ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~Bijou~ ภาคต้น

    ลำดับตอนที่ #2 : อัญมณีที่1 ~คาร์เนเลี่ยนแห่งผู้กล้า~ (สาเหตุ)

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 47


                                    ดวงตะวันส่องแสงรับอรุณใหม่  ใบไม้เปื้อนหยาดน้ำค้างต้องแสงแดดส่องประกายระยิบระยับ  นกน้อยเริ่มบินออกหากิน  ในหมู่บ้านเซโทเร่ชาวบ้านเริ่มทยอยออกไปทำงานกันแล้ว  เหลือเหล่าแม่บ้านคอยเฝ้าบ้าน หุงหาอาหารเตรียมไว้รอสามีตน    เด็กบ้างก็ตื่นออกมาวิ่งเล่นกันแล้ว  แต่บางส่วนก็ยังคงหลับกันอยู่  วันนี้คงจะเงียบสงบต่อไปถ้าไม่…..





                                    “ เฮ้….  นายเคยได้ยินตำนานเก่าของหมู่บ้านม้ะ”

    เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างวางภูมิ  เขาคิดว่าเพื่อนๆของเขาคงจะไม่มีใครรู้เป็นแน่  ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะเป็นคนสำคัญในตอนนี้ที่สามรถเล่าทุกอย่างให้เพื่อนเขาอย่างโก้ๆได้…

        “ตำนานอะไรหรือ…??  บอกหน่อยสิ  ฮิชา”

    เด็กชายที่ชื่อฮิชายิ้มออกมา  ไม่มีใครรู้จริงๆด้วย ถ้าเช่นนั้น  เขาก็จะ….

        “หรือนายจะพูดถึงตำนานอัญมณีกันล่ะ..??  ที่ว่าหมู่บ้านเราเป็นที่ซ่อนของอัญมณีที่คอยปกปักษ์คุ้มครองโลกนี้อยู่” อีกคนนึงกล่าวขัดขึ้นมา  ทำให้ฮิชาดูผิดหวังไปเล็กน้อยและรีบปกปิดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆทันที  

        “นายนี่รู้ไปซะทุกเรื่องเลยนะ ใช่ ตำนานเรื่องนี้แหละ  ที่ข้าพูดถึง”

        “ไหนๆก็พูดขึ้นมาแล้ว  เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ  ไม่เห็นมีใครเคยเล่าตำนานนี้ให้ข้าฟังบ้างเลย” เด็กหนุ่มอีกคนพูดขึ้นมา  เขาชื่อ อิเรในกลุ่มนี้  เขาเป็นคนที่ดูเด็กที่สุด  แน่นอนก็เขาอายุน้อยที่สุดนี่ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ข้าจะถูกปิดบังไม่ให้รู้เรื่องสำคัญสักหน่อย…เขาคิดแบบนี้เสมอ

        “งั้นข้าจะเริ่มเล่านะ…” ฮิชาพูด

                                    “เรื่องมันนานมาแล้ว… เมื่อครั้งที่ยังมีปิศาจอยู่บนโลกนี้  แน่นอน…มันคือปีศาจนะ..มันสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว…ทุกเมืองต้องเผชิญกับสงคราม….  มีผู้กล้าหลายคนอาสาไปปราบหัวหน้าของพวกมัน….แต่ก็แพ้และไม่มีใครกลับออกมาเลยทุกครั้งไป….”

                                   “ไม่เห็นจะต้องปราบหัวหน้าเลย…ถ้าปราบพวกลูกน้องมันก็ชนะได้แน่ๆอยู่แล้ว” อิเรพูดขึ้น…

                                   “ก็เพราะว่าถ้าปราบหัวหน้าได้…พวกลูกน้องมันก็จะสงบลงไปแน่ๆไงล่ะ…” อีกคนกล่าวขึ้นมา…

                                   “เอาล่ะ…เป็นดังที่เจ้าพูด  แต่มันก็ยังคงมีความหวังอยู่ในตอนนั้น  มีเหล่าผู้กล้าที่ใช้อัญมณีเป็นของประจำกาย  กลุ่มคนที่มีพันธะสัญญากับอัญมณี  เขาสู้ชนะพวกปีศาจได้  และปราบมันลง  หนึ่งในเหล่าผู้กล้านั้นก็มีบรรพบุรุษของพวกเราอยู่ด้วย  หลังจากสงครามเสร็จสิ้น  เขาก็เดินทางรอนแรม  จนมาปักหลัก ณ ที่แห่งนี้และสร้างเป็นเมือง  หมู่บ้านของพวกเรารู้สึกว่าเขาจะเก็บอัญมณีไว้ที่ไหนสักแห่งที่หมู่บ้านเรา  เพื่อปกปักษ์คุ้มครองพวกเราไว้…”

        “หรือบางที  อาจจะแค่ไม่ต้องการให้มันถูกคนอื่นนำไปใช้อย่างผิดๆก็ได้…”

        “เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกนะ  แต่ชื่อของอัญมณีน่ะ….” ฮิชายังพูดไม่จบ…แต่…

        “…คาร์เนเลี่ยน  ชื่อเดียวกับข้าไง ” เด็กหนุ่มคนเดิมกล่าวแทรกขึ้นมา

        “โอ้โห  งั้นเจ้าก็มีชื่อเดียวกับอัญมณีนั้นสินะ  ก็เหมาะกับเจ้าด้วย   คาร์เนเลี่ยน” อิเรพูดขึ้น เขาดูชื่นชมเพื่อนของเขาคนนี้นัก  แน่ล่ะ คาร์เนเลี่ยนมีคุณสมบัติดีพร้อมทุกอย่าง ถ้าเขาจะสมัครเป็นอัศวินล่ะก็  ได้ผ่านเลื่อนขั้นเร็วอย่างไม่มีใครสงสัย  คาร์เนเลี่ยนเป็นลูกของหัวหน้าหมู่บ้าน  เขามีฝีมือทางด้านฟันดาบไม่เป็นสองรองใคร  การเรียนก็ดีเสมอมา  ถ้าหากวันข้างหน้าเพื่อนของเขาคนนี้ไม่เป็นใหญ่เป็นโตล่ะก็  เขาจะยอมเอาหัวเขกฟูกตายให้รู้กันไปเลย

        “มีอะไรหรือ  อิเร” คาร์เนเลี่ยนพูดเพราะเริ่มสังเกตว่าอิเรจ้องมาทางเขามากเกินไปแล้ว…

        “เอ้อ  ไม่มีอะไรหรอก  ขอโทษที  อ๊ะ…บ่ายแล้ว….  เดี๋ยวข้าต้องรีบกลับแล้วล่ะ  ถ้าท่านพ่อรู้ว่าข้าหายไปนานขนาดนี้ ต้องโดนว่าแน่เลย” อิเรเริ่มตั้งท่าจะวิ่งแต่ฮิชาขัดจังหวะเขาไว้ก่อน  และพูดว่า

        “พวกนายน่ะ  เย็นนี้ว่างไหม”

        “ว่างน่ะ..ก็ว่างอยู่หรอก  ทำไมหรือ  ฮิชา” อิเรตอบพร้อมทำหน้าสงสัยแกมหวาดหวั่นว่าจะมีเรื่อง

        “ข้ามีธุระจะคุยนิดหน่อย  มาหาข้าที่ท้ายหมู่บ้านนะ”

                                    เมื่อพูดจบฮิชาก็เดินจากไปทิ้งให้อิเรยืนมองตามด้วยความแคลงใจกับคาร์เนเลี่ยนที่มองตามและสังหรณ์ว่าต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ

                                    “คาร์น จะไปตามที่ฮิชาบอกไหม”อิเรเรียกเพื่อนคนนี้สั้นๆด้วยชื่อนี้

                                    “ไม่รุ้สิ…นายจะไปหรือ”

                                    “ก็อาจจะ”

                                    “นายไม่ต้องกลัวว่าหมอนั่นจะดูถูกอะไรนายได้ถ้านายไม่ไปหรอกนะ  มันไม่ใช่เรื่องเลยที่จะออกจากบ้านเย็นๆอย่างที่หมอนั่นพูด”

        “ไม่เป็นไรหรอก  ข้าอยากรู้นี่”

        “เอาเถอะกลับบ้านได้แล้ว  เดี๋ยวพ่อนายก็ว่าเอาหรอก  เดี๋ยวข้าไปส่ง”

        “อื้ม  ขอบใจ”

                                    พ่อของทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน  พ่อของอิเรนั้นเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านนี้แต่ส่วนใหญ่มักจะออกไปทำงานที่เมืองอื่นประจำทิ้งให้อิเรอยู่คนเดียวบ่อยๆ  เมื่อตอนที่ครอบครัวอิเรย้ายมาใหม่ๆ  อิเรเป็นเด็กที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ  ขี้กลัว  และมีปัญหาในการคบคนอื่นซึ่งพ่อของเขาได้ฝากฝังลูกไว้กับครอบครัวของคาร์นเวลาที่เขาไม่อยู่   ดังนั้นคาร์นจึงเป็นคนที่คอยดูแลอิเรเสมอ  จนสามารถคบเพื่อนคนอื่นได้อย่างไม่มีปัญหา  ด้วยเหตุนี้อิเรจึงรักและเคารพคาร์นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง

        “เอาล่ะ  ถึงบ้านนายแล้ว  งั้นข้ากลับบ้านข้าล่ะนะ”

        “งั้นเดี๋ยวเจอกันเย็นนี้นะ” อิเรพูดปนกลัวๆ

        “อืม…เดี๋ยวเจอกัน” คาร์นตอบ

                                    อิเรยิ้มออก   นี่หมายความว่าคาร์นตกลงที่จะออกไปด้วย  ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นคาร์นต้องจัดการมันได้เสมอน่ะเขาคิด





        เย็นนั้น  ทั้งคู่มาที่ท้ายหมู่บ้านตามคำนัด  เมื่อไปถึงพวกเขาเจอฮิชาในสภาพเหมือนเตรียมพร้อมเดินทาง…

        “เอาล่ะ พวกเจ้าก็มากันถึงแล้ว ข้าจะเล่าแผนการให้ฟัง”

        “เดี๋ยว  แผนอะไรของนายน่ะ  นายตั้งใจจะทำอะไร” อิเร พูดขึ้นเขาดูไม่ชอบเอาเสียเลยที่อยู่ๆก็มีคนมาพูดเรื่องแผนที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาก่อน

        “อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยน่า อิเร  ไม่น่ากลัวสักหน่อย  ข้าแค่วางแผน….”

        “…จะไปสำรวจถ้ำท้ายหมู่บ้านที่มีความเชื่อกันว่าอัญมณีถูกเก็บไว้ในนั้นใช่ไหมล่ะ…”

        “….นายนี่รู้เสมอเลยนะ  ว่าข้าจะพูดว่าอะไร”

                                    “ข้าแค่…สังเกตท่าทางเจ้าเมื่อตอนบ่ายเวลาเจ้าพูดเรื่องพวกนั้นไม่พ้นจะต้องจบด้วยแบบนี้ทุกที”

                                    “เอ้อ….นั่นแหละ  ข้าคิดว่าน่าจะไปสำรวจดูนะ  ถ้าเผื่อเจอจริงๆล่ะก็พวกเราก็สบายไปเลยนะ  มีคนสนใจจ่ายราคางามๆให้กับอัญมณีในตำนานนี้แน่”



                                    อิเรที่ฟังมาตลอดส่ายหัวอย่างเอือมๆพฤติกรรมของเพื่อนคนนี้  ไม่ผิดหรอกที่ฮิชาจะคิดถึงแต่เรื่องเงินบ้านของเขายากจนมากเลย  เขาต้องช่วยพ่อแม่ทำงานออกหาเงินตั้งแต่เด็ก เมื่อครั้งที่พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน  ฮิชานั้นทำงานหนักมากเพื่อหาเลี้ยงน้องๆ  และเขามักจะคิดถึงเรื่องเงินออกจะมากเกินไปหน่อย  เลยมักจะกลายเป็นเรื่องวุ่นอยู่เสมอๆ

        “ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าหรอกนะ ฮิชา  นั่นมันอัญมณีประจำหมู่บ้านเรานะถ้าไม่มีมัน หมู่บ้านเราจะเป็นอย่างไรล่ะ”

        “ ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย  นั่นมันเป็นแค่ตำนานนะ  ต่อให้จริงตอนนี้ปิศาจก็โดนปราบไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้วหรือว่า….นายกลัว…”

        “ข้าไม่กลัวนะ!!” อิเรเถียง

        “งั้นก็ไปด้วยกันสิ  แค่ไปสำรวจเฉยๆก็ได้ถ้าเจอจริงๆเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

        “งั้นก็ได้  คาร์นก็จะไปด้วย   ใช่ไหม…?” อิเรหันมามองคาร์นด้วยสานตาแห่งความหวัง  เพื่อนคนนี้มองหน้าเพื่อนทั้งสองคน  ดูเหมือนคราวนี้เขาต้องเป็นคนตัดสินใจอีกแล้ว  ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเบาๆเชิงตอบรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง

        “เอาล่ะ!!  ทีนี้พรรคพวกเดินทางก็มากันครบแล้ว  ออกเดินทางกัน !!”





    อิเรยืนตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของเพื่อน นี่เพื่อนของเขาต้องฝันกลางวันเกี่ยวกับการผจญภัยและวีรบุรุษมาแน่ๆเลยทำให้สำนวนภาษาถึงออกมาเป็นแบบนี้  แต่ก็ช่างเถอะในเมื่อมันก็น่าจะพูดได้ว่าเป็นการผจญภัยแบบนึงนี่นะ



        “เฮ้..!!  อิเร  นายจะยืนท่านั้นไปถึงเมื่อไหร่กันน่ะ  พวกเราจะเดินทางกันตอนนี้นะ  ไม่ใช่พรุ่งนี้เช้า”

    เมื่อรู้ตัว  อิเรก็หัวเราะกับตัวเองเล็กน้อยแล้ววิ่งตามฮิชาไป  และมีคาร์นเดินตามท้ายไป  สำหรับคาร์นแล้ว  เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆถ้าจะให้ฮิชาทำแบบนี้  อย่างน้อยเขาไปด้วยเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยได้  และคอยคุมพฤติกรรมฮิชาด้วยในเวลาเดียวกัน

      

        เมื่อเดินไปตามทางเล็กหลังหมู่บ้าน  ถ้าจะตรงไปยังถ้ำที่ว่าต้องผ่านกลุ่มต้นไม้หนาทึบคล้ายป่าย่อมๆ  เส้นทางนี้ไม่ค่อยมีคนใช้สัญจรไปมามากนัก  เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนอะไรบางอย่างในคามเชื่อของชาวบ้าน สัตว์เฝ้าอัญมณีมั้ง…คาร์นคิดในใจ  





        ตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้ามาในดงต้นไม้แล้ว  คาร์นมองขึ้นไปเบื้องบน  คอยตรวจสอบทิศทางจากดวงจันทร์  ฟากฟ้าเบื้องบน  ดวงจันทร์สองดวงลอยเด่นเป็นสง่า  บลูและเรด ที่โลกนี้มีดวงจันทร์อยู่สองดวง  เรดเป็นดวงจันทร์ที่มีอยู่คู่โลกมานานแล้ว  แต่บลูเป็นดวงจันทร์ที่เพิ่งเกิดใหม่  การจะดูทิศทางนั้นต้องสังเกตจากเรด  เพราะบลูนั้นไม่มีทิศทางการเคลื่อนที่ที่แน่นอน  แต่วันนี้มีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย  เพราะบลูดูส่องประกายแสงออกมาอย่างผิดสังเกต  ปกติแล้วบลูจะเป็นสีฟ้าปนน้ำเงินทึมๆ  แต่วันนี้กลับส่องแสงออกมาเป็นสีฟ้าสดใสประกายราวกับมีแสงในตนเอง  ‘หากวันใดดวงจันทร์บนฟ้าส่องแสงผิดไปเฉกเช่นมีแสงในตนเองนั้นเล่า   เมื่อนั้นจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น’   หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกัน  คาร์นนึก  เขานึกแบบนี้ไปจนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่หน้าปากถ้ำนั้นเสียแล้ว





        แสงจากบลูส่องผ่านต้นไม้มากระทบหินที่ปากถ้ำส่องแสงเป็นสีฟ้าใสราวกับท้องฟ้ายามฤดูร้อน  เถาวัลย์หลายเถาเติบโตโดยยึดปากถ้ำเป็นที่เกาะเลื้อย  ถ้ำดูไม่ค่อยน่ากลัวดังที่ชาวบ้านลือกันนักเมื่อมาเจอในสภาพเช่นนี้  เป็นแค่ไม่ได้ถูกแตะต้องมานานเท่านั้น  คาร์นคิด  ฮิชาเดินไปสำรวจแถวปากถ้ำ  แล้วกลับออกมา





        “ถ้ำนี้มีหินใหญ่ปิดอยู่เลยจากปากถ้ำไปหน่อย  ดูเหมือนมีอะไรแกะอยู่เสียด้วย  ไปช่วยข้าดูหน่อยเถอะ”



        แล้วทั้งสามก็ไปดู หินก้อนใหญ่นั้น  ที่จริงถ้าจะเรียกให้ถูกต้องเป็นศิลาที่ทำหน้าที่เหมือนประตูขนาดใหญ่เสียมากกว่า  อย่างที่ฮิชาพูด  มีอะไรบางอย่างถูกแกะบนหินนั้น  ตอนแรกทั้งหมดมองไม่ค่อยชัดเสียเท่าไหร่  เพราะแถบนั้นแสงส่องไปไม่ค่อยถึง  แต่สักพักราวกับเป็นใจ บลู ที่ลอยออกมาจากก้อนเมฆก็ส่องแสงลงมาถึงพอดี   ทั้งสามจึงมอง อะไร ที่แกะบนศิลานั้นได้อย่างชัดเจน



        “เฮ้ย…นี่มันอะไรกัน” ฮิชาพูดขึ้น

        “อักษรแปลกๆ  ภาพที่พวกเราไม่คุ้นเคย”



        เพราะเมื่อทั้งสามมองแผ่นศิลาได้ชัดแล้ว  ก็พบว่าศิลานั้นถูกแกะเป็นภาพเกือบทั่วทั้งแผ่น  ซึ่งเป็นภาพอะไรนั้นพวกเขาดูไม่ค่อยออก  เนื่องจากสึกกร่อนไปตามเวลา  และอักษรแปลกๆที่ถูกแกะปรากฏเลือนลางอยู่ด้านล่างภาพ  อักษรนี้ดูเค้าออกว่ามันเขียนอย่างไร  แต่ว่า  มันเป็นภาษาที่พวกเขาไม่รู้จักเลยนี่สิ  พวกเขาเข้าไปไม่ได้แน่  ศิลานี้ใหญ่เกินกว่าที่จะขยับเขยื้อนด้วยแรงมนุษย์ไหว  ไอ้คนที่นำมันมาทำได้อย่างไรกันนะ ฮิชาบ่น  แต่สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้  ในที่สุดก็ตกลงกันนั่งพักกันชั่วคราว

      

        “พ่อเจ้าไม่ว่าหรือ  หายจากบ้านไปนานป่านนี้แล้ว” คาร์นถามอิเร  อิเรมองหน้าคาร์นอย่างเหงาๆเล็กน้อยก่อนที่จะตอบว่า

        “ไม่หรอก  ก็ตอนนี้ท่านพ่อข้าเดินทางไปต่างเมืองอีกแล้วน่ะ   ตอนข้ากลับไปท่านพ่อก็เตรียมตัวจะออกแล้วล่ะ” เสียงของอิเรมีแววแห่งความเหงาปนอยู่เล็กน้อย  คาร์นเองก็คงรู้สึก  เพราะหลังอิเรพูดแบบนี้คาร์นก็ตอบว่า

        “เอาเถอะ…เจ้าก็ยังมาหาพวกเราได้เสมอนี่  ยังดีกว่าเจ้าต้องเดินทางไปต่างเมืองกับพ่อเจ้าด้วยนะ  ยิ่งเจ้าเองไม่ชอบเดินทางไปที่อื่นอยู่ด้วย” อิเรยิ้มกับคำตอบของคาร์น  แต่ในขณะนั้น  คาร์นซึ่งเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งจ้องมองพวกเขาอยู่  อะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็นตัว เขาเริ่มพยายามฟังเสียงทุกอย่างเพื่อจับสิ่งผิดสังเกต อิเรสังเกตเห็นคาร์นนิ่งไปก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ  คาร์นมักจะรับรู้เรื่องพวกนี้เร็วกว่าคนอื่นเสมอ  นับเป็นพรสวรรค์พิเศษเฉพาะตัว  ในเมื่อคนมีเซนส์ทางนี้รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น  เชื่อไว้ก็ไม่ผิดอะไร  อิเรจึงเริ่มเปลี่ยนท่ามาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม  หากมีอะไรจะได้รับมือได้  ถึงเขาจะเก่งสู้คาร์นและฮิชาไม่ได้  แต่สายตาของอิเรเฉียบคมกว่าทั้งคู่มากนัก  ตาสีฟ้าเข้มที่สดใสและดูราวอ่านทุกสิ่งได้จนหมด  สิ่งนี้ให้พรสวรรค์แก่อิเรในการมองเห็นหลายๆสิ่งที่คนอื่นไม่ทันสังเกต  และยังรวมถึงหลายๆสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือรับรู้ในการมีอยู่อีกด้วย  ตอนเด็กๆเขามักกลัวเรื่องเหล่านี้มาก  ตระกูลทางพ่อของเขาเองก็ไม่มีความสามารถที่ว่านี้  ทำให้ช่วงเด็กเขาพยายามปิดกั้นความสามารถนี้จนไม่สามารถใช้ได้ช่วงหนึ่ง  จนเมื่อเขาได้ยอมรับว่า พรสวรรค์นี้ก็เป็นประโยชน์ได้หากฝึกเอาไว้ ตามอย่างที่คาร์นบอกเขา  งั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาทดสอบแล้วล่ะ อิเรคิดและเริ่มจ้องมองหาที่มาของเสียงนั้น





        ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้านั้น  สำหรับคนอื่นตรงนั้นก็เป็นส่วนที่ปกติ  ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด  อาจจะเห็นเป็นกิ่งไม้ไหวเบาบ้างแรงบ้าง  แต่นั่นก็เป็นเพราะลม  แต่สำหรับอิเร  เขามองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น  สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง  มันกำลังโผไปโผมาระหว่าต้นไม้สองต้น  เจ้าตัวนั้นเองที่ทำให้กิ่งไม้ไหว  และแรงลมที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าสิ่งนั้นโผไปมาทำให้เรานึกว่ากิ่งไม้สั่นเพราะลม  อิเรเริ่มกลัว  เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์หรือปีศาจ  ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นตัวที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ทำไมมันถึงล่องหนได้โดยที่คนอื่นไม่เห็นมันเลยล่ะ   หรือว่ามันจะเป็นพวกปีศาจ  อิเรเริ่มกระซิบบอกคาร์น  เมื่อคาร์นรู้ว่าอิเรพูดถึงอะไรและอยู่ตรงไหน  เขาก็เริ่มดึงดาบออกจากฝัก  การทำเช่นนี้ทำให้ฮิชารู้ตัวถึงสิ่งผิดปกติ  เขาจึงเริ่มเตรียมตัวอยู่ในท่าเตรียมบ้าง  แต่ดูท่าเจ้าสิ่งนั้นก็รู้ตัวเช่นเดียวกัน  ว่าพวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของมันแล้ว  มันเกาะนิ่งเงียบสงบบนกิ่งไม้  ตาสีแดงเพลิงของมันจ้องมาทางพวกเขาอย่างไม่วางตา  ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะโฉบมาทุกเมื่อ  อิเรเริ่มนึก  เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะเคยเห็นสิ่งรูปร่างแบบนี้มาก่อน  แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก   จนเมื่อคาร์นบอกเขาว่าให้ช่วยดูเจ้า นก นั้นไว้ด้วย  อิเรจึงทำตามอย่างเชื่อฟัง





        คาร์นเดินเข้าไปยังต้นไม้ที่อิเรพูดถึงเมื่อสักครู่  เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังจ้องมองมาจากด้านบน  เขาจับดาบให้กระชับขึ้นเตรียมพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ  ทันใดนั้นก็มีสายลมแรงพัดลงมาที่เขาพร้อมกับเสียงอิเรที่ตะโกนบอกให้เขาหลบไป  คาร์นกลิ้งตัวหลบพ้นไปหวุดหวิด  พื้นดินที่เขายืนอยู่เมื่อสักครู่มีรอยทางยาวคล้ายรอยกรงเล็บสัตว์ขนาดยักษ์ครูดไปกับพื้น  คาร์นจับดาบขึ้นมาวาดเป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วหลับตา  ถ้าหากมองเห็นคู่ต่อสู้ด้วยตาไม่ได้แล้วล่ะก็  ต้องมองด้วยสัมผัสอื่น  และต้องเชื่อมั่นในตนเอง คำพูดของอาจารย์สอนดาบที่เขาเคยเรียนลอยอยู่ในหัว  ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ  เจ้านกนั่นเริ่มเปลี่ยนทิศทางและกำลังจะมาอีกรอบ และครั้งนี้มาทาง….



        “ฉึก…” เสียงคาร์นฟันดาบไปทางซ้ายโดยฉับพลัน  มีเสียงแปลกหูร้องดังลั่นป่า  คาร์นฟันถูกส่วนขาของเจ้านกยักษ์ตัวนั้น  ตอนนี้มันกำลังค่อยๆปรากฏออกมาให้ทุกๆคได้เห็น  ตัวของมันใหญ่พอๆกับหมาป่าเมื่อโตเต็มที่  ขนเป็นสีแดงเพลิงและมีเปื้อนเลือดที่เป็นสีทองของมันเป็นหย่อมๆ  ตาสีแดงทับทิมของมันจ้องมายังคาร์นอย่างโกรธแค้น  และไม่มีใครคาดคิด  เจ้านกนั่นเริ่มพูดขึ้นมา



        “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร  ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าไปในถ้ำศักดิ์สิทธิ์…!!” เจ้านกตะโกนขึ้นมา  ตัวมันเองจ้องหน้าคาร์นที่ตกตะลึงอย่างไม่วางตา  สายตาของมันดูหยามเหยียดมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้ามันเสียเป็นที่สุด

        “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องห้ามพวกเราไม่ให้เข้าไปด้วยล่ะ   มันก็ไม่ใช่สิทธิของเจ้าเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” ฮิชาถามขึ้น  เจ้านกนั่นจ้องหน้าฮิชาอย่างเหลืออดเต็มทีแล้วตอบกลับมาด้วยเสียงคำรามว่า

        “เพราะข้าเป็นสัตว์เฝ้าประตูน่ะสิ  ข้าต้องคอยดูแลป้องกันไม่ให้ใครมาขโมยอัญมณีล้ำค่าไป  นายท่านมอบหน้าที่นี้ให้ข้า  และข้าก็ต้องรักษามันให้ดีที่สุด  ไม่ให้ใครหน้าไหนมันผ่านข้าไปได้  มันเป็นพันธะสัญญาที่ข้าทำกับนายของข้า”

        อิเรนึกออกในที่สุด  ที่เขาคุ้นตาเจ้านกยักษ์นี่ก็เพราะมันสลักอยู่บนศิลาแผ่นนั้นนั่นเอง  และเพราะพวกเราไปแตะต้อง  เจ้าตัวนี้ถึงตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของมันต่อไป  แต่อย่างไรก็ตาม  มันต้องมีสักหนทางที่จะผ่านไปได้โดยไม่มีการทำร้ายสิ

        “แล้วเจ้าจะสิ้นสุดภาระหน้าที่นี้เมื่อไหร่” คาร์นถาม  เจ้านกนั่นจ้องมองคาร์นอย่างไม่นึกคิดว่าจะมีคำพูดแบบนี้หลุดออกจากปากมนุษย์  แล้วมันก็เริ่มพูดขึ้นมาใหม่  หนนี้เสียงมันไม่ส่อแววคำรามดุร้ายอีกแล้ว  กลับกลายเป็นเสียงที่กังวาลราวกับเสียงระฆัง  ซึ่งน่าจะเป็นเสียงที่แท้จริงของมัน





        “วิธีปลดพันธะสัญญาของข้าน่ะหรือ  ไม่นึกฝันเลยว่าจะมีใครพูดแบบนี้กับข้า  หรือเป็นเพราะข้าสังหารคนเหล่านั้นไปก่อนที่จะทันได้เอ่ยปากกระมัง  แต่ถึงรอดพวกนั้นก็วิ่งหนีไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาเลยสักคนอยู่ดีแหละ  เพิ่งมีเจ้าลูกมนุษย์คนนี้นี่แหละ  วิธีนี้เป็นวิธีที่ ไม่ยากเลย  แต่ถึงรู้เจ้าอาจจะทำไม่ได้ก็ได้  แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า  เจ้ามีสิทธิที่จะตัดสินใจ”

        “หากข้าทำ หรือไม่ทำ  จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น” คาร์นถามนกยักษ์

        “ถ้าปลดพันธะสัญญาข้าได้  เจ้าก็สามารถเดินเข้าถ้ำได้ต่อไป  แต่ถ้าไม่  ข้าจะให้เวลาเจ้าวิ่งหนีหากไม่วิ่ง  ข้าเกรงว่าข้าต้องฆ่าเจ้าทิ้งเสีย  เด็กน้อย  บาดแผลข้าหายได้อย่างรวดเร็วนัก  เพราะข้าไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ  อีกชั่วครู่มันก็หายสนิทแล้ว  ข้าให้เวลาเจ้าได้เพียงเท่านี้”

        “งั้นก็บอกมาสิ…ว่าวิธีใดกันที่จะทำลายสัญญานั่นได้”

        “วิธีน่ะ…ง่ายนิดเดียว  เจ้าเพียงแค่ทายชื่อข้าให้ถูกเท่านั้นเอง  ง่ายมากเลยใช่ไหมล่ะ  หากแต่เพียงว่า…พวกเจ้ามีสิทธิทายเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  เพราะหากพวกเจ้าทายผิด  ก็ไม่มีสิทธิเดินออกจากป่านี้ไปได้เลย”

        พวกคาร์นชะงักไปกับคำพูดของมันเล็กน้อย  และแล้วคาร์นก็ถามออกมาอีกว่า

        “เป็นการเสี่ยงที่ไม่ยุติธรรมเลย  นี่เจ้าไม่มีตัวบอกใบ้อะไรให้เลยหรือไง  ถ้าเป็นแบบนี้เปอร์เซ็นที่พวกเราจะทายถูกมีไม่ถึง1เลยด้วยซ้ำ”



        อิเรจ้องคาร์นด้วยสายตาหวั่นๆ  นี่เขาไม่กลัวเจ้านกนี่เลยหรือไง  แถมยังมาต่อรองกับเกมปริศนาที่ไม่มีท่าว่าจะชนะได้ง่ายๆอีก  ส่วนเจ้านกยักษ์นั่น  มองคาร์นด้วยสายตาที่คาดไม่ถึงว่าจะกล้าถามหาคำใบ้กับตนเองอีกทั้งๆที่เกมนี้สิทธิที่พวกคาร์นจะชนะนั้นแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ  แต่มันก็ตอบไปว่า

        “ป้ายศิลาหลังพวกเจ้าน่ะ  มีชื่อข้ากำกับอยู่  นี่แหละ  คำใบ้ที่สามารถแก้ได้ง่ายๆที่เดียวหากว่าเจ้าอ่านชื่อข้าออก” อิเรกับฮิชาหนักใจกับคำตอบนี้มาก  พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อตัวหนังสือนั้นเป็นภาษาที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย  อิเรหันไปเห็นคาร์นยิ้ม  เขายิ้มในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ  เขารู้ชื่อนกนั่นด้วยหรือ..เขาอ่านตัวหนังสือพวกนั้นออกด้วยหรือ… และคาร์นก็พูดชื่อๆหนึ่งขึ้นมา



        “การูดา  ชื่อของเจ้าก็คือการูดา” คาร์นพูดออกมาด้วยเสีงที่มั่นใจเต็มเปี่ยม  อิเรกับฮิชาจ้องมองคาร์น

    อย่างไม่เชื่อหู  เจ้านก หรือการูดาก็มองอย่างไม่เชื่อเช่นเดียวกัน  มนุษย์คนนี้อ่านตัวอักษรที่ตนเองไม่รู้จักได้และกล่าวชื่อตนที่ไม่มีใครเรียกมานานแสนนานได้ถูกอีกด้วย  และแล้วมันก็ทำสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง  มันก้มหัวของมันไปจนติดพื้นดิน  ทำท่าศิโรราบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งอย่างที่สิ่งมีชีวิตเฉกเช่นมันจะกระทำได้  และกล่าวขึ้นว่า



        “เวลานั้นได้มาถึงแล้ว   เวลาที่ข้าพิทักษ์อัญมณีสูงค่านั่นจบลง  ข้าทำได้เพียงแค่รักษามันมานานแสนนานเพื่อให้มันปลอดภัยจนกระทั่งจะได้อยู่กับคนที่คู่ควรกับมันอย่างแท้จริง  และในที่สุดคนๆนั้นก็มาถึงแล้ว  หน้าที่ของข้าจึงจบลงแล้ว  ขอให้ท่านปลอดภัยจากหนทางเบื้องหน้า  หนทางไปสู่อัญมณี…” พูดถึงตรงนี้  ก็เกิดประกายเพลิงสีทองลุกท่วมตัวการูดา  ทั้งสามจ้องมองด้วยความตกใจ  อิเรวิ่งเข้าไปช่วยคาร์นดับไฟที่ตัวการูดา  แต่มันตะโกนห้ามไว้



        “ไม่ต้องช่วยดับไฟหรอก   ทั้งหมดนี่เป็นภาพลวงทั้งเพลิงนี่และตัวข้าก็เช่นกัน  ไม่ต้องมาลำบากอย่างเปล่าประโยชน์หรอก …” และมันก็กล่าวเสริมขึ้นมาเมื่ออิเรทำท่าแปลกใจ  “ เจ้ามนุษย์ที่มีดวงตาพิเศษ  ไม่ต้องแปลกใจกับคำพูดข้าหรอก  ข้าเองเป็นเพียงสัตว์อาคมที่นายข้าสร้างขึ้นมาเพื่อผนึกเฝ้าประตูเท่านั้นเอง  บัดนี้มีผู้ที่เหมาะสมกับอัญมณีแล้ว…ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องหมดหน้าที่นี้แล้ว”



        “และท่านก็ต้องตายไปเลยงั้นหรือ…ท่านต้องตายเพราะท่านหมดหน้าที่แล้วแค่นี้เนี่ยนะ.?”



        “มันไม่ใช่ความตายหรอก  แต่เดิมข้าเองก็ไม่มีชีวิตเป็นความว่างเปล่าอยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ถึงเวลากลับไปเป็นความว่างเปล่าอีกครั้งก็เท่านั้นเอง  ไม่มีสิ่งใดคงอยู่อย่างจีรังหรอก  ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น  ตอนนี้ข้าก็เดินทางมานานพอแล้ว  และก็ถึงเวลาต้องกลับไปเป็นแบบเดิมที่ข้าเคยเป็น…”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้  การูดาก็ถูกไฟลุกท่วมและหายไปในที่สุด  ไม่มีเหลือแม้แต่กองเถ้าถ่าน  หรือร่อยรอยว่าที่ตรงนั้นโดนไฟลุกท่วมมาเลย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นมาจากด้านหลัง  เมื่อทั้งสามหันกลับไป  ก็พบว่าศิลาที่ปิดประตูนั้นได้พังลงมาแล้ว  หินที่พังลงมานั้น  ไม่มีรูปภาพที่เคยแกะสลักหลงเหลืออยู่แล้ว  มันคงหายไปพร้อมๆกับการูดา  ฮิชามองอิเรอย่างแปลกใจ  ฮิชาไม่เคยรู้มาก่อนเรื่องพรสวรรค์ของอิเร  น้อยคนนักที่จะมีความสามารถนี้  แต่กับคนอย่างอิเรก็เหมาะสมแล้วที่จะมีความสามารถนี้  คนอื่นที่เขาได้ยินชื่อมามักจะใช้ความสามารถนี้ไปในทางที่ไม่ดี  คาร์น มองตรงไปยังเส้นทางเข้าไปในถ้ำที่ปรากฏขึ้นหลังศิลาพังลงมา  แล้วก็เดินตรงเข้าไป  อิเรเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งตามเข้าไป  ทิ้งให้ฮิชาวิ่งตามท้าย...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×