ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Princess of Rossignol

    ลำดับตอนที่ #7 : ลอบสังหาร กับราชองครักษ์คนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 47








                        เชอะ    แต่ละคนคิดกันได้อยู่แค่นั้นหรือไงนะ







              ซาย่าคิดในขณะเดินเล่นอยู่ในบริเวณสวนด้านหลัง  จุดที่เธอชอบเป็นที่สุด   แสงแดดที่ส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ลงมากระทบกับ



    น้ำพุทำให้เกิดเป็นประกายแสงระยิบระยับดูแปลกตา  เธอเลยเลือกนั่งอยู่ตรงขอบอ่างน้ำพุนั่นและเอานิ้วมือคนน้ำเล่นเป็นวง  และ



    เพราะพลังเวทย์ที่มีติดตัวทำให้น้ำนั้นก่อตัวขึ้นมาเป็นลำเสาที่เต็มไปด้วยประกายรุ้งด้วยผลงานของแสงแดด  สาวน้อยยิ้มพออกพอ



    ใจกับภาพตรงหน้าก่อนที่ปล่อยมันลงคืนสู่ที่เดิม   เธอนั่งปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะมีทหารคนหนึ่งวิ่งเข้า



    มาหา





              “องค์กษัตริย์เรียกพบพระองค์พะย่ะค่ะ   เชิญเสด็จพะย่ะค่ะ”  เขาพูดขึ้นหลังจากทำความเคารพตัวเธอเรียบร้อยแล้ว  







                        มาเรียกตัวเธออะไรกันตอนนี้







              ซาย่านึกสงสัยแต่ครั้งจะตอบปฏิเสธออกไปก็กลัวว่าทหารตรงหน้าจะถูกกริ้ว  และเธอเองก็ไม่ได้รู้จักกับคนตรงหน้านี้มากนัก



    ด้วย   เลยจำใจต้องตกลงและเดินไปตามทางที่ทหารบอก  ทางเดินนั้นไม่ค่อยมีทหารยามยืนรักษาการณ์เท่าไรนัก   ยิ่งเดินไปก็ยิ่ง



    ไม่มีคนจนทำให้สาวน้อยนึกสงสัยอยู่ในใจ  เมื่อก่อนบริเวณนี้เป็นทางเดินไปสู่ห้องพักของพวกเหล่าทหารยาม   แล้วทำไมคนๆนั้น



    ต้องเรียกเธอมาเจอที่นี่ด้วย  จนในที่สุดก็ทนกับความสงสัยนี้ไม่ไหว  หันกลับไปหาทหารที่เดินตามเธอมาพร้อมกับเอ่ยปากถาม





              “องค์กษัตริย์ของเธอเรียกฉันไปพบในนี้แน่หรือ”  น้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง  แต่ทหารตรงหน้าเธอกลับมีรอย



    ยิ้มที่ดูแปลกตาฉายขึ้นมาบนใบหน้า





              “ที่นี่แน่ๆพะย่ะค่ะ  องค์หญิงโซมารีน่า   แต่เป็นองค์กษัตริย์องค์ก่อนนะพะย่ะค่ะ”  พอสิ้นคำพูดจบก็ชักดาบขึ้นมาฟันเข้าใส่



    เธอโดยไม่รีรอ   แต่เพราะซาย่าเคยฝึกดาบอยู่แล้วทุกวันและมีความเร็วที่ไม่เป็นรองใครจึงหลบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก





              “ถูกใครสั่งให้มาฆ่าฉันหรือไง…” ซาย่าตะโกนกลับไปหลังจากหลบดาบที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง   เธอไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับ



    ไปได้นอกจากหลบให้พ้นคมดาบเท่านั้น  ดาบของเธอถูกเก็บไปตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่  และตอนนี้ความเร็วเธอก็ลดลง



    เรื่อยๆ   เนื่องจากชายกระโปรงที่ยาวเกะกะจนแทบจะสะดุดเอาง่ายๆในเวลาที่ต้องกระโดดหลบดาบที่พุ่งเข้ามาตรงๆเช่นนี้





              “ท่านผู้นั้นจะลำบากหากพระองค์ยังคงอยู่พะย่ะค่ะ”  ประโยคที่ทำให้ซาย่าต้องคิดหนัก  คนที่จะลำบากหากเธอยังอยู่…  จะ



    เป็นใครไปนอกจาก…







                        เฟรเดคริกซ์…??







              ชื่อคนที่แวบเข้ามาในหัวเป็นชื่อแรกและชื่อเดียวยิ่งทำให้เธอโกรธหนักยิ่งขึ้นไปอีก  นี่ให้เธอต้องทนอยู่ที่นี่เพื่อให้ทหารของ



    ตนฆ่าเข้าสักวันสินะ   ถ้าคิดว่าเธอเป็นเหยื่อได้ง่ายขนาดนี้ล่ะก็  คิดผิดแล้ว…





              “เหล่าพฤกษาผู้ปกป้องพื้นพิภพ   สดับฟังคำขอจากนายเพียงคนเดียวของเจ้า…  จงพันธนาการชายผู้นี้ไว้..!!”  สิ้นเสียงร่าย



    เวทย์ของเธอก็บังเกิดแสงสีเขียวเรืองรองไปทั่วทั้งบริเวณ  ตามด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของทหารนักฆ่าตรงหน้า  เพราะตอน



    นี้เขาได้โดนเหล่าเถาไม้สีเขียวรัดแน่นไปทั่วร่างแถมยังยกร่างสูงขึ้นไปจากพื้นอีกด้วย





              “ไม่ต้องสูงขนาดนั้นก็ได้  เอาลงมาด้านล่างหน่อย”  เสียงหวานใสของสาวน้อยดังขึ้นทำให้เถาไม้เวทย์ค่อยๆลดระดับความ



    สูงลงมาอยู่ตรงหน้าเธอ  สีหน้าของผู้ถูกพันธนาการดูโกรธแค้นระคนตกใจ  แถมยังพยายามจะดิ้นให้หลุดจากสิ่งที่มัดร่างเขาอยู่





              “ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่นนะ   ตอบมาได้หรือยังว่าใครสั่งมา”  เสียงสาวน้อยตรงหน้าเขาถามขึ้น  แต่ไม่ใช่เสียงที่เขาเคยได้ยิน



    ตามปกติเมื่อครู่    แต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นชาอย่างที่ไม่มีใครคิดว่าเธอจะทำได้ถึงขนาดนี้





              “ข้าไม่บอก  ยอมตายเสียยังดีกว่าต้องทรยศ”  สิ้นเสียงตะโกนของคนที่ไร้สิ้นหนทางจะหนีพ้น  เจ้าตัวกำลังพยายามจะขยับ



    ดาบเพื่อแทงตัวตาย   หากแต่ดาบนั้นยังไม่ทันได้เฉียดโดนร่างกาย  เจ้าของก็สิ้นใจไปเสียก่อนพร้อมๆกับมีเลือดกระเซ็นออกจาก



    ด้านหลัง  ทำให้สาวน้อยผู้ใช้เวทย์พันธนาการแปลกใจก่อนจะรู้ที่มาของเลือดจากด้านหลังทหารนักฆ่านั่น







              เบื้องหลังร่างไร้ลมหายใจมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ในชุดของราชองครักษ์   ผมสีทองเป็นประกายล้อแสงแดดที่ส่องผ่านมา



    ทางด้านหลัง  บุคคลที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ   ตอนนี้ดาบในมือที่เปื้อนเลือดถูกเช็ดกับผ้าและเก็นเข้าฝักดาบที่คาดอยู่กับเข็มขัด



    แล้ว





              “อเล็กซ์...”  ซาย่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความแปลกใจและดีใจพร้อมๆกัน  และวิ่งเข้าไปหา  “มาที่นี่ได้อย่างไรน่ะ  



    แล้วชุดนี้..??”  ซาย่าพูดต่อหลังจากพิจารณาเพื่อนของเธอ  เจ้าตัวยังคงยิ้มให้ก่อนที่จะพูดตอบคำถาม





              “ฟังแล้วอย่าตกใจล่ะ..ซาย่า…  ตั้งแต่วันนี้ไปผมเป็นราชองครักษ์ของเธอแล้วล่ะ”  สิ้นคำพูดของชายหนุ่มทำให้ซาย่าต้อง



    แปลกใจ





              “อเล็กซ์..ราชองครักษ์  ของฉันเนี่ยนะ…”  ซาย่าพูดทวนด้วยความแปลกใจยังไม่หายพร้อมๆกับจ้องไปในดวงตาเพื่อนของ



    เธอซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นราชองครักษ์ไปได้อย่างไรไม่รู้  “แต่ฝีมืออย่างฉันไม่จำเป็นต้องมีราชองครักษ์เสียหน่อย…แล้วทำไมถึง



    เข้ามาเป็นได้ล่ะ”  คนถูกถามยิ้มรับกับคำถามนี้ก่อนที่จะเฉลยให้สาวน้อยตรงหน้าฟัง





              “องค์กษัตริย์เรียกตัวมาสิครับ  และไม่ได้มีแค่ผมด้วยนะ…”  พูดจบก็พยักเพยิดไปทางด้านหลัง  หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ปาก



    ทางเดิน  ผมที่ต้องแสงแดดเป็นประกายสีทองถูกรวบขึ้น  ชุดที่ใส่อยู่เป็นรูปแบบเดียวกับที่ดอร์ร่าใส่  ดวงตาคู่สีน้ำตาลที่จ้องมายัง



    เธอด้วยความระอาต่อสภาพสาวน้อย





              “เอทัวล์..???” เสียงซาย่าดังขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวตรงด้านหน้านั้นคือใคร   คนถูกทักยิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนที่จะว่า



    กลับเข้าให้





              “ไหนบอกว่าแผนดีนักไง   มาโดนจับอยู่ที่นี่ทางโน้นเป็นห่วงมากรู้บ้างไหม   แม่ฉันไม่ต้องเป็นอันกินอันนอนพอดี   แล้วมา



    ใช้เวทย์ที่ตรงนี้เสียเลอะแบบนั้น  ใครจะมาทำความสะอาดกัน..??”  คนถูกดุแบบไม่ทันได้ตั้งตัวนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่ม



    ตอบกลับไปบ้าง





              “ที่เลอะๆตรงนี้…?  คราบเลือดให้อเล็กซ์จัดการ  ส่วนที่เหลือก็เธอจัดการไงเอทัวล์”  ซาย่าตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้



    คนตรงหน้าเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมากระทันหัน





              “ทำไมฉันต้องทำให้เธอด้วยล่ะ..?” เอทัวล์ถามลอดไรฟันออกมา  ซาย่ามองกลับด้วยสายตาที่ดูแปลกใจเล็กน้อยแล้วตอบคำ



    ถาม





              “ก็เพราะตอนนี้เธอก็มาเป็นนางกำนัลฉันแล้วนี่”  รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ  ทำให้หญิงสาวผู้พี่ตรงหน้าคิด



    อยากจะให้คนร้ายเมื่อครู่จัดการภารกิจให้สำเร็จไปเสีย  ในขณะที่อเล็กซ์ทำได้แค่ยิ้มแหยๆอย่างรู้ดีว่าไม่สามารถเข้าไปห้ามทั้งคู่



    เวลาเถียงได้เพราะไม่เคยสำเร็จเสียที





    ========================================





              “ทำไมต้องลากพวกเขามาด้วย   ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง”  เสียงซาย่าดังขึ้นในขณะที่กำลังนั่งทานอาหารกับ



    เฟรเดคริกซ์ถึงแม้จะไม่อยากมาก็ตาม  แต่ดอร์ร่าก็อ้อนวอนจนกระทั่งต้องลงมาจนได้







              “ตอนนี้มีใครบางคนคิดจะสังหารท่าน    ราชองครักษ์ที่มีอยู่ตอนนี้ใช่ว่าจะฝีมือดีมากมายนัก   ข้าเห็นว่าควรจะรับเพิ่มมา



    เพื่อดูแลท่าน  องค์หญิง”  คำตอบเรียบๆดังขึ้นจากปากองค์กษัตริย์ผู้ที่ยังคงมีสีหน้าอ่านยากเช่นเคย  สาวเจ้าจ้องกลับอย่างไม่ค่อย



    พอใจในคำตอบที่ได้นัก





              “งั้นก็เป็นแค่อเล็กซ์  เอทัวล์เกี่ยวอะไรด้วย”  คำถามยังคงมีมาให้ได้ยินอีก  ดวงตาคู่ฟ้าจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างคาด



    คั้นเอาคำตอบ





              “ดอร์ร่าว่าช่วงนี้ท่านบ่นเบื่ออยู่เสมอ   เลยคิดว่าคงต้องหาคนรู้จักมาอยู่ด้วย  ทั้งสองคนนั้นคงจะช่วยได้บ้าง”  ตอบพร้อมสี



    หน้าที่ดูไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่เช่นทุกที   ในขณะเดียวกันซาย่าเองก็ทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วและลุกออกจากโต๊ะเดินไปที่



    ประตู  แต่ก่อนที่เธอจะออกไปนั้นได้หันกลับมาพูดทิ้งท้ายไว้





              “คนที่คิดจะฆ่าฉันน่ะ  มันมีแค่นายเท่านั้นแหละ  ตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่  ถึงจะหาองครักษ์มาสักเท่าไหร่   ฉันก็ยังอยู่ใน



    อันตรายอยู่ดี…”  พูดจบก็ก้าวออกจากห้องไปทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งอยู่เพียงคนเดียวในห้องพลางครุ่นคิดถึงคำพูดที่เจ้าหล่อนพูดทิ้งท้าย



    ให้เขา





    =============================================





              “งานพลาด..!?!  หมายความว่ายังไง…!!”  เสียงตวาดลั่นห้องทำให้อีกฝ่ายต้องนั่งตัวสั่นงันงก  พยายามรวบรวมความกล้าที่



    แตกกระเจิงไปเพราะเสียงเมื่อครู่ก่อนจะอ้าปากอธิบาย





              “ข้าไม่นึกว่าองค์หญิงจะใช้เวทย์นั่นได้ด้วย   นอกจากนั้นยังมีคนเข้ามาช่วยมันอีก…” คำพูดที่เปล่งออกมาล้วนตะกุกตะกัก



    ด้วยความกลัวอารมณ์ของคนเบื้องหน้า  ชายหนุ่มผู้ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าโกรธจัดอย่างยิ่งกำลังจ้องมองตัวเขาอย่างไม่วางตา  ในที่สุด



    เจ้าตัวก็พูดขึ้น





              “แค่ผู้หญิงคนเดียวก็สู้ไม่ได้   คนของเจ้านี่อ่อนแอชะมัด”  คำพูดที่เหมือนพูดลอยๆประชดคนตรงหน้าที่ตอนนี้เหงื่อตกกับ



    อนาคตของเขาหากว่ายังอยู่ในห้องนี้





              “คนทำงานพลาด   หมดประโยชน์แล้วสินะ…”  คนพูดเริ่มขยับรอยยิ้มให้เห็น  ชายวัยกลางคนตกใจกับคำพูดนั้นและเมื่อมอง



    ไปสบตาคนพูดก็ยิ่งรู้ว่าตัวเขาคงจบลงแค่นี้





              “แต่…ท่าน…   ขอให้ข้าแก้ตัวด้วยเถิด…”  แต่ชายหนุ่มผู้ยิ้มแย้มอยู่เบื้องหน้ายังไม่ทันกล่าวว่าอะไร   ฉับพลับชายวัยกลางคนก็



    มีเลือดไหลพุ่งออกมาจากลำคอ   สักพักหัวของเขาก็หลุดร่วงลงพื้นพร้อมๆกับร่างกายที่ทรุดลงไป   ตายไปพร้อมๆกับใบหน้าที่ยัง



    คงวิงวอนร้องขอชีวิต    แต่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้สร้างความตื่นตกใจให้กับชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ด้วยเลย





              “ฝีมือเยี่ยมเสมอเลยนะ”  ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะหึๆ   และแล้วห้องที่ดูเหมือนจะมีเขาอยู่กับศพเบื้องหน้าเท่านั้นก็



    มีเงาคนปรากฏขึ้นมา





              “เหยื่อนี่ตายง่ายเกินไปต่างหากครับ”  เสียงผู้ถูกชมดังขึ้นก่อนที่จะปรากฏกายออกมาให้เห็นเต็มๆ   ผมสีเงินสะท้อนกับ



    แสงจันทร์ที่ส่องลอดมาทำให้มีประกายสีออกม่วง  นัยน์ตาสีดำสนิทที่ดูเหมือนสีท้องฟ้ายามราตรีไม่มีแม้แต่แววแห่งความ



    รู้สึก  ดวงหน้าที่เรียบเฉยอย่างปกติของผู้ที่มีอาชีพ…





              “สมกับเป็นนักฆ่าที่ข้าพยายามชุบเลี้ยงเสียจริงๆ…”  ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อยหลังจากที่พูดจบ  แต่อีกฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อย



    ก่อนที่จะเอ่ยถามนายตน





              “วันนี้ที่ท่านเรียกให้ข้ามา   คงไม่ใช่แค่มาเล่นของเล่นนี่แน่…”  พูดพลางส่ายดวงตาสีดำมองไปยังศพชายวัยกลางคนไปด้วย



    พร้อมๆกัน  ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะกับสิ่งที่เขาพูดออกมา





              “ของเล่นนั่นหากเจ้าจะเล่นก็ไม่ว่าอะไรหรอก   แต่ที่เรียกมามีงานหินจะให้ทำ..”  น้ำเสียงเริ่มแสดงถึงความจริงจังมาก



    ขึ้น  อีกฝ่ายตาวาวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น





              “งาน..??  อะไร..??”  เสียงถามที่ดังขึ้นแทบจะทันทีด้วยความกระตือรือร้นอยากทำงานของนักฆ่าหลังจากต้องเบื่อมานาน





              “งานสังหารเจ้าหญิงโซมารีน่าแห่งราชวงศ์แซคซิฟริก”  คำสั่งเสียงเข้มถูกเอ่ยออกมาจากปากของชายหนุ่มอีกคนในห้อง





              “องค์หญิงที่หายสาบสูญไปนั่นน่ะหรือ”  รอยยิ้มบางผุดขึ้นมาหลังจากได้ยินงานก่อนที่จะเอ่ยต่อไป  “ทำไมถึงให้ข้าทำ



    ล่ะ  ท่านลงมือเองยังจะง่ายเสียกว่ามิใช่รึ”  สิ้นคำก็หันไปหาว่าที่ผู้ว่าจ้างซึ่งส่ายหัวยิ้มๆราวกับว่าเขาเอ่ยถามคำถามที่ไม่น่าจะ



    ถามออกไป



              “ข้าลงมือเองเดี๋ยวก็ได้รู้กันทั่วพอดี   ข้าไม่อยากวุ่นวาย…”  พูดพลางใช้มือเสยผมที่ร่วงปรกลงมาด้านหน้าไปรวมไว้ด้าน



    หลัง  “หรือเจ้าไม่รับงานนี้..?”  เสียงถามดังขึ้นหลังจากเงียบกันไปชั่วครู่





              “ทำไมจะไม่รับล่ะ   นานๆจะได้สนุกทั้งที”  เสียงตอบดังขึ้นมาจากนักฆ่าผู้ซึ่งตอนนี้แฝงตัวไปกับความมืดเรียบร้อยแล้ว  ทิ้ง



    ให้อีกฝ่ายยืนอยู่ในห้องคนเดียวกับศพที่นอนอยู่บนพื้นข้างตัว  เจ้าตัวเหลือบมองซากข้างตัวเล็กน้อยก่อนจะพึมพำออกมา





              “เกะกะจริง…  จัดการสิ  เรนาร์ด”  เขาพูดพลางยกมือซ้ายขึ้นไปด้านข้าง   ทันใดนั้นก็มีคลื่นพลังสีดำสนิทปรากฏขึ้น   ตอน



    แรกมันยังเล็กอยู่แต่ก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น  และยิ่งมันใหญ่ขึ้นก็ยิ่งทำให้ห้วงมิติในแถบบริเวณที่มันปรากฏบิดเบี้ยวตามไปด้วย  



    และแล้วก็มีอะไรบางอย่างออกมา  สัตว์บางอย่างที่ดูรูปร่างเหมือนเสือดำขนาดใหญ่  ดวงตาสีเหลืองนวลของมันรับประกายแสงจาก



    ดวงจันทร์สว่างเรืองในความมืด  เขี้ยวขาวขนาดใหญ่ที่กัดทีเดียวได้ทะลุกระดูก  หางสองแฉกที่กำลังโบกไปมาอย่างไม่ค่อย



    สบอารมณ์ขณะจ้องร่างเหยื่อตรงหน้า  มันเดินเข้าดมๆอยู่ชั่วครู่และเริ่มขยุ้มกินอย่างเร่งรีบโดยมีชายหนุ่มยืนยิ้มอย่างเย็นชามอง



    อยู่ด้านข้าง





    ======================================



    >> ไม่เกี่ยวกับในเรื่องนะคะ..^ ^



    Gellery เสร็จแล้วค่า...> < (หยาบๆ..^ ^\') พอดี Photoshop เราเจ๊งอ่ะ...เลยอด CG เลยทำ B&W ด้วยความจนใจโดยโปรแกรม Paint แทน..^ ^!!  เชิญไปชมได้ค่าที่...



    http://www.geocities.com/story_tree ค่า... ในหมวด Gellery นะคะ ^ ^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×