้อยเขาไปด้วยเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยได้  และคอยคุมพฤติกรรมฮิชาด้วยในเวลาเดียวกัน
 
    เมื่อเดินไปตามทางเล็กหลังหมู่บ้าน  ถ้าจะตรงไปยังถ้ำที่ว่าต้องผ่านกลุ่มต้นไม้หนาทึบคล้ายป่าย่อมๆ  เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีคนใช้สัญจรไปมามากนัก  เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนอะไรบางอย่างในคามเชื่อของชาวบ้าน สัตว์เฝ้าอัญมณีมั้ง คาร์นคิดในใจ 
    ตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้ามาในดงต้นไม้แล้ว  คาร์นมองขึ้นไปเบื้องบน  คอยตรวจสอบทิศทางจากดวงจันทร์  ฟากฟ้าเบื้องบน  ดวงจันทร์สองดวงลอยเด่นเป็นสง่า  บลูและเรด ที่โลกนี้มีดวงจันทร์อยู่สองดวง  เรดเป็นดวงจันทร์ที่มีอยู่คู่โลกมานานแล้ว  แต่บลูเป็นดวงจันทร์ที่เพิ่งเกิดใหม่  การจะดูทิศทางนั้นต้องสังเกตจากเรด  เพราะบลูนั้นไม่มีทิศทางการเคลื่อนที่ที่แน่นอน  แต่วันนี้มีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย  เพราะบลูดูส่องประกายแสงออกมาอย่างผิดสังเกต  ปกติแล้วบลูจะเป็นสีฟ้าปนน้ำเงินทึมๆ  แต่วันนี้กลับส่องแสงออกมาเป็นสีฟ้าสดใสประกายราวกับมีแสงในตนเอง  ‘หากวันใดดวงจันทร์บนฟ้าส่องแสงผิดไปเฉกเช่นมีแสงในตนเองนั้นเล่า  เมื่อนั้นจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น’  หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกัน  คาร์นนึก  เขานึกแบบนี้ไปจนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่หน้าปากถ้ำนั้นเสียแล้ว
    แสงจากบลูส่องผ่านต้นไม้มากระทบหินที่ปากถ้ำส่องแสงเป็นสีฟ้าใสราวกับท้องฟ้ายามฤดูร้อน  เถาวัลย์หลายเถาเติบโตโดยยึดปากถ้ำเป็นที่เกาะเลื้อย  ถ้ำดูไม่ค่อยน่ากลัวดังที่ชาวบ้านลือกันนักเมื่อมาเจอในสภาพเช่นนี้  เป็นแค่ไม่ได้ถูกแตะต้องมานานเท่านั้น  คาร์นคิด  ฮิชาเดินไปสำรวจแถวปากถ้ำ  แล้วกลับออกมา
    “ถ้ำนี้มีหินใหญ่ปิดอยู่เลยจากปากถ้ำไปหน่อย  ดูเหมือนมีอะไรแกะอยู่เสียด้วย  ไปช่วยข้าดูหน่อยเถอะ”
    แล้วทั้งสามก็ไปดู หินก้อนใหญ่นั้น  ที่จริงถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเป็นศิลาที่ทำหน้าที่เหมือนประตูขนาดใหญ่เสียมากกว่า  อย่างที่ฮิชาพูด  มีอะไรบางอย่างถูกแกะบนหินนั้น  ตอนแรกทั้งหมดมองไม่ค่อยชัดเสียเท่าไหร่  เพราะแถบนั้นแสงส่องไปไม่ค่อยถึง  แต่สักพักราวกับเป็นใจ บลู ที่ลอยออกมาจากก้อนเมฆก็ส่องแสงลงมาถึงพอดี  ทั้งสามจึงมอง อะไร ที่แกะบนศิลานั้นได้อย่างชัดเจน
    “เฮ้ย นี่มันอะไรกัน” ฮิชาพูดขึ้น
    “อักษรแปลกๆ  ภาพที่พวกเราไม่คุ้นเคย”
    เพราะเมื่อทั้งสามมองแผ่นศิลาได้ชัดแล้ว  ก็พบว่าศิลานั้นถูกแกะเป็นภาพเกือบทั่วทั้งแผ่น  ซึ่งเป็นภาพอะไรนั้นพวกเขาดูไม่ค่อยออก  เนื่องจากสึกกร่อนไปตามเวลา  และอักษรแปลกๆที่ถูกแกะปรากฏเลือนลางอยู่ด้านล่างภาพ  อักษรนี้ดูเค้าออกว่ามันเขียนอย่างไร  แต่ว่า  มันเป็นภาษาที่พวกเขาไม่รู้จักเลยนี่สิ  พวกเขาเข้าไปไม่ได้แน่  ศิลานี้ใหญ่เกินกว่าที่จะขยับเขยื้อนด้วยแรงมนุษย์ไหว  ไอ้คนที่นำมันมาทำได้อย่างไรกันนะ ฮิชาบ่น  แต่สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้  ในที่สุดก็ตกลงกันนั่งพักกันชั่วคราว
 
    “พ่อเจ้าไม่ว่าหรือ  หายจากบ้านไปนานป่านนี้แล้ว” คาร์นถามอิเร  อิเรมองหน้าคาร์นอย่างเหงาๆเล็กน้อยก่อนที่จะตอบว่า
    “ไม่หรอก  ก็ตอนนี้ท่านพ่อข้าเดินทางไปต่างเมืองอีกแล้วน่ะ  ตอนข้ากลับไปท่านพ่อก็เตรียมตัวจะออกแล้วล่ะ” เสียงของอิเรมีแววแห่งความเหงาปนอยู่เล็กน้อย  คาร์นเองก็คงรู้สึก  เพราะหลังอิเรพูดแบบนี้คาร์นก็ตอบว่า
    “เอาเถอะ เจ้าก็ยังมาหาพวกเราได้เสมอนี่  ยังดีกว่าเจ้าต้องเดินทางไปต่างเมืองกับพ่อเจ้าด้วยนะ  ยิ่งเจ้าเองไม่ชอบเดินทางไปที่อื่นอยู่ด้วย” อิเรยิ้มกับคำตอบของคาร์น  แต่ในขณะนั้น  คาร์นซึ่งเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งจ้องมองพวกเขาอยู่  อะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็นตัว เขาเริ่มพยายามฟังเสียงทุกอย่างเพื่อจับสิ่งผิดสังเกต อิเรสังเกตเห็นคาร์นนิ่งไปก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ  คาร์นมักจะรับรู้เรื่องพวกนี้เร็วกว่าคนอื่นเสมอ  นับเป็นพรสวรรค์พิเศษเฉพาะตัว  ในเมื่อคนมีเซนส์ทางนี้รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น  เชื่อไว้ก็ไม่ผิดอะไร  อิเรจึงเริ่มเปลี่ยนท่ามาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม  หากมีอะไรจะได้รับมือได้  ถึงเขาจะเก่งสู้คาร์นและฮิชาไม่ได้  แต่สายตาของอิเรเฉียบคมกว่าทั้งคู่มากนัก  ตาสีฟ้าเข้มที่สดใสและดูราวอ่านทุกสิ่งได้จนหมด  สิ่งนี้ให้พรสวรรค์แก่อิเรในการมองเห็นหลายๆสิ่งที่คนอื่นไม่ทันสังเกต  และยังรวมถึงหลายๆสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือรับรู้ในการมีอยู่อีกด้วย  ตอนเด็กๆเขามักกลัวเรื่องเหล่านี้มาก  ตระกูลทางพ่อของเขาเองก็ไม่มีความสามารถที่ว่านี้  ทำให้ช่วงเด็กเขาพยายามปิดกั้นความสามารถนี้จนไม่สามารถใช้ได้ช่วงหนึ่ง  จนเมื่อเขาได้ยอมรับว่า พรสวรรค์นี้ก็เป็นประโยชน์ได้หากฝึกเอาไว้ ตามอย่างที่คาร์นบอกเขา  งั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาทดสอบแล้วล่ะ อิเรคิดและเริ่มจ้องมองหาที่มาของเสียงนั้น
    ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้านั้น  สำหรับคนอื่นตรงนั้นก็เป็นส่วนที่ปกติ  ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด  อาจจะเห็นเป็นกิ่งไม้ไหวเบาบ้างแรงบ้าง  แต่นั่นก็เป็นเพราะลม  แต่สำหรับอิเร  เขามองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น  สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง  มันกำลังโผไปโผมาระหว่าต้นไม้สองต้น  เจ้าตัวนั้นเองที่ทำให้กิ่งไม้ไหว  และแรงลมที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าสิ่งนั้นโผไปมาทำให้เรานึกว่ากิ่งไม้สั่นเพราะลม  อิเรเริ่มกลัว  เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์หรือปีศาจ  ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นตัวที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ทำไมมันถึงล่องหนได้โดยที่คนอื่นไม่เห็นมันเลยล่ะ  หรือว่ามันจะเป็นพวกปีศาจ  อิเรเริ่มกระซิบบอกคาร์น  เมื่อคาร์นรู้ว่าอิเรพูดถึงอะไรและอยู่ตรงไหน  เขาก็เริ่มดึงดาบออกจากฝัก  การทำเช่นนี้ทำให้ฮิชารู้ตัวถึงสิ่งผิดปกติ  เขาจึงเริ่มเตรียมตัวอยู่ในท่าเตรียมบ้าง  แต่ดูท่าเจ้าสิ่งนั้นก็รู้ตัวเช่นเดียวกัน  ว่าพวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของมันแล้ว  มันเกาะนิ่งเงียบสงบบนกิ่งไม้  ตาสีแดงเพลิงของมันจ้องมาทางพวกเขาอย่างไม่วางตา  ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะโฉบมาทุกเมื่อ  อิเรเริ่มนึก  เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะเคยเห็นสิ่งรูปร่างแบบนี้มาก่อน  แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก  จนเมื่อคาร์นบอกเขาว่าให้ช่วยดูเจ้า นก นั้นไว้ด้วย  อิเรจึงทำตามอย่างเชื่อฟัง
    คาร์นเดินเข้าไปยังต้นไม้ที่อิเรพูดถึงเมื่อสักครู่  เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังจ้องมองมาจากด้านบน  เขาจับดาบให้กระชับขึ้นเตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ  ทันใดนั้นก็มีสายลมแรงพัดลงมาที่เขาพร้อมกับเสียงอิเรที่ตะโกนบอกให้เขาหลบไป  คาร์นกลิ้งตัวหลบพ้นไปหวุดหวิด  พื้นดินที่เขายืนอยู่เมื่อสักครู่มีรอยทางยาวคล้ายรอยกรงเล็บสัตว์ขนาดยักษ์ครูดไปกับพื้น  คาร์นจับดาบขึ้นมาวาดเป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วหลับตา  ถ้าหากมองเห็นคู่ต่อสู้ด้วยตาไม่ได้แล้วล่ะก็  ต้องมองด้วยสัมผัสอื่น  และต้องเชื่อมั่นในตนเอง คำพูดของอาจารย์สอนดาบที่เขาเคยเรียนลอยอยู่ในหัว  ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ  เจ้านกนั่นเริ่มเปลี่ยนทิศทางและกำลังจะมาอีกรอบ และครั้งนี้มาทาง .
    “ฉึก ” เสียงคาร์นฟันดาบไปทางซ้ายโดยฉับพลัน  มีเสียงแปลกหูร้องดังลั่นป่า  คาร์นฟันถูกส่วนขาของเจ้านกยักษ์ตัวนั้น  ตอนนี้มันกำลังค่อยๆปรากฏออกมาให้ทุกๆคได้เห็น  ตัวของมันใหญ่พอๆกับหมาป่าเมื่อโตเต็มที่  ขนเป็นสีแดงเพลิงและมีเปื้อนเลือดที่เป็นสีทองของมันเป็นหย่อมๆ  ตาสีแดงทับทิมของมันจ้องมายังคาร์นอย่างโกรธแค้น  และไม่มีใครคาดคิด  เจ้านกนั่นเริ่มพูดขึ้นมา
    “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร  ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าไปในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ !!” เจ้านกตะโกนขึ้นมา  ตัวมันเองจ้องหน้าคาร์นที่ตกตะลึงอย่างไม่วางตา  สายตาของมันดูหยามเหยียดมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้ามันเสียเป็นที่สุด
    “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องห้ามพวกเราไม่ให้เข้าไปด้วยล่ะ  มันก็ไม่ใช่สิทธิของเจ้าเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” ฮิชาถามขึ้น  เจ้านกนั่นจ้องหน้าฮิชาอย่างเหลืออดเต็มทีแล้วตอบกลับมาด้วยเสียงคำรามว่า
    “เพราะข้าเป็นสัตว์เฝ้าประตูน่ะสิ  ข้าต้องคอยดูแลป้องกันไม่ให้ใครมาขโมยอัญมณีล้ำค่าไป  นายท่านมอบหน้าที่นี้ให้ข้า  และข้าก็ต้องรักษามันให้ดีที่สุด  ไม่ให้ใครหน้าไหนมันผ่านข้าไปได้  มันเป็นพันธะสัญญาที่ข้าทำกับนายของข้า”
    อิเรนึกออกในที่สุด  ที่เขาคุ้นตาเจ้านกยักษ์นี่ก็เพราะมันสลักอยู่บนศิลาแผ่นนั้นนั่นเอง  และเพราะพวกเราไปแตะต้อง  เจ้าตัวนี้ถึงตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของมันต่อไป  แต่อย่างไรก็ตาม  มันต้องมีสักหนทางที่จะผ่านไปได้โดยไม่มีการทำร้ายสิ
    “แล้วเจ้าจะสิ้นสุดภาระหน้าที่นี้เมื่อไหร่” คาร์นถาม  เจ้านกนั่นจ้องมองคาร์นอย่างไม่นึกคิดว่าจะมีคำพูดแบบนี้หลุดออกจากปากมนุษย์  แล้วมันก็เริ่มพูดขึ้นมาใหม่  หนนี้เสียงมันไม่ส่อแววคำรามดุร้ายอีกแล้ว  กลับกลายเป็นเสียงที่กังวาลราวกับเสียงระฆัง  ซึ่งน่าจะเป็นเสียงที่แท้จริงของมัน
    “วิธีปลดพันธะสัญญาของข้าน่ะหรือ  ไม่นึกฝันเลยว่าจะมีใครพูดแบบนี้กับข้า  หรือเป็นเพราะข้าสังหารคนเหล่านั้นไปก่อนที่จะทันได้เอ่ยปากกระมัง  แต่ถึงรอดพวกนั้นก็วิ่งหนีไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาเลยสักคนอยู่ดีแหละ  เพิ่งมีเจ้าลูกมนุษย์คนนี้นี่แหละ  วิธีนี้เป็นวิธีที่ ไม่ยากเลย  แต่ถึงรู้เจ้าอาจจะทำไม่ได้ก็ได้  แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า  เจ้ามีสิทธิที่จะตัดสินใจ”
    “หากข้าทำ หรือไม่ทำ  จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น” คาร์นถามนกยักษ์
    “ถ้าปลดพันธะสัญญาข้าได้  เจ้าก็สามารถเดินเข้าถ้ำได้ต่อไป  แต่ถ้าไม่  ข้าจะให้เวลาเจ้าวิ่งหนีหากไม่วิ่ง  ข้าเกรงว่าข้าต้องฆ่าเจ้าทิ้งเสีย  เด็กน้อย  บาดแผลข้าหายได้อย่างรวดเร็วนัก  เพราะข้าไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ  อีกชั่วครู่มันก็หายสนิทแล้ว  ข้าให้เวลาเจ้าได้เพียงเท่านี้”
    “งั้นก็บอกมาสิ ว่าวิธีใดกันที่จะทำลายสัญญานั่นได้”
    “วิธีน่ะ ง่ายนิดเดียว  เจ้าเพียงแค่ทายชื่อข้าให้ถูกเท่านั้นเอง  ง่ายมากเลยใช่ไหมล่ะ  หากแต่เพียงว่า พวกเจ้ามีสิทธิทายเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  เพราะหากพวกเจ้าทายผิด  ก็ไม่มีสิทธิเดินออกจากป่านี้ไปได้เลย”
    พวกคาร์นชะงักไปกับคำพูดของมันเล็กน้อย  และแล้วคาร์นก็ถามออกมาอีกว่า
    “เป็นการเสี่ยงที่ไม่ยุติธรรมเลย  นี่เจ้าไม่มีตัวบอกใบ้อะไรให้เลยหรือไง  ถ้าเป็นแบบนี้เปอร์เซ็นที่พวกเราจะทายถูกมีไม่ถึง1เลยด้วยซ้ำ”
    อิเรจ้องคาร์นด้วยสายตาหวั่นๆ  นี่เขาไม่กลัวเจ้านกนี่เลยหรือไง  แถมยังมาต่อรองกับเกมปริศนาที่ไม่มีท่าว่าจะชนะได้ง่ายๆอีก  ส่วนเจ้านกยักษ์นั่น  มองคาร์นด้วยสายตาที่คาดไม่ถึงว่าจะกล้าถามหาคำใบ้กับตนเองอีกทั้งๆที่เกมนี้สิทธิที่พวกคาร์นจะชนะนั้นแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ  แต่มันก็ตอบไปว่า
    “ป้ายศิลาหลังพวกเจ้าน่ะ  มีชื่อข้ากำกับอยู่  นี่แหละ  คำใบ้ที่สามารถแก้ได้ง่ายๆที่เดียวหากว่าเจ้าอ่านชื่อข้าออก” อิเรกับฮิชาหนักใจกับคำตอบนี้มาก  พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อตัวหนังสือนั้นเป็นภาษาที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย  อิเรหันไปเห็นคาร์นยิ้ม  เขายิ้มในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ  เขารู้ชื่อนกนั่นด้วยหรือ..เขาอ่านตัวหนังสือพวกนั้นออกด้วยหรือ และคาร์นก็พูดชื่อๆหนึ่งขึ้นมา
    “การูดา  ชื่อของเจ้าก็คือการูดา” คาร์นพูดออกมาด้วยเสีงที่มั่นใจเต็มเปี่ยม  อิเรกับฮิชาจ้องมองคาร์น
อย่างไม่เชื่อหู  เจ้านก หรือการูดาก็มองอย่างไม่เชื่อเช่นเดียวกัน  มนุษย์คนนี้อ่านตัวอักษรที่ตนเองไม่รู้จักได้และกล่าวชื่อตนที่ไม่มีใครเรียกมานานแสนนานได้ถูกอีกด้วย  และแล้วมันก็ทำสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง  มันก้มหัวของมันไปจนติดพื้นดิน  ทำท่าศิโรราบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งอย่างที่สิ่งมีชีวิตเฉกเช่นมันจะกระทำได้  และกล่าวขึ้นว่า
    “เวลานั้นได้มาถึงแล้ว  เวลาที่ข้าพิทักษ์อัญมณีสูงค่านั่นจบลง  ข้าทำได้เพียงแค่รักษามันมานานแสนนานเพื่อให้มันปลอดภัยจนกระทั่งจะได้อยู่กับคนที่คู่ควรกับมันอย่างแท้จริง  และในที่สุดคนๆนั้นก็มาถึงแล้ว  หน้าที่ของข้าจึงจบลงแล้ว  ขอให้ท่านปลอดภัยจากหนทางเบื้องหน้า  หนทางไปสู่อัญมณี ” พูดถึงตรงนี้  ก็เกิดประกายเพลิงสีทองลุกท่วมตัวการูดา  ทั้งสามจ้องมองด้วยความตกใจ  อิเรวิ่งเข้าไปช่วยคาร์นดับไฟที่ตัวการูดา  แต่มันตะโกนห้ามไว้
    “ไม่ต้องช่วยดับไฟหรอก  ทั้งหมดนี่เป็นภาพลวงทั้งเพลิงนี่และตัวข้าก็เช่นกัน  ไม่ต้องมาลำบากอย่างเปล่าประโยชน์หรอก ” และมันก็กล่าวเสริมขึ้นมาเมื่ออิเรทำท่าแปลกใจ  “ เจ้ามนุษย์ที่มีดวงตาพิเศษ  ไม่ต้องแปลกใจกับคำพูดข้าหรอก  ข้าเองเป็นเพียงสัตว์อาคมที่นายข้าสร้างขึ้นมาเพื่อผนึกเฝ้าประตูเท่านั้นเอง  บัดนี้มีผู้ที่เหมาะสมกับอัญมณีแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องหมดหน้าที่นี้แล้ว”
    “และท่านก็ต้องตายไปเลยงั้นหรือ ท่านต้องตายเพราะท่านหมดหน้าที่แล้วแค่นี้เนี่ยนะ.?”
    “มันไม่ใช่ความตายหรอก  แต่เดิมข้าเองก็ไม่มีชีวิตเป็นความว่างเปล่าอยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ถึงเวลากลับไปเป็นความว่างเปล่าอีกครั้งก็เท่านั้นเอง  ไม่มีสิ่งใดคงอยู่อย่างจีรังหรอก  ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น  ตอนนี้ข้าก็เดินทางมานานพอแล้ว  และก็ถึงเวลาต้องกลับไปเป็นแบบเดิมที่ข้าเคยเป็น ”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้  การูดาก็ถูกไฟลุกท่วมและหายไปในที่สุด  ไม่มีเหลือแม้แต่กองเถ้าถ่าน  หรือร่อยรอยว่าที่ตรงนั้นโดนไฟลุกท่วมมาเลย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นมาจากด้านหลัง  เมื่อทั้งสามหันกลับไป  ก็พบว่าศิลาที่ปิดประตูนั้นได้พังลงมาแล้ว  หินที่พังลงมานั้น  ไม่มีรูปภาพที่เคยแกะสลักหลงเหลืออยู่แล้ว  มันคงหายไปพร้อมๆกับการูดา  ฮิชามองอิเรอย่างแปลกใจ  ฮิชาไม่เคยรู้มาก่อนเรื่องพรสวรรค์ของอิเร  น้อยคนนักที่จะมีความสามารถนี้  แต่กับคนอย่างอิเรก็เหมาะสมแล้วที่จะมีความสามารถนี้  คนอื่นที่เขาได้ยินชื่อมามักจะใช้ความสามารถนี้ไปในทางที่ไม่ดี  คาร์น มองตรงไปยังเส้นทางเข้าไปในถ้ำที่ปรากฏขึ้นหลังศิลาพังลงมา  แล้วก็เดินตรงเข้าไป  อิเรเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งตามเข้าไป  ทิ้งให้ฮิชาวิ่งตามท้าย...
                                “ เฮ้ .  นายเคยได้ยินตำนานเก่าของหมู่บ้านม้ะ”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างวางภูมิ  เขาคิดว่าเพื่อนๆของเขาคงจะไม่มีใครรู้เป็นแน่  ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะเป็นคนสำคัญในตอนนี้ที่สามรถเล่าทุกอย่างให้เพื่อนเขาอย่างโก้ๆได้
    “ตำนานอะไรหรือ ??  บอกหน่อยสิ  ฮิชา”
เด็กชายที่ชื่อฮิชายิ้มออกมา  ไม่มีใครรู้จริงๆด้วย ถ้าเช่นนั้น  เขาก็จะ .
    “หรือนายจะพูดถึงตำนานอัญมณีกันล่ะ..??  ที่ว่าหมู่บ้านเราเป็นที่ซ่อนของอัญมณีที่คอยปกปักษ์คุ้มครองโลกนี้อยู่” อีกคนนึงกล่าวขัดขึ้นมา  ทำให้ฮิชาดูผิดหวังไปเล็กน้อยและรีบปกปิดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆทันที 
    “นายนี่รู้ไปซะทุกเรื่องเลยนะ ใช่ ตำนานเรื่องนี้แหละ  ที่ข้าพูดถึง”
    “ไหนๆก็พูดขึ้นมาแล้ว  เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ  ไม่เห็นมีใครเคยเล่าตำนานนี้ให้ข้าฟังบ้างเลย” เด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นมา  เขาชื่อ อิเรในกลุ่มนี้  เขาเป็นคนที่ดูเด็กที่สุด  แน่นอนก็เขาอายุน้อยที่สุดนี่ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ข้าจะถูกปิดบังไม่ให้รู้เรื่องสำคัญสักหน่อย เขาคิดแบบนี้เสมอ
    “งั้นข้าจะเริ่มเล่านะ ” ฮิชาพูด
                                “เรื่องมันนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่ยังมีปิศาจอยู่บนโลกนี้  แน่นอน มันคือปีศาจนะ..มันสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ทุกเมืองต้องเผชิญกับสงคราม .  มีผู้กล้าหลายคนอาสาไปปราบหัวหน้าของพวกมัน .แต่ก็แพ้และไม่มีใครกลับออกมาเลยทุกครั้งไป .”
                              “ไม่เห็นจะต้องปราบหัวหน้าเลย ถ้าปราบพวกลูกน้องมันก็ชนะได้แน่ๆอยู่แล้ว” อิเรพูดขึ้น
                              “ก็เพราะว่าถ้าปราบหัวหน้าได้ พวกลูกน้องมันก็จะสงบลงไปแน่ๆไงล่ะ ” อีกคนกล่าวขึ้นมา
                              “เอาล่ะ เป็นดังที่เจ้าพูด  แต่มันก็ยังคงมีความหวังอยู่ในตอนนั้น  มีเหล่าผู้กล้าที่ใช้อัญมณีเป็นของประจำกาย  กลุ่มคนที่มีพันธะสัญญากับอัญมณี  เขาสู้ชนะพวกปีศาจได้  และปราบมันลง  หนึ่งในเหล่าผู้กล้านั้นก็มีบรรพบุรุษของพวกเราอยู่ด้วย  หลังจากสงครามเสร็จสิ้น  เขาก็เดินทางรอนแรม  จนมาปักหลัก ณ ที่แห่งนี้และสร้างเป็นเมือง  หมู่บ้านของพวกเรารู้สึกว่าเขาจะเก็บอัญมณีไว้ที่ไหนสักแห่งที่หมู่บ้านเรา  เพื่อปกปักษ์คุ้มครองพวกเราไว้ ”
    “หรือบางที  อาจจะแค่ไม่ต้องการให้มันถูกคนอื่นนำไปใช้อย่างผิดๆก็ได้ ”
    “เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกนะ  แต่ชื่อของอัญมณีน่ะ .” ฮิชายังพูดไม่จบ แต่
    “ คาร์เนเลี่ยน  ชื่อเดียวกับข้าไง ” เด็กหนุ่มคนเดิมกล่าวแทรกขึ้นมา
    “โอ้โห  งั้นเจ้าก็มีชื่อเดียวกับอัญมณีนั้นสินะ  ก็เหมาะกับเจ้าด้วย  คาร์เนเลี่ยน” อิเรพูดขึ้น เขาดูชื่นชมเพื่อนของเขาคนนี้นัก  แน่ล่ะ คาร์เนเลี่ยนมีคุณสมบัติดีพร้อมทุกอย่าง ถ้าเขาจะสมัครเป็นอัศวินล่ะก็  ได้ผ่านเลื่อนขั้นเร็วอย่างไม่มีใครสงสัย  คาร์เนเลี่ยนเป็นลูกของหัวหน้าหมู่บ้าน  เขามีฝีมือทางด้านฟันดาบไม่เป็นสองรองใคร  การเรียนก็ดีเสมอมา  ถ้าหากวันข้างหน้าเพื่อนของเขาคนนี้ไม่เป็นใหญ่เป็นโตล่ะก็  เขาจะยอมเอาหัวเขกฟูกตายให้รู้กันไปเลย
    “มีอะไรหรือ  อิเร” คาร์เนเลี่ยนพูดเพราะเริ่มสังเกตว่าอิเรจ้องมาทางเขามากเกินไปแล้ว
    “เอ้อ  ไม่มีอะไรหรอก  ขอโทษที  อ๊ะ บ่ายแล้ว .  เดี๋ยวข้าต้องรีบกลับแล้วล่ะ  ถ้าท่านพ่อรู้ว่าข้าหายไปนานขนาดนี้ ต้องโดนว่าแน่เลย” อิเรเริ่มตั้งท่าจะวิ่งแต่ฮิชาขัดจังหวะเขาไว้ก่อน  และพูดว่า
    “พวกนายน่ะ  เย็นนี้ว่างไหม”
    “ว่างน่ะ..ก็ว่างอยู่หรอก  ทำไมหรือ  ฮิชา” อิเรตอบพร้อมทำหน้าสงสัยแกมหวาดหวั่นว่าจะมีเรื่อง
    “ข้ามีธุระจะคุยนิดหน่อย  มาหาข้าที่ท้ายหมู่บ้านนะ”
                                เมื่อพูดจบฮิชาก็เดินจากไปทิ้งให้อิเรยืนมองตามด้วยความแคลงใจกับคาร์เนเลี่ยนที่มองตามและสังหรณ์ว่าต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
                                “คาร์น จะไปตามที่ฮิชาบอกไหม”อิเรเรียกเพื่อนคนนี้สั้นๆด้วยชื่อนี้
                                “ไม่รุ้สิ นายจะไปหรือ”
                                “ก็อาจจะ”
                                “นายไม่ต้องกลัวว่าหมอนั่นจะดูถูกอะไรนายได้ถ้านายไม่ไปหรอกนะ  มันไม่ใช่เรื่องเลยที่จะออกจากบ้านเย็นๆอย่างที่หมอนั่นพูด”
    “ไม่เป็นไรหรอก  ข้าอยากรู้นี่”
    “เอาเถอะกลับบ้านได้แล้ว  เดี๋ยวพ่อนายก็ว่าเอาหรอก  เดี๋ยวข้าไปส่ง”
    “อื้ม  ขอบใจ”
                                พ่อของทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน  พ่อของอิเรนั้นเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านนี้แต่ส่วนใหญ่มักจะออกไปทำงานที่เมืองอื่นประจำทิ้งให้อิเรอยู่คนเดียวบ่อยๆ  เมื่อตอนที่ครอบครัวอิเรย้ายมาใหม่ๆ  อิเรเป็นเด็กที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ  ขี้กลัว  และมีปัญหาในการคบคนอื่นซึ่งพ่อของเขาได้ฝากฝังลูกไว้กับครอบครัวของคาร์นเวลาที่เขาไม่อยู่  ดังนั้นคาร์นจึงเป็นคนที่คอยดูแลอิเรเสมอ  จนสามารถคบเพื่อนคนอื่นได้อย่างไม่มีปัญหา  ด้วยเหตุนี้อิเรจึงรักและเคารพคาร์นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง
    “เอาล่ะ  ถึงบ้านนายแล้ว  งั้นข้ากลับบ้านข้าล่ะนะ”
    “งั้นเดี๋ยวเจอกันเย็นนี้นะ” อิเรพูดปนกลัวๆ
    “อืม เดี๋ยวเจอกัน” คาร์นตอบ
                                อิเรยิ้มออก  นี่หมายความว่าคาร์นตกลงที่จะออกไปด้วย  ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นคาร์นต้องจัดการมันได้เสมอน่ะเขาคิด
    เย็นนั้น  ทั้งคู่มาที่ท้ายหมู่บ้านตามคำนัด  เมื่อไปถึงพวกเขาเจอฮิชาในสภาพเหมือนเตรียมพร้อมเดินทาง
    “เอาล่ะ พวกเจ้าก็มากันถึงแล้ว ข้าจะเล่าแผนการให้ฟัง”
    “เดี๋ยว  แผนอะไรของนายน่ะ  นายตั้งใจจะทำอะไร” อิเร พูดขึ้นเขาดูไม่ชอบเอาเสียเลยที่อยู่ๆก็มีคนมาพูดเรื่องแผนที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาก่อน
    “อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยน่า อิเร  ไม่น่ากลัวสักหน่อย  ข้าแค่วางแผน .”
    “ จะไปสำรวจถ้ำท้ายหมู่บ้านที่มีความเชื่อกันว่าอัญมณีถูกเก็บไว้ในนั้นใช่ไหมล่ะ ”
    “ .นายนี่รู้เสมอเลยนะ  ว่าข้าจะพูดว่าอะไร”
                                “ข้าแค่ สังเกตท่าทางเจ้าเมื่อตอนบ่ายเวลาเจ้าพูดเรื่องพวกนั้นไม่พ้นจะต้องจบด้วยแบบนี้ทุกที”
                                “เอ้อ .นั่นแหละ  ข้าคิดว่าน่าจะไปสำรวจดูนะ  ถ้าเผื่อเจอจริงๆล่ะก็พวกเราก็สบายไปเลยนะ  มีคนสนใจจ่ายราคางามๆให้กับอัญมณีในตำนานนี้แน่”
                                อิเรที่ฟังมาตลอดส่ายหัวอย่างเอือมๆพฤติกรรมของเพื่อนคนนี้  ไม่ผิดหรอกที่ฮิชาจะคิดถึงแต่เรื่องเงินบ้านของเขายากจนมากเลย  เขาต้องช่วยพ่อแม่ทำงานออกหาเงินตั้งแต่เด็ก เมื่อครั้งที่พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน  ฮิชานั้นทำงานหนักมากเพื่อหาเลี้ยงน้องๆ  และเขามักจะคิดถึงเรื่องเงินออกจะมากเกินไปหน่อย  เลยมักจะกลายเป็นเรื่องวุ่นอยู่เสมอๆ
    “ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าหรอกนะ ฮิชา  นั่นมันอัญมณีประจำหมู่บ้านเรานะถ้าไม่มีมัน หมู่บ้านเราจะเป็นอย่างไรล่ะ”
    “ ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย  นั่นมันเป็นแค่ตำนานนะ  ต่อให้จริงตอนนี้ปิศาจก็โดนปราบไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้วหรือว่า .นายกลัว ”
    “ข้าไม่กลัวนะ!!” อิเรเถียง
    “งั้นก็ไปด้วยกันสิ  แค่ไปสำรวจเฉยๆก็ได้ถ้าเจอจริงๆเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
    “งั้นก็ได้  คาร์นก็จะไปด้วย  ใช่ไหม ?” อิเรหันมามองคาร์นด้วยสานตาแห่งความหวัง  เพื่อนคนนี้มองหน้าเพื่อนทั้งสองคน  ดูเหมือนคราวนี้เขาต้องเป็นคนตัดสินใจอีกแล้ว  ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเบาๆเชิงตอบรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง
    “เอาล่ะ!!  ทีนี้พรรคพวกเดินทางก็มากันครบแล้ว  ออกเดินทางกัน !!”
อิเรยืนตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของเพื่อน นี่เพื่อนของเขาต้องฝันกลางวันเกี่ยวกับการผจญภัยและวีรบุรุษมาแน่ๆเลยทำให้สำนวนภาษาถึงออกมาเป็นแบบนี้  แต่ก็ช่างเถอะในเมื่อมันก็น่าจะพูดได้ว่าเป็นการผจญภัยแบบนึงนี่นะ
    “เฮ้..!!  อิเร  นายจะยืนท่านั้นไปถึงเมื่อไหร่กันน่ะ  พวกเราจะเดินทางกันตอนนี้นะ  ไม่ใช่พรุ่งนี้เช้า”
เมื่อรู้ตัว  อิเรก็หัวเราะกับตัวเองเล็กน้อยแล้ววิ่งตามฮิชาไป  และมีคาร์นเดินตามท้ายไป  สำหรับคาร์นแล้ว  เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆถ้าจะให้ฮิชาทำแบบนี้  อย่างน้อยเขาไปด้วยเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยได้  และคอยคุมพฤติกรรมฮิชาด้วยในเวลาเดียวกัน
 
    เมื่อเดินไปตามทางเล็กหลังหมู่บ้าน  ถ้าจะตรงไปยังถ้ำที่ว่าต้องผ่านกลุ่มต้นไม้หนาทึบคล้ายป่าย่อมๆ  เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีคนใช้สัญจรไปมามากนัก  เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนอะไรบางอย่างในคามเชื่อของชาวบ้าน สัตว์เฝ้าอัญมณีมั้ง คาร์นคิดในใจ 
    ตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้ามาในดงต้นไม้แล้ว  คาร์นมองขึ้นไปเบื้องบน  คอยตรวจสอบทิศทางจากดวงจันทร์  ฟากฟ้าเบื้องบน  ดวงจันทร์สองดวงลอยเด่นเป็นสง่า  บลูและเรด ที่โลกนี้มีดวงจันทร์อยู่สองดวง  เรดเป็นดวงจันทร์ที่มีอยู่คู่โลกมานานแล้ว  แต่บลูเป็นดวงจันทร์ที่เพิ่งเกิดใหม่  การจะดูทิศทางนั้นต้องสังเกตจากเรด  เพราะบลูนั้นไม่มีทิศทางการเคลื่อนที่ที่แน่นอน  แต่วันนี้มีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย  เพราะบลูดูส่องประกายแสงออกมาอย่างผิดสังเกต  ปกติแล้วบลูจะเป็นสีฟ้าปนน้ำเงินทึมๆ  แต่วันนี้กลับส่องแสงออกมาเป็นสีฟ้าสดใสประกายราวกับมีแสงในตนเอง  ‘หากวันใดดวงจันทร์บนฟ้าส่องแสงผิดไปเฉกเช่นมีแสงในตนเองนั้นเล่า  เมื่อนั้นจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น’  หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกัน  คาร์นนึก  เขานึกแบบนี้ไปจนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่หน้าปากถ้ำนั้นเสียแล้ว
    แสงจากบลูส่องผ่านต้นไม้มากระทบหินที่ปากถ้ำส่องแสงเป็นสีฟ้าใสราวกับท้องฟ้ายามฤดูร้อน  เถาวัลย์หลายเถาเติบโตโดยยึดปากถ้ำเป็นที่เกาะเลื้อย  ถ้ำดูไม่ค่อยน่ากลัวดังที่ชาวบ้านลือกันนักเมื่อมาเจอในสภาพเช่นนี้  เป็นแค่ไม่ได้ถูกแตะต้องมานานเท่านั้น  คาร์นคิด  ฮิชาเดินไปสำรวจแถวปากถ้ำ  แล้วกลับออกมา
    “ถ้ำนี้มีหินใหญ่ปิดอยู่เลยจากปากถ้ำไปหน่อย  ดูเหมือนมีอะไรแกะอยู่เสียด้วย  ไปช่วยข้าดูหน่อยเถอะ”
    แล้วทั้งสามก็ไปดู หินก้อนใหญ่นั้น  ที่จริงถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเป็นศิลาที่ทำหน้าที่เหมือนประตูขนาดใหญ่เสียมากกว่า  อย่างที่ฮิชาพูด  มีอะไรบางอย่างถูกแกะบนหินนั้น  ตอนแรกทั้งหมดมองไม่ค่อยชัดเสียเท่าไหร่  เพราะแถบนั้นแสงส่องไปไม่ค่อยถึง  แต่สักพักราวกับเป็นใจ บลู ที่ลอยออกมาจากก้อนเมฆก็ส่องแสงลงมาถึงพอดี  ทั้งสามจึงมอง อะไร ที่แกะบนศิลานั้นได้อย่างชัดเจน
    “เฮ้ย นี่มันอะไรกัน” ฮิชาพูดขึ้น
    “อักษรแปลกๆ  ภาพที่พวกเราไม่คุ้นเคย”
    เพราะเมื่อทั้งสามมองแผ่นศิลาได้ชัดแล้ว  ก็พบว่าศิลานั้นถูกแกะเป็นภาพเกือบทั่วทั้งแผ่น  ซึ่งเป็นภาพอะไรนั้นพวกเขาดูไม่ค่อยออก  เนื่องจากสึกกร่อนไปตามเวลา  และอักษรแปลกๆที่ถูกแกะปรากฏเลือนลางอยู่ด้านล่างภาพ  อักษรนี้ดูเค้าออกว่ามันเขียนอย่างไร  แต่ว่า  มันเป็นภาษาที่พวกเขาไม่รู้จักเลยนี่สิ  พวกเขาเข้าไปไม่ได้แน่  ศิลานี้ใหญ่เกินกว่าที่จะขยับเขยื้อนด้วยแรงมนุษย์ไหว  ไอ้คนที่นำมันมาทำได้อย่างไรกันนะ ฮิชาบ่น  แต่สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้  ในที่สุดก็ตกลงกันนั่งพักกันชั่วคราว
 
    “พ่อเจ้าไม่ว่าหรือ  หายจากบ้านไปนานป่านนี้แล้ว” คาร์นถามอิเร  อิเรมองหน้าคาร์นอย่างเหงาๆเล็กน้อยก่อนที่จะตอบว่า
    “ไม่หรอก  ก็ตอนนี้ท่านพ่อข้าเดินทางไปต่างเมืองอีกแล้วน่ะ  ตอนข้ากลับไปท่านพ่อก็เตรียมตัวจะออกแล้วล่ะ” เสียงของอิเรมีแววแห่งความเหงาปนอยู่เล็กน้อย  คาร์นเองก็คงรู้สึก  เพราะหลังอิเรพูดแบบนี้คาร์นก็ตอบว่า
    “เอาเถอะ เจ้าก็ยังมาหาพวกเราได้เสมอนี่  ยังดีกว่าเจ้าต้องเดินทางไปต่างเมืองกับพ่อเจ้าด้วยนะ  ยิ่งเจ้าเองไม่ชอบเดินทางไปที่อื่นอยู่ด้วย” อิเรยิ้มกับคำตอบของคาร์น  แต่ในขณะนั้น  คาร์นซึ่งเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งจ้องมองพวกเขาอยู่  อะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็นตัว เขาเริ่มพยายามฟังเสียงทุกอย่างเพื่อจับสิ่งผิดสังเกต อิเรสังเกตเห็นคาร์นนิ่งไปก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ  คาร์นมักจะรับรู้เรื่องพวกนี้เร็วกว่าคนอื่นเสมอ  นับเป็นพรสวรรค์พิเศษเฉพาะตัว  ในเมื่อคนมีเซนส์ทางนี้รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น  เชื่อไว้ก็ไม่ผิดอะไร  อิเรจึงเริ่มเปลี่ยนท่ามาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม  หากมีอะไรจะได้รับมือได้  ถึงเขาจะเก่งสู้คาร์นและฮิชาไม่ได้  แต่สายตาของอิเรเฉียบคมกว่าทั้งคู่มากนัก  ตาสีฟ้าเข้มที่สดใสและดูราวอ่านทุกสิ่งได้จนหมด  สิ่งนี้ให้พรสวรรค์แก่อิเรในการมองเห็นหลายๆสิ่งที่คนอื่นไม่ทันสังเกต  และยังรวมถึงหลายๆสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือรับรู้ในการมีอยู่อีกด้วย  ตอนเด็กๆเขามักกลัวเรื่องเหล่านี้มาก  ตระกูลทางพ่อของเขาเองก็ไม่มีความสามารถที่ว่านี้  ทำให้ช่วงเด็กเขาพยายามปิดกั้นความสามารถนี้จนไม่สามารถใช้ได้ช่วงหนึ่ง  จนเมื่อเขาได้ยอมรับว่า พรสวรรค์นี้ก็เป็นประโยชน์ได้หากฝึกเอาไว้ ตามอย่างที่คาร์นบอกเขา  งั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาทดสอบแล้วล่ะ อิเรคิดและเริ่มจ้องมองหาที่มาของเสียงนั้น
    ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้านั้น  สำหรับคนอื่นตรงนั้นก็เป็นส่วนที่ปกติ  ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด  อาจจะเห็นเป็นกิ่งไม้ไหวเบาบ้างแรงบ้าง  แต่นั่นก็เป็นเพราะลม  แต่สำหรับอิเร  เขามองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น  สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง  มันกำลังโผไปโผมาระหว่าต้นไม้สองต้น  เจ้าตัวนั้นเองที่ทำให้กิ่งไม้ไหว  และแรงลมที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าสิ่งนั้นโผไปมาทำให้เรานึกว่ากิ่งไม้สั่นเพราะลม  อิเรเริ่มกลัว  เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์หรือปีศาจ  ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นตัวที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ทำไมมันถึงล่องหนได้โดยที่คนอื่นไม่เห็นมันเลยล่ะ  หรือว่ามันจะเป็นพวกปีศาจ  อิเรเริ่มกระซิบบอกคาร์น  เมื่อคาร์นรู้ว่าอิเรพูดถึงอะไรและอยู่ตรงไหน  เขาก็เริ่มดึงดาบออกจากฝัก  การทำเช่นนี้ทำให้ฮิชารู้ตัวถึงสิ่งผิดปกติ  เขาจึงเริ่มเตรียมตัวอยู่ในท่าเตรียมบ้าง  แต่ดูท่าเจ้าสิ่งนั้นก็รู้ตัวเช่นเดียวกัน  ว่าพวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของมันแล้ว  มันเกาะนิ่งเงียบสงบบนกิ่งไม้  ตาสีแดงเพลิงของมันจ้องมาทางพวกเขาอย่างไม่วางตา  ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะโฉบมาทุกเมื่อ  อิเรเริ่มนึก  เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะเคยเห็นสิ่งรูปร่างแบบนี้มาก่อน  แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก  จนเมื่อคาร์นบอกเขาว่าให้ช่วยดูเจ้า นก นั้นไว้ด้วย  อิเรจึงทำตามอย่างเชื่อฟัง
    คาร์นเดินเข้าไปยังต้นไม้ที่อิเรพูดถึงเมื่อสักครู่  เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังจ้องมองมาจากด้านบน  เขาจับดาบให้กระชับขึ้นเตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ  ทันใดนั้นก็มีสายลมแรงพัดลงมาที่เขาพร้อมกับเสียงอิเรที่ตะโกนบอกให้เขาหลบไป  คาร์นกลิ้งตัวหลบพ้นไปหวุดหวิด  พื้นดินที่เขายืนอยู่เมื่อสักครู่มีรอยทางยาวคล้ายรอยกรงเล็บสัตว์ขนาดยักษ์ครูดไปกับพื้น  คาร์นจับดาบขึ้นมาวาดเป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วหลับตา  ถ้าหากมองเห็นคู่ต่อสู้ด้วยตาไม่ได้แล้วล่ะก็  ต้องมองด้วยสัมผัสอื่น  และต้องเชื่อมั่นในตนเอง คำพูดของอาจารย์สอนดาบที่เขาเคยเรียนลอยอยู่ในหัว  ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ  เจ้านกนั่นเริ่มเปลี่ยนทิศทางและกำลังจะมาอีกรอบ และครั้งนี้มาทาง .
    “ฉึก ” เสียงคาร์นฟันดาบไปทางซ้ายโดยฉับพลัน  มีเสียงแปลกหูร้องดังลั่นป่า  คาร์นฟันถูกส่วนขาของเจ้านกยักษ์ตัวนั้น  ตอนนี้มันกำลังค่อยๆปรากฏออกมาให้ทุกๆคได้เห็น  ตัวของมันใหญ่พอๆกับหมาป่าเมื่อโตเต็มที่  ขนเป็นสีแดงเพลิงและมีเปื้อนเลือดที่เป็นสีทองของมันเป็นหย่อมๆ  ตาสีแดงทับทิมของมันจ้องมายังคาร์นอย่างโกรธแค้น  และไม่มีใครคาดคิด  เจ้านกนั่นเริ่มพูดขึ้นมา
    “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร  ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าไปในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ !!” เจ้านกตะโกนขึ้นมา  ตัวมันเองจ้องหน้าคาร์นที่ตกตะลึงอย่างไม่วางตา  สายตาของมันดูหยามเหยียดมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้ามันเสียเป็นที่สุด
    “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องห้ามพวกเราไม่ให้เข้าไปด้วยล่ะ  มันก็ไม่ใช่สิทธิของเจ้าเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” ฮิชาถามขึ้น  เจ้านกนั่นจ้องหน้าฮิชาอย่างเหลืออดเต็มทีแล้วตอบกลับมาด้วยเสียงคำรามว่า
    “เพราะข้าเป็นสัตว์เฝ้าประตูน่ะสิ  ข้าต้องคอยดูแลป้องกันไม่ให้ใครมาขโมยอัญมณีล้ำค่าไป  นายท่านมอบหน้าที่นี้ให้ข้า  และข้าก็ต้องรักษามันให้ดีที่สุด  ไม่ให้ใครหน้าไหนมันผ่านข้าไปได้  มันเป็นพันธะสัญญาที่ข้าทำกับนายของข้า”
    อิเรนึกออกในที่สุด  ที่เขาคุ้นตาเจ้านกยักษ์นี่ก็เพราะมันสลักอยู่บนศิลาแผ่นนั้นนั่นเอง  และเพราะพวกเราไปแตะต้อง  เจ้าตัวนี้ถึงตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของมันต่อไป  แต่อย่างไรก็ตาม  มันต้องมีสักหนทางที่จะผ่านไปได้โดยไม่มีการทำร้ายสิ
    “แล้วเจ้าจะสิ้นสุดภาระหน้าที่นี้เมื่อไหร่” คาร์นถาม  เจ้านกนั่นจ้องมองคาร์นอย่างไม่นึกคิดว่าจะมีคำพูดแบบนี้หลุดออกจากปากมนุษย์  แล้วมันก็เริ่มพูดขึ้นมาใหม่  หนนี้เสียงมันไม่ส่อแววคำรามดุร้ายอีกแล้ว  กลับกลายเป็นเสียงที่กังวาลราวกับเสียงระฆัง  ซึ่งน่าจะเป็นเสียงที่แท้จริงของมัน
    “วิธีปลดพันธะสัญญาของข้าน่ะหรือ  ไม่นึกฝันเลยว่าจะมีใครพูดแบบนี้กับข้า  หรือเป็นเพราะข้าสังหารคนเหล่านั้นไปก่อนที่จะทันได้เอ่ยปากกระมัง  แต่ถึงรอดพวกนั้นก็วิ่งหนีไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาเลยสักคนอยู่ดีแหละ  เพิ่งมีเจ้าลูกมนุษย์คนนี้นี่แหละ  วิธีนี้เป็นวิธีที่ ไม่ยากเลย  แต่ถึงรู้เจ้าอาจจะทำไม่ได้ก็ได้  แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า  เจ้ามีสิทธิที่จะตัดสินใจ”
    “หากข้าทำ หรือไม่ทำ  จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น” คาร์นถามนกยักษ์
    “ถ้าปลดพันธะสัญญาข้าได้  เจ้าก็สามารถเดินเข้าถ้ำได้ต่อไป  แต่ถ้าไม่  ข้าจะให้เวลาเจ้าวิ่งหนีหากไม่วิ่ง  ข้าเกรงว่าข้าต้องฆ่าเจ้าทิ้งเสีย  เด็กน้อย  บาดแผลข้าหายได้อย่างรวดเร็วนัก  เพราะข้าไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ  อีกชั่วครู่มันก็หายสนิทแล้ว  ข้าให้เวลาเจ้าได้เพียงเท่านี้”
    “งั้นก็บอกมาสิ ว่าวิธีใดกันที่จะทำลายสัญญานั่นได้”
    “วิธีน่ะ ง่ายนิดเดียว  เจ้าเพียงแค่ทายชื่อข้าให้ถูกเท่านั้นเอง  ง่ายมากเลยใช่ไหมล่ะ  หากแต่เพียงว่า พวกเจ้ามีสิทธิทายเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  เพราะหากพวกเจ้าทายผิด  ก็ไม่มีสิทธิเดินออกจากป่านี้ไปได้เลย”
    พวกคาร์นชะงักไปกับคำพูดของมันเล็กน้อย  และแล้วคาร์นก็ถามออกมาอีกว่า
    “เป็นการเสี่ยงที่ไม่ยุติธรรมเลย  นี่เจ้าไม่มีตัวบอกใบ้อะไรให้เลยหรือไง  ถ้าเป็นแบบนี้เปอร์เซ็นที่พวกเราจะทายถูกมีไม่ถึง1เลยด้วยซ้ำ”
    อิเรจ้องคาร์นด้วยสายตาหวั่นๆ  นี่เขาไม่กลัวเจ้านกนี่เลยหรือไง  แถมยังมาต่อรองกับเกมปริศนาที่ไม่มีท่าว่าจะชนะได้ง่ายๆอีก  ส่วนเจ้านกยักษ์นั่น  มองคาร์นด้วยสายตาที่คาดไม่ถึงว่าจะกล้าถามหาคำใบ้กับตนเองอีกทั้งๆที่เกมนี้สิทธิที่พวกคาร์นจะชนะนั้นแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ  แต่มันก็ตอบไปว่า
    “ป้ายศิลาหลังพวกเจ้าน่ะ  มีชื่อข้ากำกับอยู่  นี่แหละ  คำใบ้ที่สามารถแก้ได้ง่ายๆที่เดียวหากว่าเจ้าอ่านชื่อข้าออก” อิเรกับฮิชาหนักใจกับคำตอบนี้มาก  พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อตัวหนังสือนั้นเป็นภาษาที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย  อิเรหันไปเห็นคาร์นยิ้ม  เขายิ้มในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ  เขารู้ชื่อนกนั่นด้วยหรือ..เขาอ่านตัวหนังสือพวกนั้นออกด้วยหรือ และคาร์นก็พูดชื่อๆหนึ่งขึ้นมา
    “การูดา  ชื่อของเจ้าก็คือการูดา” คาร์นพูดออกมาด้วยเสีงที่มั่นใจเต็มเปี่ยม  อิเรกับฮิชาจ้องมองคาร์น
อย่างไม่เชื่อหู  เจ้านก หรือการูดาก็มองอย่างไม่เชื่อเช่นเดียวกัน  มนุษย์คนนี้อ่านตัวอักษรที่ตนเองไม่รู้จักได้และกล่าวชื่อตนที่ไม่มีใครเรียกมานานแสนนานได้ถูกอีกด้วย  และแล้วมันก็ทำสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง  มันก้มหัวของมันไปจนติดพื้นดิน  ทำท่าศิโรราบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งอย่างที่สิ่งมีชีวิตเฉกเช่นมันจะกระทำได้  และกล่าวขึ้นว่า
    “เวลานั้นได้มาถึงแล้ว  เวลาที่ข้าพิทักษ์อัญมณีสูงค่านั่นจบลง  ข้าทำได้เพียงแค่รักษามันมานานแสนนานเพื่อให้มันปลอดภัยจนกระทั่งจะได้อยู่กับคนที่คู่ควรกับมันอย่างแท้จริง  และในที่สุดคนๆนั้นก็มาถึงแล้ว  หน้าที่ของข้าจึงจบลงแล้ว  ขอให้ท่านปลอดภัยจากหนทางเบื้องหน้า  หนทางไปสู่อัญมณี ” พูดถึงตรงนี้  ก็เกิดประกายเพลิงสีทองลุกท่วมตัวการูดา  ทั้งสามจ้องมองด้วยความตกใจ  อิเรวิ่งเข้าไปช่วยคาร์นดับไฟที่ตัวการูดา  แต่มันตะโกนห้ามไว้
    “ไม่ต้องช่วยดับไฟหรอก  ทั้งหมดนี่เป็นภาพลวงทั้งเพลิงนี่และตัวข้าก็เช่นกัน  ไม่ต้องมาลำบากอย่างเปล่าประโยชน์หรอก ” และมันก็กล่าวเสริมขึ้นมาเมื่ออิเรทำท่าแปลกใจ  “ เจ้ามนุษย์ที่มีดวงตาพิเศษ  ไม่ต้องแปลกใจกับคำพูดข้าหรอก  ข้าเองเป็นเพียงสัตว์อาคมที่นายข้าสร้างขึ้นมาเพื่อผนึกเฝ้าประตูเท่านั้นเอง  บัดนี้มีผู้ที่เหมาะสมกับอัญมณีแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องหมดหน้าที่นี้แล้ว”
    “และท่านก็ต้องตายไปเลยงั้นหรือ ท่านต้องตายเพราะท่านหมดหน้าที่แล้วแค่นี้เนี่ยนะ.?”
    “มันไม่ใช่ความตายหรอก  แต่เดิมข้าเองก็ไม่มีชีวิตเป็นความว่างเปล่าอยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ถึงเวลากลับไปเป็นความว่างเปล่าอีกครั้งก็เท่านั้นเอง  ไม่มีสิ่งใดคงอยู่อย่างจีรังหรอก  ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น  ตอนนี้ข้าก็เดินทางมานานพอแล้ว  และก็ถึงเวลาต้องกลับไปเป็นแบบเดิมที่ข้าเคยเป็น ”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้  การูดาก็ถูกไฟลุกท่วมและหายไปในที่สุด  ไม่มีเหลือแม้แต่กองเถ้าถ่าน  หรือร่อยรอยว่าที่ตรงนั้นโดนไฟลุกท่วมมาเลย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นมาจากด้านหลัง  เมื่อทั้งสามหันกลับไป  ก็พบว่าศิลาที่ปิดประตูนั้นได้พังลงมาแล้ว  หินที่พังลงมานั้น  ไม่มีรูปภาพที่เคยแกะสลักหลงเหลืออยู่แล้ว  มันคงหายไปพร้อมๆกับการูดา  ฮิชามองอิเรอย่างแปลกใจ  ฮิชาไม่เคยรู้มาก่อนเรื่องพรสวรรค์ของอิเร  น้อยคนนักที่จะมีความสามารถนี้  แต่กับคนอย่างอิเรก็เหมาะสมแล้วที่จะมีความสามารถนี้  คนอื่นที่เขาได้ยินชื่อมามักจะใช้ความสามารถนี้ไปในทางที่ไม่ดี  คาร์น มองตรงไปยังเส้นทางเข้าไปในถ้ำที่ปรากฏขึ้นหลังศิลาพังลงมา  แล้วก็เดินตรงเข้าไป  อิเรเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งตามเข้าไป  ทิ้งให้ฮิชาวิ่งตามท้าย...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น