ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Destiny Journey

    ลำดับตอนที่ #5 : Silent Symphony - บทเพลงแห่งความเงียบ

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ย. 47






              แสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องทาบใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนหอนาฬิกาสูง  ในเวลาที่ท้องฟ้ามืดลงเช่นนี้ไม่ใคร่จะมีใครสนใจที่จะเงยหน้ามองเข็มนาฬิกานี้เสียเท่าใดนัก  ที่นี้จึงเหมาะที่เขาจะขึ้นมานั่งสังเกตุการณ์ในเมือง  ผมสีดำดุจเดียวกับสีแห่งรัติกาลอันมืดมิด  นัยน์ตาสีดำนั้นจับจ้องภาพชาวเมืองกาเรนซึ่งยังคงเดินกันขวักไขว่แม้เป็นยามค่ำคืน  รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้นด้วยนึกถึงแผนการในใจในขณะที่จับจ้องร่างของเด็กสาวสองคนเบื้องล่าง



              \"ท่อนโซโลจวนจะบรรเลงแล้ว  ออเคสตร้าที่ยิ่งใหญ่กำลังรออยู่..\"  เสียงกระซิบที่เบาราวกับสายลม  ก่อนที่ร่างนี้จะหายวับไปราวกับโกหก  สายลมพัดผ่านหอนาฬิกานี้มุ่งไปสู่พื้นเบื้องล่างพาเอาใบไม้แห้งร่วงหล่นลงไปยังพื้นอย่างเงียบกริบ



    *************************************************************************



              ถึงแม้ยามค่ำคืนจะมาเยือนอีกครั้ง  แต่ภายในเมืองกาเรนยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟ  ผู้คนหลายคนยังคงเดินพลุกพล่านไม่ผิดจากช่วงกลางวัน  ต่างแค่เพียงจุดประสงค์ในการออกมาเดินในยามราตรีเช่นนี้  ส่วนใหญ่นั้นหนีไม่พ้นเรื่องหาของดื่มอยู่แล้ว  ซึ่งของที่วางขายนั้นก็เปลี่ยนจากพวกของทานเล่นในยามกลางวันมาเป็นเครื่องดื่มนานาชนิดแทนเพื่อบริการลูกค้าเหล่านั้น  ตามร้านด้านข้างที่เปิดบริการในยามค่ำคืนนี้แน่นขนัดไปด้วยลูกค้าทั้งขาประจำและนักเดินทางที่แวะพัก  เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครงเป็นพักๆจากโต๊ะใหญ่กลางร้านซึ่งมีผู้คนมานั่งดื่มกันอย่างสนุกสนาน



              ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่สะท้อนบนกระจกตาของมิราเคิล  เธอมองรอบข้างอย่างสนใจในบรรยากาศที่ไม่เคยเงียบเหงานี้  ต่างจากหมู่บ้านกรีนฟิลค์ซึ่งพอตะวันลับขอบฟ้ามักเหลือดวงไฟเพียงสองสามดวง  ก่อนจะดับลงเพราะทุกคนต่างก็รีบนอนแต่หัวค่ำเพื่อตื่นมาทำงานในวันรุ่งขึ้น  



              \"รับเครื่องดื่มอะไรหน่อยไหมครับ..??\"  ชายร่างท้วมผู้เป็นเจ้าของร้านเอ่ยถามจากหลังเคาน์เตอร์เมื่อเห็นเธอเดินมาหยุดอยู่ตรงนี้  ก่อนที่เขาจะชูขวดเครื่องดื่มขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้เธอดูเสียสองขวด   แต่ก่อนที่มือเธอจะรับขวดนั้นมาเพื่อพิจดูก็มีมือมาจับข้อมือเธอไว้ก่อน



              \"ไม่เป็นไรค่ะ  ขอบคุณ  ขอเป็นน้ำผลไม้ดีกว่าค่ะ\"  เสียงพูดอย่างรวดเร็วมาจากเด็กสาวผมเงินด้านข้างผู้ซึ่งบัดนี้มองมาทางเธออย่างนึกห่วง  ก่อนเอ่ยขึ้น



              \"นั่นมันเหล้านะ  พวกเรากินไม่ได้หรอก   ฉันว่าพอจะเข้าใจเหตุผลที่เขาคนนั้นห่วงเธอแล้วล่ะ\"  เด็กสาวผู้บัดนี้ใช้นามว่าจิลพูดขึ้น  ก่อนที่มิราเคิลจะหันไปพูดกับเจ้าของร้านเพื่อเปลี่ยนเมนูใหม่



              \"ขอเปลี่ยนจากน้ำผลไม้เป็นน้ำเปล่าแก้วหนึ่งค่ะ  อีกแก้วเหมือนเดิม\"  เมื่อพูดจบเธอจึงหันมามองหาอีกฝ่ายซึ่งบัดนี้เดินไปยังโต๊ะด้านในร้านเรียบร้อยแล้ว  เมื่อเห็นดังนั้นเด็กสาวจึงเดินตามไปอย่างไม่รีรอ



              \"ทิ้งให้เขาอยู่ที่วังคนเดียวจะดีเหรอ  เดี๋ยวเขาก็เป็นห่วงเอานะ\"  ผู้ที่นั่งรออยู่แล้วพูดขึ้นเมื่อเห็นเธอเดินมาถึง  ในขณะที่นึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่พระราชวังเมื่อครู่  เมื่อพระราชาตรัสชวนให้มิราเคิลค้างแรมเพราะขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว  ซึ่งที่พวกเธอมาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะเหตุการณ์ในตอนนั้น  เรื่องของเรื่องก็คือ...



    ***********************************************************************



              \"ไม่ได้ครับ\"  เสียเฉียบขาดดังขึ้นจากปากยูริสเทอุส  ตรงหน้าเขาคือเด็กสาวที่กำลังยิ้มด้วยความหวังว่าคำขอที่ตนขอไปจะได้การอนุญาตจากคนตรงหน้า  แต่นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นดูไม่อ่อนปรนให้กับคำขอนี้ง่ายๆเสียเลย  มิราเคิลจึงเอ่ยขึ้นอีกครา



              \"แค่ไปเที่ยวที่ตลาดเองนะยูริส  องค์หญิงเองก็ไปด้วยนะ  ไม่หลงทางแน่ๆน่า..\"  เธอพูดพลางเงยมองหน้าอีกฝ่าย  ในใจหวังว่าคงสำเร็จ  แต่...



              \"ไม่ก็คือไม่ครับ  ไปเดินเที่ยวตอนกลางคืนมันอันตรายเกินกว่าจะปล่อยให้ไปกันตามลำพังโดยไม่มีคนดูแลนะครับ..\"  ยูริสเทอุสพูดพลางมองร่างตรงหน้าอย่างเป็นห่วง  แต่เด็กสาวหาได้เข้าใจในความรู้สึกนี้นัก  มิราเคิลมองกลับมาด้วยแววตาที่ไม่ใคร่จะพอใจนัก



              \"ก็ฉันเบื่อนี่  มาที่เมืองหลวงและอุตส่าห์ได้ค้างเสียที  อยากไปเดินดูของบ้างนี่นา..  แค่นี้ฉันไปกับองค์หญิงแค่สองคนก็ได้\"  เธอพูดขึ้นพลางวิ่งออกจากห้องนี้ไป  โดยที่ไม่หันกลับไปหาร่างที่อยู่ด้านหลังอีกเลย



    ***********************************************************************



              สภาพรอบกายยิ่งดึกขึ้นเท่าไร  เสียงเฮฮายิ่งมากขึ้นเท่านั้น   โต๊ะกลางตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางร้านนั้น  บัดนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มานั่งสังสรรค์กัน  บ้างก็พากันชนแก้วดื่ม  บ้างก็เล่าเรื่องการเดินทางของตนแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นอย่างสนุกสนาน  พนักงานเสิร์ฟยกน้ำที่เด็กสาวทั้งคู่สั่งมาวางที่บนโต๊ะ  ก่อนจ้องมองหน้าเด็กสาวผู้มีผมสีเงินอย่างนึกคุ้นตาก่อนพูดขึ้น



              \"ฮะๆ..คุณหนูนี่ช่างหน้าเหมือนองค์หญิงเสียจริงๆ   ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนข้าบ้างไหมนะ..\"  เขาพูดพลางหัวเราะแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์  ในขณะที่ลูน่าร์จ้องมองอย่างใจหาย  เธอไม่ต้องการให้ใครที่นี่รู้ถึงฐานันดรของเธอว่าเป็นใคร  เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นจากโต๊ะด้านตรงข้าม  เมื่อเธอหันกลับมาก็พบกับอีกฝ่ายที่เอามือปิดปากหัวเราะอย่างอดไม่อยู่



              \"อย่าหัวเราะแบบนี้สิ  เดี๋ยวเขาก็สงสัยจริงๆขึ้นมาจะยุ่งเอา..\"  เธอปรามอีกฝ่ายซึ่งยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเนื่องจากหัวเราะมากเกินไปก่อนเอ่ยตอบรับคำ



              \"จ้าๆ...  ไม่หัวเราะแล้วล่ะ..\"  มิราเคิลพูดขึ้นพลางยกแก้วน้ำของตนขึ้นดื่มอย่างกระหาย  แล้วก็มองดูสภาพรอบๆกายอย่างนึกสนใจประกอบความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย



              \"ดื่มนี่เสร็จแล้วก็กลับกันเถอะนะ  ถึงที่นี่จะเป็นเมืองหลวงแต่ใช่ว่าจะไม่มีคนไม่ดีหรอกนะ  มิราเคิล\"  คำพูดนี้ทำเอาสีหน้าที่ร่าเริงนั้นจางหายไปจากใบหน้าของคนตรงหน้าเลยทีเดียว



              \"เอาจริงๆเหรอ  ขอไปเดินดูของต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ..จิจัง..\"  มิราเคิลพูดพลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยทีท่าอ้อนวอน  จินั้นคือชื่อที่ลูน่าร์ขอให้เธอเรียกยามออกมาด้านนอกนี้  ซึ่งแต่เดิมนั้นคือจิบรัลแต่มิราเคิลนั้นตัดทอนลงแล้วเติมจังลงท้ายไปเพื่อให้ฟังดูน่ารักตามความคิดของเธอ



              \"ได้น่ะมันก็ได้อยู่นะ  แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นนะ\"  ลูน่าร์พูดขึ้นด้วยความไม่สบายใจ  เธอมองด้านนอกอย่างนึกหวั่นใจในสายลมที่ดูผิดแผกไปจากปกตินั้น  สายลมที่บ่งบอกว่ามีเรื่องร้ายๆจวนเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้  เมื่อเธอสังเกตเห็นว่าน้ำในมือของเพื่อนตนหมดแก้วแล้วจึงรีบดึงมืออีกฝ่ายออกจากร้านโดยแทบจะทันที



              \"ขอโทษนะคะ  พวกเรามีธุระต้องรีบไปนิดหน่อย  นี่ค่ะเงินค่าน้ำเมื่อครู่\"  เธอรีบพูดพร้อมๆกับยื่นเหรียญเงินในมือให้เจ้าของร้านร่างท้วมซึ่งตอนนี้มายืนคุยกับลูกค้าอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่กลางร้านนั้น  เขาหันมารับเงินก่อนกล่าวขอบคุณหากแต่ว่าลูน่าร์ไม่ได้อยู่รับคำขอบคุณนั้นเสียแล้ว  ร่างของทั้งสองวิ่งออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วในสภาพที่ฝ่ายหนึ่งจับมืออีกฝ่ายเพื่อให้วิ่งตามออกไปทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องราวดีนัก



              \"ด..  เดี๋ยวสิลู..  จิจัง... จะรีบไปไหนน่ะ..\"  มิราเคิลพูดสลับกับหอบ  ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงมองรอบด้านด้วยความตื่นตระหนก  ก่อนจะรีบบอกเสียงเบา



              \"ก็เกิดเรื่องขึ้นแล้วน่ะสิ  ลองมองรอบๆนี้ดูให้ดีเสียสิ  มิราเคิล...\"  เธอพูดขึ้นพลางผายมือให้อีกฝ่ายดู  แสงจันทร์ส่องกระทบผมเงินยาวสลวยของคนตรงหน้านี้เป็นสีเงินแปลกตาแต่ทว่าสวยจับใจ  แต่ภาพเบื้องหลังนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ณ มหานครกาเรน



              เหล่าชาวเมืองที่ปรากฏในสายตาคู่นี้  ต่างล้มฟุบลงไปกับพื้นด้วยทีท่าเฉกเช่นว่านอนหลับ  ไม่มีใครผู้ใดเลยที่ลืมตาตื่นขึ้นภายใต้แสงจันทร์นวลตานี้  เด็กสาวมองภาพตรงหน้านี้ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความตกใจระคนหวาดกลัว  หรือว่านี่คือสัญญาณเตือนถึงอะไรบางอย่าง



              แต่ฉับพลันนั้น  เหล่าชาวเมืองที่นอนฟุบอยู่ก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  หากแต่การตื่นในครั้งนี้ร่างกายนั้นดูราวกับไม่ได้เคลื่อนไหวตามใจนึกของผู้เป็นเจ้าของ  ดวงตาหลายคู่นั้นเปล่งประกายแสงภายใต้แสงจันทร์ราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด  ก่อนที่ร่างทั้งหมดจะเข้ามารุมล้อมเด็กสาวทั้งคู่ราวกับฝูงหมาไฮยีน่าล้อมสัตว์ซึ่งตกเป็นเหยื่อ



              ลูน่าร์มองสภาพการณ์รอบด้านอย่างนึกตริตรองบางสิ่งชั่วครู่  ก่อนจะยกมือขึ้นวาดสัญลักษณ์เวทในอากาศพลางร่ายคาถากำกับตามด้วย  สัญลักษณ์เวทย์สีฟ้าเรืองค่อยๆปรากฏขึ้นตามนิ้วของผู้กำกับคาถา  เสียงคาถาดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นจังหวะ



              \"ข้าแต่เทพีแห่งสายชล  ของพลังแห่งวารีที่ยิ่งใหญ่นั้น  จงปรากฏขึ้นต่อหน้าข้าผู้ได้รับพรแห่งท่าน  กลืนศัตรูผู้ขวางทางเหล่านี้ให้สิ้น\"  สิ้นเสียงร่ายคาถาก็พลันมีกระแสน้ำไหลบ่าเข้าหาชาวเมืองตรงหน้าก่อนที่จะพัดหายไปบางส่วน  หากแต่จำนวนชาวเมืองที่มีอาการประหลาดนี้มีมากเกินกว่าที่การร่ายเวทในคราเดียวจะกำจัดได้หมด  ผู้ที่ฟื้นตัวจากกระแสน้ำเมื่อครู่ก็ยังคงเดินตรงมาเข้ามาเช่นเดิม  ลูน่าร์มองพวกเขาด้วยความหวั่นใจ  เธอไม่ต้องการจะทำร้ายพวกชาวเมืองที่แสนดีเหล่านี้มากไปกว่าเมื่อครู่อีกแล้ว  มิราเคิลนั้นมองรอบข้างด้วยอย่างไม่นึกชอบในบรรยากาศที่ดูมืดมนเช่นนี้  เธอเรียกหอกซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของเธอออกมา  และเตรียมที่จะเข้าสู้กับผู้ไม่ประสงค์ดีเหล่านั้น  หากแต่ลูน่าร์จับมือเธอยั้งไว้ก่อน



              \"อะไรกันน่ะ  เรากำลังจะแย่เพราะพวกนี้แล้วนะ\"  มิราเคิลพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่ายซึ่งยึดมือเธอไม่ให้ไปสู้กับพวกที่เริ่มเข้ามาทำร้ายพวกเธอก่อน



              \"ไม่นะ  พวกเขาโดนใครสักคนบังคับอยู่น่ะ  ถ้าเราหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้  ก็รังแต่ต้องฆ่าพวกชาวเมืองที่บริสุทธิ์ไปเท่านั้นนะ\"  ลูน่าร์พูดขึ้นในขณะที่สายตาจับจ้องมองพวกชาวเมืองที่ยังคงรุมล้อมเข้ามาเรื่อยๆ  เพื่อเพ่งพิจหาถึงไอเวทย์ที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ที่บังคับกับพวกเขาเหล่านี้  หากแต่ไร้ซึ่งไอเวทใดๆ  ไม่ปรากฏถึงเวทมนตร์ใดๆที่ปกคลุมร่างตรงหน้าอยู่เลยแม้เพียงนิด



    ****************************************************************



              บนต้นไม้สูงใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขาแตกแขนงปกคลุมกลางลานกว้างนั้นเกือบหมด  ผู้ที่นั่งอยู่บนกิ่งสูงมองสภาพการณ์เบื้องล่างอย่างสบายอารมณ์  ในมือนั้นถือขลุ่ยรูปทรงแปลกตาเป่าบรรเลงท่องทำนองซึ่งไร้เสียงใดๆ



              \"บทเพลงแห่งความเงียบนี้คือบทเพลงซึ่งควบคุมจิตใจ\"  เสียงแผ่วเบาดังขึ้นอย่างชื่นชอบในผลงาน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×